วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2552

The winner takes it all...


เพลงและบทสนทนาในหนังเรื่อง Mama Mia ควรจะซึมอยู่ในจิตใต้สำนึกของฉันได้แล้ว เพราะฉันเล่นเปิดหนังมาราธอน และก็นอนมาราธอนเช่นกัน...

ก่อนนอนดู Slumdog Millionaire ด้วยความรู้สึกเศร้าสลดในชะตากรรมของเด็กกำพร้าชาวอินเดีย แต่ในความเศร้าความรันทดก็นำมาซึ่งข้อมูลเพื่อตอบคำถาม แม้การย้อนระลึกถึงประสบการณ์ลึกฝังรากจะเป็นการกวนน้ำให้ขุ่น ความทรงจำเจ็บปวดรวดร้าวผุดขึ้นพร้อมกับโอกาสที่จะเป็นเศรษฐีเงินล้าน



ฉันนั่งดูตาแป๋วแม้ฟ้าจะเริ่มสางแล้ว ชีวิตที่ต้องดิ้นรนวัยเด็ก จุดเปลี่ยนของชีวิตจากเหตุการณ์ในอดีต ล้วนทำให้ฉันรู้สึกโชคดีจริงๆ ที่เกิดมาอย่างสะดวกสบายในชาตินี้ ไม่แค่นั้น วันนี้ยังได้รับอีเมลจากคุณนายที่เพิ่งหย่ากับสามีทางนิตินัยไม่นาน สารพัดรูปสะท้อนชีวิตที่ด้อยโอกาส ชีวิตที่ไม่มีทางเลือก ความหวัง ชีวิตที่มีแต่ความมืดมน แม้จะดิ้นรนก็ดูจะปราศจากหนทาง
จากนั้นฉันก็ไซโคตัวเองด้วย Mama Mia อย่างที่เกริ่นในตอนแรก ดูรอบแรกแล้วก็ตาปรือหลับไปตอนไหนไม่รู้ ได้ยินเพลงเป็นครั้งคราวเมื่อตื่นจากหลับลึก ฉันไม่วาย ฝันถึงคนในโลกแห่งความเป็นจริงที่หายหน้าหายตาไปจากผลการกระทำของตัวเอง

ฝันมักจะสะท้อนหรือทำให้เราสมหวังในสิ่งที่คิดยามมีสติ เค้าถึงเรียกว่าฝันหวานไงเธอ

ไม่รู้ว่าการสะกดจิตตัวเองยามหลับใหลจะได้ผลแค่ไหน แต่ในยามตื่น ฉันก็นั่งฝึกร้องเพลงเตรียมดูละครบรอดเวย์เรื่องนี้ที่จะมาเปิดการแสดงในเมืองไทยเดือนสิงหาคมนี้

ตั๋วแพงโค-ตะ-ระ ขอบ่น

แต่แหม ทำไมฉันจะไม่ยอมเสียเงินไปฟังเพลงที่ทำให้ฉันร้องไห้แม้จะไม่ได้เข้าใจเนื้อเพลงเท่าใดนัก

เหมือนๆ กับ All I ask of you ที่ทำต่อมน้ำตาของฉันแตกละเอียดเมื่อ 12 ปีก่อน


I don't wanna talk

About the things we've gone through

Though its hurting me

Now its history


I've played all my cards

And that's what you've done too

Nothing more to say

No more ace to play


The winner takes it all

The loser standing small

Beside the victory

Thats her destiny


I was in your arms

Thinking I belonged there

I figured it made sense

Building me a fence


Building me a home

Thinking I'd be strong there

But I was a fool

Playing by the rules


The gods may throw a dice

Their minds as cold as ice

And someone way down here

Loses someone dear


The winner takes it all

The loser has to fall

It's simple and it's plain

Why should I complain.


But tell me does she kiss

Like I used to kiss you?

Does it feel the same

Then she calls your name?

Somewhere deep inside
You must know I miss you

But what can I say

Rules must be obeyed

The judges will decide
The likes of me abide

Spectators of the show

Always staying low

The game is on again
A lover or a friend
A big thing or a small

The winner takes it all
I don't wanna talk
If it makes you feel sad

And I understand

You've come to shake my hand
I apologize
If it makes you feel bad
Seeing me so tense

No self-confidence


But you see

The winner takes it all

The winner takes it all......

ใส่ซิมผิด


ร้านอาหารในสวนสัตว์ดุสิตยังคงความพิเศษไม่เหมือนที่ไหนเช่นเดิม...

ฉันว่าหลายๆ คนก็คงจะรู้สึกคล้ายๆ กับฉันว่า ร้านอาหารในสวนสัตว์มันจะบรรยากาศดี น่านั่งปล่อยอารมณ์ตอนกลางคืนได้อย่างไร กลิ่นสาปสัตว์มันไม่โชยเข้ามารึ

ฉันค้นพบสถานที่แห่งนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ต้องเรียกว่าเป็นการค้นพบเลยที่เดียวเพราะมันเป็นของดีของหายากที่ไม่น่าจะมี

ถ้าใครเคยไปเขาดินที่อยู่ตรงข้ามกับสวนจิตรลดา ข้ามสะพานเข้าไปที่สวนสัตว์จะเจอร้านอาหารวังวนา หาที่จอดรถแล้วเดินตามทางริมบ่อน้ำขนาดใหญ่ มีเกาะกลางปลูกต้นไม้ใหญ่ไม่กี่ต้นกับศาลาและส่วนหย่อมเล็กๆ เดินเลยเข้าไปข้างในจะมีบันไดไม้ ขึ้นบันไดไปชั้นบน เดินเลียบระเบียงจะมองเห็นวิวพระที่นั่งอนันตสมาคม พร้อมเงาสะท้อนน้ำอย่างที่ฉันถ่ายรูปมาให้ดูนี่แหละ

อาหารอร่อย วิวดี ดนตรีเพราะ (เพราะฉันได้ร้องเอง ฮ่า ฮ่า) อาจารย์รุ่นใหญ่เล่นเปียโน เพลงที่แขกมักจะเลือกร้องก็จะเป็นเพลงยุคสุนทราภรณ์ หรือในราวช่วงปีประมาณนั้น เพราะร้านอาหารนี้ไม่ใช่ร้านอาหารแนวฮิบฮอปสำหรับวัยโจ๋ เป็นร้านสำหรับผู้ใหญ่ที่รักการร้องเพลงมานั่งทานอาหาร ในบรรยากาศกันเอง ไม่ว่าใครจะขึ้นไปร้องเพลงก็จะได้รับการปรบมือให้เกียรติ เป็นสถานที่ที่อบอุ่นทีเดียว

อาหารยังอร่อยเหมือนเดิม วิวยังดีเช่นเดิม และอาจารย์ที่เล่นเพลงให้ฉันร้องก็ยังคงความน่ารักเหมือนเดิมอีกเช่นเคย ที่ออกจะเป็นห่วงคือ ภรรยาเจ้าของร้านไม่ใคร่สบาย พี่ที่ไปกับฉันเลยยกใบมะรุมอัดเม็ดฝากไปให้ สรรพคุณมากหลาย ช่วยทั้งโรคเก๊าท์ มีสารต้านมะเร็งทุกชนิด แถมมีแคลเซียมอีก ราคาประหยัด ภูมิปัญญาคนไทย

ได้รำลึกความหลัง ไม่น้อยไม่มากเกินไป แล้วก็ไปต่อร้านประจำ...ร้านอันเป็นที่มาของหัวข้อบล้อกในวันนี้

ฉันว่า ถ้าจะใส่ซิมผิด ก็คงผิดตั้งแต่ไปเจอะเจอถูกใจร้านอาหารในสวนสัตว์แล้วล่ะ อีกทั้งชอบร้องเพลงโบราณ ผู้หญิงอะไรเลือกร้องเพลง พรานล่อเนื้อ อะไรๆ ที่ฉันเลือก ฉันทำ ประหลาดผิดมนุษย์มนาอีกแล้ว

วันนี้ออกจะเป็นวันเปิดอก ฉันถามพี่รุ่นใหญ่อายุเลยวัยเกษียณว่า ด้วยเหตุอันใด พี่ถึงได้ดูหนุ่มเกินวัยมากมายขนาดนี้ ฉันมองๆ แล้วก็แอบวิเคราะห์เป็นการส่วนตัวมานานแล้วว่า

จริงหรือ ที่ผู้ชายที่ดูหนุ่มจะต้องเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อน

คราวนี้ได้โอกาสถามตัวจริงเสียงจริง และแล้วพี่รุ่นใหญ่สองสามคนก็แบ่งปันประสบการณ์หนุ่มซิ่ง ไล่มาตั้งแต่โลลิต้า บับเบิล อะไรต่อมิอะไรอีกหลายที่ มีทั้งที่ฉันเคยไป เคยได้ยิน และร้านที่ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ในกรุงเทพ

เหตุหนึ่งที่ทำให้ดูอ่อนกว่าอายุจริง ก็เพราะความที่เป็นคนจิตใจดี พี่คนนึงก็ชมอีกคนนั่นแหละ แต่ที่ฉันเห็นก็คือ ทั้งคู่เคี้ยวหญ้าอ่อนหรือไม่ก็หญ้าแก่ที่ดูอ่อน และเลยมาพูดถึงเรื่องของฉันอย่างไรไม่ทราบได้

ผู้ใหญ่มักจะมีวิธีเปรียบเปรยให้ดูไม่เป็นการจาบจ้วง ว่ากล่าวใครตรงจนเกินไป พูดไปพูดมา ได้คำดูน่ารักว่า ฉันเป็นเหมือนพวกโทรศัพท์ใส่ซิมผิด เครื่องรวน ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร แต่ถ้าเครื่องพังขึ้นมาอันนี้ก็ตัวใครตัวมัน

บ้างก็ว่ามั่นใจมากในสิ่งที่ไม่ควรมั่นใจ

จนฉันอดรนทนไม่ได้ ไม่ใช่ด้วยเกิดอารมณ์แต่นิสัยพูดตรง ขวานผ่าซาก เลยยกกรณีที่ฉันรู้ว่าใครๆ ก็คงสงสัยกันหนักหนา ได้โอกาสเฉลยไขข้อข้องใจที่มีมานานให้หายสงสัย หรืออาจจะสงสัยต่อไปเช่นเดิมเพราะไม่เชื่อว่าจะเป็นอย่างที่ฉันพูด เห็นสีหน้าตกอกตกใจกับคำพูดของฉันอีกเช่นเคย

ก็คงจะจริง มั่นใจในสิ่งที่ไม่ควรมั่นใจ

สินค้าที่ติดฉลากผิด

การที่ฉันไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเขาสักที ดูจะเป็นเรื่องแปลกประหลาดเหลือหลาย พี่ก็ว่า แค่ฉันนั่งอยู่เฉยๆ ก็มีผู้ชายมาให้เลือกมากมาย อยู่ที่จะเลือกใคร (โห ฟังแล้ว หัวชนเพดาน)

ก็เพราะอะไรล่ะ เพราะเขาดูกันที่เปลือกนอก

คนที่เปลือกนอกอย่างฉัน ข้างในมักไม่เป็นเช่นนี้

ถ้าคนที่สนใจฉันที่เปลือกนอก ได้มารู้จักฉันลึกเกินคำว่าผิวเผิน ก็เปิดทุกราย

ใครมาเห็นฉันมุมหนึ่งแล้วพอมาเจอมุมที่สองก็เริ่มถอยห่าง เห็นมุมที่สามก็เผ่นแนบไปเลย

คนอย่างฉันถึงได้อยู่ยากไง ไม่แปลกหรอก ที่ถ้าในที่สุดแล้ว ฉันก็จะอยู่เป็นยายแก่เฝ้าสำนักพิมพ์ไปนั่นน่ะ

ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่รู้ตัว ฉันก็รู้ เพียงแต่ฉันไม่ทำอย่างที่คนทั่วไปเขาทำ

บางที คนเรามีคำจำกัดความของผู้หญิงดีแคบเหลือเกิน ฉันคงไม่ได้เป็นกุลสตรีหรอก แต่ก็อดขำไม่ได้ที่มีพี่คนนึงบอกว่า เวลาฉันถ่าย ยังนั่งพับเพียบเลย ฮ่าๆ

ก็เขาไม่เห็นตอนที่มันตรงกันข้ามนะสิ

ตอนนี้ฉันนึกถึงความแตกต่างของคนสองประเภท คนหยาบคายแต่จริงใจ กับ คนพูดจาดีแต่หลอกลวง

เรื่องบางเรื่องฉันคุยกับพี่บางคนอย่างถึงพริกถึงขิง เผอิญพูดดังไปหน่อย หรือมีคนเงี่ยหูฟังเยอะก็ไม่รู้ แต่แล้ว มันก็แค่นั้น นั่นคือความจริง แต่คนฟังน่ะ แอบไปจินตนาการไกลไปถึงไหน ฉันถึงกับต้องบอกว่า ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกพี่ๆ คิดกันเลยแม้แต่นิด อยากจะบอกให้หายข้องใจไปด้วยซ้ำว่า ไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่พี่ๆ เข้าใจกันมาตลอดสิบปีอีกต่างหาก

หลายคนบอกว่า ฉันเป็นคนเปิดเผยเกินไป ฉันว่า ฉันเปิดเผยขนาดนี้แล้วทำไมยังเข้าใจผิดขนาดหนัก แค่ฉันไม่ได้ทำอะไรบางอย่างตามบรรทัดฐานของสังคมแปลว่าฉันประหลาดขนาดนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้น คำจำกัดความของคำว่า ปกติ มันคงแคบซะเหลือเกินสิ สำหรับในวงใน หลายๆ การกระทำอาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดา ช่วงแรกๆ แค่การอ่านหนังสือในผับในบาร์ก็ผิดแล้ว หลังๆ การคุยเรื่องธรรมะดูจะเป็นหัวข้อสนทนาหลักในหลายๆ โอกาส เรื่องเหล่านี้ คนในวงนอกที่ไม่ใช่คนเที่ยวก็มองว่าแปลกอีกนั่นแหละ เขาไม่รู้กันหรอก ว่าคนในผับในบาร์สวดมนต์วันละหลายชั่วโมง อยู่บ้านนั่งตัดแต่งต้นไม้ พรวนดิน เขาเหล่านี้แค่มีบางมุมที่ไม่เหมือนคนกลุ่มนึง มันก็แค่นั้นเอง

แต่นี่ ไม่ต้องนับภาพของฉันในสายตาคนภายนอก ซึ่งไม่ต้องไปกังวลอยู่แล้ว แม้แต่คนในวงประหลาดก็ยังมองว่าฉันประหลาดเลย

ฉันยังคิดไม่ออก ว่า การที่ร้องเพลง เพลงสุดท้าย ของคุณป้าสุดา ชื่นบาน มันประหลาดยังไง ตอนนี้ฉันก็เห็นคนร้องไปกับฉันตั้งหลายคน แถมเมื่อวันก่อน วงดนตรียังเล่นเพลงนี้ด้วยซ้ำ และคนที่ร้องกลับเป็นผู้ชายแท้ๆ ก็เห็นคนเค้าเต้นกันสนุกสนาน

ประหลาด คือ แตกต่าง ขบถ...นั่นล่ะฉัน

ฉันเลยขอสรุปแบบณัฐพัดชาว่า ใส่ซิมผิด แปลว่า ฉันเป็น Early Adopter ผู้นำแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ มาใช้ซึ่งคนทั่วไปยังตามไม่ทัน ฮ่า ฮ่า

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2552

ว่าจะไม่แล้วนา

พี่คนที่หนึ่ง: คืนนี้...ไป...กันมั้ยคะ พี่นัด...ไว้ค่ะ
ฉัน: เอ่อ...ไม่อะค่ะ พี่ ...กะว่าจะไม่ไปแล้วอะค่ะ
พี่คนที่หนึ่ง: ได้ค่ะ ก็ดีค่ะ

พี่คนที่สอง: ... ไป...กันมั้ย วันนี้ ...และ...จาก...จะไปด้วยนะ
ฉัน: (ตาลุกวาว) จริงเหรอคะ เนี่ยบอกพี่...ไปแล้วนะว่าจะไม่ไปอะ พี่นี่รู้จุด...จริงๆ เลย อะ ไปก็ไป

เดินเข้าร้าน เจอพี่...ที่เจอครั้งสุดท้ายเมื่อวันตรุษจีน เค้าว่ากันว่า ปฏิกิริยาแรกคือตัวตนของคนๆ นั้น... เขายิ้มเห็นฟันปากกว้าง ทั้งๆ ที่อายุเลยเลข 5 มาหลายปี

ทำไงละวะ ตรู ไม่ได้เตรียมตัวมาเจอ เป็นผู้หญิงวิ่งเข้าห้องน้ำไม่แปลก จัดการทุกสิ่งอันเสร็จสิ้น เดินออกมา พี่แก ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่มุมโน่น

เออ! ค่อยยังชั่ว มีเวลาให้เตรียมใจอีกนิด

บางครั้งคนที่มีความรู้สึกดีๆ กับเรา อยู่มาวันหนึ่งก็รู้ว่า เราไม่ได้มีความรู้สึกเดียวกับเขา ความผิดหวังคงต้องการเวลาให้ปรับใจปรับตัว ฉันเองเข้าใจและยินดีจะมีความรู้สึกดีๆ ในอีกระดับหนึ่ง แต่คนอื่นที่ฉันบังคับไม่ได้ เขาจะเป็นผู้ใหญ่สมอายุและเลือกรูปแบบความสัมพันธ์ดีๆ แบบอื่นรึไม่ ฉันไม่รู้

แล้วเวลาก็บ่งบอก

พี่...เลิกคุยกับฉันคนเดียวแล้ว เขาคุยกับคนอื่นๆ ในร้านนอกจากฉันและเพื่อนสมัยเรียน ตอนนี้ เขาทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ ไม่อึดอัดที่ว่าต้องคุยกับเขาเพราะถ้าฉันไม่คุยเขาก็ไม่คุยกับคนอื่น คราวนี้ฉันเลือกได้ว่าจะเป็นตัวเอกหรือตัวประกอบ โล่งใจจัง

เรายังคงคุยกันเรื่องเดิมๆ เรื่องดวง ดาวอะไรย้ายมาเจออะไร ทับอะไร เล็งอะไร ไปตามเรื่อง ฉันน่ะ เป็นพวกคิดเข้าข้างตัวเองอย่างแรง ถ้าดาวบอกว่าดี เออ ถูกแล้ว ถ้าดวงบอกว่าไม่ดี ฉันไม่เชื่อ คนเรานี่แหละเป็นผู้กำหนด

พี่...ยังคงบ่นเรื่องภรรยาเช่นเดิม ฉันก็ยังยืนยันเช่นเดิมว่า ภรรยาพี่ฉลาด ได้สามีดี ดวงเป็นเกษตรอย่างนี้ ยังไงพี่ก็หนีเขาไม่พ้น นี่ดวงย้ายแล้ว เรื่องทุกข์อะไรที่เคยแบกไว้ก็จะลดลงไปครึ่งนึง

เห็นมั้ยล่ะว่า อะไรดีฉันก็พูดเป็นตุเป็นตะ คนถึงชอบให้ฉันผูกดวง เดา พูดมั่วๆ ไปเรื่อย

พี่...ไม่วายบ่นเหมือนเดิม "ถ้าอะไรที่ไม่ได้ มันไม่ดีมาตั้ง 17 ปีแล้วล่ะ หลังจากแต่งงาน 3 ปี มันก็แย่มาตลอด"

ฉันก็ตอบกลับทันควัน "อ้าวพี่ อย่าไปยึดติดกับอดีตสิ ดาวย้ายแล้ว คราวนี้คงได้ดีกันแหละ พี่ชวนเค้าไปดูงานด้วยสิ แทนที่จะไปคนเดียว"

แล้วฉันก็เอามุขเดิมมาฉายซ้ำใหม่ "พี่ เราต้องเป็นเหมือนปลาโลมาสิ ไม่ว่าคลื่นจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง มันก็สนุก ไม่เดือดร้อนอะไร"

"อย่ามาพูดเรื่องปลานะ รู้ได้ไงว่าปลาโลมามันมีความสุข"

ไอ้ฉันก็ลืมไปว่าพี่แกเป็นผู้เชี่ยวชาญ และเพิ่งจะเซ็งกับการที่ปลายักษ์ใหญ่ตายไปเกิน 80% คิดเป็นเงินหลายล้านอยู่

อีกคนเดินเข้ามา ตามคำชวนกึ่งส่วนตัวกึ่งงาน ไม่ได้เดินเข้ามาเลยหรอกนะ เดินขึ้นบันไดมา แล้วสะดุดหยุดกึกตรงนั้นแหละ บุหรี่ที่สูบอยู่ไม่มีทีท่าว่าจะหมดมวนซักที

ไม่กล้าเดินเข้ามาเป็นแน่แท้

ให้ฉันต้องเดือดร้อนในฐานะคนชวน เดินไปหาพาเข้ามาในร้าน

"ทำไมคนเยอะอย่างนี้ล่ะ"

แล้วฉันจะตอบยังไงล่ะ แขกนึกจะมาก็มา ตอนชวนก็ไม่ได้เยอะอย่างนี้ ก็เขาทยอยๆ กันมาอะ

ใจดีสู้เสือ เอาวะ นั่นคงเป็นสิ่งที่เขาคิด ตามความคาดเดาของฉัน

น่าแปลกที่คนที่เข้าสังคมอยู่ในระดับดี เกิดจะพูดอะไรไม่ออก นั่งเงียบ ไม่ร่วมวงสนทนาใดๆ ถามว่าจะดื่มอะไรก็ไม่ดื่ม แล้วก็จากไปโดยมิได้อำลา

ว่าจะไม่ห่วงแล้วนา แต่ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ ในฐานะคนชวน ส่งข้อความไปหลายข้อความ โทรไปไม่รับสาย คนไม่ชอบตื้ออย่างฉัน เมื่อไม่รับครั้งเดียวก็หยุด

แต่ความรู้สึกขุ่นข้องหมองใจที่มีแต่เก่าก่อน หายไปเป็นปลิดทิ้ง ความรู้สึกของคนเรามันก็อย่างนี้ละน้า พอตามแล้วหนี พอหนีแล้วกลับตาม

แล้วถ้าต่างคนต่างหนี มันจะเด้งกลับมาชนกันมั้ยหนอ...

เดี๋ยวคืนนี้ก็รู้!

วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2552

เพราะคุณ...

เรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของฉันมักจะมาแวะเวียนตอนฉันตื่นนอน...

วันนี้ดูจะมีมากมิติกว่าวันอื่นๆ...

คนใกล้ชิดชอบบอกว่าคนอย่างฉันต้องอยู่คนเดียว ใครเลิกจากฉันไปโชคดี ใครทนอยู่กับฉันเขาซวย

ฉันแย่ขนาดนั้นจริงๆ เหรอ ฉันไม่น่าเข้าใกล้ขนาดนั้นเลยเนี่ยนะ

สงสัยจะจริง ฉันสังเกตสายโทรศัพท์ที่โทรเข้ามา พูดแบบให้รีบจบธุระจะได้วางสาย หรือไม่ก็สายที่ฉันโทรไปบ่นว่าทำไมไม่ทำตามที่พูด

ฉันผิดมากนักเหรอที่คาดหวังว่าคนจะทำตามที่รับปากไว้ คนในโลกปัจจุบันเขาไม่ทำตามที่รับปากกันเหรอ แล้วฉันเป็นมนุษย์ประหลาดอยู่คนเดียวรึไง ฉันก็มีที่ไม่ทำตามที่รับปากเหมือนกันนิหว่า หรือว่ามาตรฐานที่ฉันตัดสินตัวเองกับตัดสินคนอื่นมันไม่ใช่มาตรฐานเดียวกัน สรุปว่าฉันเป็นคน double standard แบบที่คนในวงการเมืองชอบใช้

แล้วก็ให้นึกถึงหนังสือที่คล้ายจะหยิบเอาเศษเสี้ยวประวัติของมูราคามิมาใส่ไว้ เพื่อให้คนอ่านผลงานของเขาได้รับรู้ตัวตนจริงๆ ไม่ใช่ผ่านเรื่องปั้นน้ำเป็นตัวที่เขาพูดว่าเป็นเหมือนชีวิตประจำวัน น้อยครั้งนักที่เขาจะพูดความจริง

It is not painful to be alone.

ได้ยินมาว่ากวีเอกผู้นี้ค่อนข้างจะสันโดษ มีภรรยาเป็นทั้งเพื่อนและคู่ชีวิต อันที่จริงมันก็เป็นลักษณะนิสัยของนักเขียน ผู้ที่นำความจริงมาตีแผ่ในสถานการณ์จำลอง ถ้าคิดเหมือนคนอื่นไม่มีเอกลักษณ์ หนังสือคงขายไม่ได้ แต่เอกลักษณ์ที่เป็นข้อเด่นในทางหนึ่ง ก็เป็นข้อจำกัดที่ทำให้โดดเดี่ยว

แต่ท่าทางเขาคงจะไม่เดียวดาย...

บ้างก็ว่าฉันไม่ยืดหยุ่น บ้างก็ว่าทำไมต้องพยายามขนาดนี้

ถ้าฉันจะบอกตรงนี้ว่า คนที่พูดถูกคือคนที่มีความเห็นอย่างหลังล่ะ จะมีคนเชื่อฉันมั้ย

เผอิญตั้งแต่ฉันจำความได้ มีอยู่คนเดียวที่พูดประโยคนี้

เช้าวันนี้ ฉันบอกกับตัวเองว่า ฉันจะเลิกยืดหยุ่น...แล้ว เพราะไม่ว่าฉันจะยืดหยุ่นจนหย่อนยานขนาดไหน คนทั่วไปก็ยังมองว่าฉันไม่ยืดหยุ่นอยู่ดี ฉันจะอยู่ในโลกส่วนตัวที่แม้จะมีเพียงคนน้อยนิดที่เข้าใจฉัน ฉันจะไม่ดิ้นรน ปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับคนอื่นๆ ได้...แล้ว

ฉันจะได้อยู่อย่างมีจุดยืนซะที

ฉันจัดวางตัวเองไว้เรียบร้อยในหลายความสัมพันธ์ กะจะประกาศตัวให้เป็นเรื่องเป็นราว ตามประสาคนเปิดเผย กำลังจะทำให้เป็นมากกว่าความคิดแล้วล่ะ

แล้วสิ่งดีๆ ก็เข้ามาในชีวิต

โทรศัพท์สายแรกดังขึ้น หยุดดัง ฉันโทรกลับ ว่าที่ลูกค้าโทรเข้ามาสอบถามจะสั่งหนังสือ เจตนาจะยืนยันจำนวนเงินที่ต้องโอน ฉันยังอยู่บนเตียง ไม่มีเครื่องคิดเลข ก็บอกไปตามตรงตามประสา (แค่เรื่องเครื่องคิดเลขนะ) จะจัดส่งให้เมื่อได้รับหลักฐานการโอนเงิน

ฉันอาจนับเวลาพลาด แต่ไม่น่าเกิน 10 นาที หมายเลขเดิมโทรเข้ามาแจ้งว่าโอนเงินและส่งหลักฐานเข้ามาทางอีเมลแล้ว หนังสือจะถึงปลายทางเมื่อไหร่ ฉันก็บอกไปตามตรงอีกแหละว่าคงประมาณวันจันทร์หรืออังคาร แต่น้ำเสียงปลายสายบ่งบอกว่า ใจอยากให้หนังสือลอยมาถึงเลย

เธอสั่งหนังสือคราวเดียว 3 เล่ม สามเล่มในชีวิตที่ฉันแปล (แพร์ซโพลิส 1 และ 2 บวกเล่มล่าสุด เย็บถากปากร้าย) ติดใจคนเขียน มาร์จอเน่ ซาทราพิ หรือคนแปลไม่รู้ (ขอคิดเข้าข้างตัวเองนิดนึง)

นั่นเป็นที่มาของแรงที่ดันให้ฉันลุกขึ้นจากเตียง เดินออกจากประตูห้องนอนเข้าห้องทำงาน ดีมั้ยเธอ ไม่ต้องเสียเวลาแม้แต่แปรงฟัน

เปิดคอมเช็คเมล์ได้คำตอบเรื่องหนังสือเล่มใหม่ที่จะเสร็จส่งคลังพรุ่งนี้ และรับเมลจากลูกค้าผู้แสนดี นำแสงสว่างมาสู่ชีวิตของฉัน ในยามที่คล้ายจะหาคนเข้าใจไม่เจอ ฉันตอบอีเมลด้วยใจ แนะให้ลองอ่านบทความที่เกี่ยวข้องกับหนังสือทั้งสามเล่มจากเว็บและบล้อกไปก่อน

ลงชื่อ ณัฐพัดชา

แทนที่จะเป็น กำมะหยี่หรือชื่อในโลกแห่งความเป็นจริง

แล้วสายถัดไปก็เรียกเข้ามา

...ผมสนใจหนังสือ เส้นแสงที่สูญหาย เราร้องไห้เงียบงันครับ จะขอรูปเอาไปลงวารสารทางการแพทย์ กำลังจะปิดเล่มแล้ว ในเว็บบอกว่าให้โทรมาขอไฟล์ปกความละเอียดสูงได้ และผมอยู่ตรงข้ามโรงพิมพ์อยากจะได้หนังสือไปเป็นของขวัญวันรับปริญญาของเพื่อนวันพรุ่งนี้...

ดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ ไม่ได้ขอแต่หลั่งมาในยามที่ต้องการพอดิบพอดี

โทรถามโรงพิมพ์ทันที พอจะเป็นไปได้มั้ย มีสื่อโทรเข้ามาจะปิดเล่มหนังสือและอยากจะให้เป็นของขวัญวันรับปริญญาเพื่อน โรงพิมพ์ก็ต้องอึดอัดใจ ที่รับปากไว้ก็จวนเจียนอยู่แล้ว แต่เมื่อรับปากว่าพรุ่งนี้ ก็คือพรุ่งนี้

โอ ถ้าต้องติดต่อประสานงานกับคนที่ทำตามคำพูด จะมีสุขใดเหมือน

ฉันเตรียมห่อหนังสือส่งให้ลูกค้าที่โอนเงินมาให้ตั้งแต่ต้นอาทิตย์ และคนที่อยากให้หนังสือเป็นของขวัญวันจบการศึกษาหากคนให้ไม่เปลี่ยนใจเสียก่อน

ว่าแล้วก็เปิด facebook ตะโกนก้องว่า ...is happy with real nice clients.

เปิดไปดูบทสนทนาเก่าๆ ใน windows live messenger แล้วฉันก็แน่ใจว่า ฉันเป็นคน "ยืดหยุ่น" แต่ไม่ "หย่อนยาน" ส่วนถ้าใครจะสับสนกับคำจำกัดความระหว่างสองคำนี้ ก็

ช่างแม่ง!!

หนังสอนฉัน (อีกแล้ว)

ฉันหาเรื่องเสียตังค์ทางอินเตอร์เน็ตอีกแล้ว…

เมื่อสองสามวันก่อน กล่องพัสดุจาก amazon.com มาถึงฉันเร็วเกินคาด ยิ้มกับความสุขเล็กๆ ที่จะได้ดูหนังที่อยากดู บางเรื่องดูแล้ว บางเรื่องยังไม่ได้ดู ไม่ได้ซื้อมาเป็นสิบหรอกเธอ ซื้อแค่ 3 เรื่องเท่านั้นแหละ

เรื่องที่ฉันแกะกล่องเปิดดูเรื่องแรกคือ A Good Woman ด้วยประทับใจจากหนังตัวอย่างที่ติดมากับดีวีดีเรื่องอื่น หนังเรื่องนี้คงได้ฉายในเมืองไทยแล้วมัง แต่ไม่ใช่หนังตลาด ถ้าจะฉายออกโรง ก็คงฉายไม่นาน ฉันยังย้อนภาพความทรงจำสมัยอยู่ต่างจังหวัด เวลามีหนังใหม่เข้ามา ถ้าเป็นหนังประเภทนี้ต้องรีบจูงมือคนที่ยังมีให้จูงเดินต๊อกๆ สองคนไปโรงหนัง นั่นคงเป็นหนึ่งในความชอบที่มีร่วมกัน

A Good Woman เป็นเรื่องของผู้หญิง น่าจะเป็นผู้หญิงสองคนที่ถามคนดูตลอดเรื่องว่า คนไหนที่เป็น A Good Woman เพราะชื่อเรื่องบ่งบอกความเป็นเอกพจน์ แปลว่า มีผู้หญิงดีได้แค่คนเดียว (รึเปล่า) แต่มาคิดอีกที อาจจะหมายถึงผู้หญิงคนนึงที่มีความธรรมดาเหมือนคนทั่วๆ ไป คือ มีทั้งดีและไม่ดี แล้วการกระทำของเธอเราจะประเมินว่าเธอเป็น A Good Woman หรือไม่

ฉันไม่แน่ใจว่าเวลาเข้าชิงรางวัลต่างๆ เขานับว่าใครเป็นนางเอก แต่ฉันถูกใจ Helen Hunt ที่สุด ยังนึกถึงแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเธอขณะกำลังผสมน้ำอุ่นแล้วเอี้ยวตัวมาคุยกับตุ๊ดในเรื่อง As Good As It Gets ฉันเพิ่งสังเกตว่า มีคำว่า Good ทั้งสองเรื่องเลย

มันจะตามหลอกหลอนฉันไปถึงไหน...

ฉันชอบบทสนทนาของผู้หญิงฉลาดและยังสวยอยู่อย่าง Mrs.Erlynne ทั้งในยามที่สร้างความประทับใจแรกกับ Mr. Windermere ที่หล่อขาดใจ และที่หว่านเสน่ห์ให้ตาเฒ่าที่มีศักดิ์เป็นลุงของพ่อหนุ่มคนนั้น มีคนเขาว่าผู้หญิงเซ็กซี่ที่สมอง ฉันก็ว่าบท Mrs. Erlynne คนนี้ล่ะ ที่เซ็กซี่ถูกใจฉันจริงๆ

A man gets a wife he deserves.

เป็นประโยคเดียวที่ฉันจำได้ และดูเหมือนจะเป็นคำพูดสุดท้ายของเธอด้วย

เรื่องถัดมาฉันเลือกดู Australia ที่นิโคล คิดแมน แม่สาวตาสีฟ้า ใส่ชุดเริ่ดออกงานทุกครั้ง ดูเรื่องนี้แล้วให้นึกถึง Out of Africa จริงๆ โครงเรื่องเหมือนกันเด๊ะ เพียงแต่ Australia ไม่หักหาญน้ำใจคนดู ให้นางเอกครองรักกับพระเอกหุ่นกำยำล่ำสัน เพียงแต่ให้ลูกเลี้ยงที่เป็นลูกครึ่งอะบอริจินส์ walkabout ตามวิถีของพวกเขา

เรื่องที่เก็บไว้ดูเรื่องสุดท้ายคือ The Shawshank Redemption เป็นเรื่องเดียวที่ฉันเคยดูแล้ว แต่ความอมตะของเนื้อหาทำให้ฉันต้องซื้อเก็บไว้ คงจะเอาไว้ดูเวลาหมดหวังหรือต้องการกำลังใจกระมัง หนนี้ฉันดูแล้วก็รู้สึกว่า ฉันคงต้องอดทน รู้จักรอคอยเหมือนพระเอก หัดวางแผนระยะยาว(มากๆ) คิดการใหญ่และไกล ทำสิ่งที่คนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพียงเพราะไม่เคยลองทำ

คนพูดน้อยมักจะต่อยหนัก ไม่ต่อยอย่างเดียวขูดกำแพงทะลุไปอีกฝั่งด้วยความอุตสาหะเกือบ 20 ปี นั่นเป็นสิ่งที่เรื่องเฉลยให้ดูตอนหลัง ความไม่ย่อท้อในการเขียนจดหมายขอเงินทุนและหนังสือสำหรับห้องสมุดของเรือนจำร่วม 6 ปี แม้เงินที่ได้จะเพียง 200 เหรียญ แต่มันเป็นรางวัลของความพยายาม รางวัลที่ได้รับจากการเชื่อมั่นและกระทำเพื่อให้ได้สิ่งที่มุ่งหวัง ฉันเองยังอยากมีห้องสมุดอย่างนี้บ้างเลย แต่ฉันซึ่งมีศักยภาพมากกว่าเขาตั้งเยอะ ยังไม่เคยได้ใช้ความพยายามอย่างจริงจังในการทำให้มันเกิดขึ้นจริง

ฉันคงได้อะไรๆ มาง่ายเกินไป เลยไม่มีความอดทนและพยายามเหมือนคนที่ลำบากกว่าฉัน

เพิ่งดู Shawshank จบ แต่ฉันกลับนึกถึงประโยคก่อนเริ่มเรื่อง Australia

A life in fear is half-lived.

หวังว่าฉันคงจำไม่ผิดอะนะ

จริงๆ แล้ว fear ความกลัว สะท้อนอยู่ในหนังทั้งสามเรื่องและชีวิตประจำวันของทุกๆ คน ความกลัวเป็นแรงขับดันให้คนเราทำอะไรได้มากมาย คนกลัวจนขยันทำงาน คนกลัวตายมีทั้งไม่ยอมหาหมอเพราะปฏิเสธความจริงหรืออีกขั้วก็ตรวจละเอียดถี่ยิบ อะไรที่มีแล้วอาจเป็นมะเร็งก็ตัดมันซะงั้น คนกลัวผิดหวังก็เลือกจะไม่หวังหรือไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนั้นไปเลย กลัวไม่เป็นคนดี ต้องทำผิดเพื่อรักษาความดี (แล้วได้เป็นมั้ยนั่น คนดีน่ะ) กลัวถูกหลอกก็เลยไม่เปิดใจยอมเสี่ยง แล้วก็โดนหลอกในที่สุด

สรุปว่า ไม่ต้องไปกลัวอะไรมันทั้งสิ้นใช่มั้ยเนี่ย รับได้กับสถานะเหมือนปลาโลมาล้อคลื่น

สงสัยฉันคงต้องไปศึกษาชีวิตปลาโลมาซะแล้ว

หรืออันที่จริง ความไม่รู้เป็นสิ่งที่ฉันกลัวกันแน่ ถ้างั้นก็ยอมรับมันเลยสิ ไม่รู้ก็ไม่รู้ ไม่ต้องไปไขว่คว้าหาความจริง รู้หรือไม่รู้จะทำให้ทุกข์หรือสุขก็ใช่ที่ ฉันเป็นคนกำหนดเองว่าจะรู้สึกอย่างไร ปล่อยให้อะไรมามีอิทธิพลกับจิตใจตัวเองบ้าง

แล้วฉันเขียนบล้อกวันนี้ทำไมเนี่ย

เพื่อสอนตัวเองในสิ่งที่รู้ แต่ “ยังไม่รู้” รึเปล่าเธอ

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552

อย่างงี้เรียกโดน!!

ในช่วงอาทิตย์สองอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้เจอะเจอทั้งตัวจริงเสียงจริงและตัวปลอมตามสายตามเว็บของเพื่อนนักเรียน รวมไปถึงพี่ๆ น้องๆ ร่วมสถาบันมากมายหลายสิบ รำลึกความหลังเหมือนคนแก่บ้าง ดูรูปสมัยยังไม่เป็นสาวดีก็ด้วย เห็นความเปลี่ยนแปลง ดูความเคลื่อนไหว เป็นไปของเพื่อนๆ ที่วัยนี้ก็มีแต่เรื่องลูกในหัวใจ ชีวิตเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันส่วนใหญ่ ยังไงผู้หญิงก็ไม่พ้นความเป็นผู้หญิง ลูกมาอันดับหนึ่ง บางคนอาจจะมีธุรกิจส่วนตัวที่เกี่ยวเนื่องกับเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนอนุบาล สถานเสริมทักษะด้านต่างๆ ของเด็ก ทำเสื้อผ้าเด็กขาย หรือไม่ก็ทำงานแบบเวิร์คกิ้งวูแมนแล้วก็บ่นๆ ๆ เรื่องลูกน้อง ลูกค้าไปโน่น คนที่ไม่มีลูกก็บ่นเรื่องซะมีที่รู้สึกจะแตกแถวเป็นครั้งคราว คนที่บ่นก็มักจะมาจากการตัดสินใจเริ่มแรกที่ว่า ฉันรักเธอ เธอรักฉัน เรารักกัน ฉันยอมได้ แล้วฉันก็ยอมสละชีวิตชาวกรุง ชีวิตผู้หญิงทำงาน เพื่อไปอยู่กับเธอ (ตอนนี้มันคุ้นๆ ยังไงพิกล)

ถ้าฉันเลือกทางเดินเส้นเดิม ฉันก็คงจะเจริญรอยตามเพื่อนๆ เลี้ยงลูกแล้วก็วุ่นวายอยู่กับโรงเรียนอนุบาลหรือไม่ก็ห้องสมุดเด็กที่ฝันไว้ ใกล้ทะเลต่างจังหวัด อันเนื่องมาจาก ฉันตัดสินใจแบบ ฉันรักเธอ ฯ ข้างต้น

แล้วฉันก็เปลี่ยนใจ...

กลับมาเริ่มต้นใหม่กับคนที่คิดว่าใช่ ซึ่งฉันก็น่าจะได้มีชีวิตแต่งงานไปเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ แล้ว ทีนี้ไอ้คนปัญหามากอย่างฉันก็ดันเกิดอาการ "มันไม่ใช่อะ" อีกแล้ว อาการที่ใครๆ ก็ระอา "แล้วมันจะอยู่กับใครได้" หรือไม่ก็ "ใครจะทนอยู่กับมันได้" จากที่จะได้เป็นแม่บ้านเต็มตัว ลุกขึ้นมาทำงานประจำอีก แล้วหลังจากโดนมรสุม ถามตัวเองอีกครั้งว่า

"เราต้องการอะไรกันแน่ในชีวิต"

ฉันอยากมีอิสระ นั่นคือ คำตอบสุดท้าย

ล้มๆ ลุกๆ อยู่เป็นปี จับผลัดจับผลูมาเจอคู่บุญหรือคู่กรรม (อันนี้ไม่รู้จะให้ใครตัดสิน ฮ่า ฮ่า) ได้มาเปิดบริษัท ทำอะไรแบบลิงค์ที่ใส่ไว้ด้านล่างนี่แหละ

อ่านแล้วก็ให้โดนใจเป็นที่สุด

วันนี้เพื่อนเก่า(แก่) ถามขึ้นมาอีกว่า "ทำเพื่ออะไร" คล้ายๆ กับน้องที่มาช่วยงานก็ถามคำถามทำนองนี้เช่นกัน ฉันก็ตอบแบ่งรับแบ่งสู้ไปว่า "ก็ต้องทำให้อยู่ได้" ส่วนที่ว่าอยู่ได้ยังไงนั้น ฉันก็ทำเหมือนบทความที่ว่านั่นแหละ

ยิ่งใครเคยทำงานระดับบริหารในองค์กรขนาดใหญ่ หรือแม้แต่องค์กรเล็กๆ ก็คงจะยิ่งประหลาดใจว่าทำไมได้ค่าแรงน้อยขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าฉันจะรู้แล้วหรอกนะว่าผลตอบแทนต่อเดือนน่ะเท่าไหร่ บอกตรงๆ ว่าไม่กล้าคิด คิดแต่ว่า จะลด/ประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างไร อะไรทำได้เองก็ทำ ขนาดจะให้มอเตอร์ไซด์ไปส่งจดหมายให้ ถ้าเป็นฉบับเดียวก็จะเริ่มคิดแล้วว่า ฉันควรจะไปส่งเองแล้วก็หาเรื่องทำธุระซะทีเดียวเลยดีมั้ย จะได้ไม่ต้องเสีย 50 บาทซึ่งแพงเกินไป ไม่ควรเป็นต้นทุนของการส่งหนังสือให้ลูกค้าเพิ่มเติม

แต่พอดีวันนี้ นอกจากส่งหนังสือให้ลูกค้าแล้ว ฉันก็ต้องส่งหนังสือให้บรรณาธิการเทียบกับต้นฉบับภาษาต่างประเทศด้วย เฮ้อ! ค่อยยังชั่ว ค่อยคุ้มค่าจ้าง แต่ก็ยังไม่วาย นั่งคิดว่าถ้าฉันต้องจ่ายเงินให้มอเตอร์ไซด์ไปส่งจดหมายให้ฉันทุกวัน เทียบเท่าเงิน 1500 บาท

มันก็โอเคนิหว่า

ถ้าจ้างคนทำงานประจำมันเยอะกว่านั้นเยอะ จ้างเป็นงานๆ ไป เหมาะที่สุด อิสระทั้งเราและผู้ร่วมงาน

ว่าแล้วก็ออกจากบ้านอย่างสบายใจไปหาซื้อชั้นวางหนังสือเหล็กด้วยคูปองแทนเงินสด 3500 บาทที่อยู่ดีๆ ก็ได้มาเหมือนฟ้าประทาน เงินทองอยู่ติดตัวนานไม่ได้ ต้องทำให้หายไป

ข้อมูลอะไรที่หาไว้แล้วล่วงหน้า ไม่สนใจทั้งนั้น เพราะถ้าซื้อที่อื่น ฉันต้องจ่ายเงินสด แต่นี่ ไม่ต้อง เหมือนได้ฟรี(เพิ่มเงินอีกนิด ใช้กึ๋นปรับให้เข้ากับการใช้งานอีกหน่อย) ค่าแรงคนประกอบก็ไม่ต้องเสีย เพราะฉันประกอบเอง หญิงเหล็กเจ้าค่า(ก็ประกอบชั้นเหล็กนิ)

ขนหนังสือเอง ประกอบชั้นวางหนังสือเอง เก็บเงินเอง หาพันธมิตรเอง รวย(จน)เอง

เสียแค่เหงื่อกับเวลา แถมไม่ปวดหัวเรื่องคน เรื่องความผิดพลาดที่เราควบคุมไม่ได้

ก็ทำให้สำนักพิมพ์ไอ้ตัวเล็กนี่อยู่ได้ละน่า

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000030565

ชาเย็น


วันนี้มีเรื่องชาเย็นเข้ามากระทบโสตประสาทของฉัน 2 ครั้ง แต่มีนัยยะเหมือนกันเป๊ะ เพียงแต่ครั้งแรก เจ้าตัวปัญหาเป็นคนพูด ครั้งที่สอง ยัยอรอินทร์ในละครฮิตตลอดกาลเป็นผู้พูด

เรื่องแรกน่าเบื่อ เล่าเรื่องที่สองดีกว่า

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ดู เมียหลวง เวอร์ชั่นนี้เป็นครั้งแรก เห็นข่าวโปรโมทและหนังโฆษณาผ่านตามาหลายหน เหตุที่ทำให้สนใจล่าสุดคือ มีคนตั้งข้อสังเกตว่า ดร.วิกานดาใช้กระเป๋าแอร์เมสรุ่นเบอร์กิ้น รุ่นที่มีตังค์อย่างเดียวเป็นเจ้าของไม่ได้นะ (ต้องโง่ด้วย...เฮ้ย ไม่ใช่) ต้องสั่งจองล่วงหน้า รอกันเป็นปีๆ ไม่ใช่แพงธรรมดานะเธอ แพงเข้าขั้นเทพเลย หกเจ็ดหลักโน่น (พอดีฉันไม่มี เลยไม่อยากระบุชัดเจน เท่าที่ได้ยินมาก็ห้าแสนขึ้นนะแหละ) ส่วนอรอินทร์ใช้แชลแนล คนที่ตั้งข้อสังเกต สงสัยว่า ในละครใช้กระเป๋าจริงรึเปล่า แชลแนลน่ะ น่าจะเป็นไปได้ แต่เบอร์กิ้นนางเอกของเรื่องจะมีใช้ในชีวิตจริงละหรือ

พอฉันดูก็จับตามองที่กระเป๋าของตัวเอกทั้งสองทันที เบอร์กิ้นของดร. วิกานดา สีออกเหลืองทอง เป็นสีที่ฉันมองว่า ใช้ได้กับทุกโอกาส แล้วก็ไม่ธรรมดาเกินไปแบบสีดำ ส่วนอรอินทร์ ใช้กระเป๋าสีดำตลอด แต่ชุดเสื้อผ้าเซ็กซี่ ฉูดฉาด ทั้งสองแต่งตัวตรงกันข้าม ใช้กระเป๋าแบรนด์เนมเหมือนกันแต่เฉดสีตรงข้าม

เขียนๆ ไป ฉันก็นึกถึงละครที่พระเอกเจ้าชู้สุดๆ อีกหนึ่งเรื่อง สาปภูษา ผู้หญิงของพระเอกสองคนปักผ้าคนละผืน คนนึงผ้าสีสันฉูดฉาด บาดตา มองแล้วสดใส ส่วนอีกผืน งานละเอียดแม้จะดูธรรมดา แต่ก็ไม่อาจละสายตาได้ นั่นคือความเห็นของผู้ชายที่เห็นผู้หญิงคนไหนสวยไปหมด ตามแบบฉบับของผู้ชายโรแมนติกที่ถ้าใครชอบผู้ชายประเภทนี้ก็ต้องรับข้อเสียที่เขาไม่สามารถมีผู้หญิงเพียงคนเดียวได้ เว้นแต่ว่า ผู้หญิงคนนั้นจะทำตัวเป็นผู้หญิงออลอินวัน เป็นทั้งหลวงทั้งน้อยในคนๆ เดียว

กลับมาเรื่องเมียหลวงดีกว่า ตอนที่ฉันดูนี้เป็นช่วงที่ปัญหาสุกงอมจนจะเน่าคาต้นอยู่แล้ว ดร.วิกานดาเอือมระอากับความเจ้าชู้ของสามีตลอด 10 ปีที่อยู่กินกันมา อีกทั้งอรอินทร์ยังแสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของแบบออกนอกหน้า มาระรานและเล่นสงครามเย็นที่บ้านของดร. วิกานดาอีกต่างหาก ผู้หญิงที่วนเวียนอยู่ในชีวิตของดร. อนิรุธ ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น มีสาวซื่อใสชื่อนุดี และยังสาวใช้หน้าตาดีเกินควรที่บ้านดร. วิกานดาด้วย

อรอินทร์น่ะ นางร้ายของแท้ แบบฉบับดั้งเดิม นุดีหลงรักดร.อนิรุธพร้อมๆ กับรู้สึกผิดที่ทรยศต่อนายแสนดีอย่างดร.วิกานดา ส่วนสาวใช้ที่ฉันไม่ทันสังเกตว่าชื่ออะไร รักดร.ทั้งสองและออกจะหึงหวงแทนนายที่แสนจะเป็นผู้ดีของหล่อน

ดร.วิกานดาถึงขีดสุดแล้ว หล่อนไม่อยากอยู่ต่อไปจนเกลียดดร.อนิรุธ เพราะถึงอย่างไร เขาก็ยังเป็นพ่อของลูกทั้งสองของหล่อนอยู่ดี ฉันว่าหล่อนเล่นดีนะ เล่นแบบผู้หญิงที่ทนท้นทน แบบ สีทนได้ มาแรมปี ทนจนมันเอ่อท้นอย่างที่หล่อนใช้คำว่า ทนจนสำลักความเกลียด แล้วก็ยื่นคำขาดว่าเขาหรือหล่อนจะต้องเป็นฝ่ายที่ออกไปจากบ้าน
ดร.อนิรุธไม่คิดว่าหล่อนจะจริงจัง พูดด้วยอารมณ์แล้วก็คงหายไปเพราะเขาก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว ผู้ชายเจ้าชู้เป็นเรื่องธรรมดา (อันนี้เมื่อไหร่คนไทยจะเปลี่ยนความคิดอุบาทว์นี้เสียที) แต่แล้วคืนถัดมาหล่อนก็ถามซ้ำย้ำคำเดิม เมื่องอนง้อไม่ได้ผลก็ประชดซะเลย

"ใช่สิ ผมมันไม่มีความหมาย คุณน่ะฉลาด เก่ง จัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้เรียบร้อย"

"ผู้หญิงยังไงก็เป็นผู้หญิงวันยังคำ นอกเสียจากว่าผู้นำจะมีความบกพร่องอย่างร้ายแรง"

เธอดูภาษาที่ดร. เขาทะเลาะกันสิ คนการศึกษาสูงเขาทะเลาะกันแบบนี้ แต่รูปแบบของปัญหาไม่ได้แตกต่างกับชาวบ้านร้านตลาด มันก็ไม่พ้นเรื่องใต้สะดือนั่นแหละ

แม้จะเถียงจนดร.อนิรุธอึ้ง ทรุดนั่งลงกับเก้าอี้ แต่ดร.วิกานดาก็แอบมาร้องไห้อยู่ในห้อง (ก็หล่อนเป็นผู้หญิงนิ) รำลึกความหลังสมัยรักยังหวานชื่น ความรู้สึกสับสนปนเป หนึ่งก็คำอบรมจากผู้ใหญ่ตอนแต่งงานว่า เราเป็นผู้หญิงอย่าถือตัวว่า เก่ง ฉลาด อีกหนึ่งก็คำพูดของดร.อนิรุธที่บอกว่า ทั้งเก่งทั้งฉลาดอย่างหล่อน ทำให้เขาภูมิใจ ไม่มีทางที่เขาจะหมดรักหล่อน

ฉันชอบที่ละครฉายภาพความหลังแทนที่จะมาพูดใส่หรือสรุปให้คนดูเสร็จสรรพ เป็นละครน้ำเน่าแบบใส่ออกซิเจนเข้าไปบ้างแล้ว และเมื่อใครๆ ก็ชอบค่อนขอดว่าดีนัก ทุกฉากที่อรอินทร์คิดหาหนทางที่จะแย่งสามีชาวบ้าน จะมีพี่คอยเตือนทุกครั้งไป ทีมงานที่จัดละครเรื่องนี้คงมีความรับผิดชอบต่อสังคมละมัง
เมืองไทยเราปล่อยปละละเลย เด็กตัวกะเปี๊ยกก็ดูละครรอบดึกได้แต่ไม่มีผู้ปกครองนั่งดูเป็นเพื่อนหรือดูแล บอกกล่าวว่าสิ่งใดที่เห็นไม่ควรปฏิบัติ ไม่ควรกระทำ หรือถึงทำ ฉันก็จำได้ว่า รำคาญ โตจนป่านนี้แล้วยังจะมาพูดมาสอนเหมือนตัวเล็กๆ ฉันก็มองในฐานะลูก ส่วนคนที่เป็นพ่อแม่ เขาเคยเป็นลูกมาก่อนย่อมต้องเข้าใจความรู้สึก แต่ก็อีก เขาก็ต้องการให้เราเข้าใจหัวอกของคนที่เป็นพ่อแม่ ที่ไม่ว่าเราจะโตแค่ไหน อายุเท่าไหร่ เราก็ยังเป็นเด็กในความรู้สึกของเขาเสมอ

อากัปกิริยาของดร.วิกานดา เมื่อมีข่าวคาวหรือปัญหาใดๆ ที่มาจากสามีตัวดี หล่อนรับทราบและตอบโต้อย่างสงบ อย่างนิ่งๆ หากต้องมีการปรามคนที่ซอกแซกเกินเหตุก็เพียงแค่ปรายสายตามอง หรือถ้าใครบางคนไม่เป็นผู้ดีพอ ทำแค่นั้นก็ยังไม่หยุด หล่อนก็ตอกกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ อันเป็นที่มาของอาการ "ชาเย็น" ศัพท์ระดับเทพของคำว่า "เย็นชา"

แล้ววิธีนี้จะได้ผลมั้ย

ละครยังแทรกค่านิยมของคนในสังคม เมื่อทุกข์ร้อนก็พึ่งวัด เสี่ยงเซียมซี ดูดวง แล้วละครก็บอกใบ้ว่า แม้ตอนนี้หล่อนจะเหมือนอยู่ในฤดูใบไม้ร่วง แต่ฤดูใบไม้ผลิก็จะมาถึงในไม่ช้า ถึงตอนที่หล่อนทวนคำ "ฤดูใบไม้ผลิ" ทำนบก็แตก หล่อนร้องไห้อย่างไม่อายชายญี่ปุ่นที่มาหาด้วยความเป็นห่วง

เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง ไม่นานก็จะเข้าสู่ฤดูหนาวอันเย็นเยือก หากผ่านพ้น ก็จะได้พบกับแสงสว่างสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาใหม่ หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามกลไกธรรมชาติ มีเกิดแล้วก็ดับแล้วก็เกิดต่อไปไม่จบสิ้น แล้วเราจะไปยึดถืออะไรมากมาย ชีวิตมันก็แค่นี้

วันนี้เป็น "ชาเย็น" พรุ่งนี้อาจจะเป็นน้ำผึ้งผสมมะนาว หรือไม่ก็แรงแบบว็อดก้าหรือเตกิล่าก็ไม่แปลก

หรือว่าเธออยากเป็นน้ำเปล่า ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี แต่ต้องดื่มทุกวันล่ะ




วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2552

ยิ่งไม่บังคับยิ่งทำ...ยิ่งไม่ต้องการยิ่งได้

เธอเคยเป็นมั้ย...เมื่อก่อนอยากได้เหลือเกิน แต่พอไม่อยากได้แล้ว กลับได้โดยไม่ต้องร้องขอ...

ฉันเคยอยากให้แฟนทำเซอร์ไพร้ส์ ประมาณว่าถือช่อดอกไม้มาให้กลางที่ชุมชน ทำอะไรหวานๆ ซึ้งๆ แบบที่ถ้าเล่าให้ใครฟังก็อิจฉา

แล้วพอถึงวันที่ฉันหมดใจ ตัดสัมพันธ์ กลับได้ทุกอย่างที่อยากได้ แต่พอได้แล้ว กลับไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นดีใจแต่อย่างใด

ฉันเจอแบบนี้บ่อยนะ บ่อยจนบางที งง...งงว่า มันเกิดอะไรขึ้นมา ถึงได้มาเห็นค่าของฉัน

บางทีก็หัดเล่นเปียโนทั้งๆ ที่เล่นไม่เป็น ฝึกซ้อมอยู่เป็นนาน แต่เมื่อฉันได้ฟัง สมองซีกเหตุผลทำงานเต็มที่ ไร้ความรู้สึก มีแต่ทึ่งว่า เก่งนะ เล่นได้ด้วย แค่นั้น จบ

บางทีก็ซื้อดอกไม้เดินมาให้ด้วยตัวเอง ฉันยังจำภาพได้ติดตา

หรือบางคนก็ส่งข้อความประมาณว่า เธอทำให้ฉันอยากเป็นคนที่ดีขึ้น คุ้นๆ ว่าเหมือนใน As Good As It Gets ยังไงพิกล

มุขเล่นเปียโนนี่ฉันเจอบ่อย รวมทั้งร้องเพลงให้ฟัง หรือให้ฟังเพลงนี้นะ เพราะผมบอกความนัยตามเนื้อร้อง

ยังมีเรื่องการรายงานว่าไปไหน ทำอะไร อีก ตอนดีๆ กันอยู่ ไม่บอก ไม่กล่าว ไม่รู้ ไม่ชี้ หลบๆ ซ่อนๆ

เวลามีโทรศัพท์มา ทำท่าลุกรี้ลุกลนออกไปรับโทรศัพท์ไกลๆ หรือกระทั่งนั่งนับจำนวนนาทีที่โทรเข้าออกในแต่ละวัน เมื่อเช็คเสร็จก็ลบรายละเอียดการโทรและข้อความทุกวัน พอฉันไม่สนใจ คราวนี้อยู่ดีๆ ก็เปรยให้ฟังว่า จำนวนนาทีที่คุยโทรศัพท์ตั้ง 420 นาที ด้วยหวังว่าฉันจะถามเพิ่มเติม แต่ไม่ล่ะ ฉันได้กันตัวเองออกมาอยู่ในอีกสถานะหนึ่งแล้ว เมื่อไม่ใช่คนพิเศษ ฉันก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้จะเห็นอะไรใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อไม่มีสิทธิ์ก็ไม่เรียกร้อง ไม่เรียกร้องก็ไม่เครียด ไม่อยากรู้ ชีวิตก็เป็นสุขดี

คงเหมือนการลงโทษละมัง

มันทำให้ฉันนึกถึงหนังยางที่หากบีบสองข้างเข้าหากัน ความยืดหยุ่นของยางก็จะทำให้เด้งออก ส่วนถ้าเรายืดยางไปมากๆ แรงดีดกลับก็จะสวนทางกลับมาในระดับเดียวกัน

แต่ถ้าดึงแรงเกินไป หนังยางขาด ไปแล้วไปเลยนะเธอ

คราวนี้จะดึงแค่ไหนล่ะ ไม่อยากได้จริงๆ รึเปล่าเนี่ย

ภาพโดย brightonsinger
http://www.flickr.com/photos/dandini/989799039/

ชีวิตง่ายขึ้น?

ตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบตีห้าแล้ว ฉันยังงมเรื่องการโอนเงินผ่านอินเตอร์เน็ตของบริษัทอยู่เลย ปัญหาแรกที่ฉันพบก็คือ ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่หน ฉันไม่เคยจำรหัสลับได้เลย แม้จะจดแบบบอกใบ้ให้ตัวเองจำได้คนเดียวแต่ก็จำผิดทุกที ทีนี้ระบบรักษาความปลอดภัยของธนาคารก็ดีเยี่ยม ห้ามใส่รหัสผิดเกิน 3 ครั้ง มิฉะนั้นจะต้องให้ผู้ดูแลระบบตั้งรหัสให้ใหม่ คราวนี้เมื่อเข้าไปแล้วก็ต้องไปเปลี่ยนรหัสลับทันที

การทำรายการโอนเงินไม่ง่ายเหมือนการโอนเงินผ่านอินเตอร์เน็ตของบุคคลธรรมดา ฉันใช้บัญชีส่วนตัวโอนเงินมาเป็นปี ไม่มีปัญหา แต่พอมาเป็นของบริษัท นอกจากจะต้องคิดเรื่องภาษี ณ ที่จ่าย ยุบยับ ต้องเลือกรหัสสาขาให้ถูกต้อง ต้องทำตามขั้นตอนการทำรายการที่โปรแกรมกำหนดเป๊ะ แถมยังทำเบ็ดเสร็จคนเดียวก็ไม่ได้ด้วย มันก็เนื่องมาจากระบบการควบคุมภายในนั่นแหละ ที่ต้องมีการเช็คสอบระหว่างผู้ทำรายการและผู้อนุมัติรายการ ไหนจะต้องอนุมัติข้อมูลผู้รับโอนเงิน แล้วถึงจะให้ผู้ทำรายการสร้างรายการโอนเงินเพื่อส่งต่อให้ผู้อนุมัติรับรองรายการอีก จากเดิมที่โอนเงินเบ็ดเสร็จแค่ไม่เกินนาที หนนี้ฉันงมอยู่เป็นชั่วโมง

ไม่แค่นั้นนะ ไม่ได้โอนเงินทันทีหรอก ถ้าเลือกแบบทันที ค่าใช้จ่ายบานตะไท ต้องทำรายการล่วงหน้า 1-2 วัน ถึงจะเสียค่าใช้จ่ายต่ำกว่าแบบบุคคลธรรมดา

ฉันได้แต่หวังว่า เมื่อฉันทำรายการคล่องขึ้นแล้ว ชีวิตจะง่ายขึ้นจริงๆ อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องลุกขึ้นมาแต่งตัว ไปเข้าคิวทำรายการที่ธนาคารพร้อมกับห้ามลืมตราประทับของบริษัท

ตอนที่พนักงานธนาคารมาสอนวิธีใช้งานฉัน เนื่องด้วยเคยเรียนอะไรทำนองนี้มา ฉันก็เข้าใจหัวอกน้องๆ ที่มาสาธิตให้ดูเลยทีเดียว คนเขียนโปรแกรมก็เขียนเลียนแบบการทำงานแบบเดิม ไม่ได้คิดว่าจะทำให้การผนวกใช้คอมพิวเตอร์ทำให้การทำงานเร็วและง่ายขึ้น คนที่ต้องใช้งานก็มีงานกองอยู่ท่วมหัว ไม่มีเวลาจะไปนั่งอธิบายให้คนเขียนโปรแกรมเข้าใจโครงสร้างการทำงาน ปัญหาที่พบ หรือลองทดสอบโปรแกรมเพื่อให้ข้อเสนอแนะสำหรับการปรับปรุง ผลก็คือ คนทำงานต้องใช้โปรแกรมที่ออกจะพิการบ๊องๆ เล็กน้อย แล้วไอ้การที่จะแก้โปรแกรมให้ใช้งานง่ายขึ้นก็ต้องเสียค่าแรงที่เรียกกันว่า man hour แพงหูฉี่ จากนั้นฉันก็พูดอย่างเห็นใจน้องๆ เสร็จสรรพว่า แล้วก็ไม่ถึงคิวที่จะแก้โปรแกรมสักที เพราะปัญหาของส่วนงานอื่นหนักกว่า สำคัญและจำเป็นมากกว่า ในขณะที่งบประมาณมีจำกัด เพราะฉะนั้นก็ต้องอยู่กับโปรแกรมต๊องๆ นี้ต่อไป

น้องบอกว่า โห เหมือนพี่มานั่งทำงานที่แผนกด้วยเลยนะเนี่ย

อ๋อ แน่ล่ะ มันก็ปัญหาพื้นๆ ของการทำงานออฟฟิศเนี่ยแหละ แต่ฉันก็แนะทางแก้ให้น้องนะ เผื่อจะมีความหวังบ้างนิดหน่อย ฉันบอกให้น้องรวบรวมสถิติลูกค้าที่ถามเกี่ยวกับปัญหาการใช้งานว่ามีมากน้อยเพียงใด แล้วแปลงความไม่พอใจของลูกค้าเป็นตัวเลข แปลงระยะเวลาที่ต้องตอบปัญหาลูกค้าและแก้ไขข้อผิดพลาดของระบบเป็นจำนวนชั่วโมงเพื่อคูณเป็นค่าจ้างพนักงานกี่คน แล้วนำเสนอผู้ใหญ่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อธนาคารทั้งในแง่ความพอใจในบริการและการจ้างพนักงานเพื่อดูแลปัญหาต่างๆ สรุปออกมาเป็นเงินจำนวนหนึ่ง คุ้มแล้วหรือไม่ที่ยังไม่แก้ปัญหาสักที ข้อมูลเหล่านี้อย่างน้อยก็อาจเพิ่มลำดับความสำคัญของปัญหาได้บ้าง จะได้ต่อคิวสั้นหน่อย

แต่อย่างว่าล่ะ งบประมาณของรัฐบาลยังแย่งกันแทบแย่ ทำรายงานนำเสนอ หาเหตุผลสารพัด ถ้าไม่กินนอกกินในกินตรงกลางทะลุทั้งหน้าหลัง ประเทศก็คงพัฒนาไปถึงไหนแล้ว

ในบริษัทก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก ฝ่ายที่เคยได้เงินเยอะ ก็ไม่ยอมลดงบประมาณของตนเพื่อปัญหาของฝ่ายอื่นๆ หรอก ไม่ว่าใครก็ทำเพื่อตัวเองเพื่อพวกพ้องทั้งนั้น คนที่ทำเพื่อส่วนรวมแล้วตัวเองเดือดร้อน ถูกหาว่า โง่ ซื่อ เป็นไอ้งั่ง

บางคนยิ่งฉลาดเท่าไหร่ รู้เท่าทันเกมส์ แต่เป็นคนดีทำเพื่อส่วนรวม ยิ่งรู้สึกว่าถูกมองว่าโง่มากขึ้นเท่านั้น จริงๆ แล้ว บางทีฉันคิดว่า ยิ่งโง่เท่าไหร่ ชีวิตยิ่งง่ายขึ้นเท่านั้น

หรือเธอว่าไงล่ะ

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2552

มันมาพร้อมกล่อง


กล่องนี้มีคนให้มา อาจเป็นเพราะของมีจำกัด ให้รางวัลคนอยู่ดึก กลับจากงานเลี้ยง ไปต่อบ้านเพื่อน เพื่อนอีกคนเห็นของข้างใน บอกกล่าวขอยืมทันที ฉันปฏิเสธทันควัน เดี๋ยวขออ่านก่อนแล้วจะส่งต่อโดยพลัน กล่องนี้ยังอยู่ในรถอีกหลายวัน รู้สึกผิดเล็กน้อยถึงปานกลางที่เอามาดองไว้ แทนที่จะให้เพื่อนยืมไปก่อน

ได้ฤกษ์อ่านเมื่อคืนนี้

อ่านที่บ้าน ยังไม่จบ ติดไปอ่านที่ร้านประจำเหมือนเคย เลิกสนใจแล้วว่า คนจะค่อนขอดว่าปฏิบัติกิจกรรมผิดสถานที่ อ่านหนังสือค่อนไปทางธรรมะในสถานที่อโคจร คราวนี้พอคนถามว่า ไม่มีที่อ่านที่บ้านเหรอ ตอบฉะฉานว่า นี่เราก็รู้จักกันมาสิบปี ก็อ่านอย่างงี้มาตลอด ยังสงสัยอีกเหรอ

หลายเรื่องราวเคยเห็น เคยได้รับผ่าน forward mail มาก็มาก คติง่ายๆ สั้นๆ แต่ ทำ และ "ทำใจ" ยาก ก็ยังมีคนกล่าวถึงตลอดมา ประโยคเด็ดคงไม่พ้น

"ชีวิตที่สมบูรณ์ คือ 'ใจ' ที่ยอมรับธรรมชาติความไม่สมบูรณ์ของชีวิต"

แล้วมันก็มาสรุปลงที่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เหมือนที่เราก็เรียนมาตั้งแต่ประถม

หนังสือพูดเรื่องการนินทา นี่ก็อีก ก็เหมือนๆ กับที่เคยอ่านเคยฟังมา ว่าอย่าไปสนใจคำคนเลย ไม่ว่าจะทำดีอย่างไรก็ยังไม่ถูกใจคนบางกลุ่ม ถ้าเราคิดว่าทำดีแล้ว ก็ไม่ต้องไปสนใจ ยิ่งคนที่นินทาคนอื่นมากๆ เพราะตนเองนั่นแหละที่มีปัญหา ต้องไปคอยกดคนอื่นในต่ำลง เพราะดูเหมือนจะเป็นการทำให้ตัวเองสูงขึ้นโดยปริยาย

เรื่องของทุกข์สุขที่มาคู่กันเสมอ อะไรที่นำความสุขมาให้เรามากๆ เมื่อขาดก็ทำให้เราทุกข์ในระดับเดียวกัน

ชีวิตเหมือนคลื่นในทะเล มีขึ้นก็มีลง ทำไมไม่ทำตัวแบบปลาโลมา ที่ไม่ว่าจะขึ้นหรือลงก็สนุกกับมัน

ความสุขที่แท้ต้องเป็นแก่นต้นไม้ที่แข็งแรง เติบโต ไม่ใช่เปลือกที่หลุดร่อน เปราะบาง (มีเงิน มีชื่อเสียง) ความสุขที่แท้เกิดจากใจที่เป็นอิสระ การเป็นผู้ให้

ผู้ที่ปฏิบัติธรรม ไม่ว่าเรื่องที่กระทบจะเป็นเรื่องที่นำมาซึ่งความสุขหรือความทุกข์ จะรับทุกสิ่งด้วยการนิ่ง มีสติ แล้วเราก็จะเป็นอิสระจากสิ่งใดๆ ที่เข้ามากระทบ

อ่านจบเล่ม ฉันไม่ได้ "ได้" อะไรเพิ่มขึ้นหรอก สิ่งที่ได้คือการตอกย้ำซ้ำๆ สิ่งที่รับรู้มาก่อนหน้า จบเล่มเริ่มเข้าสู่ทางโลก ปัญหาทางโลกหลั่งไหล รับรู้ปัญหาคนอื่นที่เรามีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้อง ช่วยเหลือ

ได้ข้อคิดจากบทสนทนา "ช่างแม่ง" ที่ช่างตรงกับเนื้อหาเรื่อง "เอาวะ กับ ช่างแม่ง" ในหนังสือที่เพิ่งอ่านจบพอดี

ไม่ว่าจะอย่างไร ทำดีที่สุดแล้ว พยายามแค่ไหนก็ตาม ผลออกมาอย่างไร จะร้ายหรือดี ก็....ช่างแม่ง

ไม่ว่าฉันจะถามคำถามใดๆ พี่ "ช่างแม่ง" ผู้มีประสบการณ์ในงานทางโลก ก็ตอบได้เป็นอย่างดี อันที่จริงแล้วคนที่จะประสบความสำเร็จทางโลกก็ด้วยประสบปัญหาและฝ่าฟันผ่านร้อนผ่านหนาวมาจากรับรู้สัจธรรม โลกและธรรมมันคู่กันอยู่แล้ว

มุมมองที่ฉันได้รับเพิ่มเติมทำให้ ฉันเห็นภาพกว้างขึ้นกว่าเดิมมากมาย แน่นอนว่าถ้าเราสามารถคิดเชื่อมโยงอะไรๆ ที่ได้รับก็จะนำมาปรับใช้กับด้านอื่นๆ ได้เสมอ

เรื่องเล็กน้อยสำคัญอย่างไม่น่าเชื่อ เหมือนๆ กับงานประสานงาน งานโครงการที่ฉันเคยเล่าให้ฟัง และก็เหมือนๆ กับการปรุงอาหารที่วัตถุดิบหลักของการทำอาหารสักอย่างหนึ่ง ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่หรอก สิ่งที่ทำให้อร่อยเพิ่มขึ้น เป็นเพียงแค่การบิด พลิก เพิ่ม เติม แต่งเพียงนิดเดียว

เรื่องเล็กนั่นแหละที่เป็นเรื่องใหญ่ หรือไม่ใช่ลองคิดดู

คลื่นใหญ่ถาโถม ไม่สำคัญเท่าจิตดวงเล็กๆ ที่ยอมรับและสนุกไปกับจังหวะขึ้นลงของชีวิต

ลืมบอกไปว่าหนังสือชื่อ กล่องบุญ 4 ขอติเพื่อก่อนิดตามนิสัยพื้นฐานว่า น่าจะเย็บกี่แทนไสกาว เวลาอ่านกลัวหนังสือจะหลุดเป็นแผ่นๆ เสียจริง

เอ หรือเขาตั้งใจให้ค่อยๆ เปิด ค่อยๆ พลิก ค่อยๆ อ่านให้ซึมซาบ หว่า

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2552

เรื่องของ "งาน"

งานสำนักพิมพ์

สองวันมานี้ ทำงานแบบสบายๆ คล้ายว่าได้ทำจนขีดสุดแล้ว งานก็เริ่มเบาลง มีกำหนดว่าต้องรับต้นฉบับมาอ่านทวน แก้ไขคำโดด สะกดผิด อะไรที่ตกหล่น รอดหูรอดตา ทั้งที่ก็ละเอียดถี่ยิบจนผู้ร่วมงานระอาไป บางที่ก็ล้ำเส้น แต่ฉันถือว่า หน้าที่ประสานงาน คือการประสานให้ทุกอย่างเรียบร้อย เหมือนเป็นเจ้าของโครงการ

งานเมื่อก่อน

สมัยที่เป็นมนุษย์ออฟฟิศ ผู้ร่วมงานจะมีหน้าที่ประจำของแต่ละคน ถ้าทุกคนทำหน้าที่ตัวเองได้ดี ครบถ้วน ถูกต้อง ภายในเวลาที่กำหนด ฉันก็เหนื่อยน้อยหน่อย แค่รับช่วงและส่งต่อให้คนอื่น แต่ถ้าใครโยเย โยกโย้ ยุ่งยาก และสั้นๆ ว่า แย่ ฉันก็ต้องสรุปให้ ทำแทน ตามจิก สุดแล้วแต่รูปแบบการทำงานที่มีปัญหา

งานที่เคยมีคนเปรียบเทียบให้ฟัง

ในหนึ่งโครงการเหมือนเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ ที่มีทั้งเฟืองหลักและน็อตตัวกระจิ๋ว ถ้าน็อตหลุดแม้เพียงจุดเดียว ภาพรวมก็จะไม่สมบูรณ์และมีปัญหาหากเป็นน็อตตัวสำคัญ หากเป็นน็อตตัวเล็กและความสำคัญไม่มาก ก็ไม่ต้องใส่ใจนัก แต่ไอ้คำจำกัดความของคำว่า "สำคัญ" ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และมาตรฐานการทำงานของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ไอ้ความแตกต่างของคนนี่แหละที่ทำให้เกิดปัญหาไม่หยุดหย่อน อย่างที่ใครๆ ก็ชอบพูดกันว่า "มากคนมากความ"

งานตกแต่งต่อเติมบ้าน

เมื่อวานก็เพิ่งพูดเรื่องนี้กับพี่ที่ไปทำบุญด้วยกันหยกๆ ว่าคนที่เก่งเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะจะขาดความยืดหยุ่น และคนที่มีความยืดหยุ่นสูงก็จะสามารถเข้ากับคนได้มาก พี่คนนี้ต้องติดต่องานกับคนระดับที่ชาวปะกิตเรียกว่าบลูคอล์ล่า ฉันเคยผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้ว และให้หัวเสียยิ่งนัก กะอีแค่บอกว่าให้ทำตามแบบ ทาสีให้เหมือนเดิม ถ้าไม่ไปนั่งกำกับ ไม่มีทางได้อย่างที่อยาก อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับความละเอียด หรือเรียกสั้นๆ แบบไม่ต้องถนอมน้ำใจ ว่า ชุ่ย แต่ก็ไม่ใช่อย่างนั้นซะทีเดียวหรอก ฉันเองให้มาดูความละเอียดอีกทีก็จะเจอปัญหาทุกครั้งให้ตายเถอะ

เรื่องบ้านนี่ชัดเจนมาก ทาสีไม่เสมอ เลอะบัว กระเบื้องยาไม่เท่ากัน น้ำรั่ว ติดกระจกไม่เนียบ เอียงบ้างล่ะ ผ้าม่านระยะห่างไม่เท่ากัน เย็บไม่ปราณีต ประตูตัดไม้เหลือสั้นไปมีช่องส่วนที่ติดกับพื้นใหญ่เกินไป ฝุ่นเข้ามาได้ง่าย ติดตู้แขวนผนังเบี้ยว สีลอก ถลอก สีไม่ได้มาตรฐาน เลอะแล้วเช็ดไม่ออก รอยต่อพื้นติดกับบัวไม่สนิท หน้าตาทาซิลิโคนเลอะเทอะแถมยังมีรูอากาศ ฝนสาดเข้ามาตามรูได้ ฉาบปูนไม่เรียบ โกงค่าวัสดุก่อสร้าง หรือไม่ก็ขโมยไปใช้ส่วนตัวก็มีนะเธอ

ฉันยังไม่เคยเจอคนที่ดูแลการสร้าง/ตกแต่งบ้านเองแล้วไม่หัวเสียสักคน

งานของใจ

เลิกหัวเสียแล้ว ไปหาอะไรทำให้อารมณ์สดใส รออ่านต้นฉบับอีกรอบก่อนพิมพ์จริง แวะไปดูโรงพิมพ์สักนิดเพื่อให้เห็นว่าใส่ใจ ทางนั้นจะได้เอาใจใส่เหมือนๆ กัน

งานสังคม

ช่วงเย็นไปสังสรรค์กับรุ่นพี่รุ่นน้องที่ไม่เคยรวมพลเช่นนี้มาก่อน แต่ ณ เวลาตีห้าสี่สิบเก้านาทีวันนี้ ได้รับ sms ขอให้ไปประชุมงานหนึ่ง ซึ่งไม่ได้บอกว่าเมื่อไหร่

งานครอบครัว

ถ้าให้จัดลำดับความสำคัญ วันนี้ฉันไม่ยอมเปลี่ยนแผนแน่ ไม่ยอมให้เรื่องงานมามีบทบาทกับชีวิตมากเกินไป เมื่อวานฉันเพิ่งโดยน้องชายค่อนว่า ต้องให้เวลากับครอบครัวบ้างนะ ผ่านเวลานี้ไปแล้วจะเสียใจ ประมาณว่าลูกสาวกำลังน่ารัก ให้รีบมาดูซะ ฉันก็ตอบกลับไปตรงๆ ว่า ก็เธอไปสร้างครอบครัวใหม่ จะให้ฉันถือว่าเป็นครอบครัวได้ไง และอีกอย่างการที่ไปวุ่นวาย วอแว มีผลให้เกิดบางปัญหาตามมา น้องชายคนดีก็ยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า ไม่มีปัญหาใดๆ ฉันก็โอเค

งานที่คนเห็นค่า

อันที่จริงแล้ว ให้ใครๆ เขาคิดถึงเรา เรียกหา ดีกว่าเสนอหน้าโดยที่เขาไม่ได้อยากให้มานะเธอ

คนจะได้เห็นค่าฉันซะที

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2552

เงินที่ลืมไปแล้ว

เช้านี้ (ไม่ใช่สิ ประมาณเที่ยง) ฉันตื่นมาทำสิ่งแรกคือเช็ค sms เงินเข้าบัญชีก้อนโตแบบไม่น่าเป็นไปได้ โทรถามผู้ที่รักฉันแบบไม่มีเงื่อนไขว่าเอาเช็คเข้าบัญชีให้ฉันรึเปล่า ได้คำตอบว่า ไม่ แล้วฉันก็ถึงกับโทรถามสายส่ง ว่าโอนเงินผิดบัญชีรึเปล่า ได้ความว่า เงินมันน้อยไป ถ้าโอนมาต้องมากกว่านี้ (เป็นไงล่ะ 555) สักพัก คนแรกที่ฉันโทรหา โทรกลับมาใหม่ ว่าคนเคียงข้างเธอบอกว่า เคยเจอแบบนี้เหมือนกัน ระวังคนจะใช้บัญชีของเราเป็นทางผ่าน ให้รีบปิดบัญชีเพื่อเอาเงินทั้งหมดออก แล้วไปเปิดบัญชีใหม่

ฉันรีบอาบน้ำแต่งตัว ถือสมุดเงินฝากหมายจะตรงรี่ไปที่ธนาคารฝั่งตรงข้าม ระหว่างลงลิฟท์ นึกขึ้นได้ว่า อาจมีโอกาสได้เงินจากอีกแหล่ง โทรถามทันที ถ้าเงินน้อยกว่านี้จะไม่สงสัย ว่าแต่ทำไมงวดนี้มันเยอะนัก ก็จะไม่ตกใจได้ไง เพราะมันประมาณ 7 เท่าของงวดที่แล้ว สรุปว่า ไม่มีใครใช้บัญชีเงินฝากของฉันเป็นทางผ่าน แค่เป็นจุดหมายของเงินที่ได้จากงานที่ฉันลืมไปแล้ว

ฉันยังจำเหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่ฉันไปวึ่นวือ โว้กว้าก วอแว ปล่อยระเบิดทิ้งรอบตัวได้เหมือนเพิ่งเกิดเมื่อเช้านี้

เช้าวันนั้น ฉันออกจากบ้านด้วยอารมณ์ขุ่นมัวด้วยเหตุส่วนตัว ระหว่างขับรถไปที่หมาย ฉันบอกตัวเองว่าเรื่องนี้ต้องพักไว้ก่อน จะมีสายเรียกเข้ากี่สิบสายก็ไม่รับ ไม่สนใจ (ก็บอกแล้วว่าให้คุยตอนเย็นเวลาที่...นั้นน่ะ) คิดแต่ว่าจะทำอย่างไร ให้งานดำเนินต่อไป ไม่สะดุดอย่างที่เป็นมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้วโน่น

มีการนัดพบนอกรอบก่อนจะไปหาผู้ว่าจ้าง ฉันถล่มใส่ผู้รับจ้างซะหน้าจ๋อยไปตามๆ กัน คนมาใหม่ท่าทางจะใหญ่โตหน้าตากวนส่วนล่างสุดของร่างกาย แล้วยังพูดจาสัตว์สี่ขาไม่รับประทาน อยากชมว่าฉันสวย ฉันเลยบอกว่า เป็นยักษ์แปลงร่างมา

หลังจากใส่ด้วยเหตุผล (อันนี้เถียงไม่ได้เลย) บวกกับตาถลนโตและน้ำเสียงอำมหิต ฉันก็ทำเฉย บอกภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง ให้คุยกับผู้ว่าจ้างเองนะ...เห็นแววตาไร้ที่พึ่งพิงปรากฏฉายชัดจากทั้งสามใบหน้า

ฉันก็ขู่ไปงั้นแหละ ถึงเวลาเห็นพูดจาอึกๆ อักๆ ก็ต้องช่วยอยู่ดี ท่าทางฉันคงจะเอาซะผู้รับจ้างถอดใจ ฝ่ายนายจ้างถึงกับหาเรื่องชวนคุย ลดบรรยากาศมาคุด้วยความสงสารผู้รับจ้าง

ทางเลือก ทางแก้ ได้มีการคุยกันเป็นกิจจะลักษณะอย่างคนที่ตั้งใจจะแก้ปัญหาร่วมกัน เพราะความผิดไม่ได้ตกอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นความไม่พร้อม ความที่ประเมินแตกต่างไปจากหน้างานจริง อุปสรรคที่มีมาจากเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า คราวนี้มีกำหนดวันเสร็จอย่างชัดเจน ฉันถามซ้ำ ย้ำแล้วย้ำอีกว่า ทำทันแน่นะ มีอะไรให้บอก อย่ามาอ้ำๆ อึ้งๆ รำคาญ และไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง

จนในที่สุด ก็ยอมรับออกมาว่า ไม่แน่ใจว่าจะเสร็จทันอย่างที่โม้เอาไว้หรือไม่ แถมพูดอย่างอั้นไม่ไหวแล้วว่า ดีไม่ดี เด็กๆ ก็จะพาลไม่ทำไปซะงั้น ไอ้ฉันเองน่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะไปคาดโทษอะไรนักหนาหรอก แค่อยากได้ความจริง ไม่ใช่คำพูดจากความเกรงใจ ความไม่กล้าที่จะไม่รับปากของคนไทยโดยทั่วไปที่ฉันเจอมานักต่อนัก ฉันแค่อยากรู้ว่าถ้าทำเต็มที่จะเสร็จเมื่อไหร่ ไม่ได้หมายความว่าให้เสร็จตามนั้นจริงๆ ที่ต้องการเวลาที่ต้องใช้เมื่อทำเต็มที่ ก็เพื่อจะได้บอกว่า ถ้าเป็น best case พร้อมกันทุกฝ่ายเสร็จภายใน X วันแน่ๆ (แต่ best case ก็คือ best case แปลว่า เป็นไปไม่ได้) แต่ถ้าทางนายจ้างไม่สามารถทำได้ตามที่ผู้ถูกว่าจ้างขอไป ก็ทำไม่ได้เร็วอย่างที่ว่านะ

คราวนี้ ผู้ว่าจ้างบอกเองว่า ไม่ได้เร่งอะไรหรอก แค่อยากรู้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ จะได้ทำงบถูก

นี่แหละ ที่ฉันต้องการ

ที่พูดไปพูดมา วกวนก็เพื่อให้ทางนายจ้างพูดออกมาจากปากเองว่า เข้าใจว่าทำไม่ได้เพราะอะไร และไม่เร่งหรอก

ออกมาจากที่ประชุม ผู้ถูกว่าจ้างที่กวนส่วนล่างสุดของร่างกายก็ถามว่า ฉันเป็น lobbyist ที่ไหน ไปกินข้าวกันมั้ย

ฉันตอบทันควันว่ามีงาน (งานกินข้าวกับพี่ที่ไปกับฉันแหละ)

จบงาน จบบทสนทนา

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมาเดือนนึงเห็นจะได้ แล้วฉันก็ลืมซะสนิท

มาวันนี้ ได้เงินเหลือเชื่อ ถึงได้นึกได้ว่า ผลจากการเล่นละคร ใส่ฝั่งนึงซะจ๋อย ทำหน้ายิ้มๆ บอกว่าความผิดของนายจ้างก็เยอะนะ สรุปแล้วทั้งสองฝ่ายก็ต้องไปปรับปรุงส่วนที่ตนรับผิดชอบ มันก็จบหน้าที่คนกลางอย่างฉัน หน้างานพี่คนที่กินข้าวกับฉันก็รับไป เมื่อไหร่ต้องการนางยักษ์ก็เรียกมา คุ้มค่าเหนื่อยแล้วแหละ

ฉันจะเอาเงินนี้แหละไปทำบุญในวันพระใหญ่วันนี้

บุญต่อบุญ เงินต่อเงิน

บางที...ลืมๆ อะไรไปบ้าง ก็ทำให้หัวใจพองโต ได้ความรู้สึกพิเศษประจำวันนะเธอ

แง่ดี...แง่ร้าย

การกระทำเดียวกัน ตีความได้ทั้งแง่ดีและแง่ร้าย อยู่ที่เราเลือกจะ "เชื่อ" อย่างไร บางครั้งเราก็รู้ว่าความจริงคืออะไร แต่บางครั้งก็ไม่มีวันรู้...

วันนี้ฉันนั่งนึกสารพัดเรื่องที่มองได้ทั้งดีและร้าย ไม่น่าเชื่อว่าการกระทำเดียวกันจะมีความหมายได้สุดขั้วขนาดนี้

ลบข้อความและหมายเลขโทรเข้า-เรียกออก ทุกวัน
ดี: เช็คข้อความและหมายเลขทุกวัน จะได้รู้ว่ารับ-ไม่รับสายใครบ้าง
ร้าย: ใครมันจะไปทำอย่างงั้น ถ้าไม่ได้ปกปิดอะไร

ปิดมือถือ เอามือถือไว้นอกห้องนอน
ดี: จัดสรรเวลา แบ่งแยกอย่างเด็ดขาด นอนคือนอน ทำงานคือทำงาน
ร้าย: กลัวใครโทรเข้ามารึเปล่า

มือถือปิดบ้าง เปิดบ้าง สายไม่ว่าง ว่างไม่รับ บางทีโทรกลับ บางทีไม่
ดี: คงยุ่ง คงติดสาย คงแบตหมด คงลืม มีปัญหาหนักอก ไม่อยากพูดหรือเล่าให้ใครฟัง
ร้าย: ยุ่งอยู่กับใครรึเปล่า กลัวรู้เลยปิดมือถือ ทำ call screening ไม่อยากให้รู้หรือติดต่อได้ในบางขณะ ไม่มีมารยาท

พาไปดูดวงแล้วนั่งฟังด้วย
ดี: เป็นห่วง จะช่วยถามช่วยคิด อยากเข้าใจ
ร้าย: รู้ข้อมูลเพื่อประโยชน์ของตัวเอง หรืออีกทีก็เตี๊ยมกับหมอดูให้พูดตามที่บอก

ติดต่อเมื่อต้องการความช่วยเหลือ
ดี: รู้ว่าเป็นที่พึ่งได้ ไว้ใจถึงปรึกษาปัญหาส่วนตัว ไม่อยากรบกวน ถ้าไม่เดือดร้อนไม่กล้ามากวน
ร้าย: เอาไว้ใช้ประโยชน์อย่างเดียว ไม่มีปัญหาไม่เหลียวแล

ไม่โทรชอบส่งอีเมล
ดี: ทำอะไรเป็นเอกสาร จะได้อ้างอิงได้ ประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่อยากรบกวนเวลา ไว้ตอบตอนที่สะดวก อยากอธิบายเผื่อไม่เข้าใจจะได้อ่านทวนเองสำหรับคนที่ไม่กล้าถาม แยกแยะเรื่องราวเป็นระบบ หมวดหมู่ จะได้หาหรืออ้างอิงได้ง่าย
ร้าย: มีอะไรก็ใช้ๆๆ สั่งๆๆ เขียนอะไรยืดยาว เจ้ายศเจ้าอย่าง ขี้เกียจอ่าน ส่งมาฉบับเดียวก็ไม่ได้ มาทีเป็นกอง

ให้ยืมเงินโดยไม่มีหลักฐาน
ดี: ใช้ใจซื้อใจ เป็นห่วงเป็นใย
ร้าย: โง่ เดี๋ยวก็เชิดซะนี่

มีปัญหาแล้วพูด
ดี: จะได้รู้ว่ามีปัญหาจะได้หาทางแก้ ปัญหาไม่ทับถม เข้าใจกันและกัน
ร้าย: อะไรนิดอะไรหน่อยก็บ่น ไม่รู้จักทนอะไรซะบ้างเลย

คนที่ไม่แสดงอาการโกรธแม้จะมีคนทำไม่ดีใส่
ดี: เป็นคนใจเย็น ให้อภัย แยกแยะได้
ร้าย: ไม่รู้ตัวรึไงยัยโง่ มันต้องแค้นฝังหุ่นแน่ๆ ต้องระวังคนๆ นี้ให้ดีๆ จะดัดหลังเราเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตกลงมันคิดยังไงหว่า

คนที่ไม่บ่นไม่พูด
ดี: อดทน ไม่ใช่พวกดีแต่ปาก คิดก่อนพูด
ร้าย: ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่รับผิดชอบ ไม่รับรู้ ไม่รู้เรื่องเลยไม่รู้จะพูดอะไร ใครว่าไงก็ว่างั้น

กินข้าว/ไปไหน/ทำอะไรคนเดียว
ดี: มั่นใจในตัวเอง รู้ว่าต้องการอะไร ไม่ต้องพึ่งใคร ไม่อยากกวนใคร มีความเป็นส่วนตัวสูง รักสันโดษ
ร้าย: ไม่มีใครคบ หาคนไปด้วยไม่ได้ละสิ ประหลาด ติสต์แตกแล้วนั่น หลุดโลก ไม่ปกติแน่ๆ

เข้ากับทุกคนได้หมด
ดี: มนุษย์สัมพันธ์ดี นิสัยดี อยู่ด้วยแล้วมีความสุข หล่อ/สวย ชอบสนุกสนาน ฉลาดรอบรู้ อีคิวดี เพื่อนรัก พรรคพวกเยอะ
ร้าย: ขาดความมั่นใจ ต้องง้อทุกคน ไม่เป็นตัวของตัวเอง รู้สึกว่าตัวด้อยค่า แก้ปมปัญหาส่วนตัว ที่บ้านไม่มีความสุข โกหกเก่ง เสแสร้ง ไม่จริงใจ กะจะเป็นนักการเมืองละสิ หวังประโยชน์อย่างอื่น หา connection

เลิกกับแฟน
ดี: ไม่มีความสุขจะทนทำไม ปัญหาบางครั้งแก้ไม่ได้ก็ตัดมันซะ ถอยออกมาอาจจะทำให้รู้ใจตัวเองมากขึ้น ได้ทบทวนถึงปัญหา ความดี/ไม่ดี ถ้าเป็นคู่กันแล้วก็ไม่แคล้วกัน ดีแล้ว ไม่ต้องทนจนวันตาย
ร้าย: ไม่อดทน ไม่รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา ไม่รู้จักอภัย ไม่ยืดหยุ่น นิสัยแย่ถึงไม่มีใครทนได้ คิดถึงแต่ตัวเองไม่คิดถึงผลกระทบ ทำตัวเป็นเด็กนึกจะเลิกก็เลิก

เลิกกับแฟนแล้วยังคุย/ทำงานด้วยกัน
ดี: แยกแยะเรื่องส่วนตัว/งานได้ เป็นแฟนไม่ได้แต่เป็นเพื่อน/ทำงานด้วยกันดีกว่า อาจจะปรับตัวเข้าหากันได้ในอนาคต ถอยออกมาดูกันห่างๆ จะได้รู้ว่าคบเพราะตัวหรือหวังงาน
ร้าย: เลิกไม่ขาดนี่ หวังจะคืนดีละสิ ไม่ยุติธรรมกับแฟนใหม่ เดี๋ยวถ่านไฟเก่าก็คุ ของมันเคยๆ อ้างเรื่องงานนะสิ กั๊กไปเรื่อยๆ แล้วค่อยเลือก ระหว่างนี้ก็ได้งานไปด้วย

ยิ่งคิดยิ่งไม่รู้ว่าดีหรือร้ายต่างกันยังไง หลายๆ ครั้งที่การตัดสินใจผิดพลาดนำมาซึ่งโอกาสสำหรับอนาคตที่ดีกว่าเมื่อได้มองย้อนกลับไป แต่ยังไงๆ ก็ไม่มีใครสามารถกลับไปเลือกทางเดินเก่าคู่ขนานกันไป จริงๆ แล้วไม่มีทางรู้ว่าทางเลือกไหนดีกว่ากัน คิดๆ ไปแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือ มีความสุขกับทางที่เลือก ชีวิตที่เป็นอยู่ ทุกๆ วันที่มาเยือน เพราะวันที่เลวร้ายที่สุดอาจกลับกลายเป็นวันที่ดีที่สุดก็ได้...ใครจะรู้

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2552

เครื่องรวน

ฉันไม่ได้หมายถึงคอมพิวเตอร์ที่ฉันลงทุนซื้อโปรแกรมต้านไวรัสแล้วรู้สึกว่าเครื่องจะได้ภูมิคุ้มกันที่ดีเกินไป เลยป่วยซะงั้น

ฉันหมายถึงตัวฉันเอง...

ฉันมีนัดกับหมอวันนี้ หลังจากลืมไปเมื่อครั้งที่แล้ว ทั้งๆ ที่พยาบาลก็โทรมาเตือนตอนเช้าว่ามีนัดตอนบ่าย พอบ่ายฉันก็นั่งสรุปหน้าที่ความรับผิดชอบให้น้องใหม่ เตรียมไปขนหนังสือข้างนอก ที่ไหนได้ พยาบาลโทรมาตามตอนจะออกจากบ้านพอดี อะไรจะขี้ลืมขนาดนั้น

ถ้าจะพูดถึงเรื่องเครื่องรวน มันรวนมาเป็นระยะ และออกจะถี่ขึ้นในช่วงนี้ ฉันหักเงินภาษีผิด ใส่เลขที่บัญชีผิด โอนเงินผิดสกุล จำรหัสลับไม่ได้ พูดผิด เขียนผิด แสดงออกผิดๆ จนรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับตัวเอง

เมื่อวาน ผู้ที่รักฉันอย่างไม่มีเงื่อนไข (แม้เราจะอยู่ใกล้กันนานๆ ไม่ได้) เสนอให้ฉันไปเที่ยวพักผ่อน ฉันก็เออออห่อหมก แต่คงต้องตามไปนะ เพราะติดงานใหญ่ แต่สรุปว่า เครื่องบินไม่เป็นใจ ตั๋วเต็มทั้งที่ตั้งใจจะใช้ไมล์สะสมแลก ทีนี้จะลงทุนซื้อตั๋วให้ฉันเชียวนา แต่ฟ้าไม่เป็นใจ ก็ซื้อไม่ได้อยู่ดี สรุปว่า ฉันอด

คิดดูอีกทีก็ดีเหมือนกัน ถ้าไปก็คงจะไม่สนุก เพราะห่วงเรื่องนั้นเรื่องนี้สารพัน

วันนี้ต้องไปหาหมออย่างที่นัด ระหว่างรอ ดูท่าฉันจะเล่นละครเป็นหมอฝึกหัด นั่งฟังพยาบาลบ่นเรื่องคนไข้ที่มาหาหมอโดยไม่ได้นัดล่วงหน้า แล้วทำให้ตารางรวน คนที่นัดและมาตามนัดต้องนั่งรอ และเลยกระทบคนอื่นๆ ถัดไปเรื่อยๆ บางคนรู้ว่าหมอตรวจถึงสองทุ่ม ก็มาซะอีกสิบห้านาทีสองทุ่ม เจอไปหนเดียว หมอสั่งไว้เลยว่า ถ้ารายนี้มาอีก หมอไม่ตรวจให้

ไม่ใช่แค่พยาบาลเครียด หมอเองต้องเครียดมากกว่า เพราะวันๆ ต้องรับเรื่องของคนมีปัญหาสารพัด หากไม่สามารถฟัง วินิจฉัยแล้วทิ้งไป เท่ากับหมอปล่อยให้ลิงเกาะหลังเป็นฝูง จากที่รักษาคนป่วยในที่สุดก็คงจะป่วยเอง

วันนี้มีคนไข้มาแบบไม่นัดสองราย พวกนี้เป็นคนไข้แบบที่เมื่อต้องการยาก็มาให้หมอสั่ง หรือบางทีมาเพื่อเอายาไม่ให้หมอตรวจ ถ้าฉันเป็นหมอ ฉันก็คงลำบากใจไม่อยากเอาคอไปขึ้นเขียง

ถึงคราวของฉันบ้าง หมอทัก "หน้าตาสดใสเชียวนะเรา" ฉันตอบด้วยเสียงหัวเราะ "เค้าว่ากันว่า ถ้ามันถึงที่สุดแล้ว ก็คงต้องหัวเราะไปเลยแหละค่ะ พายุเวลามันมา มันไม่ได้มาลูกเดียว"

ว่าแล้วก็นำไปสู่บทสนทนาสารพัดปัญหาของฉัน เรื่องราวที่เล่า ทุกขั้นทุกตอนมีปัญหา ก็แก้กันไป หมอก็ฟังซะเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็จำเป็นต้องบอกว่า เมื่อคืนก็ร้องไห้ แต่ถ้าถามว่าเพราะอะไร มันก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน บางครั้งมันไม่รู้จะทำยังไง ร้องออกมามันก็สบายใจขึ้น

ฉันเล่าว่า คนรอบข้างก็เริ่มบ่นว่า หมู่นี้ฉันเครียดๆ แล้วฉันก็เครียดใส่ใครหลายคน หมอว่ามันมาจากนิสัยของฉันนั่นแหละ ฉันเป็นคนละเอียดตามประสาคนไวต่อสัมผัสทั้งหลาย คนประเภทนี้โดยพื้นฐานแล้วก็จะเครียดง่ายอยู่แล้ว การที่ซีเรียสกับชีวิต ตลกยาก ไม่ค่อยหัวเราะกับมุขสามัญธรรมดา (ประมาณว่าต้องมุขเทพนั่นแหละถึงจะขำ) ก็ทำให้อยู่ยาก ยิ่งมาตรฐานสูงในขณะที่คนทั่วไปก็เป็นแบบคนทั่วไป คำพูดของนายเก่าคนนั้นยังก้องอยู่ที่หูเสมอๆ ลดสปีดการทำงานและมาตรฐานลงบ้าง ไม่ต้องเช็คอีเมลทุกวันก็ได้ เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง ปล่อยให้มันผ่านๆ ไปเถอะ

หมอบอกให้เปลี่ยนอิริยาบถ อย่าทำแต่งานกับนอน ถ้าทำแค่นั้นไม่มีเวลาส่วนตัว มันก็ไม่ได้พักเต็มที่อยู่ดี หมอบอกให้ทำตามหลัก 8-8-8 แล้วฉันก็นึกถึงหลานคนเก่งที่ทำงานปีนึงซื้อบ้านได้กี่หลังแล้วก็ไม่รู้ เห็นเค้านอนวันละ 3 ชั่วโมง หน้าแก่แต่รวย หลายๆ คนคงเลือกอย่างนั้น

ฉันถามหมอด้วยน้ำตา ว่าบางอย่างต้องยืดหยุ่นตามที่มาตรฐานคนไทยทั่วไปเค้าทำ เค้ายอมรับกันมั้ยคะ หมอก็บอกว่า พวกที่เค้าเป็นอย่างนั้น เค้าก็ทน ไม่ได้มีความสุข อาจจะด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ หน้าตา ฐานะทางสังคม เราเป็นของเราน่ะ ดีแล้ว ปรับแต่ไม่ใช่เปลี่ยน เวลาจะเป็นเครื่องตัดสิน

ในเมื่อหมอสั่ง การคลายเครียดที่ดีที่สุดนอกจากนอนก็คงเป็นการไปนวด แล้วก็กินหรูๆ ตามสไตล์ของฉัน นวดมัน 3 ชั่วโมง หมอนวดยังสอนฉันว่า อย่าไปคิดอะไร หลับซะ ถ้าไม่หลับก็นึกถึงขาเวลาที่เค้านวดฉัน สรุปแล้วยังไงฉันก็ไม่หลับ คิดไปร้อยแปดเรื่อง ได้คำตอบบ้าง ได้มุมมองอีกแง่สำหรับเรื่องเดิมๆ ที่เมื่อมองมุมใหม่ ก็ได้ความรู้สึกและทางออกใหม่ๆ

หมอนวดบอกอีกว่า กระดูกมันบอกว่า ล้า นะ แต่เส้นเอ็นข้างนี้ยังไม่เป็นปุ่มๆ เหมือนบ่าข้างโน้น แม่หมอเน้นนวดที่คอ ฉันรึก็กลัวจะคอหักก่อนตายด้วยความเครียด เลยกลายเป็นว่านวดไปเครียดไป จะว่าไป มันก็ไม่ได้ปวดเมื่อยเพราะงานอย่างเดียวหรอก ก็เวลาว่างของฉัน ดันไปเล่นเกมส์ซะนี่

ก็ซื้อผ่านอินเตอร์เน็ตมาอีกเหมือนกัน ไม่เล่นก็ไม่ได้ เสียเงินแล้วนิ!!

วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2552

ติดบ้าน

วันนี้ฉันออกนอกบ้าน...

ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่น่าจะกล่าวขึ้นมาสำหรับคนทั่วไป มนุษย์ออฟฟิศที่ต้องออกจากบ้านทุกวัน เสาร์อาทิตย์ต่างหากที่อาจเป็นวันพักผ่อนที่หลายคนเลือกจะอยู่บ้านเพราะล้าจากการวิ่งวุ่นเรื่องงานมาทั้งอาทิตย์

คนทำงานที่บ้านอย่างฉัน เดี๋ยวนี้ การออกจากบ้านดูจะเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อต้องออกไปพบปะผู้คนก็ต้องทำเปลือกนอกให้ดูดีขึ้นสักนิด แต่ฉันสงสัยตัวเองว่า ถ้านานๆ ออกจากบ้านที ฉันควรจะลิงโลด ประมาณว่าไม่อยากกลับบ้าน คุยกับคนที่รู้จักกันแต่เก่าก่อนจนลากลับกันไป

แต่นี่ ฉันกลับกลัวบ้านหาย รอเจอทุกคนจนครบแล้วก็ขอตัวกลับบ้านเลย กลับมาทำงานต่อ แม้ว่ามันไม่ใช่งานที่ต้องทำวันนี้ เดี๋ยวนี้ แต่ถ้ามันมีอารมณ์ทำไม่ทำก็จะไม่ได้ทำซะงั้น

ทำงานอื่นๆ จนเหลือแต่งานที่เลี่ยงจะทำแล้ว งานที่ต้องจดจ่อ มีสมาธิ ไม่ปล่อยให้อะไรมาขัดจังหวะ ไม่งั้นจะเบลอแล้วก็ทำผิดๆ ถูกๆ อย่างเคย ถ้าไม่รีบทำงานนี้แล้ว งานถัดไปที่จะถึงเวลาส่งผ่านมาที่ฉันมาถึง ฉันก็จะอดทำ

วันเสาร์นี้ ฉันมีสองทางเลือก ทำงานที่ค้างอยู่เรื่องนั้น หรือพักผ่อนให้สบายอารมณ์กับงานที่จะมาถึงฉันวันอาทิตย์บ่าย

ไอ้การพักผ่อนของฉันก็ไม่พ้นการนอนเป็นหลัก อาจจะมีดูทีวี ดีวีดีอะไรต่างๆ เป็นครั้งคราว หรือทำสมาธิผ่านการรีดผ้าที่เริ่มมีให้รีดหลายตัวแล้วเหมือนกัน

สรุปว่า ถ้าฉันยังติดบ้านอยู่อย่างนี้ ไม่ทำงานบ้านก็ทำงานที่จะได้เงินนั่นแหละ

คืนนี้จะรับรู้ตัวตนของคนจากงานเขียนของเขาซะหน่อย ไหนๆ วันนี้ก็แปลสุนทรพจน์ของเขาแล้วนิ!

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2552

อะไรสักนิดก่อนนอน

วันนี้ดูจะเป็นวันคุณภาพจริงๆ ...

ได้ทำงานเป็นเรื่องเป็นราวในชั่วโมงอันยาวนาน

ไปชอปปิ้งซื้อของเข้าตู้เย็น แม้ว่าจะมีคนค่อนว่า คงจะได้ทิ้งถังเพราะดองไว้นานในที่สุด แต่แล้ววันนี้ก็นึกครึ้มอกครึ้มใจทำกับข้าว (จากของที่ดองไว้นั่นแหละ) อันได้แก่ ไข่เจียวปู ต้มยำกุ้งเพิ่มมันกุ้งพิเศษ และยำกุ้งฝอยเต้นที่ซื้อมาตอนไปจ่ายกับข้าว ดื่มน้ำดอกอัญชัน น้ำว่านหางจระเข้และน้ำอะไรหว่าจำไม่ได้ ตบท้ายด้วยน้ำข้าวกล้องงอกที่ว่าช่วยรักษามะเร็งได้และมีสารต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี ส่วนผลไม้ ฉันก็ได้กินถั่วแระญี่ปุ่นกับข้าวโพดข้าวเหนียว (นับเป็นของหวานป่าวหว่า)

รับสายจากกัลยาณมิตร ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ความเป็นมาเป็นไป เนื่องด้วยฉันไม่ส่ง sms ตอบกลับคำอวยพรปีใหม่ให้เธอ นับรวมแล้วไม่ได้เจอหน้าเจอตาร่วมครึ่งปี จึงมีอะไรให้อัพเดทกันพอควร ธรรมะหลั่งไหลมาตามสาย จะว่าไปแล้ว ถ้าเรามีสติเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาใดๆ ก็ตาม เราจะสามารถเลือกหาทางแก้ที่ดีและเหมาะสมได้ไม่ยากนัก และเราก็จะไม่จดจ่ออยู่กับปัญหาจนเกินไป รู้จักปลง มองออกไปนอกกรอบ ก็จะไม่ถูกกดดัน เราจะมีเวลาค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำอะไรๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเร่งรีบ อะไรจะเป็นก็เป็นไป ถ้าใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ไม่ต้องดิ้นรน ไขว่คว้า

การที่จิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ กับกิจกรรมหลายๆ อย่าง ดีอย่างนี้นี่เอง หากพบปัญหากับเรื่องใด จะไม่มีปัญหาอะไรที่หนักที่สุด (เพราะมันมีปัญหาทุกอย่างนั่นแหละ) จึงไม่ต้องตื่นเต้นตกใจ แก้ได้ก็แก้ไป แก้ไม่ได้ก็ลองไปแก้เรื่องอื่นก่อน ยังงั้ยยังไงมันก็มีอะไรให้แก้ทุกวันนั่นแหละ

ว่าแล้ว คืนนี้คงจะจบลงด้วยการซักผ้า เพื่อเตรียมรีดในวันรุ่งพรุ่งนี้

ชีวิตที่มีความสุขไม่ได้หายากเลย...

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2552

บทสัมภาษณ์มาร์จอเน่ ซาทราพิ เจ้าของผลงานแพร์ซโพลิสและเย็บถากปากร้าย

ตามไปอ่านที่บล้อกของกำมะหยี่ได้เลยนะคะ ถ้าอ่านแล้วไม่ขำ ยินดีให้ประทุษร้ายด้วยส่วนล่างสุดของร่างกายค่ะ :)

http://gammemagie.blogspot.com/2009/03/blog-post_03.html

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552

เด็กๆ คงช่วยฉันไว้...

ถ้าเธอได้อ่านบล้อกของฉันก่อนหน้านี้ คงจะเห็นว่าฉันนำเรื่องราวของแม่ต้อยมาเผยแพร่ที่นี่ เผื่อว่าใครได้อ่านอาจจะมีโอกาสได้ช่วยเหลือเด็กๆ ที่อนาคตมืดมนเหล่านั้น อย่างที่ฉันเขียนไว้ ว่าฉันลุกขึ้นมาบริจาคเงินทางอินเตอร์เน็ต...เป็นการเริ่มวันใหม่ที่ดีมีคุณค่าต่อคนอื่น ฉันจัดเสื้อผ้าได้หนึ่งลังกับหนึ่งกระเป๋าเตรียมไปมอบให้เด็กๆ เหล่านั้น ถึงกับเปรยๆ กับพี่คนสนิทว่า อาจจะขับรถไปถึงยโสธร ถือว่าไปเที่ยวซะด้วยเลยทีเดียว

ณ วันเดียวกันนั้นเอง มีเรื่องของเด็กๆ เข้ามาเกี่ยวพันกับฉันทั้งตอนเช้า และตอนค่ำหลังตัดสินใจอะไรบางอย่างเพื่อให้ตัวเองพ้นทุกข์ เรื่องตอนเช้า ฉันเขียนเล่าให้อ่านกันแล้ว ส่วนตอนค่ำ อยู่ดีๆ พี่ที่คบหากันมาก็บอกกับฉันว่าจะดูดวงให้ แต่การดูดวงโดยใช้ไพ่ของพี่แกไม่เหมือนที่ใดๆ ที่ฉันเคยไปดูมา ไพ่สีฟ้ามีข้อความเป็นตัวอักษร...เป็นเรื่องเป็นราวทีเดียว พี่ให้ฉันแบ่งออกเป็นสิบกอง อธิษฐานว่าอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องอะไร 10 ข้อ ใช้มือซ้ายตัดไพ่จนพอใจ ว่าแล้วพี่ของฉันก็เอาเครื่องมือแปลกไม่เหมือนใครออกมาจากกระเป๋าเป้ เป็นตะเกียบสีไม้เข้มหนึ่งข้าง (ฉันไม่ค่อยแน่ใจเรื่องลักษณะนามของตะเกียบข้างเดียวมาก่อน ของที่อยู่เป็นคู่เสมอ ไม่เคยคิดว่าเมื่ออยู่ลำพังข้างเดียวก็เกิดประโยชน์ในอีกแง่มุมหนึ่ง) สร้อยสแตนเลสเงินยาวหนึ่งไม้บรรทัดเห็นจะได้ ปลายสร้อยเป็นแก้วเจียระไนหรือแร่ธาตุอะไรซักอย่างที่มีลักษณะขาวใส พี่คนนี้พันปลายสร้อยอีกด้านไปที่ปลายตะเกียบ มองดูเหมือนเบ็ดตกปลาที่มีเหยื่อชิ้นเบ้อเริ่มเมื่อมองสัดส่วนของคันเบ็ด สายเอ็นและเหยื่อยักษ์ชิ้นนี้

เธอเชื่อมั้ยว่าพี่เค้าถือคันเบ็ดลอยอยู่เหนือไพ่ทุกใบในแต่ละกอง และก็แล้วแต่ว่าจะอธิษฐานให้แก้วพิเศษนี้หมุนไปทางใด เช่น ถ้าหมุนทวนเข็มนาฬิกาถือว่าเป็นไพ่ที่จะให้คำตอบกับคำถามที่ฉันถาม เธอคิดดู ในแต่ละกองมีไพ่ประมาณ 20 ใบ พี่เค้าต้องถือคันเบ็ดอยู่นานแค่ไหน ถึงจะทำนายทายทักเรื่องต่างๆ ให้ฉันได้ เรื่องแรกก็คือเรื่องที่ฉันเพิ่งตัดสินใจนั่นแหละ แล้วคำตอบก็พูดในเรื่องเดียวกัน การที่ฉันได้มีโอกาส "เกิดใหม่" เมื่อดอกไม้บาน เมื่อได้บริจาคเงิน เมื่อได้ตัดสินใจอะไรโดยเด็ดขาด ทำให้จิตใจของฉันผ่องแผ่ว ไม่น่าเชื่อว่าไม่มีน้ำตาไหลแม้แต่สักหยดเดียว ฉันรู้สึกดีจังที่เข้มแข็งขึ้นมาก ไม่มีใครจะมาทำลายการนับถือตัวเอง (Self-Esteem) ของเราได้ นอกจากเราจะอนุญาตให้ใครเข้ามามีอำนาจเหนือจิตใจของเรา นี่น่าจะเป็นบทพิสูจน์ว่า ความล้มเหลว ความผิดพลาดทำให้เราแกร่งขึ้น สามารถเผชิญหน้ากับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา

คำถามที่สอง สามและสี่ ได้รับคำตอบแล้ว แม้ว่าคำตอบคือความคลุมเครือ คำตอบไม่ได้ให้ความกระจ่าง แต่คำตอบที่ได้ก็แนะนำให้ฉันปฏิบัติตนอย่างไร จวบจนมาคำถามสุดท้ายที่ฉันถามไปว่า ฉันจะสามารถมีอิสระทางการเงินได้หรือไม่ เมื่อใด มีไพ่อยู่หนึ่งใบที่พอเอาแก้วพิเศษนี้ไปจ่ออยู่ด้านบน แก้วไม่ไหวติง ฉันได้รู้จากคำถามก่อนหน้าว่า ไพ่จำพวกนี้ มีความหมายพิเศษ แปลว่าไพ่ไม่บอก ส่วนใบที่แก้วแกว่งแรงที่สุดตามทิศทางที่อธิษฐานไว้ให้ความหมายที่ฉันพอจำได้เลาๆ ว่า ฉันมีความสามารถ แต่ไพ่ก็ยังไม่ได้ตอบอะไรชัดเจน การที่คนเรามีความสามารถไม่ได้แปลว่าจะประสบความสำเร็จ หรือได้ดอกผลจากความสามารถที่มี พอถึงคราวที่เปิดไพ่ที่แก้วไม่เคลื่อนไหว หยุดนิ่งอยู่เหนือไพ่ พอพลิกหงายขึ้นมา ข้อความในไพ่กล่าวว่า

....แม่ฆ่าหนูทำไม....

ณ ตอนนี้ ฉันยังขนลุกไม่หาย ไม่น่าเชื่อ แล้วฉันก็ไม่รู้ด้วยว่า เป็นอุปทานหรือมีสิ่งลี้ลับใดก่อให้เกิดอาการเช่นนี้ ลำพังตัวฉันเอง ตีความไม่ได้หรอก ฉันเองไม่เคยฆ่าใคร พี่ที่ทำนายให้ฉันบอกว่า ฉันโชคดีนะ ที่ได้ไพ่ใบนี้ หมายความว่า มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ให้ฉันทำบุญกับเด็กๆ ให้เยอะๆ

นี่จึงเป็นที่มาที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า เด็กๆ คงได้ช่วยฉันเอาไว้แน่ๆ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอะไรที่ลี้ลับมาบอกมาเตือนฉันเสมอมา ต้องขอบคุณกรรมดีที่ฉันได้ทำไว้ในชาติปางก่อนหรือสิ่งที่ฉันเพิ่งทำในชาตินี้ ที่ดลบันดาลให้ฉันรอดพ้นจากคนพาล คนไม่ดีทั้งหลาย

ฉันจะยังคงทำความดีเพื่อไถ่บาปกรรมที่ฉันทำไว้ไม่ว่าจะในภพชาติใด กรรมที่ฉันมีกับหลายๆ คน ได้ชดใช้ไปแล้วในชาตินี้ ก็ขออย่าให้มีเวรมีกรรมต่อกันและกันเลย ฉันขอให้คนที่มีกรรมพัวพันกับฉันได้พบแต่สิ่งที่ดีในชีวิต แม้ว่าการเทน้ำในที่ดอนจะทำได้ยาก ฉันก็ขอเป็นคนนึงที่จะฝืนธรรมชาติ แผ่เมตตาให้ศัตรู คนพาล ที่สร้างความเสียหาย ชอกช้ำให้กับฉัน ขอให้เลิกแล้วต่อกัน ต่างพบเจอในสิ่งที่ดีๆ ทำแต่สิ่งดี ไม่เบียดเบียนคนอื่นอีกต่อไป