วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

กฎ 90/10...ไปถึงนั่นได้ไงเนี่ย

วันนี้ฉันได้ forward email จากเพื่อนที่ทำงานเก่าเกี่ยวกับหลัก 90/10 ของ Steven Covey แม้จะได้เข้าคอร์สเรียนสมัยอยู่ที่ทำงานเก่า แต่ฉันจำไม่ได้หรอกว่าไอ้กฎ 90/10 นี่มันหมายถึงอะไรจริงๆ 

ฉันจะสรุปให้ฟังละกันว่า กฎ90/10 นี่ก็คือว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเราโดยที่เราควบคุมไม่ได้น่ะ คิดเป็น 10% เท่านั้นนะ ที่เหลืออีก 90% อยู่ที่เราว่าจะปฏิบัติตนอย่างไร แก้ปัญหาหรือเผขิญกับเหตุการณ์ต่างๆ อย่างไร

นี่คือ "เนื้อ" ทั้งหมดที่ฉันสรุปได้

แต่ก็เถอะ หนังสือที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ก็เพราะเค้ายืดหลักคิดสั้นๆ ให้เห็นชัดเจน แสดงตัวอย่างในการปรับใช้ให้คนที่อ่านหลักก็เข้าใจตามตัวอักษร แต่ไม่สามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับชีวิตได้ 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ฉันได้แต่นึกถึงเรื่องที่ฉันตกลงกับตัวเองว่า จะไม่ปล่อยให้คนๆ หนึ่งมีอิทธิพลกับความรู้สึกของฉันอีกต่อไป ฉันคิดอยู่ในใจว่า ที่ฉันเลือกตอบโต้แบบนี้ ถูกต้องแล้วหรือยัง เป็นผลดีกับฉันจริงๆ แล้วหรือไม่

ฉันบอกตัวเองอยู่เรื่อยๆ ว่า ใครจะทำร้ายเราได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า เรายินยอมให้เขาทำร้ายเรารึเปล่า เรายอมให้การกระทำของเขามีอิทธิพลเหนือจิตใจของเรามากแค่ไหน 

แล้วฉันก็เชื่อว่า ฉันทำได้ 

ฉันบอกตัวเองว่า คนๆ นี้ไม่มีตัวตน ไม่มอง ไม่สบตา ไม่รับรู้ (หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือ มาแล้วก็ผ่านไปโดยไม่เก็บเศษเสี้ยวใดๆ ไว้ในใจ) 

ทำยังกะคนๆ นั้น เลวร้ายซะเต็มประดา 

เปล่าหรอก

ฉันแค่ปล่อยให้เขาเข้ามาอยู่ในใจฉันลึกเกินไป คนเราเวลาจะปรับก็คงต้องแกว่งไปอีกข้างก่อนแล้วจึงจะหาจุดสมดุลได้ 

ฉันว่าฉันก็แฮปปี้ดีนา ณ ตอนนี้

อีกคน ที่ฉันมีความรู้สึกดีๆ ให้ อยากให้เข้ามาอยู่ในชีวิตของฉัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง หรืออะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็แล้วแต่บุญแต่กรรม แม้จะไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ แต่ฉันก็รู้สึกดีที่ได้ส่งผ่านความรู้สึกดีๆ ที่ฉันมีให้ ให้เขาได้รับรู้ ความประทับใจที่ไม่อาจเกิดได้ง่ายๆ ความยินดีที่ได้มีโอกาสอยู่ในวังวนที่เขาชอบอยู่ อยู่กับกลุ่มคนที่ชอบอะไรคล้ายๆ กัน มีใจรักในสิ่งเดียวกัน เพียงแค่นั้น ไม่ต้องใช้สมอง (ยกเว้นแต่ต้องท่องจำ และนึกเนื้อเพลงให้ออก!)

ฉันรู้สึกว่าฉันสบายใจ ฉันโล่งใจแล้วที่ได้แสดงออก ใครจะคิดว่าฉันบ้าไปเองคนเดียวก็ช่างเขา ความรู้สึกดีๆ มีค่าสำหรับฉัน ไม่ว่าผู้ที่ได้รับหรือคนอื่นๆ จะมองมันตำ่ต้อยด้อยค่าอย่างไร

เหมือนๆ กับความสัมพันธ์ของเจ้าชายน้อย กับกุหลาบผู้เย่อหยิ่ง...

คนเราจะมีความหมายแก่กันก็เพราะเวลาที่ใช้ร่วมกัน ความสัมพันธ์ที่เราสร้างร่วมกัน สิ่งนี้จะทำให้เรามีคุณค่าต่อกันและกันในแบบที่ไม่มีความสัมพันธ์ใดเหมือน

แล้วนิ้วมือที่พิมพ์ดีดก็พาใจฉันนึกไปถึงความสัมพันธ์กับคนอีกคนหนึ่ง ฉันเรียกว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ดีตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ที่่ยั่งยืนยาวนานผ่านกาลเวลาย่อมต้องพิสูจน์อะไรหลายๆ อย่าง ฉันเกือบจะปล่อยให้เหตุการณ์และการกระทำที่ไม่ได้คาดหมายทำลายคุณค่าที่ร่วมสร้างด้วยกันเป็นแรมปี สูญสลายหายไปเพียงเพราะความประหลาดใจ ปรับตัวไม่ทัน...

คำว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขใช้ได้กับทุกความสัมพันธ์จริงๆ ...

เหตุผลเดียวที่ทำบางสิ่งบางอย่างคือ...ทำให้เขา เพื่อประโยชน์ของเขา

เหตุผลเดียวอีกเช่นกันที่ทำให้เธอคือ ...เพื่อให้เธอมีเรื่องไปเล่า ไปอวดใครๆ 

แต่แหม ท่าทางมันจะไม่เป็นแค่เหตุผลเดียวแล้วละมั้ง อันที่จริง มันอยู่ที่ว่าเราเลือกจะทำอะไร แล้วเราก็หาเหตุผลมาใส่ให้ดูมีหลักการ น่าเชื่อถือมากกว่านะ

เธอว่าฉันเลือกตอบโต้กับเรื่องต่างๆ ในชีวิตได้ดีพอแล้วรึยัง...

ฉันได้เลือกเป็นนายตัวเอง มีอิสระที่จะทำงานใดก่อนหลังในเวลาใด กำหนดการเป็นเรื่องที่ตกลงกัน ยืดหยุ่นได้ แต่เมื่อใดที่ได้ผูกพันให้คนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ฉันก็ต้องเคารพในเวลาและลำดับความสำคัญของคนอื่นเช่นกัน

ตอนนี้ฉันกำลังเครียด(ก็ควรอยู่) กับบิลค่าไฟที่หาใบแจ้งหนี้ไม่เจอและพ้นกำหนดชำระแล้ว อันทำให้ฉันต้องไปชำระที่การไฟฟ้านครหลวงเท่านั้น รอให้ฟ้าสางก่อนเถอะ ฉันก็จะขอให้เจ้าชายเสื้อส้มวิ่งไปจ่ายให้ฉัน

แต่ก็นะ ใจฉันก็ตุ้มๆ ต่อมๆ ว่าเขาจะตัดไฟฉันรึยังเนี่ย!!

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เรื่องของคนในวังวนใหม่ๆ

ฉันชักจะมีเรื่องราวที่ต้องบันทึกไว้ในรูปแบบที่นักเขียนเขาทำกัน...

เมื่อเราต้องการถ่ายทอดความจริงแต่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาในรูปแบบดั้งเดิมได้ ฉันคงต้องหัดพลิก หมุน ใส่จินตนาการให้ออกมาโดยที่คนอ่านไม่รู้ว่าเรื่องดั้งเดิมเป็นอย่างไรซะแล้วมั้งเนี่ย  

แต่ฉันว่า บางทีไอ้ที่ฉันถ่ายทอดแบบตรงๆ โต้งๆ คนเค้าก็เข้าใจไปเองว่าปรุงแต่งแล้วด้วยซ้ำ

บทสนทนากับหลากผู้คนในช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา มีอะไรสะกิดเตือนให้นึกถึงอะไรหลาายๆ อย่าง คนที่รู้จักคนมาแทบจะทุกแบบแล้ว อะไรจะทำหน้างงๆ เมื่อเจอวิธีการต่อปากต่อคำกับฉันนัก สรุปว่ามันดีกับตัวฉันเองมั้ยเนี่ย!!

พี่หนุ่มใหญ่แต่ใจวัยรุ่น ทำให้ค่ำคืนหนึ่งมีความหมาย ทำให้คนรอบตัวได้หัวเราะ สนุกสนานกับความไร้สาระของการส่งคำหยอด จีบหญิงที่เผอิญนั่งอยู่ตรงนั้น แทนที่จะนั่งนิ่งๆ ไม่ตอบโต้อย่างที่ผู้หญิงปกติพึงกระทำ ฉันก็เล่นด้วยแบบที่ฮากันตรึม คนจีบไม่วายโดนคนถูกจีบโต้แบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน เป็นไงล่ะ ของหายากอยู่แถวๆ นี้แหละ

พี่ร้องเพลง ขอให้เหมือนเดิม บูโดกัน ฉันจะร้อง ขอให้เหมือนเดิม สุนทราภรณ์ ตามด้วย "ชั่วฟ้าดินสลาย สัญญาใจคนไหนบอก รักแล้วไม่ลวงหลอก ... "ไอ้ฉันนึกว่าจะร้อง "ชั่วดินฟ้า รักเธอ เสมอใจ ที่ฉัน รำพัน ทุกวัน ฝันไปถึงเธอ..."

ได้รับฟีดแบคจากพี่อีกคนว่า  "ใช้ได้ เล่นเป็น  ...ขอบใจนะที่ดูแลรุ่นพี่ของพี่"

วันรุ่งขึ้น ได้ทราบว่า เมื่อ 20 ปีที่แล้ว พี่คนเดียวกันส่งขนมจีบลูกพี่ลูกน้องของฉัน!

จะว่าไป ไม่ใช่แค่สนุกเท่านั้นนะ แค่การหยอกล้อไม่กี่ชั่วโมงกับอดีตข้าราชการใหญ่โต มันทำให้ฉันเหมือนได้รับการยอมรับจากกลุ่มพี่ๆ รุ่นใหญ่ เรารู้จักกันแบบกันเอง มีความหมายกว่าการแต่งตัวเรียบร้อย พูดจานอบน้อมในยามเจอะเจอกันแบบทางการ

ฉันได้อ้างอิงบทสนทนาไร้สาระนี้อีกถึง 2 ครั้งกับผู้ใหญ่อีก 2-3 คน น่าแปลกที่พวกรุ่นใหญ่เค้ารู้จักกันถ้วนทั่วกันหมด แล้วก็ทำให้พวกพี่ๆ เหล่านั้น มองฉันในอีกรูปแบบหนึ่ง...

คล้ายว่า ความสามารถในการรินเบียร์ไม่ให้มีฟอง จะนำฉันไปสู่วงสนทนาส่วนตัวพิเศษของกลุ่มเพื่่อนซี้อีกโลกหนึ่ง บางทีเรามักจะคิดว่าผู้ใหญ่ที่โตมากๆ หน้าที่การงานใหญ่โต เป็นเจ้าของ เป็นคนมีชื่อเสียง คงคุยกันแต่เรื่องธุรกิจ หารู้ไม่ว่า บางกลุ่มร้องเพลงเล่นกีต้าร์ เมาเหล้าเหมือนๆ อย่างเพื่อนของฉันสมัยก่อนไม่มีผิด 

ที่วาสมัยก่อนก็เพราะ ตอนนี้เพื่อนๆ ที่ว่ากลายเป็นมนุษย์ทำงานเต็มตัว คุยกันแต่ละทีมีแต่เรื่องธุรกิจ เรื่องมีสาระ 

ถ้าฉันไม่ได้เป็นฉันอย่างทุกวันนี้ ฉันคงไม่มีโอกาสได้ก้าวเข้าไปอยู่ในวังวน ในโลก ในกลุ่มคนที่แตกต่าง ที่น่าสนใจ ประเทืองปัญหาและต่อมหรรษาอย่างนี้ 

ชีวิตฉันนี่มันก็ดีทีเดียวนะเนี่ย!!

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วิ่งไปที่...ไม่ย่อท้อ


จนกระทั่งตอนนี้ ฉันก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเขียนอะไร...

หรือฉันควรจะเขียนเรื่องญาติ เรื่องเพื่อน เรื่องงาน หรือว่าเรื่องศาลพระภูมิ!!

เมื่อฉันออกมายืนดูอยู่ข้างสนาม เห็นปฏิสัมพันธ์ของคนสองคน ปากก็ว่าอย่าง การกระทำก็อีกอย่าง แต่ความรู้สึกลึกๆ ก็ยังคงยืนยันว่า นั่นคือความปากแข็งของคน หรืออีกทีก็ไม่รู้ไม่เข้าใจตัวเองอย่างแรง

เหมือนฉัตรชัยในดงผู้ดีละครยอดฮิตไม่มีิผิด

แต่เอาเถอะ มันไม่ใช่เรื่องของฉัน 

ตอนนี้ความคิดฉันวิ่งไปที่หนังที่ดูเมื่อสองวันก่อน front of the class หนังเกี่ยวกับผู้ชายที่เป็นโรคประหลาด อยู่ดีๆ ก็มีอาการชักกระตุกที่หน้าเป็นพักๆ และบังคับตัวเองไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมแพ้ ทำทุกอย่างเพื่อให้ความฝันเป็นจริง...ฝันอยากจะเป็นครู

พ่อแม่เด็กอนุบาลไม่อยากให้ลูกเรียนกับครูที่มีอาการเอ่๋อเป็นครั้งคราว แต่เด็กแอบเกาะประตูดูอยากเรียนกับคนที่เป็นครูที่จิตวิญญาณ คนที่สู้แม้จะโดนปฏิเสธการสมัครงานมาเป็นสิบๆ ครั้ง บางครั้งท้อจนต้องร้องไห้ แต่เมื่อฝันเป็นจริงก็ใช่จะเป็นตอนจบ เหมือนๆ กับการแต่งงานนั่นแหละ ที่ตอนจบคือจุดเริ่มต้นของชีวิตอีกช่วงหนึ่ง

น้ำตาฉันเริ่มไหลตั้งแต่ตอนที่ลูกศิษย์ที่เป็นลูคีเมียตาย แม่ของเด็กขอให้คุณครูเก็บความลับไว้ ให้ลูกสาวได้มีช่วงชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีความสุข ครูไม่กล้าเข้าไปในโบสถ์ อาการผิดปกติของเขาจะทำลายพิธี ทำให้คนเสียสมาธิ แต่แม่ แม่ที่รู้ว่าครูเป็นคนสำคัญของลูกสาวที่เพิ่งจากไป เดินมารับครูที่ด้านหน้าโบสถ์พาเดินเข้าไป เข้าไปนั่งที่แถวหน้าสุด

ท้ายเรื่องจบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง แต่น้ำตาไหลพรากอีกครั้ง ครูได้รับรางวัลครูดีเด่น เพราะครูได้เคยสอนนักเรียนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือว่า ศัตรูของครูคืออาการกระตุก เอ๋อๆ นั่นแหละ แน่นอนว่ามันเป็นอุปสรรคมากกว่าที่เด็กน้อยที่อ่านหนังสือไม่ค่อยออกเจอ ครูสอนจากประสบการณ์ของตัวเอง เด็กเห็นอกเห็นใจครู จิตใจอันงดงามของคนต่างวัยสื่อถึงกัน การเรียนมีความหมาย บทเรียนชีวิตได้ถูกส่งผ่านไปยังมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่กำลังเติบใหญ่

ในวันรับรางวัลของคุณครู ขณะที่ครูกำลังกล่าวสุนทรพจน์ เด็กยกมือขึ้้นถามคำถาม ตอบในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เด็กๆ รู้ว่า เราต้องไม่ยอมแพ้ ต้องต่อสู้กับอุปสรรค บากบั่นไม่ยอมแพ้ 

อย่างคุณครูคนเก่งของพวกเขา...

แวะไปดูหนังตัวอย่างและเรื่องราวความเป็นมาของหนังที่สร้างจากเรื่องจริงนี้ได้ที่

http://www.youtube.com/watch?v=-ULQuqjtHsg

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

มันควรจะจบได้แล้ว

เธอว่าเขาตั้งใจรึเปล่า...

ฉันโดนแบบนี้มาสองครั้งแล้วนะ เมื่อคืนเป็นครั้งที่สอง เวลาอยู่ใกล้ๆ คนฉลาด มักจะมีวิธีทำร้ายเราโดยที่เราไม่สามารถโต้ตอบหรือว่าเขาได้ตรงๆ (หรือถึงมีฉันก็ไม่เลือกที่จะทำ นอกซะจากเขาจะคิดไปเองว่าฉันตั้งใจทำร้ายเขา)

เช่น

มากับแฟน แต่เดินมาแอบอยู่ข้างเสาแล้วชมว่าฉันสวย เพราะคนอื่นจะไม่เห็น มีแต่ฉันได้เห็นได้ฟังโดยไม่มีพยานรับรู้ พอเราแกล้งทำตรงข้ามกับที่เขาพูด นั่นเป็นครั้งแรกที่เราโดนพ่นน้ำลาย ซึ่งก็บอกไม่ได้ว่าตั้งใจรึเปล่า จะว่าเมาก็ไม่ใช่ เพราะเห็นมาหลายครั้งแล้วว่าแกล้งเมา

มาหนนี้ก็อีกครั้ง พูดจาหลายอย่างกำกวม คล้ายจะว่าแต่ก็ไม่ระบุ เพียงเพื่อจะพ่นน้ำลายใส่หน้าฉันแล้วเดินจากไป แล้วก็ทำแบบเดิมๆ คือทำแบบไม่มีใครเห็น ไม่มีหลักฐาน จับไม่ได้คาหนังคาเขา

ก่อนหน้านี้ ฉันก็โดนอยู่บ่อยๆ ประเภทว่า มาทำหน้าตาเจ้าชู้กับฉัน ทำให้ฉันเห็น โดยที่ไม่มีใครรู้ หรือไม่ก็รู้ในแบบที่ว่า ฉันปรบมือข้างเดียว หรือไม่ก็แกล้งทำเป็นเมา มากอดฉัน มาทำให้ฉันรู้ความรู้สึกของเขา

ฉันเคยบอกไปแล้วว่า "อย่ามองฉันอีกได้มั้ย" เขาก็ว่า "แค่มองก็ไม่ได้เหรอ" ก็การมองของเขามันทรมานฉันหนักหนา ในเมื่อตัวเองได้เลือกแล้ว ก็อย่าทำร้ายคนอื่น ทำให้คนอื่นตัดใจไม่ได้สิ

จริงๆ แล้วมันก็เป็นมาตั้งแต่ต้น "อย่าบอกใครนะ เก็บเอาไว้สองคน" ทำเหมือนฉันเป็นคนไม่มีศักดิ์ศรี เหมือนคนไม่มีความรู้สึก นึกจะทำอะไรก็ได้ ฉันเป็นคนที่ไม่ดีในสายตาของคนเกือบทั้งหมดอยู่คนเดียว 

เรื่อง "คำพิพากษา" ลอยขึ้นมาในใจฉันอีกครั้ง

ทำไมคนที่ฉันมีความรู้สึกที่ดีให้ ถึงได้ทำกับฉันแบบนี้ ฉันว่าฉันเลือกแล้วที่จะเก็บความรู้สึกดีๆ ไว้ตลอดไป ฉันยินดีที่เขามีคนที่รักอย่างจริงใจ จงรักภักดี ยอมปรับตัวเองทุกอย่างเพื่อให้เข้ากับเขา ฉันคงไม่ได้มีความพยายามมากมายขนาดนั้น แล้วฉันก็เห็นว่าเขาก็เหมาะสมกันดี เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขา

สิ่งที่ฉันจะทำก็เป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่ทำอีกเช่นเคย แม้แต่รุ่นพี่รุ่นน้องของเขาก็บอกว่า อย่าทำให้คนอื่นรู้ว่าเราอ่อนแอ แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะไม่รู้ (หรือก็สังเกตจนรู้) เพราะฉันปกป้องเขาเสมอมา อะไรที่ฉันรับไว้ได้ก็รับไว้ ฉันรู้ว่าการเป็นคนไม่ดีในสายตาคนอื่นเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ขนาดไหน 

ฉันรู้แม้กระทั่งวันแรกๆ วันที่มีปัญหา วันที่ฉันต้องเลิกดื่ม เพราะครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันเมาแล้วไม่รู้ตัว จำอะไรไม่ได้ ด้วยสาเหตุที่เขาก็รู้เพราะฉันไว้ใจที่จะบอก แน่นอนเขาเป็นคนดีพอที่จะพาฉันไปส่งบ้านแบบไม่บุบสลาย แต่เขาก็รักตัวเองพอที่จะไม่ปล่อยให้เพื่อนฝูงรู้ว่า เขากลับมาดูแลฉัน...

ฉันรู้ว่าเขาหมายความอย่างไร ที่เขาพร่ำพูดว่า เขาเป็นคนไม่ดี ฉันมองใครอย่างลึกซึ้งและพยายามทำความเข้าใจว่า อะไรที่หล่อหลอมให้ใครเป็นอย่างไร และฉันก็รู้ว่า ในส่วนลึกๆ เขาไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไรนักหรอก เพียงแต่เมื่อความรู้สึกกับเหตุผลมันไม่ได้ไปด้วยกัน มันก็ถูกต้องแล้วที่เลือกเหตุผล แต่ฉันก็ควรบอกให้รู้ว่า ในเมื่อเลือกเหตุผลแล้ว อย่ามาปล่อยความรู้สึกที่ฉัน ทำลายความรู้สึกดีๆ ที่ฉันมีให้ ด้วยความรู้สึกที่เขามีต่อฉัน

ฉันเห็นสายตา เห็นปฏิกิริยาที่เขาทำยามที่มีปัญหากับเพื่อน เขาเป็นคนดี เขา "ยอม" เพื่อน เหมือนๆ กับที่ฉันเขียนข้อดีของเขาเป็นข้อๆ แล้ววันนั้น เขาก็ขอเบอร์โทรศัพท์ฉัน 

เขาขโมยหอมแก้มฉันในเวลาที่ไม่มีใครเห็น ฉันเป็นได้แค่เงา แค่อะไรที่อยู่ในมุมมืด....ตลอดมา

เวลาที่มีใครเข้ามาจีบฉัน ก็ทำท่าโมโหคล้ายจะหึง พูดจาประชด "ทำไมไม่ไปร้องเพลงกับเขาล่ะ" ได้สิ ก็เขาถาม ฉันก็ไปร้องเพลงกับพี่ที่มาจีบฉันทันที  พอเขาเห็น อาการก็ออก แล้วก็ทนไม่ไหว กลับบ้านไป 

ิอาการหุนหัน รีบกลับบ้าน ดูเหมือนจะมีฉันคนเดียวที่เห็น(อีกแล้ว) 

ฉันต้องหลบลี้หนีหน้าผู้คนไปอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด ก็เพราะฉันโดนจากทุกคนรอบด้าน ฉันได้แต่เก็บเอาไว้ เพราะฉันรู้ว่าถ้าพูดออกมา จะต้องมีคนเสีย มันไม่มีทางออกที่ วิน-วิน หรอก แล้วฉันจะต้องยอมเป็นคนเสียต่อไปอีกนานแค่ไหน 

ฉันพยายามจะไม่มองเขา เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรับรู้ว่าเขามองมาที่ฉัน แต่ก็ใช่ว่าฉันจะไม่เคยทำ พอฉันไม่มอง ไม่สนใจ เขาก็ต้องมาแอบข้างเสาอย่างเคย เพื่อให้ฉันรับรู้อยู่คนเดียวว่าเขาไม่พอใจที่ฉันเย็นชา

เมื่อวานฉันก็ทักทายตามปกติ ไม่ได้มองตาเป็นพิเศษ คุยเรื่องสัพเพเหระ เมื่อเขาแวะเวียนเข้ามาใกล้ๆ กับฉัน แต่พอฉันโดนสาดด้วยน้ำลาย ฉันก็อดร้องไห้ไม่ได้ ฉันไม่ได้โกรธเพราะไม่รู้จะโกรธเพราะอะไร ฉันเสียใจ เสียใจที่คนที่ฉันมีความรู้สึกดีๆ ให้ ทำกับฉันแบบนี้ และฉันก็เสียใจ ที่ฉันปล่อยให้เขาเข้ามาภายในส่วนลึกในใจของฉันมาเป็นแรมปี 

ฉันเลือกที่จะไม่ทำอะไรเหมือนเขา เลือกที่จะอยู่ในที่แจ้ง เลือกทำอะไรที่มีหลักฐาน ใครจะเอาผิด จะเอาเศษกระดาษที่มีลายมือของฉันไปให้คนอื่นดู ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องระหว่างเรา ฉันก็ไม่ว่าอะไร คำพูดลูกไม้ต่างๆ ที่ทำแบบไม่มีหลักฐาน ทำแบบคนฉลาด ไม่มีใครยืนยันได้นอกจากคนที่ถูกกระทำและคนที่กระทำกริยานั้นๆ ออกมา

แม้ว่านี่อาจจะเป็นแผนของเขาอีกครั้งหรือไม่ก็ตาม ฉันขอให้อภัยเป็นครั้งสุดท้าย และต่อจากนี้ไป เขาจะเป็นได้แค่ศาลพระภูมิ 

ฉันจะทำอะไรอย่างเปิดเผยเหมือนเคย จะเอาไปเป็นหลักฐานยืนยัน มัดตัวฉันให้เป็นคนผิดเช่นเคยก็ตามใจ 

เมื่อเขาไม่มีตัวตน เขาก็ไม่มีโอกาสทำผิดให้ฉันเลือกว่าจะอภัยหรือไม่ และเขาก็ไม่มีโอกาสทำดีให้ฉันเลือกว่าจะขอบคุณหรือไม่เช่นกัน

ฉันไม่ได้เป็นคนน่าสงสาร ฉันจะไม่ยอมให้การกระทำของเขามีผลกระทบกับใจฉันเสียที ถ้าเขาจะฝังใจอยู่กับความคิดที่พ่อบอกเขาว่า "เขาจะพังเพราะผู้หญิง" ฉันก็ไม่สามารถจะไปเปลี่ยนความคิดของเขาได้ ฉันยังเชื่ออยู่เสมอว่า เราจะเป็นอย่างที่เราคิด เราปรารถนาว่าจะเป็น

ฉันจะไม่ยี่หระกับคนขี้ขลาดคนนี้อีกต่อไป... 

เราคงมีกรรมพัวพันกันแค่นี้ ฉัน...ขอให้เธอโชคดี


วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

พ่อคนโปรด

นับเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานร่วมสิบปี ที่ชายคนหนึ่งสร้างความประทับใจให้แม่ฉันจนเหล่าลูกๆ เรียกชายคนนั้นว่า พี่ชายคนโต...

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาแวะเวียนผ่านมาในชีวิต ในกลุ่มญาติสนิทของฉัน 

"คนอะไร ชวนไปไหนก็ไป ไม่ว่าจะงานญาติ งานเลี้ยงแชร์ ตกลงเขาคิดอะไรมั้้ยนั่น"

ฉันยังไม่วายสงสัยอยู่เช่นเคย ดูท่าแล้วคงจะปฏิเสธไม่เป็น โกรธไม่เป็น ไม่พูดไม่บอกใดๆ จนถึงกับต้องถามว่า "เคยโกรธใครมั้ย เวลาคนมาชอบท่าทางคงไม่กล้าบอกปฏิเสธ แล้วเวลาชอบใครล่ะ กล้าบอกเขามั้ย"

น่าแปลกที่ได้คำตอบทันควัน

"เคย บางครั้งเขาก็รู้ บางครั้งก็ไม่ ถ้าชอบใครก็บอกเขาเลย แต่เวลาบอกปัดคนที่มาสนใจก็ลำบากหน่อย"

ฉันไม่ค่อยแน่ใจว่าเขาปฏิเสธคนไม่เป็นหรือชอบที่จะอยู่ในวังวนของหมู่ญาติของฉันกันแน่

อันที่จริงวันนี้ เขาควรจะกลับบ้านไปพร้อมๆ กับญาติที่มาทานข้าวด้วยกัน แต่ฉันก็รู้ว่า แม่คงจะชวนเขาเดินมาที่บ้านน้องชาย แล้วเราทั้งหมดก็ดูหลาน ดูทีวีกันอีกร่วมชั่วโมง ฉันเรียกให้มาถ่ายรูปร่วมกับฉันและหลานก็มา แถมท้ายยัง บอกไปว่า ถ้ารูปนี้กระจายทั่วอินเตอร์เน็ตสาวๆ ของพี่หายหมดแน่ จะว่าไปแล้ว ชวนเขาถ่ายรูป ถ้าเขาไม่มาถ่ายด้วยก็แปลกอะนะ 

สรุปว่า จะอย่างไร ฉันก็ยังคงมีหน้าที่เป็นกางขวางคอระหว่างพี่กับน้องสาวของฉัน เพื่อมิให้น้องสาวลำบากใจมากไปกว่านี้ แต่ก็ต้องเสี่ยงกับการต้องฟื้นฟูสัมพันธ์ระหว่างฉันกับแม่อีกแล้ว เพราะมาขัดใจความมุ่งมาดปรารถนาอันเด็ดเดี่ยวของพระมารดาที่ต้องการได้ลูกเขยคนนี้มากกว่าเป็นแค่ลูกชายอุปโลกน์

มีหลายคนที่เริ่มแสดงความคิดเห็นว่าพี่เขาเหมาะกับฉันมากกว่านา โอย เอาปัญหามาให้ฉันอีกแล้ว แถมยังแนะว่าให้ฉันไปจีบอีกต่างหาก ฉันว่า ฉันต้องตายแน่ๆ ถ้าไปหักอกพี่คนนี้ คนที่เอาฉันตายไม่ใช่ใครหรอก 

แม่ฉันเอง!!!

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ขยันสร้าง

เริ่มต้นด้วยขยันอ่านก่อนเข้าประชุม...

วันนี้พระมารดามาดูพื้นที่ร้านค้าพร้อมข้อแนะนำที่ดี ขอให้ติดพัดลมระบายอากาศก่อนทำเรื่องโอนห้อง ดูจะเป็นเงื่อนไขที่ดี แต่ฉันก็เริ่มต้นจากการถามไปก่อนว่า "เจาะกำแพงได้รึเปล่า" แล้วก็จะค่อยๆ กระดึบๆ เลียบๆ เคียงๆ ถามว่า "ทำให้ด้วยสิ เดี๋ยวปัญหากลิ่นจะแก้ไม่ตก แล้วก็ต้องมาเจาะกำแพง ทาสีให้ทีหลังนะ" ด้วยฉันย้ำนักย้ำหนาว่า ยังไงก็ต้องรับประกันให้ฉัน 1 ปีเหมือนๆ กับห้องอื่นๆ 

แล้ววันนี้ก็ดูจะเป็นวันที่ฉันได้คำตอบจากแม่โดยการซัก ไม่ใช่เป็นความรู้ที่ยินดีจะให้จนล้นหัวใจอย่างเคย...

เราเริ่มจะมีการวางแผนจัดการ ดูรูปแบบความเป็นเจ้าของที่จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด ภาษีอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง วิธีการวางแผนภาษีที่ดีเราก็เริ่มถกและจะหาข้อมูลเพิ่มเติมจากญาติพี่น้องที่เชี่ยวชาญช่ำชอง ยาวเลยไปจนถึงการจัดการเรื่องอื่นๆ ที่ใช้หลักการเดียวกัน

เมื่อคืนฉันทำตัวเลขไว้บ้างแล้วล่ะ เปรียบเทียบดอกเบี้ยที่ได้รับกับรายได้จากการให้เช่าหรือดำเนินกิจการ อย่างไรเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม เท่าที่ปรึกษากันดู เราอยากได้ค่าเซ้งเป็นก้อนสำหรับระยะเวลาเช่าสัก 5 ปี ถ้าฝันของฉันเป็นจริง ก็จะได้เงินมาหมุนเวียนในกิจการขีดๆ เขียนๆ โดยไม่ต้องดึงเงินมาจากแหล่งอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 

ความคิดเริ่มบรรเจิด ทำให้ชีวิตดูสดชื่นกระปรีกระเปร่าทีเดียว...

จากนั้นฉันก็สวมวิญญาณผู้ตรวจสอบเก่า นั่งเปรียบเทียบรายการในงบการเงินกับประมาณการเมื่อปีที่แล้ว มีอะไรตกหล่นอย่างไรบ้าง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการประชุมในตอนค่ำ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะดำเนินได้ยืดยาวถึงเกือบเที่ยงคืน 

ฉันไม่ได้ไปจับผิดว่า คณะกรรมการชุดปัจจุบันทำงานบกพร่องหรือไม่หรอก(แต่ฉันว่าใครๆ ก็คิดว่าฉันจับผิดนั่นแหละ) แค่ตั้งข้อสังเกตและต้องการคำอธิบายที่มาที่ไปของรายการต่างๆ ค่าใช้จ่ายบางรายการที่เพิ่มขึ้นนอกจากจะสะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการและความแม่นยำในการประมาณการแล้ว เรายังอาจตั้งสมมุติฐานได้ว่า สัญญาที่เราทำกับหน่วยงานภายนอกที่ควรจะครอบคลุมรายจ่ายบางประเภทไปแล้ว แต่ทำไมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องถึงได้สูงกว่าประมาณการ เรื่องหลังนี้ฉันจะไปค้นเอกสารสัญญามานั่งดูเองเลยเชียว

และแล้วก็ถึงเรื่องเล็กที่เป็นที่ถกเถียงกันจนเป็นเรื่องใหญ่ แม้จะเป็นอำนาจของกรรมการในการพิจารณาตัดสินแต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังเป็นระยะทำให้ประธานคณะกรรมการยกเรื่องนี้ขึ้นหารือในที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วม แล้วก็เรื่องมากจริงๆ อย่างที่ว่า

ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายใดๆ หรอก ก็อีแค่เรื่องที่จอดรถ!

ความผิดอยู่ที่เซลล์ของโครงการที่ไปให้คำมั่นกับผู้ซื้อว่าได้ที่จอดรถทุกยูนิต ยูนิตที่มีสองห้องนอนก็ได้ที่จอดรถสองคันนะ แต่ในความเป็นจริง มีที่จอดรถเพียงพอสำหรับ 70% ของจำนวนห้องเท่านั้น เรื่องยูนิตที่มีสองห้องจะได้ที่จอดสองคันน่ะ ลืมไปได้เลย

ทีนี้มันก็มีทั้งคนในเอารถมาจอดทิ้งไว้หลายคัน คนในให้คนนอกเช่าสติ๊กเกอร์ที่จอดรถ คนนอกแอบเข้ามาจอด บางห้องขอที่จอดรถคันที่สองโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แม้ว่าตอนนี้ที่จอดรถยังเพียงพอที่จะรองรับผู้อยู่อาศัยในปัจจุบัน แต่ในอนาคตล่ะ อะไรที่เราหย่อนยานตั้งแต่ต้นพอจะตึงขึ้นเมื่อประสบปัญหาก็ต้องโดนต่อต้านเป็นธรรมดา 

และคราวนี้ก็เช่นกัน...

หลายๆ คนอยากจะให้คณะกรรมการชุดใหม่รับเรื่องนี้ไปดูแล แต่หนึ่งในคณะกรรมการชุดใหม่อย่างฉันรึจะยอม "โดน" อย่างคณะกรรมการชุดแรกที่อาวุโสกว่าด้วยซ้ำ เวทีประชุมใหญ่นี้เหมาะที่สุดแล้ว แม้จะเจอมุมมองที่หลากหลาย บ้างก็ว่าปัญหายังไม่เกิด จริงอยู่ว่าที่จอดรถยังเพียงพอ แต่ในทางปฏิบัติทางนิติบุคคลใช้หลักรัฐศาสตร์มาปรับใช้ทั้งหมด พอเริ่มมีข้อสรุปจากคณะกรรมการก็เริ่มมีเสียงต่อต้านขึ้นมา อย่างน้อยที่สุดก็จากฉันนั่นเองแหละ อะไร ถ้าฉันจะมีญาติมีเพื่อนมาเยี่ยมเยือน อยู่ค้างเป็นครั้งคราว แล้วฉันต้องให้เขาวนรถทุกสามชั่วโมงเพื่อจะไม่ต้องเสียค่าที่จอดรถรึ 

เพราะฉะนั้นเราจึงแสดงความคิดเห็น เห็นใจห้องที่อยู่เป็นคู่สามีภรรยาและมีรถสองคัน ทำไมต้องให้เขาจ่ายทั้งๆ ที่ยังไม่มีปัญหาเรื่องที่จอดรถ แล้วเราจะให้สิทธิ์ยูนิตที่มีสองห้องนอนก่อนยูนิตที่มีห้องนอนเดียวมั้ย หากที่จอดรถเต็มขึ้นมาเพราะมีผู้เข้ามาอาศัยเพิ่ม ที่ต้องคิดเพราะที่จอดรถไม่ได้รองรับทุกยูนิต ในขณะเดียวกัน หลายๆ คนก็เริ่มรู้สึกถึงความไม่แฟร์ ทุกคนควรมีสิทธิ์ได้เพียงหนึ่งที่จอดรถเท่าๆ กัน มีคนเสนอไอเดียดีๆ โดยให้คนที่มีที่จอดรถคันที่สอง จ่ายเงินและมอบเงินนี้ให้ยูนิตที่ไม่ใช้รถ ฉันว่าดี เพราะทุกคนก็มีสิทธิ์เท่าๆ กัน ถ้าเขาไม่ใช้สิทธิ์ก็น่าจะได้ค่าตอบแทนจากสิ่งที่คนเขาแย่งกันจัง

เสียงค้านเรื่องที่ว่าทำไมต้องมาถกปัญหาที่มันยังไม่เกิดดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กัน เสียงน้อยๆ นี่ดังเหลือเกิน เสียงเหล่านั้นไม่ต้องการให้ถกเถึยงกันเรื่องนี้ ให้เป็นภาระของคณะกรรมการชุดใหม่ไป ฉันยิ่งเน้นใหญ่ว่าอันที่จริงแล้ว คณะกรรมการสามารถตัดสินได้เลยแต่ต้องการให้มาพิจารณากันที่เวทีนี้เพื่อจะได้เคลียร์กันไปเลย ทางนิติฯก็จะได้มีหลักปฏิบัติชัดเจน ไม่ต้องโดนว่าเหมือนนักการเมือง double standard 

รัฐศาสตร์ต้องไปคู่กับนิติศาสตร์นะหนนี้ ที่ฉันดีใจคือ เขาใช้หลักนิติศาสตร์แต่ละห้องเสียค่าที่จอดรถเพิ่มคันละ 1000 บาท และใช้หลักรัฐศาสตร์กับญาติหรือเพื่อนที่มาเยี่ยมเยือนเป็นครั้งคราว ค่อยยังชั่ว เรื่องที่ฉันกังวลเป็นกรณีหลัง 

อย่างน้อยห้องที่ถ้าให้เช่าได้ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องที่จอดรถ แถมยังใช้ห้องประชุมได้ฟรี เว้นเสียแต่ประชุมเป็นเรื่องเป็นราวก็เสียค่าแอร์ครั้งละ 100 บาท คราวนี้ ฉันก็จะได้มีห้องประชุมใช้เวลาต้องรับแขกบ้านแขกเมือง ไม่ใช่ชวนไปดูราวตากผ้าของฉันพร้อมกับกองหนังสือตั้งเบ่อเร่ออีกแล้ว

แต่รู้มั้ย ว่าการที่ตึงหลังจากที่หย่อนมานาน คงเป็นจุดเริ่มต้นให้ฉันสร้างศัตรูอีกแล้วสิคราวนี้ ศัตรูเป็นได้ทั้งนิติบุคคล คู่สัญญาที่ให้บริการด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัย แม่บ้าน สระว่ายน้ำ สวนหย่อม รวมไปถึงลูกบ้านที่เป็นเจ้าของร่วม โดยเฉพาะรปภ. ที่คงเหม็นหน้าฉันน่าดู ด้วยชอบไปกลับเวลาประหลาด เจอรปภ. หลับบ้าง หายตัวบ้าง 

ตอนนี้ฉันมีตำแหน่งที่จดทะเบียนที่กรมที่ดินค้ำคอแบบนี้ ไม่ขึงขึงก็ไม่ได้แล้วละเน้อ