วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (16)

กลับบ้านคืนนั้น นพนาศนอนจนถึงเย็น...

หล่อนสับสนจนไม่อยากตื่น ตื่นมาพบว่าหล่อนกำลังมีความรู้สึกพิเศษกับผู้ชายที่หล่อนเพิ่งดูดวงให้ ผู้ชายที่อายุน้อยกว่าหล่อน 9 ปี

ป้าเป้โทรมาหาเป็นครั้งที่ 2 แล้ว หล่อนจำต้องรับสาย

"ป้าขา วันนี้นาศอยากอยู่คนเดียว " น้ำเสียงหล่อนเศร้าซะจนตัวเองก็รู้สึกถึงความผิดหวังตั้งแต่ยังไม่ได้คาด ป้าเป้ดูจะเข้าใจจากเสียงของหล่อนกระมัง เพราะคืนนั้นป้าเป้ไม่ได้โทรมาหาหล่อนอีกเลย

หลังจากนอนจนไม่รู้ว่าจะนอนต่อไปได้ยังไง ความคิดสับสน พลุ่งพล่าน เรื่องนั้นเข้ามา อีกเรื่องเข้ามาแทรก แล้วหล่อนก็เริ่มทำสิ่งที่หล่อนชอบทำเป็นประจำอีกครั้งเวลาที่รู้สึกประทับใจใครๆ ...เข้าอินเตอร์เน็ต

ข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนต่างวัย...เริ่มต้นด้วยคู่เคน-หน่อย แล้วก็คำแนะนำของดร.เสรี วงศ์มณฑา...สำหรับความรักระหว่างหญิงที่อายุมากกว่าชาย

http://www.manager.co.th/lady/QandA_Health/QAQuestion.aspx?QAID=10636&BrowseID=71

***

ปัญหาของการมีแฟนต่างวัยคืออะไร

ถาม: เรียน: อาจารย์ที่เคารพ
สิ่งที่เป็นปัญหาคาหัวใจของหนูอยู่ขณะนี้ ก็คือ หนูคบกับแฟนมาได้ 1 ปีกว่าๆ เราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน แต่ไม่เคยได้รู้จักหรือพบเจอหน้ากัน ที่รู้จักกันได้เพราะมีงานประจำปีของหมู่บ้าน เขาประทับใจเพราะรู้สึกว่าท่าทางหนูเป็นคนอารมณ์ดี รักเด็ก เป็นคนร่าเริง ถ้าได้รู้จักก็จะดีมาก ซึ่งทั้งหมดหนูได้ถามเขาจากปากเขาหลังจากที่คบกันมาได้สักระยะ หนูยอมรับว่าสิ่งที่เขาเห็นคือความเป็นตัวตนของหนูจริงๆ ส่วนหนูก็ประทับใจในตัวเขาเพราะเขาเป็นคนที่มีความคิดที่ดี มองโลกในแง่ดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น แต่ปัญหาที่สำคัญคือ หนูอายุมากกว่าเขา 13 ปี ค่ะ (หนู 35/ เขา 22) ซึ่งขณะที่เราคบกันเขารับราชการทหาร ส่วนหนูกำลังเรียนปริญญาโท มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่งที่มั่นคง ซึ่งหนูไม่เคยคิดว่าจะเป็นปัญหาอะไร เพราะคนเราก็สามารถสร้างตัวเองได้ และอายุเขาก็ยังน้อย แน่นอน ทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิย่อมต่างกัน มีก็เรื่องอายุที่หนูยังแคร์สายตาคนอื่นและสังคมรอบข้างอยู่บ้าง แต่เขามีความมั่นคงและสร้างความเชื่อมั่นทำให้หนูไม่คิดกังวลเรื่องความห่างของอายุเลย

ตอบ: ยามรักกันทุกอย่างย่อมดีไปหมด ไม่มีปัญหา ดังนั้นการที่เขาอายุอ่อนกว่าหนูก็คงไม่เป็นปัญหาอะไรสำหรับหนูและตัวเขาเอง ตัวเขาก็จะไม่ใส่ใจว่าจะมีเมียแก่ ส่วนหนูก็คงไม่ใส่ใจว่าจะมีคนกล่าวหาว่ากินเด็ก ยามนี้หนูก็คงพยายามจะทำตัวเป็นคนทันสมัย ไม่ยอมแก่ เพื่อให้เข้ากับเขาที่อายุน้อยกว่าได้ ส่วนเขาเองก็คงพยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่บรรลุวุฒิภาวะ ถ้าหากความพยายามดังกล่าวนั้นทำนานๆจนกลายเป็นนิสัยที่แท้จริงในระยะยาวได้ หนูและเขาก็จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่หากความพยายามที่ทำกันอยู่ในเวลานี้เป็นความพยายามเพื่อทำคะแนนให้อีกฝ่ายหนึ่งพอใจ แต่ไม่ใช่ความสมัครใจที่แท้จริง มันจะเป็นการฝืนใจ และความพยายามดังกล่าวจะอยู่ไมได้นาน ในที่สุดทั้งหนูและเขาก็จะกลับไปเป็นตัวตนที่แท้จริง ซึ่งถ้าหากว่าต่างฝ่ายยอมรับความเป็นตัวตนที่แท้จริงของกันและกันได้ หนูและเขาก็จะอยู่ด้วยกันได้ต่อไป

อย่างไรก็ตามมีข้อเตือนใจให้หนูพิจารณาเพื่อให้ระวังอนาคตไว้บ้าง (ไม่ได้ยุให้หนูเลิกกันนะ แต่เป็นข้อเตือนใจที่ควรพิจารณา) สิ่งที่ต้องพิจารณามีดังนี้

1. ตามปรกติแล้ว ถ้าอายุเท่ากัน ผู้หญิงมักจะบรรลุวุฒิภาวะ รู้จักคิด รู้จักจัดระเบียบวินัยชีวิตได้เร็วกว่าผู้ชาย ดังนั้นเมื่อหนูเป็นผู้หญิงและอายุมากกว่าเขา หนูก็จะบรรลุวุฒิภาวะเร็วกว่าเขามาก ขณะที่หนูรู้จักการจัดระเบียบชีวิต เขาจะต้องการความสนุกโดยไม่คิดหน้าคิดหลังอยู่ ดังนั้นต้องระวังที่รูปแบบการดำเนินชีวิต เรื่องการเที่ยว การใช้เงิน มุมมอง และโลกทัศน์ของหนูและเขามีสิทธิ์ต่างกันได้

2. ผู้หญิงแก่ง่ายกว่าผู้ชายอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อหนูแก่กว่าเขาอยู่แล้ว อีกหน่อยหนูก็จะแก่กว่าเขามากกว่านี้อีกมาก


3. ผู้ชายมักจะชอบผู้หญิงที่สรีระและความงาม ในขณะที่ผู้หญิงชอบผู้ชายที่ความดีและความมั่นคง ดังนั้นเมื่อเขาอายุมากขึ้น เขาก็จะยิ่งมีความมั่นคง หนูก็จะรักเขามากขึ้น แต่เมื่อหนูแก่กว่านี้ หากหนูไม่ดูแลตัวเองให้ดี หนูจะหมดความสวย ถึงเวลานั้นหากความดีหนูไม่มากพอที่จะชดเชยความงามที่หายไป เขาอาจจะหมดรักหนูได้

4. ผู้หญิงหยุดเที่ยว หยุดสนุกเร็วกว่าผู้ชาย ดังนั้นเมื่อหนูแก่กว่าเขา หนูก็จะหยุดเที่ยว หยุดสนุกเร็วกว่าเขามาก


5. ผู้หญิงหยุดความต้องการทางเพศเร็วกว่าผู้ชาย ดังนั้นหนูจะหมดความต้องการทางเพศเร็วกว่าเขา ดังนั้นเขาอาจจะต้องหาทางระบายความต้องการทางเพศกับคนอื่นเมื่อหนูหมดความต้องการแล้ว

6. เวลาดีๆกัน เรื่องอายุจะไม่เข้ามาเป็นปัญหา แต่เมื่อทะเลาะกัน ประเด็นดังกล่าวสามารถเข้ามาเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ทะเลาะกัน (เช่นถ้าหากเขาไปติดผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า แล้วหนูบอกให้เขากลับมาหาหนูเพื่อลูก เขาอาจจะพูดว่า “ลูกบังคับทำ” เขาไม่สนใจ คำพูดเช่นนี้คือการบอกว่าเขาไม่ได้รักหนู แต่หนูรักเขา และเขาจำใจต้องมีเพศสัมพันธ์กับหนูจึงมีลูก ที่เรียกว่า “ลูกบังคับทำ”)


7. ทั้งเขาและหนูอาจจะไม่ถือเรื่องอายุเพราะหนูรักกัน แต่สำหรับผู้ชายหากเพื่อนล้อว่ามีเมียแก่บ่อยๆเข้า ก็จะแสดงตนว่าเป็นคนที่ไม่กลัวเมียที่แก่กว่าด้วยการแสดงให้เพื่อนเห็นว่าสามารถออกไปเที่ยวหาสาวๆที่อายุน้อยกว่าตนเองได้ทุกเมื่อ จะทำให้เขาออกนอกลู่นอกทาง ทั้งๆ ที่ไม่ตั้งใจ


ถาม: หนูยอมรับว่าคบคนยากเพราะหนูไม่เก่งเรื่องความรัก ถ้าคบใครก็จะขอดูๆ กันไปก่อนแต่เขากลับน้อยใจว่า เขาเต็มที่กับเราอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทำไมเราถึงยังใจแข็งอยู่กับเรื่องนี้ จนในที่สุดความใกล้ชิด การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความเอาใจใส่ของเขาที่มี หนูรู้สึกรักและเริ่มมีความคิดคล้อยตามเขาในเรื่องการสร้างชีวิตคู่ร่วมกัน เพราะเขาขอเวลาอีก 2 ปีก็จะให้พ่อขอหนูแต่งงาน เนื่องจากความจำกัดในเรื่องของอายุ เขากังวลถ้าคบกันนานไปหนูอาจมีลูกให้เขาไม่ได้ แต่หนูยังไม่คิดไกลถึงขั้นนั้น ในใจหนูก็ยังคิดว่าเร็วไปกับการตัดสินใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป จนเขาปลดจากการเป็นทหาร เขามีงานประจำทำ ซึ่งเป็นงานของพี่สาวของเพื่อน เป็นงานรับจัดสวน หนูอยากให้เขาทำงานบริษัทเพราะเห็นว่ามั่นคงดี เขามีเหตุผลที่ต้องรับฟังคือ งานนี้อิสระและมีโอกาสก้าวหน้ามากกว่า อยากสร้างฐานะของตัวเองให้ดี หนูก็ยินดีและส่งเสริมเขา

เขาทำงานได้ประมาณ 2 เดือน ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนแปลงมาก เมื่อก่อนตอนเป็นทหารอยู่กรม เขาอยากเจอ อยากคุย อยากไปรับที่ทำงาน ห่วงว่าหนูจะลำบากเวลากลับบ้านเอง แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะต้องอยู่กรม พอมีเวลาได้ออกมาอยู่ข้างนอกกลับไม่เป็นแบบเดิม เขาทำงานเลิกทุ่ม สองทุ่ม แต่คนที่เป็นฝ่ายอยากเจอ อยากคุยกลับเป็นหนูแทน เขาเริ่มค้างที่ทำงานเพราะบอกว่าไม่รู้จะรีบกลับบ้านไปทำไม กลับไปก็ไม่ได้เจอใคร หนูก็ไม่ได้เจอ แต่ไม่รู้หรอกว่าหนูอยากเจอเขาขนาดไหน เพราะหนูก็ไม่อยากเรียกร้อง กลัวว่าเขาเหนื่อยก็อยากให้กลับบ้านไปพักผ่อน ไว้โทรคุยกันแทนก็ได้

จุดนี้เองที่ทำให้ตัวหนูกลายเป็นคนงี่เง่าในสายตาเขา หนูห้ามไม่ให้เขาค้างที่ทำงาน ไม่ใช่ว่าหึงนะคะแต่บ้านก็มีอยู่ทำไมไม่คิดว่าหนูก็อยากคุยกับเขาบ้างเพราะทางกลับบ้านก็ทางเดียวกัน เขาเริ่มปิดตัว เริ่มไม่ค่อยโทรหา ถ้าหนูโทรไปกลับกลายเป็นการจับผิด จุกจิกโทรตาม หนูนิสัยไม่ดีตรงที่ต้องรู้คำตอบและต้องโทรจนกว่าเขาจะรับ จะว่าหนูแย่มากก็ได้ที่ทำตัวเหมือนคนบ้าในเวลานั้น

อยู่มาวันหนึ่ง หนูถามเขาว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ เขาเล่าให้ฟังหมดว่า สังคมที่เขาเจอเป็นสังคมที่เท่าเทียมกัน เพื่อนมีแฟนที่รุ่นราวคราวเดียวกันดูแล้วเขาเหมาะสม ไม่ต้องเร่งสร้าง เร่งทำฐานะ เขารู้สึกกดดันทั้งๆ ที่เขาเองเป็นคนที่ต้องการจะเข้ามาอยู่ในชีวิตหนูนะคะ ซึ่งหนูก็ให้โอกาส และให้กำลังใจช่วยเหลือแนะนำเขามาตลอด

ที่สำคัญที่สุดพี่สาวเพื่อนที่เป็นเจ้านายเขาได้เล่าให้เขาฟังว่า ผู้หญิงที่มีแฟนอายุน้อยจะรู้สึกภูมิใจมากกว่าผู้ชายที่มีแฟนแก่ แถมยังยกตัวอย่างน้องชายให้ฟังว่า น้องมีแฟนอายุมากกว่าโทรจิกโทรตามไปไหนก็ไม่ได้ ขาดอิสระ (พี่สาวเพื่อนที่เป็นเจ้านายอายุมากกว่าหนู 2 ปี ก็มีสามีและมีลูก 1 คน) ทุกสิ่งทุกอย่างเขาเก็บมาคิดกับหนู กลัวว่าต่อไปชีวิตเขาต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ

ผู้หญิงคนนี้ยังบอกกับเขาว่าหนูไม่สามารถทำให้ฝันของเขาประสบความสำเร็จได้ ซึ่งหนูเสียใจมากที่ให้คนอื่นมาพูดดูถูกหนู ทั้งๆ ที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้รู้จักหนูเท่าเขา และหนูก็พร้อมกว่าเขาทุกอย่างหนูก็ไม่เคยเอามาเปรียบเทียบ

หนูโมโหเลยถามเขาว่า เราจะทำแบบนั้นเพื่ออะไร เขากลับสวนมาว่าผู้หญิงคนนั้นที่เป็นเจ้านายเขาอาจเป็นคนเข้ามาเปิดใจให้รู้ว่า เขาควรจะตัดสินใจกับหนูอย่างไร และผู้หญิงคนนั้นยังบอกอีกว่า เขาพูดความจริงเขาจะดึงแฟนหนูไว้เพื่ออะไร
แฟนหนูเชื่อเขาแล้วเอาเรื่องทั้งหมดมาตัดสินโดยการ ขอคบกับหนูเป็นเพื่อน พี่สาวเท่านั้น ซึ่งคำพูดนี้ครั้งหนึ่งหนูก็เคยขอคบกับเขาแบบพี่สาวเพราะทะเลาะกันแต่ก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรแค่งอนๆ กันธรรมดา ไม่คิดว่าคำๆ นี้จะกลับมาเล่นงานหนูเอง

ยังไม่พอ ยังมีเหตุผลที่งี่เง่าที่อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เขากลัวคำพูดที่อ่อนหวาน ไพเราะของหนูจะทำให้เขาต้องตกอยู่ภายใต้คำพูดและความคิดทั้งหมดของหนูคนเดียว หนูเหนื่อยใจมากค่ะ หนูได้ชี้แจงและพิสูจน์ตัวเอง โดยการโทรไปหาผู้หญิงคนนั้น ว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้หญิงคนนั้นก็พูดว่าเขาเล่าตามที่ได้ยินมา แฟนหนูกลับคิดว่าหนูทำเพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้ความผิดถึงตัว เขายังยืนยันว่าผู้หญิงคนนั้นคือคนที่เข้ามาเปิดใจเขาให้เห็นอะไรในตัวหนูมากขึ้น

แล้วในที่สุดเราก็เลิกคบกัน หนูก็พยายามยื้อและแก้ไขปัญหาอย่างดีที่สุดแล้ว แต่เขายังมีทัศนคติกับหนูในแง่ลบตลอด หนูหมดกำลังใจจริงๆ ค่ะ แต่สิ่งที่ยังค้างอยู่ในหัวใจของหนูก็คือ ไม่คบกับหนูไม่เป็นไร แต่ทำไมต้องยัดเยียดในสิ่งที่หนูไม่ได้เป็นให้หนูเป็นผู้รับ แถมยังให้คนอื่นเข้ามามีส่วนร่วมตัดสินในตัวหนู

หนูโง่ที่ได้คบกับคนๆ นี้ หรือประสบการณ์ วุฒิภาวะ ต่างๆ ของเขาเป็นเหตุให้เขาคิดได้เท่านี้

เขาหมดใจใช่ไหมคะ หรือหนูเองที่ผิดไม่รับรักเขาตั้งแต่ทีแรก ตอนนี้หนูต้องต่อสู้กับความรู้สึกเหล่านี้มาตลอด และเฝ้าถามตัวเองว่า เราร้ายกาจขนาดนี้เลยเหรอ เราแย่ขนาดนี้เชียวหรือ อะไรคือคำตอบกันแน่คะ !!!!!

ตอบ:
1. เขายังอยากสนุก และเขารู้ว่าเขาอยู่กับหนูเขาสนุกไม่ได้

2. เขากลัวว่าหนูที่อายุมากกว่า จะมาคอยตักเตือนสั่งสอนเขาให้ต้องรำคาญใจ


3. เขากลัวว่าหนูจะตั้งกติกากับเขา ในฐานะที่หนูเป็นฝ่ายให้การสนับสนุนเขา และมีบุญคุณกับเขา

4. เขาอายเพื่อนที่มีแฟนอายุมากกว่า เขาไม่ต้องการดูแย่ในสายตาของเพื่อนๆ


5. เขาไม่มั่นใจว่าจะพาหนูออกงานไปพบกับเพื่อนๆได้ ดังนั้นหากมีงานเลี้ยง และเพื่อนคนอื่นๆ พาแฟนวัยเดียวกันไปด้วย เขาคงลำบากใจที่จะพาหนูไปด้วย เพราะกลัวเพื่อนล้อนั่นเอง

6. เขากลัวเขาจะติดค้างบุญคุณหนูจนทำให้เขารู้สึกผิดที่จะขัดใจหนู ดังนั้นเลิกกับหนูวันนี้ก่อนที่เขาจะเป็นหนี้บุญคุณหนูมากกว่านี้จะดีกว่า


7. เขาเข้ามาในชีวิตหนูครั้งแรกเพราะเขายังไม่มีโอกาสจะเจอใคร และเมื่อเข้าไปรับราชการทหารเกณฑ์ ไม่เจอใคร หนูก็เลยกลายเป็นคนเดียวที่เขาพึ่งพาได้ แต่เมื่อเขามีโอกาสมากขึ้น เขาไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาหนูสำหรับคลายเหงาอีกต่อไป เวลานี้เขามีทางเลือกแล้ว เขาย่อมเลือกสิ่งที่ทำให้เขาสบายใจและภูมิใจมากกว่า

8. เขาจะรู้สึกว่าเขาอยู่กับหนูด้วยหน้าที่ในการตอบแทนบุญคุณที่หนูสนับสนุนเขา แต่เขาอยู่กับผู้หญิงวัยเดียวกันด้วยความรัก ความพึงพอใจ เป็นความรักที่เกิดขึ้นด้วยอิสระแห่งหัวใจ แต่เขาต้องอยู่กับหนูด้วยสำนึกแห่งหน้าที่ของการเป็นคนกตัญญูที่เป็นหนี้บุญคุณที่หนูสนับสนุนเขา


9. ยามนี้เขามองแล้วว่าอนาคตของเขาไม่ได้อยู่ที่หนู เขาสามารถสร้างอนาคตที่เขาภาคภูมิใจได้จากคนอื่นในวัยเดียวกันที่สวยกว่า น่ารักกว่า พาไปไหนมาไหนได้สบายใจกว่า ดังนั้นเขาจะต้องหาทางปลีกตัวจากหนูให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้

10. เขาอยากเป็นผู้ชายที่เป็นใหญ่ในชีวิตคู่ และเขามองว่าการอยู่กับหนู เขาคิดว่าเขาไม่มีโอกาสที่จะเป็นใหญ่ เพราะอายุ เพราะบทบาทของการเป็นผู้สนับสนุนเขาที่หนูเคยทำมาในอดีต

ปล่อยเขาไปเถอะ อย่าไปยึดไว้เลย จำไว้ว่า “ความเหงาดีกว่าความทุกข์ทรมาน” เสียเขาไปวันนี้ หนูเสียใจไม่กี่วัน อีกไม่นานหนูก็ทำใจได้ และปรับตัวได้ ความเสียใจก็หมดไป เพราหนูต้องคิดว่า Life must go on แล้วหนูจะมาจมปรักอยู่กับความเสียใจที่ผู้ชายคนหนึ่งหมดรักหนูทำไม แต่หากคิดจะดึงเขาไว้ เขาอาจจะยอมอยู่เพื่อตอบแทนบุญคุณที่หนูมีให้กับเขา แต่เขาไม่รักหนูแล้ว ในที่สุดเขาก็จะแสดงความรัก ความคิดถึง ความต้องการที่อยากจะอยู่กับหญิงอื่นที่สาวกว่า หนูจะทุกข์ทรมานมาก และอยู่กันไปนานเท่าใด หนูก็จะทุกข์ทรมานเท่านั้น งานก็ทำไม่ได้ ไม่มีกำลังใจ กินข้าวก็ไม่อร่อย ดูหนังก็ไม่สนุก ไปเที่ยวที่ไหนก็ไม่สนุก หน้าตาก็ไม่สะสวยเพราะอมทุกข์ ไม่มีจิตใจที่จะดูแลตัวเอง แต่เมื่อเราปล่อยเขาไป ไม่มีอะไรที่ต้องระแวงระวังต่อไป หน้าตาเราก็จะสดใส มีสมาธิในการทำงาน มีจิตใจที่จะดูแลตัวเอง ทำอะไรก็สนุกขึ้น กินข้าวก็อร่อยขึ้น อย่าทุกข์ทรมานต่อไปเลยครับ อย่ายื้อผู้ชายที่หมดรักเรา อย่าอยู่กับความระแวงให้ใจเป็นทุกข์ อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการไม่ยอมรับความจริงว่าเรากับเขาไปด้วยกันไม่ได้ รู้ตัวเร็ว ตัดสินใจเร็วเท่าใด ก็สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานได้เร็วเท่านั้น และเมื่อปล่อยเขาไปแล้ว ต้องทำใจให้มีความสุข อย่ามีความรู้สึกเสียดาย หรืออาลัย ให้คิดถึงความทุกข์ทรมานที่เราต้องอยู่กับเขา เปรียบเทียบกับความสบายใจที่เราไม่ต้องอยู่กับความระแวงอีกต่อไป ไม่ต้องประสบปัญหากับความน้อยใจเมื่อเขาเอาหญิงอื่นที่มาที่หลังเรามาเป็นคนที่มาค่า มีความสำคัญสำหรับเขามากกว่าเราที่ได้ช่วยให้เขาได้เริ่มต้นชีวิต


รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา

ดร. เสรี วงษ์มณฑา 23 ส.ค. 50

***

นพนาศนั่งอ่านและวิเคราะห์อยู่อย่างหมดหวัง มีสายเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือ...หมายเลขไม่คุ้นเคย เสียงน่าจะคุ้นเคยแต่หล่อนก็จำไม่ได้ในวินาทีแรกที่รับสาย

คนที่ตั้งตัวไม่ติดเป็นอย่างนี้นี่เอง... บอสโทรมาชวนนพนาศไปร้านอาหารที่เขามีหุ้นอยู่ สายแรกจากบอส ทั้งๆ ที่ปกติจะเป็นสายจากป้าเป้ที่ชวนไปเที่ยว โน่น นี่ นั่น แต่พอดีวันนั้นป้าติดงานด่วน กว่าจะเสร็จก็เกือบเที่ยงคืน แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนกลางคืนกลุ่มนี้

"ป้าเป้ติดงานกว่าจะเสร็จก็เกือบเที่ยงคืน วันนี้ไปที่ร้านผมมั้ยครับ"

"เอ่อ ยังไม่ได้แต่งตัวเลย รถก็เอาไปซ่อมอยู่ ไว้รอป้าละกันค่ะ" นพนาศสรรหาเรื่องทั้งหลายที่จะปฏิเสธ ข้ออ้างสารพัดที่หล่อนก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องทำอย่างนั้น ทั้งๆ ที่หล่อนก็คิดถึงเขาอยู่ทุกนาทีจนต้องค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบความสัมพันธ์ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเขากับหล่อน

"งั้นไว้รอป้าละกันนะ จะได้ไม่เป็นไฟลท์บังคับ"

"ค่ะ"

นพนาศคิดอยู่ว่าจะแต่งตัวออกข้างนอกดีมั้ย บอสโทรมาทำไม เขาแค่ชวนในฐานะที่เที่ยวด้วยกันหลายครั้งแค่นั้นรึเปล่า หล่อนกลัวจะลำเอียง คิดเข้าข้างตัวเอง

คืนนั้นป้าเป้ไม่ได้โทรมา แต่วันรุ่งขึ้น ป้าก็เล่าให้ฟังว่าบอสถามถึง ซึ่งป้าก็บอกไปตามตรงว่าวันนี้หล่อนอยากอยู่คนเดียว การที่บอสอยู่เที่ยวกับป้าเป้ต่อแค่ครึ่งชั่วโมง ทำให้นพนาศคิดไปถึงไหนๆ หล่อนคิดว่า คงเป็นเพราะเขาตั้งใจมาหาหล่อนไง พอไม่เจอก็ไม่อยู่ต่อ

เวลาคนเรามีความรู้สึกพิเศษกับใคร อะไรๆ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็คิดเข้าข้างตัวเองกันทั้งนั้น

คืนถัดมา นพนาศอดรนทนไม่ได้ หาข้อมูลเกี่ยวกับร้านอาหารที่บอสมีหุ้น เห็นรายการอาหารจานเด็ด "เมี่ยงหอยแครง" หล่อนต้องไปลองซะหน่อย ส่วนความหวังเล็กๆ ที่ว่า หุ้นส่วนอาจจะแวะมาที่ร้านก็ทำให้หัวใจพองโตจนแทบจะทำให้ป้าเป้และน้องเจนเป็นห่วงว่าหล่อนจะบ้าบอสเหมือนศรุตอีกแล้ว

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (15)

ระหว่างทาง...ลางสังหรณ์เริ่มสร้างภาพลางๆ ในใจนพนาศ

แต่ก็อย่างว่าล่ะ คนเราก็มักจะคิดเข้าข้างตัวเอง เกิดความขัดแย้งในใจนพนาศจนหล่อนต้องพูดออกมาเพื่อให้แน่ใจว่าหลักการของหล่อนไม่สั่นคลอน

"...นาศชอบคนอายุมากกว่า..."

พอไปถึงร้าน คล้ายว่ากามเทพจะบอกให้ป้าเป้เล่นเกมส์ไปเรื่อยๆ ปล่อยให้บอสกับนพนาศคุยกันสองต่อสอง นพนาศปฏิบัติตามหลักคู่สนทนาที่ดี หล่อนชวนบอสคุยเรื่องที่เขาเก่ง เรื่องที่เขาถนัด และถ้าให้ดี ก็ต้องเป็นเรื่องที่หล่อนสนใจด้วย...การแสดงนั่นไง นพนาศรู้มาก่อนว่าบอสเคยเป็นครูสอนการแสดงพร้อมๆ กับที่เป็นครูสอนดนตรีอีกหลายชิ้น

บทสนทนาทำให้คนรู้จักกันมากขึ้น แล้วเรื่องที่นพนาศคุยก็มักจะมีสาระ บางครั้งมากซะจนคู่สนทนารู้สึกเครียดที่ต้องคอยตอบคำถามเหมือนโดนสอบสวน หล่อนสงสัยหนักหนาเรื่องการแสดงออกถึงอารมณ์ต่างๆ ของคนต่างบุคลิก การร้องไห้ของคนๆ หนึ่งอาจเป็นการแสดงความเสียใจที่น้อยกว่าคนที่นั่งนิ่งๆ ก็ได้ ไม่ใช่ว่าเอะอะอะไรก็ร้องไห้ คนมีวิธีแสดงออกถึงอารมณ์เดียวกันแตกต่างกันออกไป นพนาศซักบอสเรื่องนี้จนบอสต้องแสดงให้ดูถึงพัฒนาการทางอารมณ์

"พี่มานั่งตรงนี้นะ" บอสออกจะพูดด้วยกริยาที่แข็งและลุกลีลุกลนอย่างกระทันหัน

"พี่จ้องตาผม แล้วดูนะ ตอนนี้อารมณ์เป็นยังไง" ทั้งสองจ้องตา...ห่างกันแค่คืบ

ไม่นานแววตาของบอสเริ่มเปลี่ยนแปลง แต่นพนาศไม่ทันจะรู้สึกก็เห็นน้ำตาไหลออกจากตาของบอสซะแล้ว!

หล่อนทำตัวไม่ถูก ตกใจจนต้องลุกขึ้นเรียกหาป้าเป้ นพนาศไม่คาดคิดว่าจะเห็นนักแสดงตัวจริงที่สร้างอารมณ์เศร้าจนร้องไห้ภายในไม่เกิน 15 วินาทีเช่นนี้

สักพัก หล่อนก็กลับมานั่งตรงข้ามกับบอสเหมือนเดิม แล้วก็ถามขึ้นว่า

"นี่ใครๆ ที่เรียนการแสดงเค้าก็ทำแบบนี้ได้ทุกคนเลยเหรอคะ" นพนาศยังประหลาดใจไม่หาย

"ไม่กี่คนหรอกที่ทำได้" บอสพูดเสียงต่ำ ก้มหน้า

บอสทำให้นพนาศประทับใจอีกแล้ว หล่อนนั่งไปแล้วก็คิดๆ ว่า การปฏิบัติตนของหล่อนคืนนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องมองว่าเป็นการพาคู่คนใหม่มาเย้ยพี่ณัฐที่จีบหล่อนมาสี่เดือนกว่า หล่อนไม่ได้รับสายและส่ง SMS ตอบกลับพี่ณัฐมาเป็นอาทิตย์ วันนี้อยู่ดีๆ พี่ณัฐก็โผล่เข้ามา ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง พี่ณัฐไม่ได้แวะเข้ามาคุยกับหล่อน ตรงรี่ไปนั่งคุยกับเพื่อนคนเดียวของพี่ณัฐที่นี่ แล้วนพนาศยังจะมานั่งจ้องตากับผู้ชายอีกคนที่อายุเพียงครึ่งของพี่ณัฐอีกต่างหาก

นพนาศอยากจะทักพี่ณัฐ แต่หล่อนก็ยังนึกไม่ออกว่าจะพูดเรื่องอะไรดี หล่อนหันรีหันขวางอยู่หลายครั้ง ก่อนที่จะถึงซีน "สบตา" ซีนที่ทำให้เกิดความปั่นป่วนในใจของหล่อน...อีกครั้ง

สายตาที่บอสมองมา...เอาอีกแล้ว หล่อนไม่คิดว่ามันเป็นสายตาของคนเจ้าชู้ คล้ายจะคุ้นๆ กับสายตาของศรุตที่หล่อนก็มองว่าเป็นอย่างนั้นเช่นกัน สายตาจากตาเล็กๆ แต่ไม่ชั้นเดียวของบอสที่คล้ายจะเป็นเส้นตรงยามยิ้มหรือหัวเราะ หล่อนออกจะสงสัยว่าบอสเห็นโลกกว้างใหญ่ในแบบเดียวกับสาวตาโตอย่างหล่อนรึเปล่า แววตาเหมือนเด็ก ออกจะเศร้าๆ คู่นั้น

ยิ่งคุย หล่อนยิ่งแน่ใจว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา ใครทนคุยกับหล่อนได้ ตอบคำถามของหล่อนได้แบบคนรู้จริงและไม่เบื่อกับความเป็นสาวจอมซักของหล่อน ไม่ใช่จะหากันได้ง่ายๆ แถมบอสยังร้องเพลง Way Back Into Love คู่กับหล่อนได้เหมาะเจาะ เสียงไปกันได้ ไม่ได้โดดเด่นจนกลบเสียงของอีกฝ่ายนึง ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่บอสกับนพนาศร้องคู่กันหรอก ครั้งแรกน่ะ ปีที่แล้ว...ปีที่ทั้งสองยังไม่ทันรู้ว่าพัฒนาการความสัมพันธ์แบบพี่ๆ น้องๆ จะพัฒนาเป็นอย่างอื่นในภายหลัง

(Drew Barrymore)I've been living with a shadow overhead,

I've been sleeping with a cloud above my bed,

I've been lonely for so long,

Trapped in the past,

I just can't seem to move on!

(Hugh Grant)

I've been hiding all my hopes and dreams away,

Just in case I ever need them again someday,

I've been setting aside time,

To clear a little space in the corners of my mind! [Chorus]

(Both)

All I want to do is find a way back into love.

I can't make it through without a way back into love.

Oooooh.

[Verse 2](Drew Barrymore)

I've been watching but the stars refuse to shine,

I've been searching but i just don't see the signs,

I know that it's out there,

There's got to be something for my soul somewhere!

(Hugh Grant)

I've been looking for someone to shed some light,

Not somebody just to get me through the night,

I could use some direction,

And I'm open to your suggestions. [Chorus]

(Both)

All I want to do is find a way back into love.

I can't make it through without a way back into love.

And if I open my heart again,

I guess I'm hoping you'll be there for me in the end! [Middle-eight]

(Drew Barrymore)

There are moments when I don't know if it's real

Or if anybody feels the way I feel

I need inspiration

Not just another negotiation [Chorus]

(Both)

All I want to do is find a way back into love,

I can't make it through without a way back into love,

And if I open my heart to you,

I'm hoping you'll show me what to do,

And if you help me to start again,

You know that I'll be there for you in the end!

จะมีใครรู้ว่าเขาและเธอจะอยู่ร่วมกันหรือไม่...ในที่สุด

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2552

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (14)

นพนาศและป้าเป้พาบอสไปร้านไทรริมบึงที่อนุสาวรีย์ชัยฯ เป็นครั้งแรก...

นพนาศนั่งรถบอส เหลียวมองไปรอบๆ ดูการจัดของในรถ เป็นระเบียบเรียบร้อย...ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถนอนที่บ้านเพื่อนอีกคนที่ระดับการจัดการบ้านช่องแตกต่างจากรถของตัวเองแบบสุดขั้ว หล่อนเริ่มมองบอสดีขึ้นจากเด็กเหลือขอ งานการไม่ทำ ไม่เป็นโล้เป็นพาย ภาพของบอสในความคิดของนพนาศตลอดมาเป็นเด็กที่ไม่น่าจะเรียนจบปริญญาตรี แต่โชคดีที่ได้เรียนการแสดง แล้วก็เล่นดนตรีได้หลายชิ้น เลยได้เป็นครูสารพัดวิชา อันที่จริง หล่อนน่าจะมองเขาว่าเป็นคนเก่ง แต่ไฉนบอสในจินตนาการของหล่อนถึงได้แย่ขนาดนั้นก็ไม่รู้

ถึงร้านอาหาร บอสดูจะพอใจบรรยากาศตั้งแต่เดินเข้าไปยังไม่ถึงร้าน แพไม้ไผ่ริมน้ำโดยรอบ อีกฝั่งมีต้นไทรใหญ่เป็นภาพที่ทั้งนพนาศและป้าเป้เห็นกันมาแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกของบอส ไม่รู้ว่านพนาศคิดอย่างไร หล่อนโยงเรื่องความคาดหวังจากการเทสต์หน้ากล้องไม่ผ่านกับความประทับใจของบอสที่มีกับร้านอาหารแล้วพูดขึ้นว่า "อะไรที่เราหวังก็มีแต่เจ๊งกับเจ๊า แต่ถ้าเราไม่หวังก็มีแต่เจ๊ากับเจ๋ง"

"ผมก็ไม่เคยหวังอะไรอยู่แล้ว"

นพนาศสะดุดในคำพูดของบอส แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเขาหมายความถึงอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า

นั่งโต๊ะ สั่งอาหาร มะเขือยาวสอดไส้ ปีกไก่ยัดไส้ ต้มยำปลากระพง นพนาศเลือกเองทั้งหมด ตามธรรมเนียมของผู้ที่ควรจะเป็นเจ้าภาพมื้อนั้น...รอเวลาให้พนักงานมาเชิญไปร้องเพลงบนเวที นพนาศเหลือบไปเห็นสปอร์ตไลท์ที่ส่องลงน้ำ สะท้อนเป็นเงาที่ต้นไทร เงากระเพื่อมไปมาตามแรงลม "สวยจังเลย ดูนั่นสิ นี่ถ้าเขาส่องไปที่ต้นไม้มันก็ไม่สว่างอย่างนี้นะคะ แล้วแสงก็นวลด้วย เหมือนกับแสงไฟที่ส่องเพดาน ความสว่างนั้นก็จะไม่แสบตา" นพนาศดูจะตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ที่เพิ่งค้นพบ

อยู่ดีๆ บอสก็พูดขึ้นว่า "ถ้าจะอ่านผมน่ะ จริงๆ แล้วไม่ยากหรอก แค่รู้จุดนิดเดียวก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง"

นพนาศฟังแต่ก็ไม่เข้าใจว่าบอสจะพูดอย่างนั้นไปทำไม

ถึงคราวโต๊ะของสามคนสามเพศร้องเพลงแล้ว ด้วยบรรยากาศของร้านและแขกสูงวัย เพลงที่ร้องๆ กันก็ไม่พ้นสุนทราภรณ์หรือชรินทร์อะไรเทือกนั้น ได้ทีนพนาศขุดกรุเพลงโบราณขึ้นมาร้อง คราวนี้หล่อนเลือกร้องเพลง "จูบ" ก่อนขึ้นเวทีก็เหมือนจะพูดเรื่องแต่หนหลังให้บอสฟังว่า "เพลงนี้ สามีพี่ร้องแล้วส่งให้ทางอีเมล" หล่อนก็พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้จะระลึกความทรงจำแต่หนหลัง สำหรับนพนาศแล้ว เรื่องใดๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่ว่าจะทำให้หัวเราะหรือร้องไห้ ก็เป็นเรื่องที่หล่อนจำเสมอ หลังจากที่ผ่านมรสุมชีวิตมาหลายลูก หล่อนเริ่มไม่รู้แล้วว่า สิ่งที่ทำให้หล่อนยิ้มเป็นสิ่งดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตหรือไม่ บางครั้งคนที่ทำให้หล่อนโกรธ เกลียด โมโห กลับเป็นยาชูกำลังให้หล่อนสู้เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ทำให้หล่อนได้ลุกขึ้นมายืนใหม่ แสดงให้ใครๆ ที่เข้าใจหล่อนผิดรู้ว่า ตัวตนที่แท้จริงของหล่อนเป็นอย่างไร

จูบ คุณคิดว่าไม่สำคัญ
แต่เมื่อคุณจูบฉัน ทำไมฉันสั่นไปถึงหัวใจ
คุณเป็นคนจูบ คุณรู้บ้างไหม
ฉันหนาวฉันร้อนเหมือนดั่งเป็นไข้ ทุกที ทุกที

จูบมีฤทธิ์สะกิดหัวใจ ตัดอย่างไรไม่ไหว
มันทำฉันให้ไม่สมประดี
ทำไมคุณชอบ ตอบฉันหน่อยซี
หรือว่าเป็นประเพณีสำหรับผู้ชาย

ดิน...ยังรู้แยก แตกเพราะรอยไถคราด
แต่ฝนยังซัดสาดรอยหาย
คุณจูบฉัน รอยจูบนั้นย่อมติดจนตาย
จะลบรอยจูบอย่างไรไม่หาย อย่าลืม อย่าเลือน

จูบอย่าคิดว่าไม่สำคัญ จูบเบา ๆ เท่านั้น
ยังทำฉันสั่นดังฟ้าสะเทือน
คุณเป็นคนจูบ อย่าลืมอย่าเลือน
รักไม่จริงก็อย่ามาเฉือน หัวใจฉันด้วยจูบเลย...

นพนาศเดินกลับมาที่โต๊ะ ป้าเป้ขึ้นร้องเพลงอลังการอีกแล้ว หล่อนเคยขอให้ป้าร้องเพลงที่มันไม่ "อลัง" ดูบ้าง แต่ดูเหมือนป้าเป้เกิดมาเพื่อร้องเพลงโชว์ พอป้าร้องเพลงธรรมดา มันเลยขาดความเป็นป้าเป้อย่างไรไม่รู้ ป้าเดินกลับมา ถึงตาบอสบ้าง

"พี่ไปร้องเพลงคู่กันมั้ย แต่ปางก่อน" บอสก้มหน้าพูด เหมือนจะหลบไม่สบสายตา

"ไปสิ ได้ ได้" นพนาศงงนิดๆ เพราะส่วนใหญ่แล้ว มักจะเป็นตัวหล่อนเองที่คะยั้นคะยอชาวบ้านชาวช่องให้มาร้องเพลงคู่กับหล่อน

รอคอย เธอมาแสนนาน ทรมาน วิญญาณหนักหนา
ระทม อยู่ในอุรา แก้วกานดา ฉันปองเธอผู้เดียว

เธอเอย แม้เราห่างแสนไกล ชายใด ดวงใจฉันไม่แลเหลียว
รักเธอ แน่ใจจริงเชียว รักเธอ รักเดียวนิรันดร์

* แม้นมีอุปสรรค ขวากหนาม ขอตาม มิยอมพลัดพรากจากกัน
จะชาติไหน ไหน ไม่ยอมห่างไกลกัน ดวงจิตผูกพัน รักนั้นมีไว้เพียงเธอ

** คงเป็น รอยบุญมาหนุนนำ รอยกรรม รอยเกวียน หมุนเปลี่ยนเสมอ
ให้เรา ได้มาเจอะเจอ ฉันและเธอพบกันร่วมสุขสมดังรอคอย

น่าประหลาดที่นพนาศลืมร้องท่อนของตัวเอง หล่อนเป็นพวกมีลางสังหรณ์ ระหว่างร้องก็หันมองหน้าบอส ดูเหมือนบอสจะเกร็งๆ น้ำเสียงดูแข็งๆ ทั้งๆ ที่โดยปกติแล้วเขาเป็นคนร้องเพลงได้ดี เพียงแต่ไม่น่าจะเลือกเพลง "แก่" ขนาดนี้

กลับมาที่โต๊ะอาหาร สายเรียกเข้ามือถือของบอสยังคงดังสม่ำเสมอ เจ้าของมือถือก็สม่ำเสมอที่จะปฏิเสธการรับสาย เขาดูเป็นคนใจเด็ด และที่แน่ๆ ก็คงจะเป็นคนใจดำอย่างที่ตัวเขาเองเคยพูดให้ทั้งสองฟัง ถ้าเป็นคนอื่นมาฟังบอสก็คงจะต้องหมั่นไส้ไปตามๆ กัน

"พวกผู้หญิงนี่สงสัยชอบของแปลก บางคนเป็นลูกเจ้าของโรงแรมเลยนะ มาชอบผม ผมก็พูดจาตรงๆ แบบนี้น่ะ เคยมีอยู่วันนึง ผมนั่งนับแล้วมีผู้หญิงโทรเข้ามา 27 คน ไม่รู้มันจะอะไรกันนักกันหนา" บอสร่ายยาวแล้วก็พูดต่ออีกว่า "บางคนโทรมา ประมาณว่า ทำอะไร กินอะไร อยู่ที่ไหน เฮ้อ ไม่รู้จะโทรมาทำไม ไร้สาระ"

แม้นพนาศจะเป็นหญิงมั่นในสายตาของใครๆ แต่หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะหมั่นไส้เล็กๆ ว่า ผู้ชายอะไรจะเนื้อหอมขนาดนั้นนนน

ร้องเพลง กินข้าวอิ่ม ได้เวลาย้ายไปที่อื่น พนักงานนำบิลมาให้นพนาศ หล่อนยื่นธนบัตรใบละหนึ่งพันบาทสอดไปในแฟ้ม บอสคล้ายจะแอบมองแล้วหันหน้ามองนพนาศ...ตกใจ อีกครั้งที่หล่อนไม่เข้าใจปฏิกิริยาของบอส ก็ทั้งสองคนบ่จี้แล้วใครจะเป็นคนจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ล่ะถ้าไม่ใช่หล่อน

ทั้งสามย้ายไปร้านประจำ ณ ที่ซึ่งมีน้ำตาหลั่งออกมาจากตาของบอสในคืนนั้น

วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2552

นางแบบตัวน่อย

แม่หนูอุ๊บอิบเป็นนางแบบมืออาชีพเป็นแน่แท้ เธอโพสต์ท่า หน้าเอียง เบี่ยงสะโพก

เอ้า ใครอยากได้นางแบบตัวน่อย ติดต่อข้าพเจ้านะคะ :)

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2552

บ้านเขา...ออฟฟิศเขา...

ฉันก็ยังงงๆ...

เหตุไฉนฉันถึงต้องทำตัวเป็นนักสืบเพื่อตอบคำถามคนที่มีความรู้สึกดีๆ ให้ฉันมากมาย แต่ก็ทำเพื่อคนที่ห่วงฉันว่าจะโดนประทุษร้ายทางอารมณ์จากความหลงใหลคลั่งไคล้คนต่างวัยแต่ใจไม่ต่างกัน

เวลาสามวันกับภาพสไลด์สองชุดน่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้บ้างนะคะ









ฉันชอบคำสอนจากแม่ผู้ห่วงใย ติดอยู่ที่ผนังกระจกหลังคอมพิวเตอร์จัง เสียดายที่ไม่ได้พกกล้องไปถ่าย "เพื่อลูก" บทร้อยกรองที่อยากให้แต่ไม่ต้องการยัดเยียดเหนือชักโครก


เวลาทำอะไรพลาด อย่าคิดนำไปก่อน
เพราะมารจะเข้าแทรกผังให้เราคิดได้เป็นเรื่องเป็นราวทันที...
ยิ่งคิด...ยิ่งมีผลเสียแต่ตัวเขาเอง ถ้าคิดอย่างนี้แล้วใจจะตก
มารจะแทรกผังสำเร็จใส่ทันที ทำให้เรื่องที่ยังไม่มีอะไร กลับกลายเป็นเรื่องร้าย
ทันที ยิ่งคิดจะยิ่งเสีย
ฉะนั้น เมื่อเกิดเรื่อง ให้เราทำใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายอย่างเดียว
(ขุมทรัพย์จากคุณยาย)
ฉันเจอหมดแล้วทั้งพ่อแม่ พี่น้อง ป้า ลุง และคุณตา
...โอเคมั้ยคะ

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2552

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (13)

"สวัสดีครับ คุณนพนาศใช่มั้ยครับ"



"ค่ะ ไม่ทราบติดต่อเรื่องอะไรคะ" นพนาศมักจะตรงรี่เข้าประเด็นอย่างนี้เป็นประจำ เพราะหล่อนได้รับสายประเภทนี้เป็นประจำอีกเช่นกัน



"ผมโทรมาจากธนาคารสยามครับ จะขอแจ้งผลประโยชน์ให้กับผู้ถือบัตรเครดิตของธนาคาร"



"ขอโทษนะคะ พอดีไม่ค่อยได้ใช้บัตร ตอนนี้ไม่สนใจโปรโมชั่นพิเศษค่ะ"



แล้วเธอก็วางสายหลังจากตัดบทแบบฉับๆ



นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปสักพัก หล่อนเพิ่งนึกได้ว่า ลืมกุญแจบ้านไว้ในพวงกุญแจที่ให้ช่างซ่อมรถ



"ทำยังไงละทีนี้" หล่อนรำพึงในใจ เซ็งในความขี้ลืมของตัวเอง



"อ้อ นึกออกแล้ว ให้คนที่บ้านแม่เอากุญแจมาวางไว้ที่กระถางต้นไม้หน้าบ้านก็ได้นิหว่า ดีซะอีก ถือเป็นการยึดกุญแจคืนไปเลย" แผนการที่หล่อนนึกเงียบๆ อยู่คนเดียวดูเข้าท่าเข้าทาง ได้ประโยชน์สองต่อ



จากสถานีรถไฟฟ้า หล่อนก็นั่งแท็กซี่ต่อไปบ้านป้าเป้ เห็นทั้งดอมและบอสอยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว สี่หนุ่มสาวสามเพศก็คุยโน่นนี่จิปาถะ ไปอีท่าไหนไม่รู้เข้าเรื่องดวง เรื่องที่ไม่ว่าเพศใดๆ ก็สนใจ นพนาศดูดวงผ่านเว็บไซต์ http://www.payakorn.com/ เว็บประจำตัวหล่อน เวลาเบื่อ เซ็ง ไม่อยากทำอะไรสุดขีด ก็นั่งอ่าน นั่งดู วิเคราะห์ เรียนรู้เรื่องโหราศาสตร์ไปเรื่อย หล่อนรู้สึกว่า ศาสตร์นี้เป็นศาสตร์ที่เรียน อ่านเท่าใดก็ไม่แตกฉานซะที มันมีความยุ่งยากซับซ้อน ท้าทายให้ศึกษา เรียนรู้อยู่ตลอด ทั้งๆ ที่นพนาศเบื่ออะไรง่ายๆ แต่นี่หล่อนศึกษามาเกิน 5 ปีแล้วก็ยังติดใจศาสตร์นี้อยู่



นพนาศดูดวงให้ดอมก่อน ได้วันเดือนปีเกิดพร้อมเวลาตกฟาก

"โอ้ย ตายแล้ว พี่ไม่กล้าบอกหรอก ว้าย..." นพนาศเจอดวงที่ตรงกับตำราอย่างจังแบบที่หล่อนไม่กล้าทาย

"อะไรละพี่ บอกมาเหอะ" ดอมเริ่มสงสัยว่าทำไมดูดวงของเขาแล้วถึงได้วีดว้ายกระตู้วู้ขนาดนั้น

"พุธศุกร์อีกคู่อย่าดูเบา มักมัวเมาเสพสมจนซมซาน" หล่อนพูดแต่เพียงแค่นั้น

"แปลว่าอะไรเหรอพี่" ดอมถามอย่างเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่เข้าใจความหมายของบทร้อยกรอง หรืออาจจะเข้าใจแต่ถามอีกทีให้แน่ใจจะดีกว่า

"ป้า บอกเขาหน่อยซิ" หล่อนโยนหน้าที่ให้ป้าเป้เป็นคนตอบ

"บ้าเซ็กซ์" ป้าเป้เกย์รุ่นใหญ่ตอบสั้นๆ ได้ใจความครบถ้วน

น่าแปลกที่ดอมยอมรับว่า "บ้าเซ็กซ์" จริงๆ จากนั้นนพนาศจึงได้ร่ายยาวถึงรายละเอียดที่หล่อนบวกลบคูณหารจากการกระทบชิ่งของดวงดาว จากนั้นจึงเปิดให้อ่านรายละเอียดจากคำทำนายที่โปรแกรมประมวลผลออกมา

สักพัก นพนาศก็คลิกไปที่ "ชื่อดี...นามมงคล" แล้วก็ใส่ชื่อ นามสกุลของดอมและวันเกิด ดอมนั่งอ่านความหมายที่ทำนายจากตัวเลขของพยัญชนะแต่ละตัวอักษร ทั้งชื่อและนามสกุล ตัวอักษรใดเป็นกาลกิณี เป็นศรี โปรแกรมนี้แจกแจงอย่างละเอียด ใครไม่เคยดูคงไม่เชื่อว่า ชื่อและนามสกุลจะอธิบายตัวเราได้ขนาดนั้น

"ถูกหมดเลย" ดอมเชื่อคำหมอนพนาศซะแล้ว

นพนาศปล่อยให้ดอมนั่งอ่านคำทำนายที่โต๊ะแล้วหล่อนก็ลุกไปนั่งข้างป้าเป้ ศึกษาการทำงานของป้าไปเรื่อยๆ

แล้วก็มีมือมาสะกิด...

"พี่...ดูดวงให้ผมหน่อย" บอสอดรนทนไม่ไหวหลังจากนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่

นพนาศกรอกรายละเอียดวันเดือนปีและเวลาตกฟากของบอสตามคำบอก ป้อนข้อมูลเข้าระบบแล้วก็ออกมาเป็นดวงเป็นช่องๆ 12 ช่องคล้ายนาฬิกา แล้วหล่อนก็สวมบทเป็นหมอดูแม่นๆ อีกครั้ง

"โห นี่ก็พุธกับศุกร์อยู่ด้วยกันอีก"

"นี่พี่ทายได้เรื่องเดียวเหรอ เรื่องอื่นล่ะ" บอสรีบเปลี่ยนเรื่อง แม้จะเป็นผู้ชายแต่ถ้าใครมาบอกว่าเป็นคนเซ็กซ์จัดก็คงเขินๆ กันบ้าง

"ดวงบอสเนี่ยทายยากอะ พี่ไม่กล้าทายหรอก เดี๋ยวทายผิด มันแย้งๆ ขัดๆ กันอยู่ อย่างเช่น ดาวที่เป็นเจ้าเรือนกดุมพะและเรือนปัตนิไปตกลาภะ นารีอุปถัมภ์นะเนี่ย ส่วนลัคนาตกภพวินาศน์แต่ดาวเจ้าเรือนวินาศน์ตกอริ มันก็น่าจะเจ๊าๆ กันไป เป็นคนสองบุคลิกรึเปล่าเนี่ย ขัดแย้งในตัวเอง ไม่เอาอะ ไม่ทายดีกว่า"

"แล้วพี่มีให้อ่านมั้ย"

"อะ แต่มันอาจจะไม่ตรงนะ เพราะโปรแกรมมันแปลตรงๆ กรณีที่มีดาวมากกว่าหนึ่งดวงอยู่ในราศีเดียวกัน หรือมีดาวเล็ง โยคหน้า โยคหลัง หรือตรีโกณ โปรแกรมทำนายไม่ได้" นพนาศมักจะพูดอย่างนี้เสมอ ส่วนหนึ่งก็เพื่อกันไม่ให้ใครไปคิดมากกับผลการทำนาย

นพนาศคลิกให้ดูแล้วหล่อนก็ไปดูป้าเป้ทำงานต่อ บอสนั่งดูอยู่นานจนหล่อนกังวล เปรยขึ้นลอยๆ ว่า "ตอนพี่หัดดูใหม่ๆ เครียดไปตั้งหลายวัน ไม่ว่าใครก็มีภพไม่ดีเท่ากัน คือ ภพอริ ภพมรณะ ภพวินาศน์ แต่ทุกอย่างก็มีทั้งแง่บวกและแง่ลบ อย่างภพมรณะ ใครมีดาวในภพนี้เยอะๆ อาจจะมีสมบัติมากก็ได้นะ พี่เคยดูดวงของรุ่นพี่คนนึง มีดาวอยู่ในภพนี้ตั้งสี่ดวง โห มรดกเพียบเลย รวยสุดๆ"

พออ่านจนอิ่ม บอสเดินมานั่งที่โซฟาด้านหน้าพร้อมกับพูดลอยๆ แต่เหมือนจะพูดใส่หน้านพนาศอย่างมีอารมณ์ตอนที่พูดว่า "...หมอดูหลายคนบอกว่าผมจะต้องลงเอยกับผู้หญิงที่แก่กว่า..."

ไม่มีใครสังเกตอาการแปลกๆ ของบอสนอกจากนพนาศ จะอะไรซะล่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ว่า

ผู้หญิงที่แก่กว่าบอส ณ ที่นั้นมีอยู่คนเดียว

คือ นพนาศ

วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2552

หลานป้า

เด็กคนนี้เกิดระหว่างที่ฉันไปเยี่ยมน้องสาวที่ฮ่องกง...วันปลายเดือน...ของเดือนปลายปี...ปีเกิดเดียวกับคุณป้า

แม่หนูในชุดสีม่วง...สีโปรดของป้าแท้ๆ คนนี้ชื่อแสนเพราะพริ้งว่า...นีรรดา

sms จากน้องชายสั้นๆ "ลูกผู้หญิง" เป็น sms เดียวที่ได้รับทั้งที่ฉันมีสารพัดคำถาม ความเห็นและขอรูปดู จนต้องมาถ่ายรูปเองเมื่อ "น้องนี" อายุได้ 15 วัน

เมื่อเด็กอายุครบ 15 วัน หากไม่แจ้งเกิดให้เรียบร้อย ก็ต้องไปจัดการเรื่องราวทำเรื่องเสียเวลา โชคดีที่โรงพยาบาลมีบริการจัดการเรื่องสูติบัตรให้เรียบร้อย ไม่เช่นนั้นพ่อแม่มือใหม่ก็คงมีธุระเพิ่มเติม นอกเหนือจากความวึ่นวือ (ขอทันสมัยกับเขาหน่อย ถ้าเมื่อไหร่ยังจะใช้คำว่า "วุ่นวาย" ดูจะโดนค่อนว่า "เชย" อยู่เป็นนิจ)อลวน ตื่นตระหนกว่า คราวนี้ น้องนีร้องไห้เพราะอะไรหว่า

ฉันเป็นป้าที่ดูจะไม่ค่อยเห่อหลานสักเท่าไหร่ ใช่ว่าจะไม่ดีใจที่มีหลานแท้ๆ กับเขาสักที แต่ก็อดช้ำใจเล็กๆ ไม่ได้ว่า ในที่สุดฉันก็เป็นป้ากะเขาจริงๆ ไอ้ที่เคยเรียกตัวเองว่า พี่ หรือ น้า เพื่อหลอกตัวเองว่า ยังไม่ได้แกสักเท่าใดนัก นี่ถ้าหลานน้าคนอื่นๆ แต่งงานมีลูก คราวนี้ฉันต้องเป็น ย่าหรือยาย จะรับได้มั้ยเนี่ย

ฉันว่าน้องนีเลี้ยงง่าย เท่าที่เจอดูจะหลับเป็นส่วนใหญ่ เวลาตื่น ถ้าร้องก็ร้องพอให้รู้ว่า "มาดูแลหนูด้วยนะ" แล้วพอได้กินนมแม่ก็เงียบไป น้องสะใภ้ของฉันเอาใจใส่ดูแลลูกด้วยตัวเองตั้งแต่คลอดเพียงคนเดียว เท่านี้ก็แน่ใจได้แล้วว่า ไม่มีใครจะดูแลหลานคนนี้ได้ดีไปกว่าแม่ของน้องนี

ฉันคิดอยู่นิดหน่อยว่า จะรับบทป้าที่น่ารัก เมื่อน้องสะใภ้ต้องกลับไปทำงานประจำ แต่อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ครอบครัวของน้องชายว่าจะไว้ใจให้ฉันดูแลหรือไม่ ฉันเองก็ใช่ว่าจะเคยมีลูก ก็คงต้องไปค้นตำรับตำราเลี้ยงลูก ปัดฝุ่นและอ่านก่อนจะไปดูแลลูกเขา

กลับจากฮ่องกงมีของฝากน้องนีมากกว่าพ่อและแม่น้องนีเพียบ ไม่ใช่แค่ของเล่น ฉันน่ะคิดถึงอนาคตนะจะบอกให้ ซื้อที่ติดมุมโต๊ะกันชน และที่กันประตูหนีบ กว่าจะได้ใช้ก็อีกเป็นปีๆ ส่วนตุ๊กตารูปสัตว์ใส่นิ้วเป็นสิบๆ ตัว เอาไว้เล่านิทานหลอกหลานตัวน้อยน่าจะได้ใช้ในไม่ช้า


วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2552

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (12)

“ศรุตก็ใช้มุขนั้นกับผู้หญิงทุกคนนั่นแหละ ทายนิสัยแล้วก็บอกว่าจะเลี้ยงดู ล่าสุดนี่ก็ได้นางแบบโปสเตอร์โฆษณากล้วยไม้คนใหม่เป็นบ้านล่าสุด เขาจดทะเบียนซ้อนแล้วซ้อนอีกไม่รู้เท่าไหร่ แล้วรู้มั้ย ที่เขาเลิกกับเมียเก่าน่ะ เพราะเมียทนไม่ไหว เขาถลุงเงินซะไม่รู้เท่าไหร่ แต่ที่ว่าเลิกกันด้วยดีก็เพราะมีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ เมียเก่าของเขาน่ะรวยมาก” ป้าเป้ใส่เต็มที่

“นาศก็รู้ๆ อยู่แหละ เพราะเขาเคยบอกว่า เด็กคนนึงของเขาเนี่ย เขาก็คบไปงั้นๆ แต่ที่คบเพราะทำให้โชคดี ก็แสดงว่าชอบเล่นการพนัน” นพนาศพูดเหมือนไม่ได้ตกอยู่ในมนต์เสน่ห์ของศรุต ถ้าไม่หลงแล้วจะอะไรซะอีก ที่พอรู้ว่าคนที่ตนชอบเป็นนักพนันมือเติบ

“คราวนี้เก็ทรึยังล่ะ” ป้าเป้ถามย้ำ
“ก็ทำไมป้าไม่บอกอย่างงี้ตั้งแต่แรกล่ะ”
“นี่พี่ฬารพอได้ยินเข้าก็หัวเราะใหญ่เลยนะ แต่ป้าไม่ได้บอกหรอกว่าเป็นใคร”
“ก็ดีแล้วนีคะ” ยังไงนพนาศก็ไม่อยากให้ใครๆ มองว่าโง่นัก

ไปถึงร้านประจำ...

ช่วงปีใหม่ น่าแปลกที่คนหายหน้าหายตาไปเยอะ ปีที่แล้ว ที่ร้านยังมีเด็กๆ มาสังสรรค์เฮฮากันเยอะแยะจนทำให้แขกประจำดูจะกลายเป็นคนแปลกหน้า ปีนี้แตกต่าง ปีนี้มีแต่แขกประจำที่เห็นกันมาเป็นปีๆ พวกที่รากงอก ไม่รู้จะไปที่ไหน ก็กลับมาตายรัง คราวนี้เด็กหน้าใหม่คือโก้กับบอส บอสทำตัวกลมกลืนเพราะเป็นคนพูดเก่ง ป้าเป้ชอบบอกใครๆ ว่า “เด็กคนนี้รู้จักวางตัว เข้าสังคมเก่ง” ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น นพนาศคนนึงล่ะที่เห็นด้วย การสนทนาหลังจากที่นพนาศเริ่ม “ตาสว่าง” เรื่องศรุตนั่นเองที่บอกให้หล่อนรู้ว่า สิ่งที่ศรุตคุยกับหล่อนไม่ได้เป็นเรื่องแปลกประหลาด แม้แต่บอสเองก็บอกได้ไม่ต่างจากศรุต

“ถ้าชอบจริงก็ต้องโทรมาตั้งแต่วันรุ่งขึ้นแล้ว นี่ไม่โทรมาแสดงว่ามีให้เลือกหลายคน” บอสพูดอย่างมั่นใจ
“ปกติก็ต้องโทรเช้าโทรเย็นด้วยซ้ำ คนมันคิดถึงก็ต้องโทร” บอสย้ำต่อเพื่อลบล้างความคิดของนพนาศ คราวนี้หล่อนเงียบ ดูจ๋อยๆ เพราะได้เด็กอายุน้อยกว่าถึง 8 ปีสอนมวย

“ถ้าใครเป็นแฟนผม ผมให้หมดน่ะ ไม่ว่าเบอร์มือถือ เบอร์บ้าน”
“แบบนี้แหละน่ากลัว ทำเหมือนเปิดเผย แฟนเลยไว้ใจ” นพนาศคิดขวางโลกเหมือนเคย
“โอ้ย มีคนเดียวก็ปวดหัวจะแย่แล้ว ผมไม่หาเรื่องใส่ตัวหรอก” บอสพูดเหมือนการมีแฟนเป็นภาระหนักอกซะเหลือเกิน

จากนั้น บทสนทนาก็เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น เรื่องธรรมะบ้าง เรื่องงานการของบอสบ้าง เพราะโจ้ดูจะเงียบๆ ขรึมๆ ถ้าไม่มีใครถามก็ไม่พูด

พอคนข้างในร้านพากันกลับซะส่วนใหญ่ พวกขาประจำขี้ยาก็หยุดสูบบุหรี่ชั่วคราวหันไปร้องคาราโอเกะในร้าน เมื่อถึงเพลงจังหวะร็อค นพนาศก็วิ่งไปทำหน้าอ้อนเบน ลูกพี่ลูกน้องคนเก่งที่นำหล่อนเต้นรำได้ นพนาศชอบเต้นรำแบบที่หมุนไปมาแล้วคู่เต้นก็จับตัวไว้ให้หล่อนเอียงลงต่ำยกขาเตะขึ้นสูง วันนั้นท่าทางหล่อนจะเต้นเหมือนมืออาชีพ พี่จูนทักว่าหล่อนต้องไปแอบเรียนเต้นรำมาแน่ๆ เชียว นพนาศสลัดผ้าพันคอที่พันไว้แก้โป้ วันนี้หล่อนใส่บอดี้สูทสีม่วงกับกางเกงยีนส์สีซีดพร้อมกับรองเท้าส้นสูงสี่นิ้วอย่างเคย หล่อนก็มีความสุขอยู่กับเรื่องง่ายๆ ไม่กี่อย่าง ร้องเพลง เต้นรำ นั่งอยู่กับเพื่อนไม่กี่คนที่เข้าใจหล่อน วันนี้นพนาศอาจจะร้องเพลงแบบซังกะตาย แต่ก็ยังดีกว่าที่หล่อนจะทำตัวเศร้าซึมให้คนรอบข้างไม่สบายใจ

คืนวันดำเนินไป ไม่มีอะไรแตกต่างนัก ที่จะต่างก็คงจะเป็นsms และสายจากพี่ณัฐหายไปจริงๆ หายไปตั้งแต่ที่หล่อนไม่ตอบ ไม่รับ ไม่ใช่แค่สิ่งนั้นหรอกนะที่หายไป ความคิดถึงคนึงหาศรุตที่หล่อนพร่ำเพ้อพรรณนาก็ลดน้อยลงไปทุกทีๆ แต่นพนาศกลับทบทวนความสัมพันธ์กับสารพัดหนุ่มที่เข้ามาในชีวิตหล่อน วันพรุ่งนี้พ่อหนุ่มต่างชาติที่คิดถึงหล่อนทุกนาทีจะกลับมา ส่วนพ่อหนุ่มที่มีหลักการมั่นคงดั่งหินผาก็ sms มาสุขสันต์วันปีใหม่พร้อมๆ กับแจ้งการโอนเงินค่าเช่า สิ่งสุดท้ายที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับเขาไว้เกือบปีที่ผ่านมา

ป้าเป้ชวนนพนาศไปกินข้าวที่บ้าน วันนี้ป้าทำสะตอผัดกุ้ง ไข่เจียวหมูสับและแกงจืดหัวไชเท้า คนทำอาหารเก่งไม่ใช่คนที่ทำอาหารวิลิศมาหรา แต่คือคนที่ทำอาหารพื้นๆ ได้อร่อย กินกี่ทีก็ไม่มีเบื่อ

ในเมื่อไม่ต้องมามัวคิดถึงใคร คนที่เขารักก็ไปตัดสัมพันธ์ซะแล้ว นพนาศเลยไม่กังวลเท่าใดนักกับการกินสะตอเป็นอาหารช่วงบ่าย ใครๆ ก็รู้กิตติศัพท์ของสะตอ นอกจากจะผลิตกลิ่นปากแล้วเข้าห้องน้ำออกมา คนที่เข้าคนต่อไปก็ต้องรู้ว่าคนเข้าห้องน้ำก่อนหน้าต้องกินสะตอมาแน่ๆ ป้าเป้ยังไม่วายพูดถึงสรรพคุณของสะตอที่ช่วยดีท็อกซ์ของเสียในร่างกายได้ดีสำหรับผู้หญิง

นพนาศก็ไม่ได้คิดจะไปไหนต่อวันนั้นอยู่แล้ว หล่อนแค่ต้องเอารถไปซ่อมแล้วก็อาจจะไปขัดตัวที่ร้านเจ้าประจำ ระหว่างที่หล่อนนั่งกินอาหารที่ป้าเป้บรรจงปรุงให้นั้น ดอมก็พาแต้วแฟนนัมเบอร์วันมาที่บ้านป้า

“ป้าว่ามันแปลกๆ มั้ย แทนที่จะพาแฟนไปเที่ยว กลับพามาหาป้าเนี่ย” นพนาศไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของเด็กวัยนี้เท่าไหร่นัก

“ทีนี้เข้าใจรึยังล่ะ ว่าฉันเปิดเนอร์สเซอรี่อยู่เนี่ย มีอะไรก็บอกว่าอยู่กับป้าเป้ ทั้งเบอร์หนึ่งเบอร์สอง บอสก็อีกคน ฉันต้องบอกแม่เขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง ดูแลให้อยู่”

“ว่าแต่ทั้งดอมกับบอสเค้าไม่กลัวป้าบ้างเหรอ เขาก็หน้าตาดี หุ่นดีกันทั้งคู่ เขาไม่กลัวป้าทำอะไรเขาเหรอคะ” นพนาศสงสัยอะไรก็ถามไปตรงๆ อย่างนั้น ใครรับไม่ได้ก็เลิกคบกับหล่อนไปไม่รู้กี่ต่อกี่ราย

“ฉันน่ะไม่หาเรื่องใส่ตัวไปยุ่งกับผู้ชายแท้ๆ หรอก ที่เคยโดนมาก็เข็ดจะตายแล้ว ไม่ต้องเป็นแฟนแต่อยู่ใกล้ๆ ก็แฮปปี้แล้ว” ป้าเป้พูดอย่างนี้หลายครั้งแล้ว พอๆ กับที่ป้าจะฉายอะไรซ้ำๆ เป็นประจำ เหมือนกับยายของนพนาศไม่มีผิด หล่อนจึงรู้สึกสบายใจ...เหมือนพูดกับคนคุ้นเคย ถ้าจะโกหกก็ต้องยอมล่ะ เพราะโกหกได้เหมือนกันทุกครั้ง

ยังไงนพนาศก็ยังแอบสงสัยทั้งดอมและบอสต่างเคยมานอนที่บ้านป้าเป้ หล่อนคิดว่าโดยปกติแล้ว ผู้ชายไม่น่าจะมาสุงสิงกับเกย์ขนาดนี้ แต่ไอ้ครั้นจะไปคิดอกุศลกับป้า หล่อนก็ยังนึกเหตุผลไม่ออกว่า ทำไมป้าจะต้องปิดหล่อน ไม่ว่าใครก็รู้ว่าป้าเป็นเกย์ ยังไงก็ต้อง “กิน” ผู้ชาย

แต่ผู้ชายสองคนนี้สิ หล่อนไม่เข้าใจจริงๆ

อยู่กับป้าไปนานๆ หล่อนก็เริ่มเข้าใจ ผู้ชายโดยส่วนใหญ่ก็อยากอยู่กับคนที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ ดอมเองโทรหาป้า รายงานตลอดว่าวันนี้อยู่ไหน ไปไหน เดี๋ยวแวะมาหานะ บอสอาจจะน้อยหน่อย วันก่อนโจ้บอกหล่อนว่า “ก็ป้าอยู่คนเดียวไม่ได้ ผมกับบอสก็ผลัดกันอยู่เป็นเพื่อนนะครับ” ส่วนป้า...มักจะบอกหล่อนว่า “พ่อดอมมันมาอยู่ด้วย มันก็รู้สึกไม่เป็นส่วนตัว บางทีโทรมาหาป้า หาเพื่อนคุย ทั้งๆ ที่พ่อก็อยู่ชั้นล่าง” แล้วเสริมต่อว่า “พ่อบอส มีเมียใหม่ เมียใหม่มันก็...รู้ๆ อยู่ บอสมันเลยไม่ค่อยอยากกลับบ้าน”

นพนาศเอง หล่อนก็สบายใจเมื่ออยู่กับป้า ป้าเป้เคยมาอาศัยบ้านหล่อนทำงานทั้งวันทั้งคืน ต่างคนต่างอยู่ หล่อนก็กวาดบ้าน รีดผ้า ล้างห้องน้ำของหล่อนไป ดูแลสวนกล้วยไม้อย่างสบายใจเพราะไว้ใจป้าแม้จะรู้จักได้ไม่นาน ส่วนป้าเป้ก็ทำงาน บ่นเป็นพักๆ ว่างานแบบนี้ทีหลังไม่รับแล้ว ป้าเป้เป็นนักแปลบทพากย์หนังที่หาตัวจับยาก ป้าเป้ทำงานเร็ว คุณภาพสูง ทำให้นักพากย์ทำงานง่าย ป้าเป้จะดูจำนวนพยางค์ให้พอดีกับปากของตัวแสดง เพราะฉะนั้นนักพากย์ก็เพียงทำตามที่ป้าแปลไว้ ไม่ต้องใช้ความพยายามเพิ่มเติมในการพูดให้เร็วขึ้นหรือช้าลงเพื่อให้ตรงตามปากของตัวแสดง

คนที่ทำงานอิสระเหมือนกัน เซ้นซิทีฟกับสิ่งรอบตัวคล้ายกัน ก็เข้าใจกันได้ไม่ยาก

ในความคิดของนพนาศ น้องแต้วหน้าตาหน้ารักกว่าน้องหมวยนัมเบอร์ทูของดอมเยอะ “ก็สมแล้วล่ะ ที่จะยอมเหนื่อย อึดอัดใจกันน้องแต้ว”

ป้าเป้ ในฐานะที่ปรึกษาของน้องๆ ในคอนโทรลทั้งหลายขยายให้นพนาศฟังว่า “แต้วกำพร้าแม่ตั้งแต่เล็ก เขาก็ต้องดีมานด์มาก ต้องการความรักเอาใจใส่ ดอมต้องเป็นของเขาคนเดียว นี่ป้าก็ยังไม่รู้เลยว่าแฟนเขาจะว่าไง ดอมก็ได้แต่บอกทุกครั้งที่แต้วถามว่า “อยู่กับป้าเป้” เฮ้อ!” ป้าเป้กลัวว่าจะมีใครเกลียดโดยไม่จำเป็นตามประสาคนที่ไวและแคร์ความรู้สึกของคนรอบข้าง

น้องแต้วมาวันนี้ในชุดนักศึกษา ดอมสะพายกระเป๋าถือสีแดงสดของแต้วเข้าบ้านป้ามา เห็นแล้วนพนาศก็เปรียบเทียบกับชายหนุ่มในชีวิตหล่อน เท่าที่จำได้ ไม่มีแม้สักคนที่เสนอจะถือกระเป๋าสะพายให้...

สองคนมานั่งในบ้านเงียบๆ ดูทีวี สักพักดอมก็เอาหมอนมาหนุนตักแต้วเล่น พร้อมหยอกกันพอหวานให้สาวแท้และสาวเทียมรุ่นใหญ่อิจฉาพอหอมปากหอมคอ

กินข้าวบ่ายเสร็จก็ถึงเวลาที่นพนาศต้องเอารถไปซ่อม สองหนุ่มสาวขออาศัยรถเข้าเมืองไปด้วย
"อะไรวะ มานั่งๆ นอนๆ แล้วก็กลับ เด็กสมัยนี้มันไม่รู้จะพาแฟนไปไหนรึไงถึงพามาหาญาติผู้ใหญ่อย่างงี้ฟะ" คงไม่มีใครอ่านความคิดของนพนาศในเรื่องนี้

ส่งรถซ่อมเสร็จ นพนาศก็เดินมาขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อต่อรถใต้ดินไปที่บ้านป้าเป้อีกครั้ง คืนนี้เราจะไปรับประทานอาหารค่ำที่ร้านไทรริมบึงของนพนาศ แม้หล่อนจะไม่สมหวังและเริ่มไต่จากเหวนรก แต่ความประทับใจที่หล่อนมีต่อร้านอาหารร้านนี้ก็ยังไม่เสื่อมคลาย

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นระหว่างที่นพนาศกำลังเดินไปขึ้นรถไฟฟ้า...

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (11)

จะใครซะล่ะที่โทรมา...ป้าเป้นั่งเอง

ป้าเป้มีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ พร้อมมุขตลกๆ ให้คนอยู่ใกล้ได้ขำอยู่เสมอ นพนาศเองก็สงสัยในอัจฉริยภาพของป้าที่สามารถคิดมุขได้ทุกสิบนาที ป้าโทรมาคอนเฟิร์มอีกครั้งว่า หล่อนจะไปงานของพี่ฬารรึเปล่า

"ไปซิ ไป" นพนาศย้ำให้ป้ามั่นใจว่า ไม่เบี้ยวแน่คราวนี้

หล่อนไปรับป้าที่บ้าน น้องดอม เด็กขี้เหงาอายุ 22 ที่มาติดป้าอย่างหนักพร้อมกับปรึกษาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กับป้าเสมอๆ รออยู่ที่นั่นอยู่แล้ว สามคนนั่งรถของนพนาศ ป้าเป้เป็นนาวิเกเตอร์บอกทางที่แสนจะลดเลี้ยวเคี้ยวคด นพนาศเคยขับตามคำบอกของป้าหลายครั้งแต่ไม่เคยจำได้สักที ร้านนมวัวย่างของโปรดที่หล่อนเพิ่งค้นพบก็ไปทางนี้เช่นกัน

"ถ้าป้าไม่ได้มากับนาศ แล้วนาศโทรถามทาง ป้าจะบอกถูกมั้ยเนี่ย"
"คงถูกมั้ง ป้าอาศัยจำเอา"

นพนาศไม่คิดว่าป้าจะสามารถบอกทางโทรศัพท์ได้หรอก คงต้องมาเห็นแยกเห็นสถานที่ถึงจะบอกได้ว่าต้องเลี้ยวไปทางไหน

นพนาศไม่รู้จักใครแม้สักคนในงาน แต่ถ้าจะบอกว่าเคยเห็น รู้จักผ่านวารสาร ผ่านทีวี อย่างนั้นก็พอมีบ้าง หล่อนจึงนั่งอยู่ที่โต๊ะในสนามหญ้ากับดอมระหว่างที่ป้าเป้ไปทักทายใครๆ ในงาน

งานเลี้ยงนี้จัดที่บ้านของพี่ฬารและพี่รอยสามี เป็นทั้งงานปีใหม่ งานครบรอบแต่งงาน 30 ปีและงานวันเกิด

"จัดแล้วคุ้มจริงๆ " นพนาศเอ่ยขึ้นลอยๆ

บ้านพี่ฬารเป็นบ้านสองชั้นมีถนนปูนเป็นทางเข้า แต่ตอนนี้ก็วางโต๊ะให้แขกที่มาร่วมงานนั่งได้สัก 20 คน สุดถนนที่ว่า เป็นโต๊ะวางอาหาร ปูนึ่ง กุ้งลวก หอยแมลงภู่ สปาเก็ตตี้ แกงเขียวหวาน ต้มยำหัวปลา ปูอัด วางเรียงรายรอให้แขกในงานเกิน 70 มาตักด้วยตัวเอง เดินไปอีกนิดทางด้านหลังหน้าห้องน้ำ มีเตาปิ้งปูและกุ้งอยู่ ด้านซ้ายของถนนเป็นตัวบ้านส่วนทางขวาเป็นสนามหญ้า ที่ปรับเป็นตั้งของเวทีและโต๊ะร่วมสิบ

ทีมป้าเป้เปิดโต๊ะใหม่นั่งไม่ไกลจากเตาปิ้งย่างเท่าใดนัก อาหารจานแรกจึงเป็นปูและกุ้งย่าง ป้าเป้คนชอบบริการเดินไปตักอาหารมาให้คนที่โต๊ะรับประทานอยู่หลายรอบ

จากนั้นไม่นาน น้องบอสกับน้องโจ้ก็ตามมา นพนาศเคยเจอน้องบอสแล้ว เขาเป็นพิธีกร เคยเล่นละครและเล่นหนัง แต่อาชีพพวกนี้ก็ไม่แน่นอน งานพิธีกรก็หมดสัญญาไปแล้ว รอเทสต์หน้ากล้องและเจรจาเรื่องการเป็นพิธีกรอีกรายการหนึ่งของเคเบิลทีวี น้องบอสจึงเป็นอีกหนึ่งหนุ่มที่วนเวียนไปมาในชีวิตป้าเป้ แต่อย่างไรก็ไม่เท่ากับน้องดอม ดอมเบื่อๆ เซ็งๆ ไม่อยากอยู่บ้านตั้งแต่พ่อของดอมย้ายเข้ามาทำงานที่กรุงเทพ วันๆ ดอมโทรหาป้าเป้ร่วม 10 ครั้ง ตอนแรกนพนาศก็ไม่เชื่อตามที่ป้าเป้เล่าให้ฟัง เพราะเกย์อย่างป้าอาจจะคิดเข้าข้างตัวเองก็เป็นได้ ดอมเป็นผู้ชายที่หล่อมาก รูปร่างหน้าตา เป็นนายแบบได้สบายๆ เพียงแต่ตอนนี้ ยังว่างงานอยู่ กอรปกับลงเรียนน้อย เวลาอยู่กับแฟนนัมเบอร์วันก็อึดอัด เพราะสาวเจ้ามีความต้องการมากเหลือเกิน ส่วนแฟนนัมเบอร์ทูที่วิ่งตามน้องดอม แม้จะไม่สวยเท่าคนแรก แต่การถูกรักย่อมสบายใจกว่าไปรักใครแล้วมักมีปัญหา

ไม่นาน สาวนัมเบอร์ทูของน้องดอมก็ตามมานั่งที่โต๊ะ ทั้งหมด 6 คน นพนาศ ป้าเป้ ดอม หมวย บอสและโจ้เหมาโต๊ะไปทั้งโต๊ะ นพนาศไม่แน่ใจว่า มันออกจะเกินไปรึเปล่าที่ป้าเป้ขนน้องๆ มาร่วมงานทั้งโต๊ะ แต่พอหล่อนเหลียวไปข้างหลังเห็นมีโต๊ะว่างอยู่อีกหนึ่ง หล่อนก็โล่งใจว่าอย่างน้อยถ้ามีใครมาเพิ่มก็ยังมีที่นั่ง

น้องโจ้เป็นคนที่พูดน้อยที่สุดในโต๊ะ และการที่มีคาราโอเกะบนเวที เสียงคนร้องก็กลบเสียงการสนทนาที่โต๊ะซะส่วนใหญ่ อีกทั้งอาหารทะเลสด หวานยิ่งดึงดูดความสนใจจากการสนทนา

เรื่องสำคัญของวันนี้ก็ไม่พ้น การสืบข่าวของศรุตเพิ่มเติม ตามแผนของป้าเป้และน้องเจนที่ต้องการให้นพนาศตาสว่างซะที ป้าเป้ไปคุยกับที่ฬารอยู่พักใหญ่ พอป้าเป้เดินกลับมา แม้นพนาศจะอยากรู้สักแค่ไหน หล่อนก็รู้ว่าควรจะรอจนจบงาน ให้ป้าเล่าให้ฟังตอนที่อยู่ในรถ

นพนาศอยากให้งานจบเร็วๆ หรือไม่ก็ทั้งกลุ่มตัดสินใจโยกย้ายไปเที่ยวที่อื่นซักที แต่หล่อนก็รู้ว่า ต้องรอ ป้าเป้ขึ้นเวทีร้องเพลง Live & Learn เหมือนกับป้ากมลามาร้องด้วยตัวเอง แต่เสียท่าตอนขึ้นเวที เดินตกเวทีให้ต้นไม้รับซะอย่างงั้น

"ใครจะไปรู้ว่าเวทีมันแคบอย่างนั้นล่ะ" ป้าเป้กล่าวอย่างหัวเสีย ส่วนทุกคนก็ขำกันอย่างที่คนไทยมักจะขำเมื่อยามที่ใครทำเรื่องเปิ่น หรือเซ่อๆ ซ่าๆ โชคดีที่คนเปิ่นเป็นป้าเป้ หากเป็นจำพวกที่มีอีโก้สูง ก็จะกลายเป็นหัวเราะเยาะไป

นพนาศได้ขึ้นร้องบนเวทีด้วย หล่อนเลือกเพลง "คนพิเศษ" เพลงเดียวกันกับที่หล่อนตั้งใจจะร้องให้ศรุตฟังหากมีโอกาสได้พบกันอีกครั้ง นพนาศร้องราวกับว่า หล่อนรู้...โอกาสเช่นนั้นคงไม่มาถึง

และแล้ว คนทั้งสามเพศทั้งหกคนก็ขอตัวกลับก่อน น้องดอมไปส่งหมวยที่บ้านและต้องรีบกลับบ้านเพราะวันรุ่งขึ้นมีนัดกับน้องแต้ว สาวนัมเบอร์วันแต่เช้า ที่เหลืออีกสี่คนไม่มีเคอร์ฟิว ป้าเป้ขึ้นรถของนพนาศ โจ้กับบอสขับตามไปอีกคันเพื่อไปเจอกันที่ร้านประจำของป้าเป้กับนพนาศ

ขึ้นรถ...นพนาศไม่รอช้า

"ป้า เล่ามา"

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2552

"เธอ" ไม่มีวัน"ชอบ" ฉัน แต่เราอยู่ด้วยกันได้

อ่านบล๊อกเรื่องที่แล้ว ให้ต้องย้อนกลับมาเฉลย ก่อนที่จะมีใครคิดว่าฉันอยู่กับ "เธอ" ที่เป็นเพศตรงข้ามจนเกินตีสาม อันที่จริงก็เกินตีสาม แต่ไม่ใช่ "เธอ" ที่น่าจะเป็น "เธอ"

โอ้ย เขียนเอง งงเอง

"เธอ" ไม่มีวัน "ชอบ" ฉัน แต่เราอาจชอบคนๆ เดียวกัน หรืออีกทีก็ ถ้าเกิดปาฏิหาริย์ "เธอ" เกิดชอบฉัน ก็คงดี เพราะเธอก็บอกว่า ถ้าฉันมีบ้าน เธอจะมาอยู่ มาทำกับข้าวให้ฉันกินทุกวัน ฉันก็อ้วนนะสิ

"เธอ" สร้างความแปลกใหม่ให้ชีวิตฉัน พาไปเที่ยวสารพัดที่ ไม่ว่าจะเพศที่หนึ่ง สอง หรือสามไปเที่ยว ฉันไปมาแล้วทั้งนั้นนน

"เธอ" เหมือนเป็นแม่ บางครั้งก็เหมือนเป็นลูกที่ฉันต้องดูแล อีกคราก็เป็นผู้ที่ดึงฉันขึ้นมาจากหุบเหวลึก
"เธอ" ทำให้ฉันหัวเราะ มุขเธอประมาณว่า "คิดได้ไง" แล้วก็เหมือนเครื่องผลิต "มุข" มาเป็นระยะๆ ไม่ขาดสาย
"เธอ" ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว เล่าสารพัดเรื่อง บางเรื่องฉันก็ฟังมาหลายก๊อปปี้แล้ว เธอน่าจะเป็นครู เพราะเล่าเรื่องซ้ำได้เหมือนกันเปี๊ยบ
"เธอ" รักใครแล้วทุ่มสุดตัว ชอบเอาลิงมาแบกไว้บนบ่า หรือจะเรียกว่า เตี้ยอุ้มค่อม ก็ไม่ผิด
"เธอ" รับภาระส่งเสียง เลี้ยงดู ปลุกปั้น โดยที่คนเหล่านั้นไม่ได้ซาบซึ้งในบุญคุณ แถมยังหลบหน้า ไม่ทัก
"เธอ" แล้วแต่อารมณ์ ถ้ามีอารมณ์ทำงาน เครื่องติดไม่มีหยุด แต่ถ้าไม่มี อย่าหวังซะให้ยากเลยว่าจะทำ
"เธอ" ผู้มาเติมสีสันให้ชีวิต ฉันอยู่กับเธอแล้วก็ไม่เบื่อ ไม่รำคาญ เราต่างคนต่างอยู่ เธอทำงานของเธอ ฉันทำงานของฉัน ฉันนอน เธอก็นอน เธอจะตื่นมาทำงานต่อ ฉันไม่ตื่นนะ

แล้วเราก็กระเตงกันไปตั้งแต่เที่ยงวันเมื่อวานจนสามทุ่มวันนี้ ห่างกันเกินรัศมี 5 เมตร ไม่เกินครึ่งชั่วโมง

ฉันส่งเธอที่บ้านหลังจากพาไปช้อปปิ้ง แล้วจะไปรับเย็นพรุ่งนี้

ชีวิตคู่แบบนี้ก็ดีนะเธอ (ไม่ใช่เธอคนนั้นนา) สองเพศ แต่รักผู้ชายเหมือนกัน

จะมีอะไรดีไปกว่าคำว่า "เพื่อน" ...

เพราะเธอแท้เทียว...


ต้องเป็นเพราะเธอแน่ๆ

วันนี้มี "เธอ" มาเป็นแขกรับเชิญที่บ้านตั้งแต่บ่ายต้นๆ ด้วยบ้านฉันมีอุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์ให้ยืม ทำให้การทำงานของเธอราบรื่น

การให้คือการรับ

ฉันให้ที่นั่งทำงาน เธอทำให้ฉันขยัน ได้กินก๋วยเตี๋ยวเป็ดเจ้าอร่อยถัดไปอีกซอย(อยู่มาตั้งนานไม่เคยรู้เล้ย) ไส้เป็ดซื้อกลับอีกสองถุงใหญ่(ซึ่งหมดไปแล้ว)

เริ่มตั้งแต่รีดผ้า จัดชั้นวางเครื่องสำอาง ล้างห้องน้ำ ขัดพื้นระเบียง จัดตู้เสื้อผ้า ล้างจาน จัดโต๊ะเครื่องแป้ง หุงข้าว ต้มไข่ยางมะตูม แล้วก็ล้างจาน รดน้ำต้นไม้ ฉีดยาฆ่าเพลี้ย จ่ายบัตรเครดิต หาของกินแก้เซ็ง(ที่งานไม่เสร็จซักที) และก็ล้างจานรอบสาม(มั้ง)ณ บัดนี้ก็ได้เวลาตีสาม ฉันยังขยันทำงานต่อไปจนกระทั่งเกลาๆ กลึงๆ ต้นฉบับ Embroideries ของ Marjane Satrapi ทำสาว...เรื่องฉาวโฉ่ เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่แก้ในไฟล์ เช็คคำศัพท์และคำอ่านจากเพื่อนผู้แสนดีชาวอิหร่าน ผู้ซึ่งบินตรงจากอิหร่านมาช่วยฉันวันพุธนี้ แล้วก็จะส่งต่อให้ท่านบก. ทั้งสองพิจารณาต่อไป

ต้องนินทาตัวเองให้ฟังนิดหน่อยว่า โรคประจำตัวของฉันคือ จะขอผลัดวันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไฟลนก้นถึงจะเริ่มทำงาน(ที่ต้องทำให้เสร็จตามกำหนดเวลา)อย่างที่เธออ่านมา ฉันทำสารพัดเรื่องจนหมดข้ออ้างแล้วถึงได้ทำ สงสัยฉันจะเป็นโรคจิต

วันนี้เป็นวันที่โพรดักทีฟจริงๆ ฉันเลยคิดว่า ถ้า "เธอ" มาบ่อยๆ สงสัยฉันจะเปลี่ยนไปเป็นอีกคนแท้เทียว

อิอิ

วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2552

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (10)

นพนาศเสิร์จหาข้อมูลของศรุตจนเกือบเช้า...

หล่อนไม่คิดว่าจะพบข้อมูลอื่นใดของเขาอีก เพราะหล่อนก็หามาหลายครั้งหลายครา ทุกครั้งหล่อนเสิร์จผ่านกูเกิ้ล แต่หนนี้หล่อนใช้ยะฮู ยะฮูพาหล่อนไปยังข้อมูลที่หล่อนหามานาน...บทความของเขาในวารสารกล้วยไม้

หล่อนเรียนรู้จากบทสัมภาษณ์ภรรยาเก่าของเขาแล้วก็ได้มาอ่านบทความจริง หล่อนเห็นเขาย่อหน้าบ่อยๆ มีการเปรียบเทียบเยอะๆ อ้างอิงเหตุการณ์ปัจจุบันเพื่อทำให้ผู้อ่านมีความรู้สึกร่วมและบทความดูสดใหม่เมื่อได้อ่าน

หล่อนชอบสไตล์การเขียนของเขา ศรุตวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นผ่านการค้นคว้าข้อมูลทุกแง่ทุกมุม เขามีความรู้หลายแขนง บางบทความของเขาก็ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกล้วยไม้ แต่เขาก็เขียนและโยงให้เข้ากับเรื่องกล้วยไม้ได้ในที่สุด

นพนาศถึงกับเพิ่มลิงค์เว็บไซต์บทความของเขาในออโต้ฟีด(auto feed) เพื่อที่หล่อนจะได้อ่านบทความใหม่ๆ ของเขาทุกครั้งที่เข้าอินเตอร์เน็ต

วันนี้ยังไม่มีข้อความใหม่...

ในความคิดคำนึงของนพนาศ หล่อนยังคงจินตนาการสารพัดอย่างเกี่ยวกับศรุต เขารวยพอที่จะไม่ต้องมานั่งเขียนบทความในหนังสือพิมพ์กล้วยไม้นานาชาติออคิดแลนด์(Orchid Land)หนังสือพิมพ์รายวันเกี่ยวกับกล้วยไม้แห่งเดียวในโลก สำหรับนพนาศแล้ว หล่อนทึ่งในความสามารถในการใช้ภาษาของเขาอย่างยิ่งยวด "เขาต้องรักการเขียนเป็นชีวิตจิตใจอย่างแน่นอน" หล่อนรำพึงและยิ้มอย่างพอใจกับตัวเอง

แล้วจินตนาการของนพนาศก็พาหล่อนบินกลับไปที่ญี่ปุ่นอีกครั้ง แหวนเพชรสีชมพูล้อมเพชรขนาด 1.06 กะรัต ราคาป้ายติดไว้ 13 ล้านเยน ถูกใจหล่อนเหลือเกิน ร้านนี้ดีไซน์ตัวเรือนของแหวนได้อย่างละเอียดและประณีต แหวนวงนี้ไม่ได้ล้อมเพชรแบบที่เราเห็นกันดาษดื่น เพชรขาวที่ล้อมมีสองชั้น แต่ละชั้นอยู่ห่างกันคนละระดับ อีกทั้งไม่ได้ล้อมติดตัวเพชรสีชมพูเม็ดกลาง เพชรที่ล้อมขนาดเล็กมากทำให้วงทั้งสองอ่อนช้อยมีมิติ

หล่อนรู้โดยไม่ต้องดูป้ายราคาว่าแหวนวงนี้อาจจะแพงที่สุดในร้านก็ได้ คนอื่นคงได้แต่มอง แต่คนอย่างนพนาศไม่เหมือนคนอื่นๆ หล่อนส่งภาษาของดูแหวน คนขายมองหน้าด้วยความสงสัยเล็กๆ แล้วหล่อนก็บรรจงสวมแหวนวงงามที่นิ้วนางข้างขวา นิ้วที่นพนาศชอบใช้สวมแหวนจนคนถามบ่อยๆ ว่านั่นคือแหวนแต่งงานรึเปล่า และส่วนใหญ่หล่อนก็ตอบอย่างอารมณ์ดีว่า "แต่งกับแม่ค่ะ"

มีอยู่ครั้งนึงที่เจ้านายเก่าของหล่อนมองดูแหวนแล้วก็เปรยว่า "ใส่แหวนอย่างนี้ ใครจะกล้าจีบ" ก็คงจะเป็นเช่นนั้น แหวนเพชรขาวจั๊วรูปหัวใจพร้อมเพชรมาคีสองเม็ดประกบด้านข้าง ที่ยิ่งเชิดชูความเด่นของเพชรรูปหัวใจเม็ดนั่นได้เป็นอย่างดี

หล่อนบรรจงสวมแหวนเพชรสีชมพูวงนั้นและมองดูอย่างพอใจ แล้วหล่อนก็พูดเป็นภาษาอังกฤษกับคนขายว่า หล่อนจะหาคนมาซื้อแหวนวงนี้ให้หล่อน(I will find someone to buy it for me)แล้วนพนาศก็ฝันกลางวันเหมือนอย่างเคย หล่อนรู้ว่าทั้งณัฐ อรรคชาติ และศรุตต่างสามารถซื้อแหวนวงนี้ได้ หล่อนไม่กล้าไปท้าทายทั้งณัฐและอรรคชาติให้ซื้อแหวนให้หล่อน เพราะถ้าเขาคนใดคนหนึ่งซื้อแล้วหล่อนไม่ตกลงแต่งงานด้วย หล่อนคงมองหน้าใครไม่ติด หล่อนแค่อยากให้คนๆ นั้นคือศรุตคนเดียว

ยังไม่ถึงเวลาไปงานของพี่ฬารเพื่อนป้าเป้ ได้เวลาสะสางทำงานบ้าน หล่อนกวาดบ้าน ซักผ้าและเตรียมรีดผ้าตามปกติ ปกติที่คนทั่วไปไม่คิดว่าหล่อนทำได้ รวมทั้งการเพาะพันธุ์กล้วยไม้ด้วย ในสายตาของใครๆ หล่อนเป็นคุณหนู สาวซิ่ง ใจร้อน เวิร์คกิ้งวูแมน ใครจะไปเชื่อว่าหล่อนเลือกครอบครัว ทำงานบ้าน ทำกับข้าว และอาชีพสุดท้ายหลังจากลองมาหลากหลาย...เพาะกล้วยไม้

ถ้านพนาศได้สงบอกสงบใจด้วยการรีดผ้าที่กองพะเนินเทินทึกตั้งแต่หล่อนยังไม่ได้ไปญี่ปุ่นจนกระทั่งกลับมา เสื้อผ้าที่ต้องซักอีกสามโหลด นี่ดีเท่าไหร่ที่หล่อนมีเครื่องซักผ้า ไม่ต้องซักมืออย่างคนสมัยก่อน แค่หล่อนรีดผ้าก็กินเวลาเป็นวันๆ แล้ว นพนาศคงจะทำใจให้นิ่ง รอเวลาสุกงอมของทุกสิ่งทุกอย่าง บางครั้งสาวใจร้อนอย่างหล่อนก็ต้องเป็นน้ำแข็งบ้างเหมือนกัน

ทุกครั้งที่เสียงโทรศัพท์ดัง นพนาศอดไม่ได้ที่จะมีความหวังเล็กๆ ว่า ศรุตโทรมา...ครั้งนี้ก็เช่นกัน

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (9)

ป้าเป้ชวนนพนาศไปแซทเทิร์น บาร์เกย์แห่งนี้มาหลายครั้งแล้ว

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องรอเวลาที่เหมาะสม นพนาศได้ยินกิตติศัพท์บาร์เกย์แห่งนี้จากลูกพี่ลูกน้องเกย์รุ่นใหญ่มาพักนึงแล้ว และในที่สุดก็ได้ฤกษ์ไปเยือนเสียที หล่อนเสียค่าเข้าหรือจะเรียกว่าค่าดริ๊งค์ที่บังคับให้จ่ายในราคา 300 บาทสำหรับดูโชว์ชายล้วน ป้าเป้ขยายให้ฟังว่า โชว์ที่นี่เป็นโชว์ที่รีรันไปจนถึงเที่ยงคืนครึ่ง เข้าชมเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วก็ดูไปจนถึงโชว์สุดท้ายที่เรายังไม่ได้ดู

โชว์วันนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าผู้ชายแก้ผ้า ปิดๆ เปิดๆ อาบน้ำ ถูสบู่บ้าง หรือไม่ก็ถือหนังสือโป๊เป็นเครื่องช่วยให้ตนถึงจุดสุดยอด นพนาศไม่รู้หรอกว่า ตอนจบโชว์ที่ว่า มีเครื่องยืนยันว่าถึงจุดหรือไม่ หล่อนดูไปทั้งอยากรู้ชะโงกหน้าไปดูจากชั้นลอย อีกทีก็หลบไปข้างหลังเพราะพี่จูน สาวเปรี้ยวชอบเคี้ยวเด็กที่มาด้วย ส่งเสียงร้องวี๊ดว้ายถูกใจเป็นที่สุด พี่จูนกับหล่อนชอบผู้ชายคนละสไตล์ แต่หล่อนก็ไม่บอกให้เธอรู้หรอกว่าหล่อนชอบแบบไหน จะแบบไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่สูงผอม ผิวคล้ำอย่างศรุต

หล่อนมองอย่างพิศวงในความสามารถของเด็กที่เต้นโชว์ ทำไม "น้องชาย" ของเขาเหล่านั้นไม่รู้จักหลับจักนอน

น้องชาย "ลุก" ทั้งเพลง!

ในสายตาของนพนาศ ผู้ชายที่แสดงโชว์บางคนหน้าตาไม่ได้เรื่องเลย แต่ก็อีก รสนิยมของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ หล่อนพอจะเข้าใจอะไรได้นิดหน่อย น้องชายของอีตานั่น สูงใหญ่ ยาว ผิดมนุษย์มนา เรื่องแบบนี้ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเองก็คงไม่เชื่อ อีกทั้งญาติผู้พี่เกย์รุ่นใหญ่ของหล่อนก็เคยเล่าให้ฟังว่า "เด็กคนนึงของพี่ก็เท่าไม้บรรทัดเลย ไม่ใช่ไม้โปรนะ"

เรื่องสัปดนเบี่ยงเบนความสนใจของนพนาศจากศรุตได้พักหนึ่ง หล่อนรู้ตัวดีว่า อาการของหล่อนหนักขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่ทำอะไรหรือหาทางแก้ปัญหา หล่อนต้องแย่ไปกว่านี้อีกไม่รู้เท่าไหร่ อายุขนาดหล่อนจะทำตัวเหมือนเด็กอายุสิบหกไม่ได้อีกแล้ว

นพนาศอยู่กับเพื่อนๆ มากขึ้น และเพื่อนๆ ก็ดูจะเข้าใจอาการ "รักเป็นพิษ" ของเธอได้เป็นอย่างดี อันที่จริง ความสัมพันธ์ของหล่อนกับศรุตยังไม่ทันไปถึงไหน มือก็ยังไม่ได้จับ ไปไหนด้วยกันก็ยังไม่ได้ไป แต่ไอ้ระเบิดลูกที่ว่า "จะเลี้ยงดูตลอดชีวิต" มันใหญ่โตมีผลมากจนหล่อนลืมไม่ลง ไม่ใช่เพราะว่าหล่อนหลงใหลได้ปลื้มว่ามีผู้แสดงความประสงค์ว่าจะขอเลี้ยงดู แต่เป็นเพราะว่า ชีวิตรักผาดโผนหลายสิบปีที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีใคร "ทิ้งระเบิด" ลูกใหญ่ขนาดนี้มาก่อน

ศรุตไม่ใช่ผู้ชายเหลาเหย่ ไม่มีความรู้ความสามารถ เขาประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง สูงจนเป็นผู้นำหล่อนได้อย่างแน่นอน แน่นอนแบบที่หล่อนปราศจากอาการกังขา เขาเคยเพาะกล้วยไม้มาก่อน ก่อนที่จะเขียนบทความ พัฒนาวงการกล้วยไม้ของไทยให้เป็นที่รู้จัก สร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจทำเงินมหาศาล แค่เขามุ่งผลิตกล้วยไม้พันธุ์พื้นๆ ปลูกง่าย ตรงกับความต้องการของตลาด การส่งออกก็สร้างฐานะให้เขาไม่รู้จักเท่าไหร่

นพนาศไม่ได้คิดอย่างเขา หล่อนอยากให้กล้วยไม้พันธุ์ที่ใกล้สูญพันธ์หรือพันธุ์หายาก ยังคงอยู่ หล่อนรู้ว่ามันเสี่ยงมากในแง่ธุรกิจ แต่ถ้าหล่อนไม่ทำแล้วใครจะทำ ใครจะเอาชีวิตไปเสี่ยงด้วยความรักความผูกพันที่มีต่อบางสิ่งอย่างร้อนแรง

นพนาศพยายามตามรอยศรุตโดยไม่รู้ตัว หล่อนต้องการเขียนบทความประชาสัมพันธ์ ชักจูง โน้มน้าวให้คนสนใจกล้วยไม้พันธุ์หายากและที่ผสมพันธุ์ขึ้นใหม่ของหล่อน นพนาศเริ่มต้นศึกษาศรุตผ่านบทความของเขา หล่อนเป็นเชอร์ล๊อค โฮมอยู่แล้ว ไม่ยากที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับเขาและผลงานผ่านอินเตอร์เน็ต ในเมื่อนพนาศเกิดมาเป็นผู้หญิง หล่อนจะทำอะไรได้มากไปกว่า "นิ่ง" แต่คนไฮเปอร์อย่างหล่อนก็ต้องทำอะไรสักอย่าง อยู่เฉยๆ หล่อนก็คงจะอกแตกตาย

ยิ่งหล่อนหาข้อมูลเกี่ยวกับเขา หล่อนก็ยิ่งทึ่ง วิธีที่เขาเขียน เนื้อหาสาระของข้อมูล เขามองกล้วยไม้พันธุ์พื้นๆ ในแง่ที่นพนาศไม่ได้คิดมาก่อน เขามีเหตุผล มีความคิดที่เป็นระบบระเบียบ เขาเขียนจนชิน เดือนนึงเขาเขียนบทความได้มากกว่า 50 บทความสบายๆ งานบางชิ้นของเขาก็เป็นที่ประทับใจหล่อนตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน หล่อนก็เพิ่งทราบว่าเป็นฝีมือของเขานี่เอง แล้วก็อีก ที่คนวิพากษ์วิจารณ์มากเหลือเกิน แต่หล่อนกลับเห็นดีเห็นงามกับงานชิ้นนั้น แถมยังปลื้มในความฉลาดที่เขาสามารถสร้างกระแสเพิ่มมูลค่าในเชิงธุรกิจได้อย่างไม่น่าเชื่อ

นพนาศไขว้เขวขนาดที่ฉีกนามบัตร ลบเบอร์มือถือศรุตแลt sms ที่ส่งให้แก่กันในวันปีใหม่ ชื่อเสีย(ง)ของเขาเรื่องผู้หญิงรุนแรงเลวร้ายเหลือคณา แต่ก็อีก หล่อนก็เข้าข้างเขา ด้วยตัวหล่อนเองก็มีข่าวในเชิงนี้ไม่น้อย ทั้งๆ ที่ความจริงมีเพียงนิด แต่ก็ใส่สีกันซะใหญ่โต หล่อนยิ่งไม่เชื่อสิ่งที่ป้าเป้และใครต่อใครที่ปรารถนาดีกับหล่อน ให้ข้อมูลมากมายสนับสนุนความร้ายของเขา ยิ่งหล่อนพบข้อมูลของเขาในอินเตอร์เน็ต หล่อนยิ่งเชื่อตัวเอง นพนาศไม่ได้เสียใจกับการกระทำของหล่อน "ก็ดีแล้ว ไม่มีเบอร์ติดต่อ ไม่มีอีเมล ไม่ว่าจะอยากโทรหาขนาดไหน ก็ทำไม่ได้ นอกจากจะไปถามกับพี่ตุ่ม" หล่อนคิดเข้าข้างตัวเอง หาเหตุผลให้ตัวเองอย่างที่เคย

หล่อนบ้าขนาดที่ก๊อปปี้บทความของเขาไว้ในอีเมล์ จนถึงตอนนี้ก็มีเป็นสิบฉบับแล้วล่ะ เคยมีคนบอกหล่อนว่า ข้อเขียนของคนสะท้อนความเป็นตัวตนของคนๆ นั้น แบบที่เสแสร้งกันไม่ได้ หล่อนยังเชื่อในความรู้สึกที่มีต่อศรุตอยู่ แม้ว่าป้าเป้ผู้หวังดีจะบอกว่า ถ้าเขาไม่ติดต่อมาภายในหนึ่งอาทิตย์ให้ตัดออกจากสารบบ แต่หล่อนก็เชื่อมั่นในตัวเองซะจนบอกกับตัวเองว่า ถ้าศรุตไม่ติดต่อมาภายในหนึ่งอาทิตย์ หล่อนก็ยังเชื่อว่าเขามีใจให้หล่อนอยู่ เขาเคยพูดถึงเรื่องชีวิตคู่ไว้ในบทความหนึ่ง น่าแปลกซึ่งมันไม่น่าจะเกี่ยวกับกล้วยไม้ แต่เขาก็โยงให้ชีวิตรักเข้ากับกล้วยไม้ได้อย่างไม่ขัดเขิน

"ถ้าเราคิดถึงคนที่รักให้น้อยลง เราจะเข้าใจเขามากขึ้น"

นพนาศไม่รู้ว่าหล่อนคิดถึงศรุตในระดับที่จะเข้าใจเขาได้มากขึ้นหรือไม่ แต่คนที่มีลางสังหรณ์อย่างหล่อนก็เลือกจะเชื่อความรู้สึกของตัวเอง

มีชายมากมายผ่านเข้ามาในชีวิตของนพนาศ แต่คนที่หล่อน "คิดได้" ว่าจะแต่งงานด้วย มีแค่สามีเก่าของหล่อนกับศรุตเท่านั้น!

นพนาศหาเหตุผลให้ความรู้สึกจากส่วนลึกเรื่องนี้ไม่ได้ หล่อนแค่รู้สึก หล่อนไม่รู้ว่าเขาเป็นคนมีระเบียบ หรือสะอาดแค่ไหน ชอบทำอะไรยามว่าง ชอบท่องเที่ยวผจญภัยรึเปล่า อายุแก่กว่าหล่อนถึง 20 ปีมั้ย หล่อนไม่รู้อะไรเลย หล่อนรู้แต่เพียงว่า

หล่อน "คิดได้" ว่าจะแต่งงานกับเขา

หล่อนมีความหวังเล็กๆ ว่าหล่อนอาจจะเจอเขาในงานวันเกิดของพี่ฬาร เพื่อนของป้าเป้ที่อยู่ในวงการต้นไม้ หล่อนแค่คิดว่าคนในวงการกล้วยไม้กับต้นไม้คงจะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน

วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2552

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (8)

หล่อนไม่ได้รับสายพี่ณัฐมาสองวันแล้ว...

พี่ณัฐทั้งส่ง sms และโทรเข้ามา พี่เป้เกย์รุ่นใหญ่ผู้ที่ชอบใช้วาจาเชือดเฉือนสะใจบรรดากลุ่ม "ชายเหนือชาย" หาว่าหล่อน "โหด ใจดำ" พร้อมๆ กับให้ความเห็นเกี่ยวกับดาราที่ออกทีวีอยู่ ณ ตอนนั้นว่า "อีนี่สวยเหมือนกะหรี่เข้าไปทุกที" หล่อนไม่ได้สะใจไปกับคำพูดของพี่เป้ไปด้วยหรอก แต่จะทำไงได้ นพนาศก็รัก "ป้าเป้" อย่างที่ป้าเป็น เพราะป้าก็มีข้อดีอีกตั้งมากมาย

"โหด ใจดำ" หล่อนทวนคำ
"อาจจะจริงนะป้า แต่ถ้าโหดตอนนี้ มันน่าจะดีกว่าโหดอีกหกเดือนถัดไป หรืออีกปีนึงนะคะ ให้ทำไงได้ละป้า หนูอุตส่าห์ไม่ติดต่อไม่อะไรตั้งแต่ไปญี่ปุ่นกับแม่แล้ว คืนวันปีใหม่ หนูกลับมา พี่ณัฐทั้ง sms และก็โทรเข้ามา หนูก็ไม่รับ ต้องเป็นพี่บ๊อบแน่ๆ เลยที่โทรไปบอก ไม่งั้นตีหนึ่งกว่า พี่ณัฐไม่ออกมาหรอก" หล่อนพ่นๆๆ ตามสไตล์ของหล่อน

"เมื่อวาน พี่ณัฐก็โทรมา หนูก็ไม่รับ ป้าว่าหนูทำไงดีคะ" หล่อนถามเหมือนจะต้องการคำตอบ แต่ไม่... เพราะหล่อนเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเองอยู่แล้วว่าจะทำอะไร เมื่อไหร่ อย่างไร ตอนที่หล่อนตัดสินใจลาออกจากงานที่สำนักงบประมาณ หล่อนก็ไม่เคยปรึกษาพ่อแม่ นพนาศเพียงแต่แจ้งให้ทราบหลังจากตัดสินใจไปแล้ว หล่อนเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว เป็นอย่างที่ศรุตว่าไม่มีผิด

ป้าเป้ก็ไม่ตอบ เหมือนรู้ว่าหล่อนก็ถามไปอย่างนั้นเอง

ไม่ใช่ว่าหล่อนจะไม่แคร์ความคิดเห็นของใครๆ หล่อนฟังทั้งหมดแต่เลือกเห็นด้วยเฉพาะที่ตรงกับการตัดสินใจของหล่อน

การใช้เวลาร่วมกันที่ญี่ปุ่นของนพนาศกับแม่ เวลาแห่งการสงบศึกซึ่งไม่ค่อยจะเกิดขึ้น หล่อนมีโอกาสได้เล่าให้แม่ฟังเกี่ยวกับชายที่เข้ามาพัวพันในชีวิต หล่อนต้องขยายความ ไม่เช่นนั้แม่ของหล่อนก็จะคิดว่าหล่อนหลงตัวเอง นพนาศเล่าอย่างยืดยาวจนน้องสาวหล่อนที่ต้องตื่นไปทำงานวันรุ่งขึ้นต้องเปิดประตูออกมาบอกว่า นอนไม่หลับ นพนาศถึงรู้ตัวว่าพูดดังและยืดยาวจนน้องสาวทนไม่ไหว

น้องสาวของหล่อนเป็นคนสงวนคำพูด อีกเรื่องที่ตรงข้ามกับนพนาศ น้องสาวของหล่อน นีรดา เป็นคนอดทน มีความเป็นส่วนตัวสูง วันหยุดช่วงคริสต์มาส ปีใหม่ แทนที่จะเป็นช่วงเวลาที่นีรดาได้ใช้ชีวิตอย่างที่เธอปรารถนา แต่การมาเยือนของนพนาศและแม่ของทั้งคู่ก็ทำให้เวลาส่วนตัวลดลงไปอีก พอนพนาศกับแม่กลับไป รูมเมทของนีรดาก็กลับมาพอดี นพนาศเข้าใจน้องสาวของหล่อนดีและก็แสดงให้น้องสาวรู้ว่าหล่อนเห็นใจเธอ

แม่ของนพนาศให้ความคิดเห็นเรื่องหนุ่มๆ ในชีวิตหล่อน เธอบอกให้ลูกสาวเลือกอรรคชาติ ผู้ชายที่ดูเหมือนจะไม่เคยอารมณ์เสียคนนั้น แต่นั่นเป็นตัวเลือกที่หล่อนตัดไปตั้งแต่ต้นแล้ว...

น้องเจนโทรมาก่อนที่นพนาศจะไปหาป้าเป้ หล่อนร้องไห้กับน้องเจนอีกแล้ว อันที่จริง หล่อนไม่เคยร้องไห้เพราะศรุตมาก่อน แม้ว่าความรู้สึกที่หล่อนมีต่อเขาจะสับเปลี่ยนเวียนวนระหว่างการฝันหวานและความหวาดหวั่น แต่หล่อนก็ไม่เคยเสียน้ำตา

หล่อนใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง ยามจินตนาการให้ความจริงเป็นดั่งฝัน หล่อนก็คิดว่าหล่อนจะทำอย่างไร มุขเด็ดที่หล่อนเพิ่งคิดได้ก็คือ ณ วันที่หล่อนได้ออกเดทกับเขา ถ้าหล่อนรวบรวมความกล้าได้มากพอ หล่อนจะบอกให้ศรุตทำท่ายอมแพ้ ยอมแพ้แบบที่ต้องยกมือขึ้นสองข้างเวลาที่ตำรวจเรียกให้ออกนอกรถ ยอมแพ้แบบที่หล่อนจะบอกให้เขายกมือขึ้นและกางนิ้วออกไปเหมือนอาการกลัวตำรวจอย่างที่สุด แล้วหล่อนก็จะกางมือของหล่อน ประสานกับมือของเขา รวบลงมาไว้ที่สะเอวของหล่อน พร้อมๆ กับเขย่งตัวโน้มเข้าไปกระซิบที่ข้างหูศรุตว่า "จะยอมแพ้ตลอดไปมั้ยคะ" แค่จินตนาการถึงเหตุการณ์นี้ หล่อนก็รีวายซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้กี่ร้อยหน มันเป็นท่าเด็ดที่หล่อนภูมิใจเหลือหลาย ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นก็สุดแล้วแต่เหตุการณ์จะพาไป

นพนาศร้องไห้เพราะหวาดหวั่น สิ่งที่หล่อนคิด ปรุงแต่ง ไม่ได้มีเหตุผลอะไรยืนยันทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงความคิดคำนึงของหล่อน สิ่งที่ทำให้ความรู้สึกที่เรียกว่า "รัก" เติบโต งอกเงย เมื่อใดที่หล่อนกลับเข้ามาอยู่ในโลกของความเป็นจริง โลกของเหตุผล หล่อนก็จะมีอารมณ์ซึมเศร้าเช่นที่เป็นเมื่อยามคุยโทรศัพท์กับน้องเจนวันนี้

นพนาศไม่ใช่คนที่ขาดประสบการณ์เรื่องรักๆ ใคร่ๆ หล่อนผ่านมามากต่อมาก มากจนหล่อนบอกตัวเองว่า หล่อนจะต้องจัดการมันอย่างคนมีสติ หล่อนค้นคว้าข้อมูลในอินเตอร์เน็ตอีกเช่นเคย วิธีจัดการกับผู้ชายเจ้าชู้ และอีกสารพัดเรื่องราวที่ควรทำยามหวั่นไหว หล่อนต้องให้อิสระกับเขา หล่อนต้องหากิจกรรมทำ อยู่กับเพื่อนฝูงพี่น้อง ไม่จับเจ่า เฝ้าคิดแต่เรื่องศรุตเช่นนี้ แล้วหล่อนก็ทำสิ่งที่ควรทำ

เมื่อวาน นพนาศบอกให้ป้าเป้พาไปบาร์เกย์

วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (7)

ยังไงนพนาศก็เป็นผู้หญิง...

หล่อนทนใจแข็งอยู่ได้ไม่กี่วัน วันปีใหม่หลังจากตื่นนอน หน้าของศรุตแวะเวียนมาเช่นเคย หล่อนตัดสินใจส่ง sms ที่ดูจะธรรมดาที่สุด แต่ก็แฝงความไม่ธรรมดาอยู่เช่นเคย

สุขสันต์วันปีใหม่ 2552 ขอให้รวย สวย สุขภาพดี สุขสมปรารถนาตลอดปีตลอดไปนะค่ะ By the way, the restaurant at Victory Monument is real nice ka. นาศ

หล่อนเพิ่งมารู้ตัวหลังจากส่ง sms ไปตั้งนานแล้วว่า หล่อนควรจะเปลี่ยนจาก สวย เป็น หล่อ แต่ก็เถอะ แสดงถึงความไม่ตั้งใจส่งดี (คิดเข้าข้างตัวเองเป็นที่สุด)

ไม่นานเกินรอ แต่หล่อนก็คล้ายจะหมดหวังไปแล้ว ศรุตส่ง sms กลับมาว่า

เช่นกันครับ ขอบคุณมากๆ ที่ระลึกถึง ปีใหม่นี้ขอให้ชีวิตดี ความรักดี สุขภาพดี หน้าตาดี แฮปปี้ตลอดปี 52 ครับ (Aviv)

ศรุตใช้นามปากกาตัวเองเสมอ

ฉันสงสัยอยู่เช่นกันว่า มันจะมีความหมายอะไรพิเศษไปจาก sms ที่ตอบกลับคนที่ส่ง sms มาในวันปีใหม่คนอื่นๆ

หมดแล้ว หล่อนหมดมุขแล้ว ไอ้ที่จะให้หล่อนทอดสะพานโดยการเทคอนกรีตเสริมเหล็ก หล่อนก็คงทำไม่ได้ โลกนี้ช่างแปลก หนึ่งหนุ่ม (น้อย) โทรมาหาหล่อนจากลอนดอน คุยกันอยู่ร่วมชั่วโมง แน่นอนเขาสนใจหล่อนมาเป็นปีๆ แล้ว อีกนายที่คิดว่ายังไม่เรียบร้อยเรื่องหย่ากับเมีย ก็ดูจะเรียบร้อย หล่อนไม่ได้อยากให้มันเรียบร้อยเลย

หล่อนเป็นพวกประหลาด หล่อนจะแต่งงานได้กับคนที่รู้สึกว่า แต่งงานได้ เท่านั้น หล่อนไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แค่ความดี ความเหมาะสม ทำให้หล่อนตัดสินใจเพื่ออนาคตที่มั่นคงของตัวเองไม่ได้

สำหรับศรุต ชื่อเสียของเขารุนแรงพอๆ กับความสำเร็จที่เขาได้รับ

หล่อนยังไม่รู้ ยังสงสัย นั่นอาจเป็นฟ้าที่ลิขิตให้หล่อนยังผูกพันอยู่กับเขาเช่นนั้น ส่วนจะนานต่อไปขนาดไหน หล่อนมีแผนไว้แล้วเช่นกัน