วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2551

หอยหลอดยักษ์ของฉัน

และแล้ว วันสุดท้ายก่อนวันกลับก็มาถึง

เมื่อวานทั้งครอบครัวและญาติๆ ไปกินอาหารทะเลที่หมู่บ้านชาวประมงแถบ Yua Tong ฉันไม่รู้หรอกว่าที่นั่นเรียกว่าอะไร รู้แต่ว่านั่งรถไฟใต้ดินจากอพาร์ตเมนท์น้องสาวไปต่อสายสีม่วงที่ North Point แล้วก็ลงที่ป้ายที่สอง เราสามแม่ลูกมาถึงก่อนเวลา เดินรอบตลาดขายอาหารทะเลสดแทบครบทุกเจ้า แถมเข้าไปนั่งรอผิดร้าน อันนี้เป็นความผิดของคนที่ตลาด น้องสาวของฉันเอาชื่อภาษาจีนให้ดู เธอก็น่ารัก เดินพาไปส่งถึงร้าน เรายังซาบซึ้งในน้ำใจของหล่อนไม่หาย แต่พอความจริงปรากฏ ความปลื้มก็ลดลงพอเป็นพิธี นี่ถ้าไม่เห็นญาติของฉันที่แต่งตัวเป็นเอกลักษณ์ เราคงยังนั่งรออยู่ที่ร้านนั้น หรือไม่ก็เสียค่าโทรศัพท์สื่อสารกันอีกนาน

อาหารมื้อนี้เป็นอาหารมื้อพิเศษฉลองวันเกิดของลูกพี่ลูกน้อง เราสามแม่ลูกบุญหล่นทับ มาเที่ยวฮ่องกงตรงวันเกิดของพี่คนนี้พอดี แม้จะลืมของขวัญวันเกิดตามสไตล์คนเบอะๆ อย่างฉัน แต่เราก็ตามเอาไปให้อีกทีที่ The Pawn (แต่ขอโทษ ความเบอะไม่สิ้นสุด ห่อของขวัญผิดกล่อง กล่องที่ให้ไปเป็นกล่องเปล่า ดีนะ ที่ให้ไปสองกล่อง พี่ผู้มองโลกในแง่ดี เข้าใจว่าเป็นการเล่นมุข ฮาไป แต่ฉันก็จะตามไปให้ที่เมืองไทยแทนล่ะคราวนี้)

กลับมาพูดเรื่องอาหารต่อดีกว่า ตัวอะไรสารพัดที่เราเห็นในตู้กระจก เราได้กินเกือบทั้งหมด (เหลือไว้บ้างน่า สงสารคนจ่ายตังค์)ไม่ว่าจะเป็น หอยหลอดยักษ์ หอยงวงช้างลวก หอยเป๋าฮื้อ (ทำอะไรหว่า จำไม่ได้) หอยเชลล์ (ทำเหมือนหอยหลอดยักษ์) (หมดตระกูลหอยแล้ว) ปลานึ่งซีอิ้ว (ที่ฉันได้กินหัวปลา อันเนื่องมาจากไม่มีใครในทริปกินส่วนอร่อยที่สุดนี้) ยังมีปลาหมึกชุบแป้งทอด (ที่ชิ้นใหญ่หวานอร่อย ไม่เหนียวดังที่คิด)กุ้งลวก กั้งทอดกระเทียมลอบสเตอร์ผัดเอาแต่หัวซุปและปูผัด เนื้อหวานจริงๆ ตบท้ายด้วยข้าวผัดปลาเค็ม (ที่ฉันขอบาย เพราะเมนูก่อนหน้า ฟาดไปซะเหนื่อย หมดแรงกิน)

อาหารทะเลสดนี่มันหวานจริงๆ ที่ติดใจที่สุดเห็นจะเป็นหอยหลอดยักษ์อบวุ้นเส้นและกระเทียม เราได้กินอาหารกันมากมายในราคาย่อมเยา (แต่จะว่าไปก็หัวละประมาณ 400 เหรียญ)เพราะได้คุณ Johnny (เจ้าหน้าที่สถานกงสุลไทยชาวจีนที่พูดไทยคล่องซะจนนึกว่าเป็นคนจีนที่เกิดในเมืองไทย) มาช่วยส่งภาษาและช่วยสั่งอาหารเป็นชุดให้เราได้กินของดีคุ้มราคาอย่างที่สุด คุณ Johnny เป็นคนจีนที่เคยไปทำธุรกิจในเมืองไทย โลกกลมอีกแล้วที่เขาเคยไปทำธุรกิจน้ำปลาที่ระยองและธุรกิจขายยาที่ลพบุรี แถมด้วยทำอะไรก็ไม่รู้ฉันจำไม่ได้ที่กรุงเทพ ฟังแล้วไม่น่าเกี่ยวกับงานสถานกงสุลเลยนะเนี่ย

เจ้าของร้านถ่ายซีรอกซ์เมนูที่พวกเราสวาปาม คาดว่าเอาไว้เป็นตัวอย่างให้คนไทยที่มาเยือนสั่ง แต่เห็นน้องที่มาด้วยกันบอกว่า เขาก็ขอทุกปี แต่เหมือนว่าเอกสารจะหายไปอยู่เรื่อย สรุปแล้วเราต้องพกเมนูส่วนตัวมาด้วยทุกครั้ง อีกเรื่องที่ควรเตรียมคือ น้ำจิ้มซีฟู้ด เพื่อให้ถูกลิ้นคนไทย แต่เชื่อฉันเถอะ อาหารสุดเริดมื้อนี้ ไม่ต้องห่วงเรื่องน้ำจิ้ม ฉันคนนึงล่ะที่ไม่จิ้มอะไรทั้งนั้น ด้วยความสดทำให้เนื้อสัตว์ในทะเลทั้งหลายหวานอร่อยอย่างที่สุด

ตบท้ายด้วยเค้กสัญลักษณ์วันเกิด หน้าเละเพราะหอบมาไกล แต่ไม่ต้องห่วง เราซื้อสตอเบอร์รี่มาแต่งหน้าและข้างเค้กให้ดูดีขึ้นอีกจม แถมฉันยังชอบเทียนรูปตัวอักษรประกอบเป็นคำว่า Happy Birthday น่ารักน่าเก็บเหลือเกิน

ฉันคงจำอาหารมื้อนี้ไปอีกนานทีเดียวล่ะเธอ

ว่าแต่ มีใครสงสัยมั้ยเนี่ย ว่าในสไลด์ไม่มีหอยหลอดยักษ์ ...ก็แน่ล่ะ มันเป็นอาหารจานแรกที่มาถึง ทุกคนหิวหลังจากรออาหารพักใหญ่ พอจานถึงโต๊ะก็ตักเอาตักเอา ลืมซะสนิทว่าควรจะถ่ายรูปเก็บไว้หน่อย หอยหลอดที่บ้านเรากระจิ๋วหลิวจริงๆ ว่าแต่อะไรๆ ที่นี่มันจะ "ใหญ่" หมดมั้ยนะ

วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2551

มันอาจเป็นทริปสุดท้าย....

เมื่อนึกถึงชื่อของบทความนี้ทีไร ฉันคล้ายจะน้ำตาซึมทุกครั้ง ใครๆ ก็รู้ว่าฉันกับแม่เกาเหลากันมานานแล้ว มันเป็นเรื่องความรักของแม่กับความรักอิสระของลูก

ยิ่งรักเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยากให้ดีเท่านั้น

"เธอไม่เคยมีลูก เธอไม่รู้หรอกว่ามันเป็นยังไง เธอไม่ต้องมารักฉัน เธอจะว่าฉัน แว๊ด แว๊ดยังไง แต่ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้เธอดีขึ้น"

คราวนี้แม่ไม่ได้พูดอย่างเกรี้ยวกราดเหมือนทุกครั้ง ปฏิกิริยาฉันจึงแตกต่าง

น้ำมูก น้ำตา ยังคงไหลไม่หยุด (เดี๋ยวฉันต้องแต่งหน้าใหม่แน่ๆ เลย)

"รีบมากินข้าวต้ม เร็ว แม่เพิ่งอุ่นมาร้อนๆ " ฉันก็ยังเอ้อระเหย ทำโน่น ทำนี่เช่นเคย

"แอนมากินสาลี่สิลูก แม่เพิ่งปอกใหม่ๆ เราต้องกินผัก ผลไม้บ้างนะ" เบื่อแสนเบื่อกับความหวังดีซ้ำซาก

"เครื่องบินออกกี่โมง เราต้องเช็คอินที่ไหน แล้วต้องไปจ่ายเงินสำหรับน้ำหนักกระเป๋าที่เกินที่ไหน เรากำลังจะไปไหน อุ๊บมารับที่ไหน เราต้องนั่งรถไฟไปที่ไหน อีกกี่ป้ายถึงจะถึง เร็วๆ รีบจองที่ " สารพัดคำถาม (น่าเบื่อ)ที่ต้องตอบ แล้วฉันก็ได้รับสืบทองนิสัยช่างซัก ช่างถาม อยากรู้อยากเห็น อยากเข้าใจจากแม่มาเต็มๆ

เกลียดอะไรได้อย่างนั้น

ฉันรู้สึกว่า ฉันต้องพยายามให้การเดินทางครั้งนี้ราบรื่นที่สุด ความคิดเห็นที่ขัดแย้งมีเสมอ เราให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน แล้วฉันก็เบื่อที่จะอธิบาย เพราะแม่เป็นคนมีความมั่นใจตัวเองสูง (ฉันก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกันนั่นแหละ) เมื่อต่างคนต่างแข็ง (นอก แต่อ่อนใน)เราจึงจบลงด้วยการทะเลาะกันยืดยาวเสมอ

มาเที่ยวครั้งนี้ฉันกะว่าจะ "ยอม" ให้มากขึ้น แม่อายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว ฉันเองแม้จะเพิ่งครบสามรอบ แต่นิสัยเสียของฉันจะเปลี่ยนไปเลยก็คงยาก (อายุมันมากแล้ว แม่ล่ะ ยิ่งมากกว่าฉันอีก แต่แม่ก็ยังพยายาม พยายามปรับเพื่อจะอยู่กับฉัน แม่อยากที่จะเดินจูงมือกับฉันเหมือนแม่ลูกที่รักกันดี แม่สมหวัง ฉันคิด)

ฉันเลี่ยงที่จะไม่อยู่กับแม่สองต่อสอง แต่เมื่อน้องสาวฉันต้องไปทำงาน ฉันจึงแก้ปัญหาโดยการนอนให้มาก แม่ที่อยู่นิ่งไม่ได้จึงออกไปเดินข้างนอกคนเดียว คนอื่นคงว่า "อกตัญญู ใจดำ ทำไมไม่ดูแลแม่" ฉันก็โดนอย่างนั้นมาเต็มๆ ฉันคงไม่สามารถอธิบายให้ทุกคนฟังได้ บางคนกว่าจะเข้าใจต้องอาศัยเวลาอยู่กับแม่และฉันเป็นปี บางคนต้องเห็นด้วยตาจึงจะเชื่อและเข้าใจ มันเป็นความอัดอั้นตันใจที่ไม่รู้จะไปบอกกล่าวที่ไหน ฉันกับแม่จะว่าไปแล้ว ไม่รู้ว่าเรียกว่า "น้ำกับน้ำมัน" รึเปล่า ฉันพยายามจะหัดยอมอย่างที่ว่า เพราะไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีใครอยู่กับฉันได้

แม้ฉันจะอยู่คนเดียวได้อย่างมีความสุข และจากการวิเคราะห์ของใครๆ ฉันไม่ควรแต่งงาน แต่คนเรา ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ฉันก็ยังอยากจะหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตคู่กับใครสักคน มีลูก

แต่ก็แปลก เมื่อฉันพบคนที่เป็นไปได้ว่า ฉันจะได้ชีวิตดั่งฝัน ฉันก็เบื่อเขาซะแล้ว

คนที่เข้าใจฉันก็มี เขาว่า คนที่จะอยู่กับฉันได้ต้องมีความอดทนสูง พูดน้อย ตอบคำถามฉันได้ทุกคำถาม ถ้าดูจะโง่กว่าฉัน ฉันก็จะไปเลย ถ้าเขาคนนั้นเข้าใจฉันขนาดนี้ เขายังเลือกที่จะจีบฉัน นั่นหมายความว่า เขาถูกใจฉันมากๆ เลย ใช่มั้ยเนี่ย

งั้นฉันก็ยังมีโอกาสสิ

ฉันคิดถึงเขาคนนั้นตลอดเวลาที่อยู่กับแม่และน้องสาว ฉันเลือกที่จะหยุดพูดถึงเขาคนนี้ เก็บไว้ในใจคนเดียวหลังจากที่เล่าให้ทั้งสองคนฟัง รวมทั้งเพื่อนๆ ของน้องสาวอีกเพียบ ขอความเห็น แล้วก็สรุปด้วยการกระทำที่ฉันเลือก คือ รอ

หกวันเต็มๆ แล้ว ที่ฉันอยู่กับแม่มา นี่เป็นทริปที่ยาวที่สุด ฉันทบทวนความทรงจำ ฉันไม่เคยไปไหนกับแม่นานขนาดนี้มานานมากแล้ว นานตั้งแต่พ่อกับแม่ไปเที่ยวแคนาดากับฉันช่วงที่เรียนปริญญาโท ฉันยังจำได้ถึงความโมโหที่แม่วุ่นวายกับการขับรถของฉันให้ได้ความเร็วพอดีเป๊ะ แม่เฝ้าจ้องหน้าปัดที่แสดงความเร็ว ฉันเลยประชดโดยการขับรถด้วยความเร็วต่ำกว่าที่กำหนดมากๆ แม่ก็รู้ว่าฉันแกล้ง แต่ทำไงได้ ฉันเป็นคนขับ พ่อไม่ทำอะไร นั่งเฉยๆ ก็รู้ว่าอยู่กับคนแรงสองคน พ่อเลือกจะอยู่เงียบๆ อย่างนั้น ด้วยความจำใจหรือด้วยไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรดี ฉันก็ไม่มีโอกาสรู้

พ่อทำตัวเป็นปริศนาตลอดมา

ฉันไม่ได้มีกรณีกับแม่คนเดียวหรอก ทุกวันนี้ พ่อก็ยังไม่พูดกับฉัน แต่ฉันไม่เจ็บปวดแล้ว ฉันยอมรับความจริง ฉันรู้สึกเห็นใจพ่อด้วยซ้ำ ถ้าทฤษฏีที่ฉันจำมาถูก มันอธิบายว่า พ่อไม่ต้องการที่จะรักใคร เพราะทนไม่ได้กับความเสี่ยงที่จะเสียใจ ความอ่อนแอที่จะกดข่มจิตใจ พ่อเลยเลือกที่จะไม่รัก แสดงว่าไม่พึ่งพาทางจิตใจกับฉัน ฉันสงสารพ่อที่ไม่กล้ารัก

แม่มีรักเต็มเปี่ยม แม่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ใครจะคิดอย่างไรไม่สน แม่จะรัก จะหวังดี จะตักเตือนอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าผู้ที่ได้รับรักจะสำลักความรักนั้นหรือไม่

ฉันอยู่กับคนสุดโต่งสองคน ฉันว่าฉันมีความยืดหยุ่นสูงมาก เพราะเมื่ออยู่กับแม่ ฉันจะไม่พูด แต่เมื่ออยู่กับพ่อจะพูดจ้อไม่หยุด เวลาอยู่กับคนอื่นก็เช่นกัน ใครพูดมาก ฉันไม่พูด อยู่กับคนที่ไม่พูด ฉันก็พูดไม่หยุด

ฉันว่าฉันไม่ใช่คนเข้าใจง่ายๆ หรอกนะ

เหลือเวลาอีกเพียงสองวัน แล้วฉันกับแม่ก็จะกลับกรุงเทพ เหลืออีกสองวันที่ฉันจะต้องประคับประคองไม่ให้เราทะเลาะกัน ขัดแย้งกันรุนแรง ฉันรู้สึกถึงความอึดอัดของน้องสาว แต่เธอจะเลือกพูดเมื่อเหลืออดจริงๆ เธอได้อิสระจากการทำงานที่ฮ่องกง เธอทนแค่อาทิตย์เดียว ฉันก็ได้ทางออกเช่นนั้นเหมือนกันตั้งแต่ย้ายมาอยู่คอนโด ฉันตั้งกฏไว้เลยว่า ฉันจะอยู่กับแม่เฉพาะเมื่อมีบุคคลที่สามด้วยเท่านั้น

หมอให้ยาฉันเพิ่มเท่าตัว เพื่อช่วยให้สามารถอยู่กับแม่ได้ทั้งอาทิตย์ ฉันยังฝันสับสนอยู่ อาจเป็นเพราะฉันตั้งใจนอนให้มากระหว่างที่ต้องอยู่กับแม่ตามลำพัง หรือไม่ก็ใช้คอมพิวเตอร์ตลอด วิธีทั้งสองได้ผลในสองแง่ นอนมากเพราะนอนไม่พอ แม่จะไม่กวนเพราะถ้าฉันนอนเพียงพอ อาการจะดี ส่วนวิธีที่สอง เมื่อฉันทำงาน มันเป็นสิ่งดี แม่จะไม่มาวุ่นวาย ขัดจังหวะการทำงาน แม้เพียงสงสัยว่าทำไมทำแต่งานที่ไม่ได้เงิน

ฉันหยุดร้องไห้แล้ว ฉันคงต้องไปเช็คอีกครั้งว่าต้องตบแป้งที่ไหนบ้าง

แม่ยังนอนอยู่ หลังจากที่ไปเดินเล่นซื้อของคนเดียว เรารอเวลาที่จะไปรับประทานอาหารเย็นฉลองวันเกิดของญาติที่มาฮ่องกงในช่วงเวลานี้ทุกปี ฉันจะเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินกับแม่เป็นครั้งแรกเพื่อไปเจอน้องสาวที่สถานีปลายทาง ฉันยังหวั่นใจไม่หาย แม่ฉลาด แม่จะซักจะถาม ถ้าฉันหลง ก็คือ ฉันทำอะไรไม่ถูกต้อง ไม่สมบูรณ์แบบ แม่ก็จะบ่น ทุกอย่างต้องเพอร์เฟ็ค ฉันต้องศึกษาแผนที่ให้ละเอียดก่อน ความผิดพลาดเกิดขึ้นไม่ได้

ขอให้ฉันโชคดีนะเธอ

วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2551

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (6)

นพนาศคิดไปห้าสิบรอบแปดสิบตลบ นอกจากหล่อนจะคิดถึงเขา ภาพของเขาโผล่ขึ้นมาเรื่อยๆ แล้ว หล่อนยังคิด คิด แล้วก็คิดว่าหล่อนควรจะทำตัวอย่างไร ไม่มีคนรอบตัวคนใดไม่รู้ นพนาศถามทั้งน้อง เพื่อน และพี่ ทั้งเกย์ และชายจริง หญิงแท้ บ้างก็บอกให้ใช้โอกาสในช่วงปีใหม่ ส่งอีเมลพร้อมรูปของหล่อนไปให้ทีมงานเฉพาะกิจ แล้ว BCC ไปให้เขา เพื่อแสดงให้รู้ความพิเศษ พร้อมๆ กับไม่ทำให้ศรุตต้องกังวลกับเรื่องชื่อเสียงและการเป็นข่าวโดยไม่จำเป็น บางคนที่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับหนุ่มๆ ของหล่อนก็สรุปว่า หล่อนควรจะลงเอยกับคนนี้เพราะ "ทัน" กัน คนขี้เบื่ออย่างหล่อนก็คงต้องเล่นกับไฟ แต่ก็ระวังหน่อยละนะ

ยุ่งเกี่ยวกับคนดังก็เป็นอย่างนี้ แล้วหล่อนก็ฝันหวานถึงวันที่ศรุตจะโทรมา สถานที่นัดพบคงไม่มีที่ใดเหมาะไปกว่าร้านอาหารริมบึงกลางเมืองแถวอนุสาวรีย์ชัยฯ หล่อนเตรียมเพลงสำคัญเพื่อร้องให้เขาฟัง ที่ร้านอาหารมีมือเปียโนระดับอาจารย์พร้อมกับคาราโอเกะที่สามารถปรับเสียงให้เหมาะกับหล่อน ถูกใจหล่อนกว่าร้านประจำเสียอีก โดนใจทั้งอาหาร ดนตรี สถานที่และบรรยากาศ หล่อนเป็นคนที่ชอบความสมบูรณ์แบบที่ไม่น่าจะมี แต่ร้านนี้ก็มีทุกอย่างดั่งฝันแถมอยู่กลางเมืองอีกต่างหาก

หลังจากวุ่นวายใจอยู่ร่วมอาทิตย์ นพนาศก็ตัดสินใจได้ว่า สิ่งที่หล่อนควรทำที่สุดคือ เชื่อมั่นในคำพูดของศรุต “เขาจะโทรมา” น่าแปลกที่หล่อนเกิดจะนึกถึงพุดเดิ้ลทอยสุนัขตัวโปรดของหล่อนที่สามีเก่าซื้อให้ในวันเกิด แม้มันจะตกใจตายไปแล้ว แต่ครอบครัวของหล่อนก็รักมันมากกระทั่งตั้งชื่อพุดเดิ้ลทอยตัวใหม่ว่า “ชมพู่” เช่นเดิม

ชมพู่เป็นหมาขี้กลัว ใจเสาะ ตามแบบฉบับของหมาพุดเดิ้ล ตามความเข้าใจของนพนาศ เมื่อใดที่หล่อนอยากจะอุ้มมัน มันก็จะวิ่งหนี แต่หากหล่อนอยู่เฉยๆ ชมพู่ก็จะวิ่งเข้ามาหยอก บางครั้งมาซบอยู่ข้างตัว หรือไม่ก็เดินไปเดินมา

บนตัวหล่อน เมื่อชมพู่หายกลัว คราวนี้จะอุ้มจะกอดอย่างไรก็ทำได้

นพนาศจินตนาการว่าศรุตก็น่าจะเป็นเช่นนั้น ทำไมนะรึ หล่อนวิเคราะห์จากกรณีสาวนักวิจัยที่ผ่านการพิจารณาจากอดีตภรรยาของศรุตแล้ว แต่เขาก็ยังไม่แต่งงานกับหล่อน จนเธอต้องเป็นคนเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาเรื่อยๆ คราวนี้ศรุตรู้สึกเหมือนโดนคุกคาม ยิ่งเหมือนผลักเขาให้ห่างออกไปอีก

หากยึดตามแง่ศีลธรรม นพนาศควรจะเห็นใจลูกผู้หญิงด้วยกัน แต่หากหล่อนอยู่นิ่งๆ หล่อนก็คิดว่า นั่นยิ่งเป็นการเรียกร้องให้เขาเข้ามาหาหล่อน นพนาศมองอะไรไม่เหมือนคนอื่น การกระทำอย่างเดียวกับดูจะถูกต้องในสายตาคนทั่วไปแต่หล่อนกลับคิดว่าการกระทำอย่างที่ว่า เป็นการทำร้ายเธอคนนั้นต่างหาก แต่ก็อีก หากหล่อนทำตามที่หล่อนคิด ติดต่อ พูดคุยกับศรุต เขาอาจสนใจหล่อนเพียงพักเดียวแล้วก็กลับไปหาสาวนักวิจัย แต่ในเมื่อไม่มีใครเค้าคิดเหมือนหล่อน หล่อนก็ควรหัดทำเหมือนที่คนทั่วไปคาดหวัง ถ้าพรหมลิขิตบันดาลให้หล่อนลงเอยกับเขาจริงๆ

เขาจะกลับมา…

วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2551

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (5)

“สวัสดีค่ะ”

“ผม ศรุต นะครับ ศรุต ที่เจอกันในงานของกระทรวงเกษตรฯ น่ะครับ” เขากลัวหล่อนจะจำไม่ได้

“จำได้ค่ะ” เสียงของนพนาศเริงร่า ไม่ว่าใครที่ฟังจากน้ำเสียงก็ต้องรู้ว่าเธอยิ้มจนแก้มจะฉีก หล่อนเองก็สัมผัสได้ถึงความสุขจากน้ำเสียงของศรุตเช่นกัน

“ไม่เห็นเจอในงานของกระทรวงฯ อีกเลย ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้างครับ” เขาหาเรื่องคุย

“พอดี นาศบอกพี่ตุ่มว่าจะช่วยถึงตอนประกาศผลผู้ได้รับตำแหน่งชนะเลิศนะค่ะ” หล่อนยังอมยิ้มไม่หาย

“เอ่อ คุณนาศทำงานอะไรครับ” เขาต้องหาเรื่องใหม่เพื่อจะคุยกับหล่อน น้ำเสียงออกจะอายๆ เขินๆ

“นาศทำเรือนเพาะชำกล้วยไม้ค่ะ ผสมพันธุ์ใหม่ๆ พี่จะซื้อมั้ยคะ”

“ทำเรือนเพาะชำกล้วยไม้…”

“อ้อ วันนี้ทีมงานไปจัดงานที่สวนจตุจักร นาศว่าจะไปเอารูปจากพี่เก่งที่นั่นด้วย แล้วจะไปลองร้านอาหารใหม่ในสวนป่าริมน้ำที่อนุสาวรีย์ชัยฯ พี่ไปมั้ยคะ” คำพูดมันพาไป หล่อนไม่ได้ตั้งใจล่วงหน้าที่จะเปิดทางให้เขา

“…พี่ต้องไปงานแต่งงานกบ”

“กบ วชิรนันท์ เหรอคะ”

“แถวอนุสาวรีย์มีป่ามีบึงที่ไหน น่าจะมีแต่เสียงแตรรถละไม่ว่า”

“ก็ดีสิคะ มีทุกอย่าง อาจมีหิงห้อยด้วยนะคะ” นพนาศจินตนาการร้านอาหารใหม่ที่มีทุกอย่างพร้อมสรรพ

“ไว้พี่โทรไปหานะ ลองไปก่อนละกัน” น้ำเสียงของเขาดูซึมๆ ไป แตกต่างจากคำพูดตอนที่แนะนำตัวเองด้วยกลัวว่านพนาศจะจำไม่ได้

“สวัสดีค่ะ”

...............

บทสนทนาทางโทรศัพท์จบไปนานแล้ว แต่นพนาศอมยิ้มทุกครั้งที่หน้าศรุตลอยเข้ามาในใจ

งานที่สวนจตุจักรยิ่งใหญ่ทีเดียว มีร่วมร้อยโต๊ะเห็นจะได้ หล่อนก็เพิ่งเห็นคราวนี้นี่แหละ ที่เอารถเข้ามาจอดในสวนได้ ทีมผู้ชนะเลิศขึ้นเวทีให้สัมภาษณ์และต่อด้วยการแสดงและดนตรีเหมือนอย่างงานเลี้ยงฉลองทั่วไป นพนาศเข้าไปทักทายทีมงานที่เคยสำรวจสถานที่และประชุมกับทีมงานออแกไนเซอร์ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ก็มางานนี้ด้วย แม้ตอนร่วมงานจะมีการปะทะคารม เกี่ยงงาน ความเห็นไม่ตรงกัน ขึ้นเสียง เสียดสีกันบ้างพอมีรสชาติ แต่พองานจบ ความเครียดก็จบตามไปด้วย

ตัวหล่อนเองไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับงาน เพราะหล่อนเข้ามาช่วยพี่ตุ่ม เจ้านายจำเป็นจริงๆ ทุกคนก็รู้ว่าหล่อนไม่เคยกั๊กงาน ปัญหาเรื่องการแย่งขายบัตรเข้าชมงานรอบตัดสิน หล่อนก็ไม่ได้ว่าอะไร ทั้งๆ ที่เรื่องเงินเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใครออกใคร หล่อนประสานงานกับระดับบิ๊กของหลายหน่วยงาน แต่หล่อนก็ส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงรับงานต่อไป งานจึงเดินได้ไม่สะดุด หล่อนเห็นว่างานต่อเนื่องหลังจากได้ผู้ชนะเลิศแล้ว มีคนอยากทำหน้าที่จัดการต่อ หล่อนก็เบาใจ ไม่รู้สึกผิดเพราะละทิ้งงาน

นพนาศใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง นั่งคุยกับผู้ใหญ่ในกระทรวง รวมไปถึงผู้ใหญ่บางท่านที่พี่ตุ่มยังประหลาดใจที่หล่อนรู้จักและเข้าไปคุยอย่างสนิทสนม หล่อนเคยบอกพี่เบี้ยวที่ทำงานร่วมกันว่า “นาศน่ะ ได้ทุกอย่างที่ต้องการจะได้ เพียงแต่นาศไม่ได้เป็นคนทะเยอทะยานเท่านั้นเอง หลักของนาศในเรื่องนี้จะตอบคำถามของพี่ได้ทุกข้อ” พี่เบี้ยวยังงงๆ แต่แล้วเขาก็เล่าให้หล่อนฟังว่า เขาไม่เข้าใจหล่อนในเรื่องไหน จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่คนมองต่างมุม เพียงแค่ต่างฝ่ายต่างมองกันในแง่ดีก็เท่านั้น

นพนาศขอแค่ให้คนที่เกี่ยวข้องกับหล่อนมองหล่อนตามความเป็นจริง คนอย่างหล่อนไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครหรอก แต่หล่อนก็ปลงแล้วล่ะ ว่าการที่หล่อนไม่โกรธใครแม้สมควรจะต้องโกรธสักแค่ไหน ใครๆ ก็ต้องแปลกใจ คิดว่าหล่อนอาจจะคิดอาฆาตอยู่ในใจแต่แสร้งยิ้มกลบเกลื่อน แล้วหล่อนก็ทำได้แนบเนียนซะด้วย หล่อนจึงเป็นคนที่น่ากลัวสำหรับใครๆ โดยเฉพาะผู้ชาย

นพนาศขออย่างเดียว ขออย่าให้ศรุตกลัวเธอเหมือนผู้ชายคนอื่นๆ เขาเองเป็นคนบอกว่า “มาดนางพญา นาศเป็นคนที่ผู้ชายกลัว” แม้หล่อนจะอมยิ้มทุกครั้งที่นึกถึงเขา แต่หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะกังวลกับคำพูดสุดท้ายของเขาก่อนวางหูโทรศัพท์

“ไว้พี่โทรไปหานะ ลองไปก่อนละกัน”

คนให้ความสำคัญกับน้ำเสียงและสีหน้ามากกว่าตัวคำพูดที่สื่อความหลายเท่านัก นพนาศไม่ชอบคุยโทรศัพท์กับใครๆ เพราะหล่อนเป็นคนเสียงดุ หล่อนกลัวว่าการสื่อสารกับคนอื่นทางโทรศัพท์จะทำให้เกิดการเข้าใจผิด เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

สมัยหล่อนทำงานติดต่อกับชาวต่างประเทศ มีแต่อีเมลและโทรศัพท์คุยกัน เมื่อครั้นหล่อนได้รับเลือกให้ไปเข้าคอร์สฝึกอบรมเจ้าของแฟรนไชส์การจัดรูปแบบร้านขายต้นไม้อย่างถูกวิธี เจ้าหน้าที่ชาวต่างประเทศที่ติดต่อประสานงานกับหล่อนมาหลายเดือนทำท่าตกใจอย่างเห็นได้ชัด เขาพูดออกมาตรงๆ ว่า เขาจินตนาการว่า หล่อนคงจะเตี้ยม่อต้อ สวมแว่นหนาเตอะ และอายุสี่สิบขึ้นไป แต่ปรากฏว่า คนที่เขาเห็นช่างแตกต่างจากที่คิดไว้ราวฟ้ากับดิน

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หล่อนจะพยายามเลือกวิธีการติดต่อสื่อสารให้เป็นอีเมลหรือไม่ก็พบหน้าตากันไปเลย อย่างน้อยหน้าตาและรูปร่างของหล่อนก็คงจะเบนความสนใจและลดความสำคัญของเสียงดุของหล่อนลงไปบ้าง

ถึงกระนั้นก็เถอะ หล่อนก็ยังเป็นห่วงเรื่องตาดุของหล่อนอยู่ คนกลัวหล่อนก็เพราะตากลมโตคู่นี้ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย นพนาศมักจะแสดงออกทางสีหน้าและเบิ่งตาบ่อยๆ คนไทยที่ขี้กลัวทั้งหลายจึงไม่ชอบหน้าหล่อนเมื่อแรกเจอไม่น้อย บ้างก็ว่าหล่อน สวย เริด เชิด หยิ่ง หรือไม่ก็คิดว่าตัวเองดีกว่าใครถึงได้ไม่เสวนากับคนอื่น

เรื่องภาพลักษณ์เป็นเรื่องที่สร้างกันได้ แต่สำหรับนพนาศแล้ว หล่อนรู้สึกจะโชคไม่ดีในเรื่องนี้ ใครที่ได้รู้จัก พูดจากับหล่อนจะรู้ได้ทันทีว่าหล่อนแตกต่าง ไม่ได้มีนิสัยหยิ่งหรือดูถูกคนอื่นอย่างภาพลวงที่หลอกตาใครๆ

คำพูดประโยคสุดท้ายของศรุตกวนใจหล่อนตลอดทางไปร้านอาหารแห่งใหม่ เสียงหัวเราะจากมุขตลกลามกของเพื่อนชาวสีม่วงไม่ได้ทำให้หล่อนคลายกังวลไปได้เลย ดูเหมือนหล่อนจะกลายเป็นคนอารมณ์แปรปรวนไปแล้ว เมื่อใดที่ความกลัววิ่งเข้ามาในใจ กลัวว่าการที่หล่อนพลั้งปากชวนเขาจะดูเป็นคนไม่มีค่า นพนาศก็ดูซึมๆ แต่บางครั้งหล่อนก็ยิ้มขึ้นมาเฉยๆ เมื่อใดที่หล่อนคิดว่า นั่นเป็นคำมั่นของศรุตที่ให้ไว้ หล่อนก็พร้อมที่จะรอ ไม่ว่าจะนานแค่ไหน

ความห่างทำให้ความรู้สึกพิเศษเติบโตเหมือนกล้วยไม้ที่หล่อนปลูก บางครั้งก็ต้องงดรดน้ำเป็นอาทิตย์เพื่อให้กล้วยไม้ที่แตกหน่อใหม่เติบโตสมบูรณ์เอาตัวรอดหนีตายด้วยการรีบออกดอก ก่อนที่หล่อนจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับวงการกล้วยไม้อย่างเต็มตัว การทรมานต้นไม้อย่างนี้ไม่ดีเลย แต่เมื่อหล่อนได้ศึกษาและทำความเข้าใจกับธรรมชาติของพืชชนิดนี้ หล่อนก็จำต้องทรมานกล้วยไม้เพื่อกล้วยไม้แต่ละต้นเอง

น่าประหลาดที่ความต้องการของกล้วยไม้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ชายเช่นกัน ชีวิตรักที่ผ่านมา หล่อนเข้าใจว่า หล่อนประพฤติตัวดี ไม่เคยหลอกใครหรือทำให้ชอกช้ำ แต่แล้วใยแฟนๆ ของหล่อนกลับหันไปหาผู้หญิงที่ใช้เล่ห์ หลอกล่อผู้ชายสารพัด แล้วก็ถึงบังอ้อเมื่อหล่อนอ่านหนังสือด้านจิตวิทยา Why men marry bitches นพนาศสรุปได้ว่า ผู้ชายก็เหมือนกล้วยไม้ ผู้ชายเป็นเพศที่รักการแข่งขัน เอาชนะ หากสิ่งใดได้มาง่ายก็ไร้ค่า การที่ผู้ชายตกบ่วงเสน่ห์ของผู้หญิงเจนจัดก็เพราะมันท้าทาย มันตอบสนองสัญชาตญาณดิบของเพศผู้

นพนาศไม่รู้ว่าผิดหรือถูกที่หล่อนแปลความหมายคำพูดของศรุตอย่างนี้ อันที่จริง หากศรุตเป็นคนเจ้าชู้ เจอใครก็ชอบไปเรื่อย หากผู้หญิงเปิดโอกาสให้ขนาดนี้แล้ว ใครจะโง่ไม่สานต่อความสัมพันธ์ เฉกเช่นเดียวกับที่หล่อนไม่ผลีผลามอยู่สานความสัมพันธ์กับศรุตเมื่อวันงานเลี้ยงครั้งสุดท้าย หล่อนคิดเข้าข้างตัวเองว่า ทั้งหล่อนและศรุตต่างต้องการให้ความสัมพันธ์ครั้งนี้ยั่งยืน ทั้งสองจึงรอคอย ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความรู้สึกที่แท้จริงของตน นพนาศคิดไปไกลขนาดที่ว่า ศรุตอาจจะต้องการเวลาเพื่อ “เคลียร์” สัมพันธ์กับหญิงอื่นก่อนที่จะตั้งใจใช้เวลากับผู้หญิงที่เขาปรารถนาจะรับข้อเสียนานาของเธอคนนั้นด้วยความอดทนอย่างสูง เพื่อแลกมาซึ่งรักอย่างไม่มีเงื่อนไขจากหญิงอันเป็นที่รัก

ร้านอาหารอันเป็นที่มาของความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ เติบโตของสองมนุษย์ที่ผ่านความชอกช้ำจากการแต่งงาน หลบเร้นอยู่ในความแออัดของกรุงเทพได้มิดชิดอย่างที่สุด ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ใครกันที่ดูแลต้นไทรใหญ่ต้นนี้ให้อยู่รอดปลอดภัยท่ามกลางตึกสูงระฟ้ารอบด้าน พร้อมๆ กับบึงน้ำที่ขอบบึงด้านหนึ่งติดกับต้นไทรใหญ่กิ่งโน้มลงคล้ายคนก้มลงเอามือแตะน้ำ ณ ตำแหน่งที่กิ่งเรี่ยน้ำเอนไปมาโบกพัดให้น้ำกระเพื่อมเป็นวงๆ ออกไป วงเล็กวงใหญ่ตามน้ำหนักและแรงลมที่พัดไกวปลายใบที่อยู่ปลายสุดของแต่ละกิ่ง ขอบบึงอีกด้านมีท่อนไม้ไผ่มัดเป็นแพวางอยู่เป็นช่วงๆ พอให้การสนทนาของแต่ละโต๊ะที่ตั้งอยู่บนแพเป็นส่วนตัวหากไม่ส่งเสียงดังจนเกินไป ถึงยังไง บรรยากาศก็บังคับอยู่ในตัวแล้วให้คนที่มารับประทานอาหารที่ร้านแพบึงไทรใช้เสียงให้ค่อยที่สุดเพื่อไม่ให้รบกวนกระรอก นกและหิงห้อยที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าจะมารวมกันอยู่ใจกลางกรุงเทพ

ศรุตจะได้เห็นหิงห้อยอย่างที่นพนาศจินตนาการไว้จริงๆ หากเขาไม่มองว่าการที่หล่อนทอดสะพานเป็นเรื่องเสียหาย เป็นเรื่องที่ลดความท้าทายหรือของที่ได้มาง่ายๆ ที่อาจส่งผลทำลายความรู้สึกดีๆ ที่ทั้งสองมีให้แก่กันในค่ำวันนั้น

วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (4)

เป็นอาทิตย์มาแล้วที่นพนาศไม่ได้นอนบ้าน

งานเฉพาะกิจชิ้นนี้กินเวลาทั้งหมดในช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมา แรกเริ่มหล่อนคิดว่าจะสามารถจัดการงานต่างๆ ที่ผู้อยู่เบื้องบนลิขิตให้มาชนกัน ทั้งๆ ที่หล่อนวางแผนล่วงหน้าเป็นเดือน ชีวิตของหล่อนก็มักจะเป็นอย่างนี้แหละ พอว่างๆ ก็ว่างยาว พอยุ่งก็ทำให้อะไรๆ รวนไปซะหมด แต่เมื่อหล่อนสัญญาแล้วว่าจะอุทิศเวลาในช่วงสองเดือนนี้ให้กับงานที่พี่ “เจ้านาย” ขอให้มาช่วย หล่อนก็ช่วยอย่างจริงจังโดยไม่ได้คิดถึงผลตอบแทนไม่ว่าในรูปใดๆ

หล่อนไม่ได้ตาบอดหรือหูหนวกที่จะไม่ได้เห็นได้ยินวัตถุประสงค์ในการร่วมงานที่ต่างๆ กันไป บางคนคล้ายจะทวงบุญคุณกับหล่อนด้วยซ้ำว่ามิใช่เพราะเธอหรอกหรือ หล่อนถึงได้สิทธิพิเศษ ได้รับเกียรติและความร่วมมือจากคนรอบตัว

แม้ทีมงานใหม่จะยังไม่พร้อม แต่การมีคนไม่ครบไม่ได้แปลว่าการแข่งขันหายไป บางครั้งก็ต่อหน้าต่อตาจนนพนาศงงและไม่เข้าใจ อะไรจะต้องขโมยซีนกันขนาดนั้น หล่อนเองก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบไปกว่าคนอื่น นพนาศพูดตรง อารมณ์ร้อน ไม่กลัวใครเหมือนผู้ชายพระอาทิตย์ ระเบิดอารมณ์เป็นผลร้ายโดยไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผล น้ำตามาพร้อมๆ กับการปรับจูนให้คนที่เกี่ยวข้องทำงานประสานกันมากขึ้น และแล้ว งานก็จบลง

หล่อนยังไม่ทันหายเหนื่อยจากการจัดการความเปลี่ยนแปลงแทบจะในนาทีสุดท้าย ถ้าเปลี่ยนแค่สิ่งเดียวก็คงพอรับไหว แต่ถ้าเหตุการณ์และปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้เป็นสาเหตุของความเปลี่ยนแปลงที่ว่า ก็ต้องถือว่าหล่อนแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างดีที่สุดแล้ว

ใครจะไปคิดว่าม็อบในประเทศไทยจะรุนแรงขนาดปิดสนามบิน ธุรกิจท่องเที่ยวได้รับผลกระทบทันทีและมากที่สุด ในช่วงที่เหล่าโรงแรมทั่วประเทศโกยรายได้มหาศาลเพื่อที่จะชดเชยกับช่วงที่มีผู้เข้าพักโรงแรมต่ำ ความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นทำให้อัตราการเข้าพักโรงแรมลดลงต่ำอย่างน่าใจหาย ต่ำเท่ากับช่วงที่ไม่ใช่ฤดูการท่องเที่ยว เงินทุนที่ต้องใช้ในการชดเชยความเสียหายให้กับนักท่องเที่ยวที่ตกค้างเป็นร้อยๆ ล้าน ความหวาดกลัว เข็ดขยาดยังผลให้แม้เมื่อเหตุการณ์ทางการเมืองคลี่คลาย แต่จำนวนนักท่องเที่ยวไม่ได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับปกติเสียที

นพนาศไม่ได้ทำธุรกิจในกลุ่มนี้ แต่ผลกระทบที่เด่นชัดก็ทำให้หล่อนมองเห็นผลกระทบต่องานที่ได้กำไรต่ำของหล่อน แต่ก็ไม่แน่นะ หล่อนมักจะปลอบใจตัวเองเช่นนี้ มีความแปลกในธุรกิจที่หล่อนก่อตั้ง เมื่อยามที่เศรษฐกิจไม่ดี คนจะออกนอกบ้านน้อย อะไรก็ตามที่ทำรายได้โดยไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ประกอบการจะแปรผกผันกับภาวะเศรษฐกิจ หล่อนไม่ได้วิเคราะห์ได้เองหรอก นพนาศอ่านพบบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ศรุตผู้ยิ่งใหญ่ในธุรกิจกลุ่มเดียวกับที่หล่อนเพิ่งเริ่มปักหลักเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อหลายปีก่อน

นิสัยเชอร์ล็อคโฮมของหล่อนนั่นแหละที่เป็นที่มาของข้อมูลเกี่ยวกับศรุต รวมทั้งเรื่องใหม่ๆ เกี่ยวกับชายคนนี้ที่หล่อนเพิ่งรับรู้ภายหลังจากการพบกันครั้งสุดท้าย

ก่อนงานเลี้ยงที่น่าจะเป็นงานสุดท้ายครั้งนี้ ศรุตหาเรื่องโทรมาคุยกับหล่อน เพียงเพื่อให้แน่ใจว่าหล่อนมางาน เขาคนที่ออกงานไม่เว้นแต่ละวัน ถามหล่อนว่าควรจะแต่งตัวอย่างไรเนี่ยนะ นพนาศรู้แต่หล่อนพยายามหัด “โง่ให้เป็น” เพื่อที่หล่อนจะเป็นคนฉลาดจริงๆ เสียที

ศรุตไม่มั่นใจจริงๆ หรือที่ไม่ได้ติดชุดสูทมาด้วย เขาใส่เสื้อแจคเก็ตสีดำทับเสื้อสีเข้ม ไม่แตกต่างจากวันอื่นๆ นพนาศเห็นเขาตั้งแต่เดินเข้างานแล้ว แต่งานสังคมก็คืองานสังคม หล่อนปรายตามองเขาเป็นครั้งคราวพร้อมๆ กับที่คุยกับผู้ร่วมงานและแขกเหรื่อที่หล่อนรู้จัก เมื่อถึงจังหวะที่เขาชะโงกหน้าหันมามองหล่อนที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก หล่อนก็แกล้งกวาดตามองไปรอบๆ เมื่อสบตา หล่อนยกมือไหว้ศรุตอย่างที่ผู้น้อยพึงกระทำ ซึ่งหล่อนก็ทำอย่างนั้นทุกครั้งที่เจอหน้าเขาอยู่แล้ว

แม้ยังไม่มีโอกาสได้พูดจากัน เพื่อล่อสายตาผู้ชายอย่างศรุตที่คลุกคลีอยู่กับวงการมายามานาน นพนาศบรรจงเลือกชุดที่ใส่มาในงานด้วยจุดประสงค์ที่จะทำให้เขาประทับใจหล่อนในรูปแบบที่แตกต่าง จากสาวเรียบร้อย สูงสง่า เป็นสาวเปรี้ยวสุดเซ็กซี่

หล่อนแต่งตัวอย่งพิถีพิถันมาตลอดเมื่อเข้ามาช่วยงานครั้งนี้ เมื่อก่อนหล่อนออกจะต่อต้านการใช้รูปโฉมโนมพรรณในการทำงานจะตาย หล่อนอยากให้คนมองลึกลงไปกว่านั้น มองไปที่สิ่งที่หล่อนพูด สิ่งที่หล่อนทำ มากกว่าสิ่งที่หล่อนสามารถปรุงแต่งให้ดึงดูดใจชาย แต่จะมีใครล่ะที่ฝืนกฏธรรมชาติได้

“นารีมีรูปเป็นทรัพย์”

คงจะเป็นความจริงตลอดกาล ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาสอนหล่อนให้คำนึงถึง “ผล”มากกว่า “วิธีการ” แต่ก็ใช่ว่าหล่อนจะเลือกทำสิ่งที่ผิดกฏหมายหรือศีลธรรม นพนาศเข้าใจแล้วว่า การติดต่อกับคนที่หน้าตา ท่าทางดี แต่งตัวดี ทำให้คำพูดของคนผู้นั้นน่าเชื่อถือ แล้วใยหล่อนจะต้องใช้เวลาสามอาทิตย์กว่าจะมีโอกาสได้ติดต่อธุรกิจกับคนที่มีอำนาจตัดสินใจ เพียงแค่หล่อนไปปรากฏตัวให้ถูกที่ ด้วยภาพที่เหมาะสม เพียงสามนาที หล่อนก็สามารถทำงานที่ว่าสำเร็จ

ผู้บริหารก็ติดต่อธุรกิจกันแบบนี้ทั้งนั้น อายุขนาดหล่อน จะให้ไปเริ่มติดต่อประสานงานกับระดับปฏิบัติการ ผ่านแต่ละด่านจนถึงหรืออาจไม่ถึงคนที่มีอำนาจตัดสินใจ ไม่มีทางหรอก แม้ไฟหล่อนยังไม่มอด แต่ก็ต้องยอมรับตัวเองว่าไม่ได้คล่องแคล่ว อดนอน ทำงานหนักได้เหมือนเด็กจบใหม่

นพนาศเลือกชุดผ้าซาตินคอถ่วง แขนกุด สีเข้มตามลายผ้า กระโปรงยาวแค่เข่า เปิดหลังปักดิ้นที่ขอบเสื้อปลายทิ้งไปถึงเอว ยามย่างกราย เนื้อผ้าทิ้งตัวตามรูปร่างของหล่อนที่ยังรักษาไว้ได้ดี หล่อนยังใส่ชุดราตรีสีดำที่ซื้อเมื่อสิบปีที่แล้วได้อยู่เลย ชุดผ้าลายป้ายสีเหมือนภาพจากจิตรกรฝีมือเอกชุดนี้ทำให้หล่อนเซ็กซี่จนหล่อนอดไม่ได้ที่ต้องซื้อ ปกติหล่อนไม่ซื้อชุดที่มีลายเพราะใส่ไม่กี่ครั้งคนก็จำได้ ไม่ว่าหล่อนจะมีนิสัยคล้ายผู้ชายอย่างไร เรื่องใส่เสื้อผ้าออกงานซ้ำกันบ่อยๆ หล่อนก็ทำใจไม่ได้เหมือนผู้หญิงที่รักสวยรักงามและประณีตในการแต่งกาย คุณยายของหล่อนไม่เคยใส่เสื้อผ้าที่เคยใส่ไปงานอื่นแล้วด้วยซ้ำไป นพนาศอาจจะได้รับนิสัยนี้มาทางสายเลือดกระมัง

หล่อนตั้งใจสวมชุดนี้ให้ศรุตประทับใจ เพราะหล่อนรู้ว่านี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่หล่อนจะได้เจอกับเขา

เมื่อต่างคน ต่างคุยกับแขกที่มาในงาน แล้วก็ถึงคราวที่เขากับหล่อนจะได้คุยกันสักที หล่อนแปลกใจนิดหน่อยที่เขาพูดขึ้นมากลางวงว่า เมื่อวานหล่อนไปต่อที่ร้านประจำ พูดเหมือนจะให้ใครๆ รู้ว่าเขา “รู้” อะไรมากกว่าคนอื่นๆ

เวลานี้เหมาะที่สุดแล้ว นพนาศขอตัวกลับก่อนเพราะนัดกับคนอื่นไว้ หล่อนไหว้อย่างอ่อนช้อยและส่งสายตาที่หล่อนคิดว่าหวานที่สุดให้เขาก่อนที่จะหมุนตัวเดินจากไปด้วยมาดนางพญาอย่างที่เขาพูดเมื่อวันวาน

หล่อนมีนัดจริงๆ หล่อนคิดไว้อยู่แล้วว่า “รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ” นพนาศต้องการพิสูจน์ให้แน่ใจว่า ศรุตหมายความตามที่พูดกับหล่อนเมื่อวานจริงๆ ครั้งนี้หล่อนต้องเป็นฝ่ายตัดบท ต้องเป็นฝ่ายทำอะไรที่อาจจะเข้าข่าย “กระทบศักดิ์ศรีผู้ชาย” อย่างที่เขาเคยพูดไว้อีกเช่นกัน นพนาศใจใหญ่ กล้าได้กล้าเสียไม่แพ้ผู้ชายอยู่แล้ว หล่อนบอกกับตัวเองว่า ถ้าเขาคิดจริงจังกับหล่อน ไม่ได้พูดพล่อยๆ อย่างที่หล่อนขอมองโลกในแง่ร้ายไว้ก่อน เขาจะต้องติดต่อหรือหาทางเจอหล่อนอีกครั้ง

นพนาศไปพบน้องเจนตามนัดด้วยจิตใจล่องลอย พี่ณัฐ ชายคนที่ยังขาดคุณสมบัติพื้นฐานตามมาหลังจากนั้นอีกเกือบชั่วโมง เขาขอพบนพนาศมาหลายวันแล้ว เขาเข้ามาติดพันหล่อนตั้งแต่วันแรกที่เจอ แม้หล่อนจะรู้ตั้งแต่วันแรกว่าเขายังไม่ได้หย่าขาดจากภริยา เรื่องราววุ่นวายยังอยู่ในขั้นศาล หากไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องทรัพย์สินและสิทธิ์ในการดูแลบุตร เรื่องก็คงคาราคาซังยืดยาวไปอีกเป็นปีๆ แต่หล่อนก็อยากจะลองทำความรู้จักพี่ณัฐ ไม่มีอะไรเสียหายที่จะรู้จักคนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ยิ่งเป็นคนที่มีความรู้สึกพิเศษกับหล่อน ยิ่งน่าจะเป็นผลดีกับหล่อนเพิ่มขึ้นไปอีก พี่ณัฐเผยให้นพนาศทราบความรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของหล่อนในวันนั้น เมื่อหล่อนแทบจะหมดหวังจากศรุตแล้ว พี่ณัฐเหมือนจะหาคำตอบให้กับความเขวของนพนาศในวันนั้นได้

ไม่มีวันใดที่ความทรงจำเกี่ยวกับศรุตจะลบเลือนไปจากใจของนพนาศ แค่ความรุนแรงและจำนวนครั้งที่หล่อนพูดกับน้องเจนเกี่ยวกับเขาก็น้อยลงๆ จนเหลือติดอยู่เป็นความประทับใจที่คงไม่มีอนาคต หล่อนกล้าเสียเขา ในวันที่หล่อนมีโอกาสสานต่อ เขาก็แสดงเจตนาอย่างเปิดเผยว่าอยากคุยกับหล่อนต่อ และจะบอกให้หล่อนรู้ลึกๆ เกี่ยวกับตัวหล่อนเหมือนกับเป็นหมอดูอีกเช่นเคย

นพนาศยังดำเนินชีวิตไปตามปกติ พี่ณัฐเข้ามาในวันว่างเป็นครั้งคราว แต่ทุกครั้งหล่อนจะต้องแน่ใจว่ามีบุคคลที่สาม สี่ หรืออาจจะถึงห้า อยู่ร่วมด้วย หล่อนไม่ต้องการตกเป็นขี้ปากชาวบ้านว่า หล่อนเป็นบุคคลที่สามในชีวิตครอบครัวของใครๆ แต่หล่อนก็รู้ว่า ถึงหล่อนจะระวังตัวเช่นไร คนที่มีเจ้าของแล้วทั้งหลายก็ยังแวะเวียนเข้ามาในชีวิตหล่อน คำนินทาว่าร้ายตามมา จนหล่อนคบกับผู้หญิงไม่ได้แล้ว ถ้าผู้หญิงไม่คิดว่าหล่อนจะมาแย่งแฟนหรือสามีไป ก็คิดว่าหล่อนเป็นคู่แข่ง เว้นแต่น้องเจนเท่านั้นที่แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปพร้อมๆ กับที่นพนาศคิดว่าน้องเจนเป็นคนดีพอที่จะไว้ใจเล่าเรื่องอะไรๆ ให้ฟังทั้งหมด หล่อนไม่ชอบมีเพื่อนมาก หล่อนชอบมีเพื่อนคุณภาพ

“อยู่ใกล้ๆ นาศ ใครจะขายออก”

หล่อนได้ยินมากับตัวเองทั้งสองรูหู นพนาศมักจะพูดถึงตัวเองโดยอ้างสิ่งที่คนพูดถึงหล่อน เพื่อไม่ให้ใครมาว่าได้ว่าหล่อนคิดเข้าข้างตัวเอง

หัวค่ำวันเสาร์นพนาศและบรรดาเกย์ในแก๊งค์ตั้งใจจะไปลองชิมอาหารที่ร้านใหม่ใจกลางเมืองใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่ซึ่งไม่มีใครในแก๊งค์นึกได้ว่าจะมีร้านอาหารในบรรยากาศสบายๆ ริมน้ำเห็นวิวตึกสวย น่าจะเป็นร้านอาหารรมควันจากท่อไอเสียซะมากกว่า

หล่อนแต่งตัวเสร็จแล้ว รอเพื่อนๆ มาสมทบกันที่บ้าน จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หล่อนหยิบโทรศัพท์มาดูแล้วก็เห็น Sarute ขึ้นหรา อารามดีใจและนึกได้ว่า จิ๋ม เด็กทำงานบ้านที่เล่าเรื่องราวชายหนุ่มมากหน้าหลายตาของเธอเคยให้เคล็ดลับในการรับโทรศัพท์ว่า “พี่ต้องรอให้ดังสักสองสามกริ๊งก่อนนะคะ จะได้ไม่ดูเหมือนว่าเราร้อนรน ดีใจจนเกินงาม” แม้หล่อนจะดีใจออกนอกหน้าแต่หล่อนก็ไม่ลืมคำพูดของจิ๋ม นพนาศรอพร้อมกับตั้งสติเพื่อรับสายจากชายที่หล่อนทำท่าเหมือนตัดสัมพันธ์อย่างไม่มีเยื่อใยเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา

สองเดือน! สองเดือนเต็มๆ ! นพนาศนั่งนับวันคอย

มันมากพอที่จะทำให้คนลืมเหตุการณ์ไม่กี่ชั่วโมง แต่เมื่อมีสายเรียกเข้าจากศรุต นั่นก็แปลว่า เขาก็ไม่ได้ลืมหล่อนเช่นกัน

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (3)

หล่อนไม่ได้ใส่ใจทุกเรื่องราวที่พูดคุย ตามประสาของคนที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง คนที่ใครๆ ก็ว่าพ่อแม่ตามใจจนเหลิง

การที่มีผู้หญิงอยู่ในวงสนทนาย่อมทำให้เรื่องบางเรื่องไม่ได้กล่าวถึง แต่การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแบบที่มีเพศที่สองก็น่าสนใจไม่ใช่หรือ... ถ้าใจกว้างพอ

เรื่องดูดวง ทายลักษณะเฉพาะตัวของคนเป็นหัวข้อที่ทำให้การสนทนามีรสชาติ ดูเหมือนการที่หล่อนร่วมอยู่ในวงนั้นก็สร้างสีสันให้ค่ำคืนนั้นแม้จะเป็นการพูดถึงลักษณะของหล่อนคนเดียวเป็นส่วนใหญ่

วันนั้นหล่อนอยู่ในชุดเปลือยไหล่ผ้าชีฟองสีน้ำเงินเข้ม จับเดรปบริเวณหน้าอก ตัวกระโปรงทิ้งยาวแค่เข่าไม่รัดรูป ผ้าชนิดเดียวกันอีกสองชิ้นต่อจากใต้ฐานอกทั้งสองข้างปล่อยยาวถึงปลายกระโปรงแล้วพาดขึ้นไปเป็นรูปตัวยู เย็บอย่างประณีตที่ด้านหลังตามแบบฉบับผู้ดีอังกฤษ

หล่อนลองและซื้อชุดนี้เมื่อตอนบ่ายวันเดียวกันนี้เอง การจับจ่ายซื้อหาเสื้อผ้าสิ่งของไม่เคยเป็นปัญหากับหล่อน หล่อนรู้ว่าหล่อนชอบอะไรและตัดสินใจได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาเปรียบเทียบหรือรอดูว่าอาจจะมีที่ถูกใจกว่า หล่อนถือว่าหล่อนซื้อเมื่อหล่อนพอใจและพยายามจะไม่ไปถามราคาหากของที่หล่อนซื้อมีวางจำหน่ายที่อื่น หล่อนให้เหตุผลกับตัวเองว่า มันมีแต่เจ๊งกับเจ๊า แล้วจะไปเสาะหาให้รู้สึกเหมือนถูกหลอกไปทำไม ข้อนี้นี่เองที่หล่อนไม่เหมือนแม่

แม้บางครั้งเสื้อผ้าบางชุดอาจจะดูงั้นๆ ไม่ได้ชอบนัก แต่หล่อนก็จะลองเพราะไม่แน่ว่าใส่แล้วอาจจะสวย เหมาะกับหล่อนมากกว่าชุดที่หล่อนถูกใจซะอีก

คล้ายจะเหมือนกับวิธีดำเนินชีวิตและการเลือกคู่ของหล่อนนั่นแหละ

หล่อนยินดีที่จะเสี่ยง ยินดีที่จะลอง ยินดีที่จะคบเพื่อให้ “รู้” มากพอที่จะตัดสินใจ แม้กระทั่งสามีคนที่สร้างสุขและทุกข์สุดขั้วคนนั้น หล่อนก็ยังไม่มั่นใจพอที่จะย้ายชื่อเข้าไปอยู่ในทะเบียนบ้าน พอที่จะจดทะเบียนสมรส และพอที่จะยอมมีลูกกับชายที่ยังคงอยู่ในใจลึกๆ ของหล่อนคนนั้น

นพนาศมีแฟนมาหลายคนจนพ่อแม่นับไม่ไหว นี่เฉพาะคนที่พ่อแม่หล่อนรู้นะ ช่างแตกต่างจากน้องสาวของหล่อนที่ไม่เคยมีแฟนเลยแม้จะอายุย่างเข้าเลขสาม ครอบครัวของหล่อนจะเรียกว่าเป็นครอบครัวสุดขั้วก็คงไม่ผิด แล้วหล่อนก็ได้รับความสุดขั้วมาจากทั้งพ่อและแม่ บางครั้งหล่อนก็แปลกใจตัวเองที่ความแตกต่างหลากหลาย รวมทั้งสิ่งที่พี่นักแสดงคนหนึ่งบอกว่าหล่อนน่ะเป็น “คนประหลาด” และก็ชอบคบกับคนประหลาดด้วย

เขาผู้อยู่ในความคิดคำนึงของหล่อน ทำตัวประหนึ่งเป็นหมอดู ทั้งที่เขาได้คุยกับหล่อนไม่กี่คำ แต่เขาก็พูดถึงลักษณะนิสัยและความเป็นตัวตนของหล่อนได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน หล่อนงงแน่นอนเพราะเขาพูดเหมือนอ่านใจหล่อนออก พูดดั่งมีญาน มีของ มีองค์ สุดแต่ใครจะเรียก หล่อนเริ่มสงสัย อยากได้ใคร่รู้ ทำไมเขาถึงได้พูดเหมือนใจหล่อนขนาดนั้น

เขาพูดทั้งลักษณะของชายที่เหมาะกับหล่อน ต้องเป็นคนพูดน้อยและอดทนสูง และเรื่องที่หล่อนยังเป็นคนประเภทที่ทำอะไรบางอย่างที่ผู้ชายจะรับได้ยาก เพราะผู้ชายก็มีศักดิ์ศรี หล่อนจะปฏิบัติต่อคนที่หล่อนรักแบบแปลกๆ ซึ่งดูเหมือนเขาเองก็จะไม่เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการกระทำนั้นๆ แต่เมื่อหล่อนรักใครก็จะรักจริง รักอย่างไม่มีเงื่อนไข นั่นคงเป็นข้อดีที่สามารถกลบข้อเสียทุกข้อของคนจำพวกเดียวกับนพนาศได้ทั้งหมด

ในความทรงจำของหล่อน เขาวิเคราห์ว่าหล่อนเป็นผู้หญิงที่เที่ยวกลางคืนแต่ก็ไม่ได้แปลว่าหล่อนเป็นคนเหลวแหลก แล้วหล่อนก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะไปนอนกับใครแบบที่ไม่สนใจว่าเป็นใครมาจากไหนก็ได้ ขอให้เป็นผู้ชายเป็นพอ พร้อมกับเปรียบเทียบเสร็จสรรพว่าหล่อนไม่เหมือนสาวไฮโซที่เป็นแฟนกับหนุ่มนักแสดงเด็กว่าเป็นสิบปี หล่อนยังนึกถึงเสียงบอกเล่าเกี่ยวกับสาวคนนั้นว่าเธอมีความต้องการทางเพศสูงมากและดูเหมือนวิธีที่จะปลดเปลื้องความอยากนั้นคงไม่พ้นการมีอะไรกับผู้ชายต่างวัย ไอ้ครั้นจะไปมีอะไรกับชายวัยเดียวกับเธอ คงต้องรอให้ชายรุ่นใหญ่กินยาเพิ่มความสามารถทางเพศก่อนมีกิจกรรมอย่างน้อยสองชั่วโมงกระมัง

การที่หล่อนเป็นหม้ายดูจะแสดงว่าหล่อนเป็นคนปกติ ผู้ที่อายุล่วงเลยวัยรุ่นมาเป็นสิบๆ ปีแต่ไม่เคยแต่งงาน ต้องมีอะไรผิดปกติซักอย่าง หล่อนจำได้ว่า หล่อนแย้งทันที "ผู้ชายที่ไม่แต่งงานแต่ก็ใช้ชีวิตแบบคนแต่งงานมีถมเถ"
"มันไม่เหมือนกัน คนที่ไม่แต่งงานไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ต้องมีอะไรผิดปกติสักอย่าง" เขายืนยัน

หล่อนทบทวนเหตุการณ์และสรุปได้ว่า บทสนทนาในวันนั้น มักจะเป็นเรื่องที่เขาพูดกับชายสูงวัย ชายที่เมื่อวันก่อนนั่งดื่มกับหล่อนต่อหลังจากเจ้านายของหล่อนพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “ไม่ทันหล่อนหรอก” แล้วก็น่าจะไม่ทันหล่อนจริงๆ ทั้งวันนั้นและวันสำคัญในความทรงจำของหล่อน "เขา"คนที่สร้างความรู้สึกวาบหวามในใจหล่อนคุยกับชายผู้นั้น แต่หล่อนว่า อันที่จริงแล้ว

เขาตั้งใจคุยกับหล่อนต่างหาก!

หล่อนก็เหมือนเขานั่นแหละ มีคราวนึงที่ “ชายที่ไม่ทันหล่อน” แสดงความกังวล แสดงให้รู้ว่าเขาอยากแต่งงานแต่ไม่รู้จะทำยังไง หล่อนรู้สึกว่า เขาจีบใครไม่เป็น หรือไม่ก็ชอบแต่เด็กๆ สวยๆ ไม่ได้อยากได้คนเป็นคู่คิดหรอก หล่อนนึกภาพเขาเหมือนคนที่อยากรับลูกบอลได้สักลูกนึง ลูกบอลโยนมาที่เขาหลายลูก แต่เขาตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกลูกไหนดี ไม่กล้ารับ บ้างก็ทำท่ารับแต่ก็ไม่แน่ใจ วิ่งไปวิ่งมา แล้วก็รับไม่ได้สักลูกในที่สุด

หล่อนแสดงความคิดเห็นกับความกังวลของเขาว่า “นาศคิดว่า น้องเขาอาจจะชอบผู้ใหญ่ก็ได้นะคะ นาศเองยังชอบคุยกับคนที่อายุสี่สิบห้าสิบเลย” ในตอนนั้นนพนาศไม่ได้คิดหรอกว่า นั่นเป็นการส่งสารให้ศรุตคนที่หล่อนถูกใจ แต่เมื่อคิดอีกที มันก็เป็นการแสดงให้รู้ว่า หล่อนชอบคนที่อายุมากกว่า

แล้วศรุตก็มีคุณสมบัตินั้น!

เมื่ออรรคชาติ ชายผู้ไม่เคยแต่งงานขอตัวไปเข้าห้องน้ำ หล่อนเล่าให้ศรุตฟังเรื่องวันก่อนที่หล่อนดื่มกับอรรคชาติผู้ช่างกังวลว่า “วันก่อนพี่ชาติชวนนาศไปนั่งดื่มที่ห้องพี่เค้า นาศว่าพี่เค้าคงจะเจอแต่ผู้หญิงอีกระดับนะคะ”

ศรุตทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ด้วยรู้สึกว่า เขามีคู่แข่งโดยไม่ได้คาดคิดมาก่อน สักพักหล่อนขอตัวไปเข้าห้องน้ำบ้าง ศรุตหยุดคุยต่อทันที แถมย้ำว่าเป็นเรื่องสำคัญ จะรอจนกว่าหล่อนจะกลับมาร่วมวงสนทนา หล่อนเดินไปอย่างงงๆ เมื่อเดินกลับมาก็เห็นว่า บทสนทนาหยุดอยู่แค่นั้นจริงๆ ดูท่าความคิดของหล่อนจะจริงแน่ๆ ไม่ใช่คิดเข้าข้างตัวเองหรอกว่า ศรุตตั้งใจบอกเล่าความคิดให้หล่อนฟังแต่ทำเหมือนพูดเรื่องของพี่ชาตินั่นเอง

“คนอายุขนาดผมจะแต่งงานก็คงจะเป็นคนสุดท้ายเหมือนๆ กับคุณ แต่งงานเพื่อจะได้มีคู่คิด ต้องดูผู้หญิงอายุสามสิบห้าขึ้นไปถึงจะคุยกันรู้เรื่อง ผมเองเมื่อเลิกกับแป๊ดภรรยาเก่า แต่เราก็ไปเที่ยวกันพร้อมกับลูกๆ เพียงแต่ผมกับแป๊ดอยู่กันคนละห้อง” ศรุตเล่าต่ออย่างยืดยาวถึงเรื่องส่วนตัว เล่าอย่างลึกแบบที่หล่อนไม่คิดว่าผู้(ยิ่ง)ใหญ่ในวงการอย่างเขาจะพูดเรื่องลึกๆ กับคนที่เรียกได้ว่าแปลกหน้าฟัง

“ผมมีอะไรก็ปรึกษาแป๊ด แม้แต่คนที่ผมคบอยู่ เราคบกันมาสามสี่ปีแล้ว เธอเป็นนักวิจัย ผมคิดว่า ถ้าผมจะแต่งงานก็คงจะแต่งกับคนนี้เนี่ยแหละ แต่รอให้เธออายุครบสามสิบก่อน ผมคิดอยู่สามวันกว่าจะพาเธอไปพบแป๊ด แล้วแป๊ดก็ว่า เธออยู่กับผมได้…แต่ตอนนี้ เธอคุยเรื่องแต่งงานอยู่เรื่อย ผม…” เขากล่าวเหมือนถอนหายใจ ก้มหน้าเหมือนพูดกับตัวเองแต่นาศก็ได้ยิน

“แสดงว่าเขาเริ่มกลัว แล้วพี่บอกเค้ารึเปล่าว่าถ้าจะแต่งก็คงแต่งกับเค้า” วิญญาณนักซักของนาศแสดงตนเช่นเคย
“บอก” เขาตอบพร้อมก้มหน้าเหมือนเดิม
หล่อนแสดงความคิดเห็นว่า “จริงๆ แล้ว คนเป็นนักวิจัยไม่น่ายอม…” หล่อนพูดอย่างนั้นเพราะก่อนหน้านี้ เขาก็เล่าให้หล่อนฟังอีกเช่นกันว่า “ผู้ชายยังไงก็มีเผลอไปบ้าง ผมน่ะมีเจ็ดคน แต่บางคนอยู่ด้วยแล้วโชคดี ถ้าเจอคนที่ถูกใจเดี๋ยวคนอื่นๆ ก็หายๆ ไปเอง”
“จริงๆ แล้วผู้ชายเจ้าชู้คือผู้ชายที่อินซีเคียว” นาศอาศัยตำรับตำราจิตวิทยาที่หล่อนชอบอ่านมาวิเคราะห์พฤติกรรมเจ้าชู้ของผู้ชาย
เขาพยักหน้า
หล่อนถามต่อ “ถ้าคุณแป๊ดบอกว่า อยู่ด้วยกันไม่ได้ แล้วพี่รุตจะว่าไงคะ”
“ผมก็ไม่แต่ง เพราะเค้ารู้ดีที่สุดว่าใครจะอยู่กับผมได้” ศรุตพูดอย่างมั่นใจว่าแป๊ดคือที่ปรึกษาที่ดีที่สุดทั้งเรื่องนี้และหลายๆ เรื่อง

คุยไปสักพัก ศรุตก็พูดขึ้นมาลอยๆ ว่า “...ถามคำถามที่ไม่เคยมีใครถาม แต่ก็ตอบได้หมดนะ” ประโยคนั้นทำให้นาศนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเขา เรื่องที่ว่า หล่อนเป็นคนขี้เบื่อและถ้าใครตอบคำถามของหล่อนไม่ได้ หล่อนก็จะเลิกสนใจคนๆ นั้น

แล้วทั้งสามก็ไม่ได้คุยอะไรต่อ นอกจากพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เรื่องของคนโน้นคนนี้ บางครั้งพอหล่อนพูดอะไร ชาติเหมือนตามไม่ค่อยทัน หรือไม่ก็หล่อนพูดไม่รู้เรื่อง ศรุตก็ต้องอธิบายอย่างยืดยาวอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าชาติก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี คงจะเหมือนลักษณะการพูดของเขาที่ช้าๆ เนิบๆ เหมือนคนใจเย็นที่ไม่เคยโกรธใครเลยในชีวิตนั่นแหละ

“ชาติเค้าก็ช้าอย่างนี้แหละ เป็นมาหลายปีแล้ว” คำพูดของศรุตทำให้นาศรู้สึกโล่งใจ แม้หล่อนจะพูดอะไรแล้วคนมักจะตีความในแง่ร้าย แต่ครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะหล่อนพูดไม่รู้เรื่องหรือพูดพล่อยตามประสาคนที่มีดาวแห่งการสื่อสารตกภพมรณะในดวงกำเนิด

ก่อนจากกันคืนนั้น ศรุตทิ้งท้ายไว้เหมือนระเบิดลูกใหญ่ “...จะเลี้ยงตลอดชีวิต..." เขาพูดเหมือนตะโกนแต่ดังคล้ายเสียงกระซิบข้างหูหล่อน แบบที่หล่อนน่าจะได้ยินคนเดียว หรือก็อีกที่ศรุตพูดกับหล่อนและอรรคชาติแต่กระทบชิ่งมาที่หล่อนอีกครั้ง

หล่อนนึกว่าศรุตจะไปส่งหล่อนที่รถ แต่เขากลับขอตัวไปเข้าห้องน้ำ หล่อนไม่อยากคิดอะไรมากกับคำพูดขึงขังคล้ายจะจริงจังจากคนที่เพิ่งรู้จัก เขาซึ่งอยู่ในวงการที่ใครๆ ก็อาจพูดอะไรแบบนี้ได้ วงการที่มีแต่ภาพมายา...เรื่องราวซุบซิบของคนนั้นคนนี้ หล่อนออกจะแสดงทัศนคติที่ชัดเจนถึงงานบางส่วนของเขา เหมือนว่าเป็นงานที่ไม่ได้สร้างสรรค์จรรโลงสังคม หล่อนรู้ว่ามันแรง แต่ก็ตบท้ายว่า "อันที่จริงในต่างประเทศก็ไม่แตกต่างอะไรจากคนไทยนักหรอก"

แม้ศรุตจะไม่ได้แสดงความเห็นหรือตอบโต้ทัศนคติรุนแรงของหล่อนทันที แต่เขาก็ไม่ละโอกาสที่จะแสดงความห่วงใย เพราะคำพูดแรงๆ อาจทำให้หล่อนเดือดร้อน สายตาที่นพนาศมองทอดไปที่เขาดูเหมือนจะมองออกว่า เขาพูดด้วยความเป็นห่วงจริงๆ และนั่นก็เป็นอีกครั้งที่ศรุตทำให้นาศประทับใจ ศรุตถอดแว่นตาเผยให้เห็นดวงตาเล็กที่เหนื่อยล้า หล่อนคิดว่านั่นไม่ได้เป็นดวงตาหยาดเยิ้มของคนเจ้าชู้ หรอก

ณ เวลานั้น นาศยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ศรุตพูดมันเป็นสิ่งที่เขาได้คิด เหมือนมองย้อนเห็นภาพสะท้อนของตัวเองสมัยรุ่นหนุ่มที่ทั้งแรงและไม่กลัวใครเช่นกัน อาจจะแรงกว่าหล่อนด้วยซ้ำไป

นพนาศขับรถออกจากโรงแรม แม้จะเป็นเวลาตีสองกว่าแล้ว แต่หล่อนก็ยังแวะไปที่ร้านประจำ กะว่าจะวนๆ ดูเผื่อร้านยังเปิด และคนที่อยู่ในใจหล่อนมาสองปีเต็มจะยังอยู่หรือไม่…เขายังอยู่ แค่นี้ก็ทำให้หัวใจหล่อนพองโตแล้ว หล่อนนั่งอยู่ไม่นาน ชายผอม สูง ขาวคนนั้นก็แวะมาทักทาย

แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หล่อนรีบออกมานอกร้าน รับสาย

ศรุตโทรมา

เขาถึงบ้านแล้ว ถามว่าบ้านหล่อนอยู่แถวไหน
“พหลโยธินค่ะ”
"ถ้างั้นก็คงแถวๆ สนามเป้า" ศรุตเดาแบบถามนำ
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นละคะ” หล่อนยังขี้สงสัยเหมือนเดิม
“ก็ถ้าเป็นแถบดอนเมือง ก็คงไม่บอกว่าพหลโยธินละมั้ง”

เขาฉลาดมีไหวพริบ... หล่อนคิด ก็แน่ล่ะ มันเป็นส่วนหนึ่งของทักษะที่ต้องใช้ในอาชีพการงานของเขานี่นา แล้วหล่อนก็ตัดบทง่ายๆ “แล้วเจอกันพรุ่งนี้ที่งานนะคะ สวัสดีค่ะ”

นพนาศบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ของเขาทันที นามบัตรของคนใหญ่คนโตไม่มีหมายเลขโทรศัพท์มือถือหรอก เขาได้เบอร์มือถือของหล่อนตามที่ระบุในนามบัตรเพราะตำแหน่งหน้าที่ของหล่อนในงานเฉพาะกิจครั้งนี้ ถ้าไม่ติดต่อผ่านมือถือก็คงทำงานไม่ได้ แต่นพนาศก็เลือกนะ เลือกที่จะไม่ให้นามบัตรส่วนตัวของหล่อน อย่างน้อย เขาคงต้องทำการบ้านสักนิด หากเขาสนใจหล่อนจริงๆ หล่อนมั่นใจเช่นนั้น เหตุผลนะเหรอ ก็เขาเปรยให้หล่อนได้ยินว่า "ถ้าอยากรู้เรื่องของใครก็ไปถามคนรอบข้าง" หล่อนอยากรู้อยู่เหมือนกัน...เขาจะถามนายของหล่อนมั้ย เพราะดูจะเป็นคนเดียวที่รู้ว่าหล่อนทำอะไร

สิ่งที่เข้ามากระทบ เรื่องทำให้หล่อนรู้สึกวุ่นวาย ทั้งชายผอม สูง ขาว ผู้ที่มีเพื่อนให้ความเห็นว่าเป็นคน "เอาดีเข้าตัว" คนนั้น ยังนายของเธอ หนุ่มใหญ่ที่คุณสมบัติพื้นฐานยังไม่ครบนั่นล่ะ ชายที่เป็นเด็กกว่าหล่อนแต่ก็ไม่อาจทำให้หล่อนมองข้ามหลักการดั่งหินผา “ผมจะทำให้ทุกชีวิตที่อยู่รอบตัวมีความสุข ถ้าผมเลือกให้เข้ามาอยู่ในชีวิตแล้ว” แล้วยังชายต่างชาติที่บอกหล่อนว่า "เขายังไม่ดีพอสำหรับหล่อน แม้เขาจะคิดถึงหล่อนทุกนาที" แล้วยัง ศรุต ชายคนล่าสุดที่ดูจะมาแรงกว่าใครๆ

นพนาศยังไม่จำเป็นต้องเลือก แต่เวลาของหล่อนก็เหลือน้อยลงไปทุกที หากหล่อนยังคิดที่จะมีลูก ซึ่งหล่อนก็คิด แม้จะยังหวั่นใจไม่หาย หล่อนจะหาภาระมาทำให้หนักทำไม ถ้าจะต้องอยู่คนเดียวจริงๆ หล่อนก็อยู่ได้ ถ้าต้องอยู่เป็นคู่ หล่อนต้องรักเค้า หล่อนลองแล้วและก็ไม่สามารถอยู่กับคนที่รักหล่อนได้ นพนาศเลือกเหตุผลไม่ได้

“รักด้วยหัวใจ ตัดสินใจด้วยสมอง”

นั่นคือสิ่งที่นพนาศยึดถือ แล้วจะมีใครผ่านด่านนี้มาได้ล่ะ หรือเขาคนนั้น...ศรุต...คนที่รักในสิ่งเดียวกันกับหล่อน สิ่งที่ลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนคืนยากแต่เขาก็ยังเลือกทำเพราะใจรัก หล่อนสืบประวัติของเขาจากอินเตอร์เน็ต มันไม่ยากอะไรหรอกเพราะศรุตเป็นคนดัง เป็นเจ้าพ่อในวงการ เขายืนอยู่ในที่แจ้ง ศรุตต่างหากที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหล่อนเลย หล่อนรอดูอยู่ว่าเขาจะมีข้อมูลเกี่ยวกับตัวหล่อนมากน้อยเพียงใด นพนาศเป็นแค่ผู้หญิงที่เพิ่งเข้ามาทำธุรกิจประเภทนี้หลังจากที่ทำโน่นทำนี่ ตุปัดตุเป๋ไปมาอย่างที่ใครๆ ว่า และเขาจะหาข้อมูลของหล่อนจากที่ไหนล่ะ เขาจะเป็นคนประหลาด เหมือนเป็นเชอร์ล็อคโฮมอย่างที่หลายๆ คนเปรียบหล่อนว่าสำรวจตรวจตรา ซักไซ้ ไต่ถามทุกสิ่งอันอย่างนักสืบในนวนิยายเรื่องดังคนนั้นรึเปล่า

ในใจของนพนาศมีแต่สารพัดคำถามที่รอคำตอบอย่างร้อนรน แต่หล่อนก็รู้ตัวดีว่า ถ้าอยากได้ในสิ่งที่ต้องการและเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นสิ่งที่ต้องการจริงๆ หล่อนต้องอดทน ต้องรอเวลา วั

วันพรุ่งนี้...หล่อนนึกเอาไว้แล้วว่าจะทำอย่างไร

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (2)

คนใหญ่คนโตมักเป็นผู้ชาย…

ที่จริงมันก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว การที่หล่อนเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เหลืออยู่ในวงสนทนา หล่อนหวาดหวั่นหรือไม่... คงจะไม่ หรือหล่อนก็เป็นหญิงแกร่งที่ใจดีสู้เสือ

คนส่วนใหญ่มักเปรียบผู้ยิ่งใหญ่ว่าเป็นผู้ที่อยู่บนหลังเสือ เสือที่ผู้เป็นใหญ่ต้องควบและอยู่บนหลังเสือให้นานที่สุด เพราะเมื่อต้องลงจากหลังเสือแล้วอาจถูกรุมทึ้ง เมื่อหมดอำนาจวาสนา เพื่อนฝูงมิตรสหายที่เคยห้อมล้อมก็คงจะเหลือแต่เพื่อนแท้ที่เป็นมิตรยามยาก

อาจเป็นเพราะหล่อนมองอะไรไม่เหมือนคนอื่น หล่อนพอใจที่จะอยู่ในที่ต่ำ เงยหน้าขึ้นมองผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย แล้วเรียนรู้

หนังสือที่หล่อนอ่านสมัยเด็ก หนังสือที่ไม่น่าจะมีใครอ่านเพื่อให้ได้ข้อคิด แต่หนังสือการ์ตูนเล่มหนึ่งสอนให้หล่อนรู้ว่า เมื่ออยู่ในที่สูงแล้ว การแยกผู้สวมหน้ากากจากผู้ที่มีจิตใจดีโดยสันดานเป็นเรื่องยาก ผู้ที่ใส่หน้ากากมักจะถอดหน้ากากแสดงสันดานเดิมเมื่ออยู่กับผู้ที่ด้อยกว่า

หนังสือเล่มเดียวกันยังหล่อหลอมให้หล่อนมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำอะไรสักอย่างที่หล่อนรัก แม้จะต้องแลกมาด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง…ยากที่คนทั่วไปจะยอมสละ หนังสือไม่ว่าเล่มใดย่อมให้ข้อคิด เฉกเช่นเดียวกับการเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากคนทั่วไป ประสบการณ์ที่ไม่ต้องประสบด้วยตัวเอง ใครใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ของคนอื่นได้มากก็ไม่ต้องเจ็บตัวมาก ผ่านบันไดชีวิตแต่ละขั้นได้อย่างสบาย

หล่อนคงเลือกแล้วที่จะมองอะไรๆ จากที่ต่ำพร้อมๆ กับทำอะไรที่ใจรัก แต่มันก็ไม่ได้เป็นการตัดสินใจสำเร็จรูปที่เกิดขึ้นตั้นแต่หล่อนยังเด็ก แนววิถีปฏิบัติของคนในสังคมที่หล่อนอยู่ ไม่ได้เป็นอย่างหนังสือที่หล่อนอ่าน หลายคนบอกว่า หล่อนอยู่ในโลกของความฝัน บ้างก็ว่า สิ่งที่หล่อนปรารถนาเหมือนละครช่องเจ็ด หล่อนอาจจะพร้อมกว่าคนอื่นที่ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องปากท้อง ถ้าคนที่พร้อมอย่างหล่อนไม่ตามหาฝัน ทุ่มเททำอะไรที่ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจกลับคืนมาได้ยาก เลือกอาชีพการงานที่ใช้สมองแต่กลับได้รับผลตอบแทนต่ำ เทียบไม่ได้กับการทำงานที่ใช้ความสามารถในการบิดพลิ้ว ปรับเปลี่ยนคำพูดการกระทำโดยไม่คำนึงถึงความถูกผิด หล่อนรับไม่ได้จริงๆ หล่อนได้เคยลองแล้ว แต่มันขัดกับความเป็นตัวตน ตัวตนที่ถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่เด็กๆ...เด็กที่ถูกหล่อหลอมโดยคนรอบตัวผ่านการกระทำ ผ่านคำพูด และสิ่งที่ติดตัวหล่อนมาตั้งแต่เกิด ความกล้าของหล่อนทำให้เกิดความแตกต่าง มันสะท้อนออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด

แม้แต่เขาก็ยังเห็นว่า มาดของหล่อนเหมือนนางพญาที่ผู้ชายมักจะกลัว ความมั่นใจที่สูงมากจากความเห็นของนายเก่า หากจะมองในทางร้ายก็เป็นสิ่งที่ทำให้หล่อนอยู่อย่างคนธรรมดาไม่ได้ ชีวิตของหล่อนจึงลุ่มๆ ดอนๆ ในสายตาของใครๆ

แต่หล่อนก็พอใจที่จะแตกต่าง แม้จะรับรู้อยู่ว่า ความแตกต่างนี้อาจทำให้หล่อนต้องอยู่คนเดียวในที่สุด ความแตกต่างดึงดูดคนเข้าหากัน หากความแตกต่างนั้นเป็นความแตกต่างที่สุดขั้วก็ย่อมมีแรงดึงดูดมหาศาล แต่การที่คนสองคนจะอยู่ด้วยกันจำต้องปรับตัวเข้าหากัน แล้วหล่อนจะยอมสละความเป็นตัวเองเพื่อปรับตัวให้เข้ากับคู่ชีวิตของหล่อนได้หรือ

ชีวิตคู่เคยสร้างประสบการณ์สุดขั้วให้หล่อนมาแล้ว สิ่งใดตกจากที่สูงย่อมมีแรงผลักให้กระดอนขึ้นสูงเช่นกัน ชีวิตที่สวิงสวายของหล่อนเกือบทำให้หล่อนตายทั้งเป็น เมื่อผ่านทุกข์ถึงขีดสุด คลื่นทุกข์ที่มักมาเป็นระลอก ถาโถมสาดซัดประหนึ่งผู้อยู่เบื้องบนลงแส้กระหน่ำซ้ำเติมให้จบ ให้หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง

หล่อนเรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียว แต่เมื่อหล่อนอยู่คนเดียวได้อย่างมีความสุข ผู้อยู่เบื้องบนก็ทำเหมือนจะแกล้งหล่อนอีกครั้ง แม้หล่อนจะไม่ตกลงปลงใจที่จะเลือกใครสักคนหรือยอมถูกเลือกสักที คนต่างสไตล์ก็ผ่านเข้ามากระเซ้าเย้าแหย่หล่อนให้เขว เดินตุปัดตุเป๋ เศร้าสุขคละเคล้ากันไปเป็นพักๆ

เชอะ! คิดว่าหล่อนจะกลัวรึ

ไม่มีทาง

หล่อนได้รับบทเรียนครั้งใหญ่มาแล้ว เมื่อไม่ตายมันก็สร้างภูมิคุ้มกันให้หล่อนเป็นอย่างดี ใครที่รู้เรื่องราวของหล่อนอย่างละเอียด บางคนก็เหนื่อยแทน บ้างก็ “อิน” สนุกสนาน ตื่นเต้นไปกับเรื่องราวของคนที่ผ่านไปมาในชีวิตหล่อน อะไรที่รู้นิดๆ ความไม่รู้ ความลี้ลับดึงดูดคนที่รักความท้าทาย คนขี้เบื่ออย่างหล่อนดีนักล่ะ

ไม่ใช่ว่า"เขา"จะไม่รู้ เมื่อจบงานเลี้ยง การไปนั่งดริ๊งค์ต่อก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่จะแปลกก็ตรงที่หล่อนเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ไปต่อแม้นายของหล่อนจะไม่ได้ไปด้วย เหล่าสมาชิกที่นิยมน้ำสีบุษราคัมและน้ำที่คั้นจากองุ่นราคาแพงสี่ห้านายย้ายไปที่เล้าจน์ของโรงแรมเดียวกับที่จัดงานเลี้ยงนั่นเอง

หล่อนคิดอยู่เหมือนกันว่า นี่หล่อนกล้าไปรึเปล่า

ความรู้สึกนี้มาเกิดตอนที่นายของหล่อนกล่าวขอตัวเพราะติดนัดอีกที่หนึ่ง นายของหล่อนเองก็อยู่ในข่ายของคนที่ผู้อยู่เบื้องบนส่งมาก่อกวนจิตใจสาวหม้ายตั้งแต่แต่งงานยังไม่ถึงสองปีคนนี้เช่นกัน

ระยะหลังๆ มีแต่คนที่มีเจ้าของแล้ววกเวียนเข้ามาในชีวิตหล่อน ไม่ว่าจะมีลูกมีเมียแล้ว มีแฟน มีกิ๊ก มีเด็กแล้ว นายของหล่อนทำหน้าตาเหรอหราหลายครั้งจนหล่อนสังเกตเห็น ไอ้หน้าตาแปลกๆ นี้หล่อนเพิ่งเห็นในระยะหลัง หรือไม่ก็หล่อนเพิ่งสนใจมองหน้านายคนนี้ ทั้งที่หล่อนรู้จักนายมาหกเจ็ดปีแล้ว เคยติดใจกับคำสารภาพรักในวันวาเลนไทน์พร้อมกับขโมยหอมแก้มหล่อน แต่ด้วยความสุภาพและการวางตัวที่เหมาะสมตลอดมา การตัดสินว่าสิ่งที่นายพูด ณ วันนั้น เป็นเรื่องชู้สาว เป็นสิ่งที่หล่อนกังขา แต่ก็ยังคงติดอยู่ในใจ

หล่อนนึกย้อนไปถึงคำพูดของนาย ตอนที่ร่ำลากันเมื่อวันก่อน เหลือแต่หล่อนกับชายสูงวัยที่เกี่ยวข้องกันด้วยหน้าที่เฉพาะกิจ นายพูดด้วยความมั่นใจความหมายโดยนัยว่า "เขาคิดจะงาบหล่อน แต่อย่าหวังเลย ไม่ทันหล่อนหรอก" แล้วเขาก็จากไป

บทสนทนาที่ทำให้หล่อนคิดถึง"เขา"อีกคน เขาที่ผิวคล้ำ สวมแว่นตา รูปร่างออกจะผอมบางเมื่อเทียบกับคนในวัยเดียวกันก็ได้เริ่มขึ้น

วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต


หล่อนไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษกับเขาเมื่อแรกเจอ...


แต่หล่อนก็จำภาพเมื่อพบได้แจ่มชัดโดยเฉพาะสีหน้าของเขาและคำพูดที่นับวันจะสะกิดใจหล่อน แวะเวียนเข้ามาหาหล่อนทุกเมื่อเชื่อวัน ระยะหลังๆ มาหลายๆ รอบ หล่อนอมยิ้มอยู่บ่อยครั้ง
การที่ได้มีใครสักคนให้คิดถึงก็ทำให้มีความสุข ทำให้วันที่ผ่านเป็นวันที่น่าจดจำ เป็นวันที่จำไว้เพื่อปลอบโยนตัวเองเมื่อถึงวันที่มีแต่สิ่งที่ควรลืม

เหมือนเขาจะทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อยตอนที่เจ้านายแนะนำให้หล่อนรู้จักกับเขา ไม่มีคำตอบ ไม่มีบทสนทนาอะไรนอกจากการไหว้และกล่าวสวัสดีตามหลักที่ผู้น้อยพึงกระทำเมื่อพบผู้ใหญ่ที่แม้แต่นายก็เรียกว่า "พี่"

หล่อนไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเขาคนนั้นประทับใจในตัวหล่อนจนวันถัดมาที่เขาเดินเข้ามาทักหล่อนว่า "สวยขึ้นนะ"

หล่อนเงยหน้ามอง ยิ้มที่มุมปากแล้วก็ทำอะไรที่ค้างอยู่ต่อไป...ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าแค่มันเป็นคำชมของผู้ชายคนหนึ่ง และก็คงผ่านไปเหมือนสายลมที่ยากจะหวนคืน

แล้ววันที่เขาถามหล่อนว่า "พ่อชื่ออะไร" ก็เป็นวันที่น่าจดจำสำหรับสาวผมบ๊อบ นัยน์ตากลมโต แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ต่างฝ่ายก้มหน้า ไม่สบตากัน

หล่อนเล่าให้คนที่อยู่ร่วมโต๊ะหลังงานเลี้ยงฟังถึงบทสนทนาระหว่างหล่อนกับน้องที่สับสนระหว่างการทำอะไรเพื่อตนเองและเพื่อส่วนรวม หล่อนพอจะเข้าใจความสับสน ความไม่เข้าใจกับบทบาทของตัวน้องคนนั้นเอง หล่อนเพิ่มมุมมองให้กับ"เธอ" อาศัยที่มีญาติสนิทประกอบอาชีพเดียวกับเธอ

เธอต้องทำเพื่อตัวเองเพื่อจะได้เป็นคนที่ทำอะไรเพื่อสังคมได้ อาชีพของน้องหลังจากที่เรียนจบจะช่วยคนได้สักกี่คน อาจเป็นร้อยหรือพัน แต่สำหรับตำแหน่งใหม่ ตำแหน่งเพื่อสังคมที่น้องคนนั้นได้รับสามารถช่วยประเทศได้มากมาย และถ้าจะมองให้ลึกลงไปกว่านั้น ถ้าเธอต้องเรียนจบช้ากว่าที่ควรไปอีกหนึ่งปี เธอกลับจะมีเพื่อนเยอะขึ้น คนที่ประสบความสำเร็จมักเป็นคนที่เรียนซ้ำชั้นเพราะได้เพื่อนด้วยซ้ำไป

และนั่นก็เป็นที่มาของคำถาม "พ่อชื่ออะไร"
และคำเยินยออีกครั้งจากชายที่ชอบใช้ลิ้นเยี่ยงสัตว์ที่กล่าวว่า "น่าจะยกตำแหน่งให้ "หล่อน" แทน "เธอ" " น่าแปลกที่หล่อนมองชายคนนี้ในแง่ร้าย แม้ว่าจะมีแต่คำพูดดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ ไม่ว่าใครที่ได้ฟังคำพูดในแง่บวกก็น่าจะยินดีและคำพูดเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่ควรทำ หล่อนคงสัมผัสได้ว่า นั่นอาจเป็นเพียงเปลือก หล่อนคงจะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ฟังมาจากความรู้สึกลึกๆ ของชายผู้นั้น หรือเป็นคำพูดเพียงเพื่อใช้งานคน

หล่อนไม่บอกเพียงชื่อพ่อ บอกที่ทำงานและตำแหน่งเพิ่มเติมไปด้วย บทสนทนาระหว่างหล่อนกับเขาจบลงแค่นั้น... เฉพาะช่วงนั้น

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ของขวัญคริสต์มาสชิ้นแรก...

ผ้าบาติก....ผ้าถุงธรรมดาที่ฉันคงไม่ซื้อมาใส่ แต่เมื่อเป็นเซอร์ไพรส์กิฟท์จากหนูน้อยผมทองที่มานั่งฟังฉันร้องเพลงที่ร้านสวรรค์ชั้นเจ็ด (Seven Heaven) มันย่อมมีความหมายและฉันคงไม่เอาไปให้ใครต่อตามลักษณะนิสัยส่วนตัวของฉัน



หนูน้อยมาพร้อมกับสาวเสื้อขาวกระโปรงยาวถึงเท้าสีชมพูบานเย็น ฉันเจอทั้งสองแว่บแรกตอนออกมาจากห้องน้ำแล้วก็มาเจออีกทีในร้าน นั่งอยู่ที่เก้าอี้คลีโอพัตรา...เก้าอี้ตัวเดียวกับที่ฉันตั้งใจนั่งในวันนี้...ตัดความรู้สึกผิดในใจ ก็ฉันอุดหนุนซื้อเก้าอี้ไปแล้วนี่นา ถ้าจะนั่งเก้าอี้ตัวสวยโดยไม่ลุกให้แขกจรรายอื่นเหมือนอย่างทุกครั้ง คงจะไม่ทำตัวแย่จนเกินไป

ฉันร้องเพลงอะไรน้า ก่อนที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับหนูน้อยผู้นี้ ใช่แล้ว! ฉันต้องร้องเพลงให้เหมาะกับแขกที่มาในวันนี้ ป้าอู๋ทำปากพูดชื่อเพลง La Isla Bonita แบบไร้เสียง โอเค แปลว่า ให้ฉันร้องเพลงนี้ต่อจากป้า ได้ๆ แม้ฉันจะไม่โปรดเพลงนี้สักเท่าไหร่ แต่มันเป็นเพลงที่ฉันดูจะร้องได้ไม่เพี้ยนมากมายนัก จบแล้วก็เป็น Yesterday Once More และ Desperado ถามนักดนตรีประจำตัวว่า ฉันร้อง Top Of The World ได้มั้ย เมื่อได้ไฟเขียว ฉันก็ร้องเพลงด้วยความเริงร่า
เมื่อตาฉันสบกับแม่ตัวน้อย คล้ายจะบอกว่า น้องหนูอยู่ที่นี่แล้วทำให้พี่ (น้า) มีความสุขมากนะจ้ะ แล้วเธอก็เริ่มวาดลวดลาย เต้นและโพสต์ท่าหน้ากล้องของนักดนตรี จบเพลง ฉันเลยถามว่า หนูอยากร้องเพลงรึเปล่า (เป็นภาษาอังกฤษละนะ ท่าทางสำเนียงจะพอฟังได้ เพราะแม่หนูเข้าใจ) เธอเดินมาหาฉันอย่างมั่นใจ รับไมค์ไปจากมือ ร้องเพลงอะไรก็สุดจะเดาได้ มี twinkle twinkle Little Star แล้วก็ Merry Christmas ฉันยังสงสัยไม่หายว่าทำไมเธอทำท่าไม่ชอบเพลง Jingle Bell เราพยายามร้องเพลงนี้อยู่หลายครั้งแต่ปฏิกิริยาของเธอคงเดิม ฉันลองร้องโดเรมีจากหนัง The Sound Of Music อย่างหวั่นใจว่า เด็กรุ่นนี้จะได้ดูหนังโปรดยุคหลายสิบปีก่อนของฉันรึเปล่า สรุปว่าเธอไม่ร้องเพลงนี้ เธอสนุกกับการเป็นนางแบบรุ่นเยาว์ให้พวกฉันได้ถ่ายรูป แล้วฉันก็ขอร้องเพลงไทยให้เธอฟังสักเพลง Eternal Love หรือ รักไม่รู้ดับ เวอร์ชั่น ฮอทเปเปอร์ เท่านั้น (ที่ฉันร้องได้)

แล้วเราก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก จนแม่และแม่หนูน้อยพร้อมจะออกไปเดินจตุจักรต่อ หนูน้อยผมทองยื่นผ้าบาติกให้ฉันบอกว่าเป็นของขวัญคริสต์มาส ฉันตาโตถลนใกล้หลุดจากเบ้า แปลกใจ เพราะไม่คาดคิด พอได้สติก็ยื่นผ้าคืนให้แม่ของเจ้าตัวน้อย แม่เธอบอกว่า ลูกสาวคนนี้ชอบซื้อของแล้วก็ให้คนอื่นเป็นของขวัญวันคริสต์มาส ฉันจึงได้สติอีกครั้ง รีบคว้ากล้องขอถ่ายรูปคู่กับคุณหนูใจดีคนที่ทำให้ฉันประทับใจเหลือหลาย คนที่ทำให้วันนี้เป็นวันที่มีความหมาย เป็นความทรงจำซาบซึ้งในความบริสุทธิ์ของเด็กที่ยังไม่ได้เจอกับความเลวร้ายของโลกใบนี้

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ทำสาว...เรื่องฉาวโฉ่

เสร็จแล้ว แปลเรียบร้อยแล้ว แต่ยังส่งต่อให้บรรณาธิการคนเก่งของฉันยังไม่ได้ เรื่องนี้ถ้าจะให้ฉันเปรียบเทียบความยากง่ายกับหนังสือของแม่ซาทราปิสองเล่มก่อนที่ฉันแปล เล่มนี้ง่ายกว่าเยอะ แต่สิ่งที่ท้าทายความสามารถของฉันก็คือ

...ใช้ถ้อยคำอย่างไรให้คนอ่านได้รับความเพลิดเพลินและเป็นคำพูดที่ดูไม่น่าเกลียดจนเกินไป...

อันนี้แหละยาก


ฉันยังนึกหน้าพ่อกับแม่ไม่ออกเลยว่า ถ้าได้อ่านผลงานลำดับที่สามของฉันแล้วจะเบิกตา อ้าปากหวอ เหมือนเมื่อคราวที่นั่งดู Sex and The City รึเปล่า


ถือว่าเป็นการโปรโมทหนังสือของตัวเองล่วงหน้าละกันเนอะ Embroideries เล่าเรื่องราวซุบซิบเรทเอ็กซ์ของบรรดาสาวๆ ทั้งสาวน้อยสาวมากที่บ้างก็เป็นเพื่อนบ้าน บางคนก็เป็นญาติสนิทบ้าง ห่างบ้าง ตั้งแต่รุ่นยายจนถึงรุ่นหลาน เพราะฉะนั้น รับประกันได้เลยว่า ได้เห็นมุมมองเรื่องใต้เตียง บนเตียงของผู้หญิงอิหร่าน ทั้งหัวสมัยใหม่ ก้าวหน้าเลยโลกพระจันทร์ หรือกระทั่งบางคนที่ไม่เคยเห็น "จงอาง" ทั้งๆ ที่ลูกโตจนเห็นอะไรๆ มากกว่าแม่ตัวเองซะอีก


ฉันว่าเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับสังคมอิหร่านได้ดีทีเดียว (เริ่มวิชาการ) จริงๆ แล้วสำหรับฉัน การเรียนรู้เกิดขึ้นทุกวินาที หากเราสังเกตเราจะ "เห็น" อะไรที่คนอื่นไม่เห็น ฉันว่าคงมีใครหลายคนอยากรู้ว่าพวกผู้หญิงที่ต้องแต่งตัวมิดชิดเกือบจะเห็นแต่ลูกตา มีอะไรเหมือนหรือแตกต่างจากชนชาติอื่นอย่างไร และอะไรที่เป็นตัวกำหนดหรือทำให้เกิดความแตกต่างนั้นๆ


ความเหมือนก็มีอยู่ เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ว่า ไม่ว่าชนชาติไหนๆ เรื่องผู้ชายผู้หญิงก็เป็นหัวข้อสนทนาเหมือนๆ กันทุกที่


เธอก็คงพอจะได้ไอเดียแล้วใช่มั้ยว่า หนังสือ "ทำสาว...เรื่องฉาวโฉ่" (ชื่อที่ฉันเพิ่งคิดได้เมื่อกี้ ต้องไปถามเหล่าประชาชนชาวกำมะหยี่ก่อนนะเธอ ว่ามันโอเครึเปล่า) คงจะมีแต่เรื่อง "โอ้โห" "อือฮือ" "ว้าย อะไรนั่น" เต็มไปหมด


ฉันจะพยายามเสกสรรถ้อยคำให้แสบสันต์ บาดลึก สะใจพวกเธอละกันนะจ้ะ


ว่าแต่คุณบอกอช่วยฉันด้วย!!

วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สารพัดหนัง...ก่อนเริ่มเวลาทำงาน

อย่าคิดว่าพอฉันบอกว่าหมดเวลาขี้เกียจแล้วจะหมดจริงนะ ไม่มีทางหรอก เวลาตั้งนาฬิกาปลุก ฉันยังตั้งไว้ล่วงหน้าก่อนเวลาตื่นจริงครึ่งชั่วโมงเลย บางทีกว่าจะตื่นจริงก็โน่น อีกสองชั่วโมงต่อมา ช่างเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างที่สุด ที่ฉันเลิกเป็นมนุษย์ออฟฟิศ ก็เพราะฉันทำงานแบบมนุษย์เช้าชามเย็นสองชามไม่ได้นะซิ พอทำก็ทำเป็นบ้าเป็นหลัง พอไม่ทำ อย่าได้คิดที่จะดึงดัน ยื้อยุด ฉุดรั้งให้ฉันทำเลย เมื่อไม่มีอารมณ์ก็แปลว่าทำยังไงก็ไม่มี

ฉันใช้ชีวิตอย่างรู้สึกผิดมาเป็นอาทิตย์ ตั้งแต่เสร็จงานนางสาวไทย แทนที่จะสานต่องานเดิมเลย ก็เอ้อระเหยลอยลม ทำโน่นทำนี่ ข้ออ้างสารพัด จนไม่รู้จะเอาอะไรมาอ้างแล้วนั่นล่ะ นอนเกือบยี่สิบชั่วโมงก็แล้ว ดูหนังทีเดียวสิบเรื่องรวดก็ทำแล้ว ร้องเพลงก็เบื่อแล้ว รีดผ้าจนไม่เหลืออะไรให้รีดแล้ว ฉันถึงได้ฤกษ์เปิดคอมเมื่อตอนเย็นย่ำใกล้เวลานกบินกลับรัง แล้วฉันก็ทำงานมาราธอนจนถึงตีสองเนี่ยแหละ เวลาที่ใครๆ ก็ต้องออกเที่ยวเพราะเป็นเย็นวันศุกร์ กลับเป็นเวลาที่ฉันได้เริ่มทำงาน เพราะไม่อยากดูหนังแล้วนั่นแหละ ฉันดูตั้งแต่ Penelope เปิดเป็นเพิ่อนก่อนนอนแล้วเครื่องก็เล่นแผ่นดีวีดีย้อนไปมาเป็นสิบรอบจนตื่นแล้วก็ดูต่อจนจบเรื่อง จากนั้นฉันก็ปัดฝุ่นหยิบ Dr. Dolittle มาดูหอยสีชมพูที่ตอนเด็กๆ ฉันร้องหากันจนพ่อรำคาญ


Dr. Dolittle ดอกเตอร์ทำน่อยๆ มีเพลงสอนเด็กๆ ให้ทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ด้วย เออ เข้ากับชื่อหนังดีจัง อีตา Rex Harrison ก็คือคนเดียวกับ Professor ใน My Fair Lady หนังโปรดตลอดกาลหนึ่งในสองเรื่อง
(เพราะตอนเด็กๆ พ่อซื้อวิดีโอมาให้ดูแค่สอง เรื่อง ไม่โปรดก็ไม่รู้จะทำไง) แล้วพระเอกสอง เรื่องก็เหมือนกัน คือ ทึ่ม ทึ้ม ทึ่ม เรื่องผู้หญิง ต้องรอให้นางเอกเข้าหาตลอด (เป็นไงล่ะ ดูแต่ หนังที่พระเอกขี้อาย ฉันเลยเจอแต่ผู้ชายที่ถ้าเหล้าไม่เข้าปากละก็ไม่กล้าพูดกับฉันหรอก ฉันเลยพูดเป็นต่อยหอยอยู่คนเดียวประจำ) แล้วฟางเส้นสุดท้ายก็คือ Mary Poppins จริงๆ แล้ว ฉันไม่เคยดูหนังเรื่องนี้มาก่อนหรอกนะ แต่ในเมื่อหนึ่งในสองเรื่องในดวงใจตลอดกาลของฉันคือ The Sound of Music ฉันจะละเลยเรื่องที่จูลี่ แอนดรูว์ได้ตุ๊กตาทองไปได้อย่างไร ดูแล้วก็เข้าไม่ถึงครับท่าน นั่นเอง เพราะ Mary Poppins ฉันถึงได้กลับมาเริ่มทำงาน

แต่ยังไงก็ขอพูดถึงเรื่องที่ฉันดูและประทับใจเมื่อคืนก่อนหน่อยนะ เรื่องนี้ถูกต้องตามสูตรของฉันเลย คือ ครบเครื่อง ได้ทั้งอารมณ์และเหตุผล ชวนติดตาม พอตามแล้วก็พบและฉุกคิดเรื่องที่ไม่ได้คาดไว้ก่อน แล้วก็เข้าตัวยังไงพิกล (ว่าแล้วก็ไม่อยากอธิบายเล้ย เดี๋ยวจะโดนหมั่นไส้อีก) แต่ก็เอาเถอะ ได้อย่างเสียอย่าง เนอะ


Malena เธอผู้ที่ใครๆ ถือว่าเป็นแม่ม่ายย้ายมาอยู่อีกเมืองหนึ่ง วันนั้นเธอใส่ชุดเข้ารูปสีครีมประดับด้วยผ้ากุ้นสีดำคล้ายโบว์บริเวณอกเสื้อและกุ้นที่ตามขอบเสื้อ กระโปรงสีครีมเข้ารูปยาวแค่เข่า เผยให้เห็นรูปร่างน่าฟัดของเธอ (หนังพยายามเสนออย่างนั้นน่ะ) หนุ่มรุ่นสี่ห้าคนขี่จักรยานอยู่ริมทะเล เห็นเธอเดิน เหลียวหลังกันเป็นแถว ขี่จักรยานตามเพื่อยลโฉมและหุ่นของเธอทุกเมื่อเชื่อวัน เมื่อใดที่เดินผ่านจตุรัสของเมือง ผู้ชายทุกคนมองตาม เหลียวหลังจนคอเคล็ดตามกันไป เธอคือหญิงที่ผู้ชายทุกคนในเมืองนั้นหมายปอง หนังพาเราให้เห็นความเป็นไปของผู้หญิงคนนี้ผ่านสายตาของหน่มน้อยที่เพิ่งหัดเล่นว่าวในห้องนอนจนต้องไปซื้อน้ำมันมาหยอดสปริงใต้เตียงเพื่อลดเสียงอันเกิดจากการเด้งดึ๋งขึ้นลงของเตียงตามจังหวะการใช้งานของเด็กหนุ่ม

สาวไปไหน หนุ่มน้อยติดตาม ตามติด

ขึ้นต้นไม้ เจาะรูที่กำแพงบ้านสาว เคลิบเคลิ้มกับอิริยาบถ ท่วงท่ายามเยื้องย่างในชุดสลิปสีดำคลิปลูกไม้ บางคราวที่หล่อนลุกขึ้นและก้มตัว สายเสื้อสลิปตัวยาวเหนือเข่าหลุดจากไหล่เผยให้เห็นเนินเนื้อ อีกคราที่เจ้าหล่อนโก่งโค้งตัวไปมาตามจังหวะเพลง แสงสาดส่องทะลุผ่านต้นขาเห็นจุดปลายที่ต้นขามาบรรจบ ทำให้เด็กหนุ่มตาลุกวาวเป็นครั้งครา เพื่อสร้างภาพของหล่อนยามที่หนุ่มน้อยกลับไปอยู่ที่บ้านตัวเอง เขาก็ฮัมเสียงเพลงที่ได้ยินจากบ้านเจ้าหล่อนจนคนขายรู้ว่าเป็นเพลงไหน แล้วแผ่นเสียงเพลงนั้นก็ถูกเข็มแทงทั้งคืน






ยิ่งผู้ชายในเมืองหลงใหลในรูปร่าง หน้าตาของสาว แม้ไม่เคยได้พูดจานางนี้ ความอิจฉาริษยาก็เพิ่มพูนในหมู่สตรีในเมือง โดยเฉพาะบรรดาภรรยาถุงกาแฟโทงเทงทั้งหลาย พร้อมๆ กับข่าวลือว่าเจ้าหล่อนคั่วกับหนุ่มรายนั้นรายนี้

จนในที่สุด

มีบัตรสนเท่ห์ไปถึงพ่อของนางที่เป็นอาจารย์ว่า เจ้าหล่อนมีอะไรกับผู้ชายทั้งเมือง

จริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ แต่พ่อขอลาออก เพราะทนข่าวลือไม่ไหว

อาจมีเพียงเจ้าหนุ่มน้อยผู้คอยสอดส่องผู้เดียวที่รู้ว่า ใครไป ใครมา ใครมีอะไร ไม่มีอะไรกับหล่อนบ้าง บางครั้งหนุ่มน้อยก็ให้อภัย เพราะเธอต้องมีอะไรกับบางคนเพื่อการยังชีพ ไม่มีแม่ค้าคนไหนขายข้าว ขายปลาให้เธอ ใครจะนอนกับเธอก็ต่อเมื่อนำอาหารมาให้ อะไรจะขนัยหนาด

ไหนๆ ข่าวลือก็เต็มเมืองแล้ว คราวนี้เธอก็แทคทีมกับสาวอีกนาง ไปไหนมาไหนกับนายทหารเยอรมัน เป็นที่รังเกียจของสาวๆ และไม่สาวในเมืองยิ่งนัก




จบแล้วสงคราม พวกเยอรมันจากไป ได้ทีผู้หญิงทั้งเมือง ลากแม่ยั่วเมืองมาทุบตี ตบฉีก เสื้อผ้าขาดวิ่น เลือดไหลผสมน้ำตาเต็มหน้า เนื้อตัวฟกช้ำดำเขียว หน้าอกหน้าใจที่ใหญ่โต ออกจะเริ่มคล้ายถุงกาแฟ และมันไม่ได้ดูเซ็กซี่แล้วล่ะ ฉากนี้

ฉันก็ยังไม่ได้ยินเสียงพูดจากเจ้าหล่อน เหมือนๆ กับฉากอื่นๆ ที่นางเป็นผู้ประหยัดถ้อยคำ อันเป็นคุณสมบัติที่แตกต่างจากฉันอย่างสิ้นเชิง นางได้แต่สะอึกสะอื้น เสียงร้องสะท้อนความในว่า "ทำไม่ถึงทำกับฉันอย่างนี้" ผู้ชายที่บ้าเธอทั้งเมือง ทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง (อาจจะยังงงๆ และคิดว่ายุ่งไปก็ซวยเปล่า)


เธอจากเมืองนี้ไปทางรถไฟ

แล้วสามีของเธอก็กลับมา ไม่มีใครในเมืองยินดีจะเล่า หรือเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ชายที่เมียสุดจะโชคร้ายฟัง แม้แต่ตัวเขาเองก็เหมือนจะโดนลูกหลงไปด้วย ชายแขนเดียว วีรบุรุษสงคราม ไม่มีที่ซุกหัวนอน ...

แล้วหนุ่มน้อยที่ตาเป็นเรดาร์ก็ตัดสินใจเขียนจดหมายสรุปความว่า "ไม่ต้องไปใส่ใจว่าใครจะพูดถึงเมียของคุณว่าอย่างไร เธอจงรักภักดีต่อคุณคนเดียวและเธอขึ้นรถไฟไปที่เมือง..."

เขาจากไป

...

...

เขากลับมา

...

กลับมาพร้อมกับภรรยาคนสวย หุ่นดี แม้จะร่วงโรยตามวัยที่ผ่านพ้น บวกกับความชอกช้ำที่ได้รับทั้งทางกายและใจจากผู้คนในเมือง

หล่อนเดินเคียงคู่ในอ้อมแขนที่เหลือของชายผู้เป็นสามีสุดที่รัก ผ่านจตุรัส ผ่านผู้คน ผ่านสายลมที่พัดกระโปรงบานพริ้ว หล่อนเดินก้มหน้ามองพื้น เช่นเดียวกับหลายๆ ครั้งที่เดินผ่านจตุรัสแห่งนี้

คนทั้งเมืองมีแต่คำถามที่ไม่ได้เอ่ยกับคนคู่นี้

เจ้าหล่อนไปตลาด

แล้วก็มีการทักทาย

แล้วเธอก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อหาข้าวของ
แล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็จางหายไป ไม่มีใครกล่าวถึง ไม่มีใครพูดอะไร

แล้วชีวิตก็ดำเนินต่อไป...

นางเอกเรื่องนี้ ถ้าฉันจำไม่ผิด เธอเป็นเซ็กซ์สตาร์อันดับหนึ่งของโลกอยู่.... Monica Bellucci

ฉันก็ว่าแค่ดูเธอเดินก็เพลินแล้วล่ะ

วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551

หมดเวลาขี้เกียจ

รูปฉันและคุณตู่โปรดิวเซอร์ในผ้าเคียนนมจากชุมชนนาต้นจั่น จังหวัดสุโขทัย ที่ฉันภูมิใจนักหนาที่ได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานของชาวบ้านให้ทั้งคนสุโขทัยและคนไทยได้รู้จัก รวมทั้ง "ข้าวเปิป" หรือชื่อไฮโซว่า ก๋วยเตี๋ยวพระร่วง อาหารพื้นบ้านที่มีที่เดียวในโลก

หลังจากจบงานนางสาวไทย ฉันก็พักไม่แตะอะไร (ใดๆ ทั้งสิ้น) มาหลายวันอยู่



ฉันนอนแบบเอาเป็นเอาตาย ครั้งล่าสุด 18 ชั่วโมง คล้ายจะบอกตัวเองว่า ควรจะนอนให้หายอยากไปเลย และเริ่มทำอะไรๆ เสียที




เมื่อวานฉันได้ประโยคเด็ดจากหนังที่นำชีวิตของ Mr. Johnny Cash และ คุณนาย June Carter มาตีแผ่ให้พวกเราเห็นความขึ้นๆ ลงๆ ของชีวิตศิลปินชื่อดัง (น่าจะเป็นเช่นนั้น แม้ฉันจะไม่เคยได้ยินชื่อพวกนี้มาก่อน ด้วยไม่ฟังเพลงฝรั่ง ยกเว้นเพลงที่พี่ๆ น้องๆ ร้องให้ฟังในคาราโอเกะ) ประโยคนั้นล้อไปกับชื่อหนัง "Walk the line" .......คุณนาย June ด่าอีตา Cash ว่า "You can't walk no line" พอเป็นนักแปลแล้ว ฉันก็กลัวแปลผิดเหลือเกิน






Walk the line หมายถึง การปฏิบัติตนให้เหมาะสม มีชีวิตที่สมดุล แต่ฉันว่า You can't walk no line น่าจะหมายถึงว่า ถ้าไม่มีเส้นขีดให้เดิน อีตา Cash คงจะเดินไม่ได้ละมัง คงต้องมีคนคอยนำทางให้ ไม่งั้นก็จะเดินตุปัดตุเป๋อย่างที่เป็นอยู่ตลอดเรื่อง




หรือฉันเองก็คล้ายจะเป็นเช่นนั้น...




ฉันมักจะเริ่มอะไรใหม่ๆ โดยการทำความสะอาดบ้าน รีดผ้า การจัดระเบียบบ้านเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการจัดระเบียบสิ่งอื่นๆ ในชีวิต บ้านฉันยังรกไม่หายด้วยหนังสือที่นับวันมีแต่จะเพิ่มพูน ฉันก็เริ่มได้ไอเดียจากคุณนาย June อีกเหมือนกัน เธอให้ The Prophet กับอีตา Cash หลังจากเธออ่านจบ เพื่อลดน้ำหนักกระเป๋าที่ต้องหอบหิ้วเดินทางออกทัวร์คอนเสิร์ต และเป็นการแบ่งปันอาหารสมองให้ผู้อื่น ฉันนั่งนึกในใจว่า ช่างให้หนังสือเหมาะกับผู้รับเสียจริง ไอ้การที่ฉันคิดเช่นนี้ทำให้ฉันไม่สามารถระบายหนังสือออกไปได้ซะที ฉันกลัวว่าหนังสือที่ฉันให้ไป จะตกไม่อยู่กับคนที่ไม่เห็นคุณค่า พอๆ กับเสื้อผ้าเก่าๆ ของฉันที่จะตกไปถึงคนที่ใส่ไม่ได้ หรือไม่มีโอกาสเหมาะที่จะใส่ ฉันคงจะต้องเริ่มตัดใจซะบ้าง ไม่งั้นห้องของฉันคงไม่มีที่เหลือสำหรับใส่ของได้อีก พอๆ กับที่ถ้าไม่ตัดสิ่งต่างๆ ออกไปจากใจ ออกไปจากชีวิต ก็คงไม่สามารถรับอะไรใหม่ๆ เข้ามาได้อีก




ฉันมักจะนึกถึงเพื่อนคนหนึ่งที่มีความสามารถเอกอุในการตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจากชีวิต แม้กระทั่งสลิปโอนเงิน เมื่อใดที่อีกฝ่ายคอนเฟิร์มว่าได้รับเงินแล้ว สลิปใบนั้นจะต้องออกไปจากชีวิตของเขาโดยพลัน ร้อนถึงคนรับเงินที่จะต้องเช็คและยืนยันทันทีเพื่อให้ทันใจคนโอนเงิน ฉันว่า ถ้าบวกกันหารสอง คงจะได้คนปกติสองคนเป็นแน่แท้




ต้นไม้ของฉันเริ่มได้น้ำอีกครั้ง...




ช่วงที่เก็บตัวผู้เข้าประกวดนางสาวไทยที่สุโขทัยและที่โรงแรมก่อนรอบตัดสิน ฉันไม่ได้อยู่บ้านเลย นึกในใจว่าต้นไม้ของฉันต้องอึดต้องทน ไม่งั้นก็คงอยู่ด้วยกันลำบาก เฟิร์นก้านดำตายไปล่วงหน้าแล้ว ด้วยเป็นพืชที่ละเอียดอ่อน ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพราะน้ำมาก ขาดน้ำไปสองวัน หรือเพราะไอร้อนจากเครื่องปรับอากาศ แต่ก็พร้อมกันตายทั้งต้น หายไปหนึ่งอาทิตย์ ไอวี่ก็ตามไปด้วย ฉันตัดใจทิ้งทั้งกระถาง จริงๆ ก็รู้อยู่แล้วว่ามันคงอยู่กับฉันไม่นาน เพราะสภาพอากาศไม่เหมาะกับน้องไอวี่เอาเสียเลย ความหวังที่จะเลี้ยงให้เถาไอวี่ยาวจนถึงพื้นเหมือนต้นที่ฉันเลี้ยงสมัยเรียนที่เมืองหนาวมันช่างห่างไกลความจริงเสียเหลือเกิน ชวนชมแย่งกันออกดอก แต่เพลี้ยแป้งก็แย่งกันกัดกินยอดทุกยอดเช่นกัน ดอกไม่ทันบานก็เหี่ยวเพราะโดนศัตรูรุมเร้า พวกต้นไม้จิ๋วต่างๆ ในกระบะใต้ราวตากผ้า ยังรอดตายได้บ้างเป็นบางต้น ตอนนี้พืชจำพวกหัวเริ่มแตกหน่อใหม่แล้วล่ะ




ฉันควรจะรีดเสื้อทั้งเจ็ดที่แขวนอยู่ที่ตู้ข้างทีวีให้เสร็จภายในคืนนี้ จะได้เริ่มซักผ้ารอบใหม่และจัดการเรื่องผ้าๆ ให้เสร็จสิ้นซะที พร้อมๆ กับที่ฉันควรจะคัดเสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้วเพื่อบริจาค หนังสือที่ไม่ใช้แล้วอีกไม่น้อย จะได้เหลือเฉพาะหนังสือที่จะเก็บจริงๆ กับหนังสือที่ซื้อหามาสะสมแต่ยังไม่มีเวลาอ่านเสียที




นอกจากเรื่องเสื้อผ้าและหนังสือแล้ว ยังมีเรื่องเอกสาร ข้อมูลของสำนักพิมพ์ที่ฉันต้องจัดการก่อนไปเยี่ยมน้องสาวกับแม่ปลายเดือนนี้ ทีจริงแล้ว เวลาสองอาทิตย์ทำอะไรได้ตั้งมากมาย สำหรับคนที่ไม่ได้ทำงานประจำที่ตัดใจแล้วว่าจะเลิกไปที่เที่ยวประจำ รับรองว่าเวลาสองอาทิตย์สะสางได้ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว