วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อินทรีแดงแผลงฤทธิ์

ฉันได้บัตรวีไอพีไปดูละครเวทีเรื่องหนึ่ง สองที่นั่ง ชวยคนไปดูเป็นเพื่อน แต่ไม่มีเอสเอ็มเอสตอบกลับ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ฉันไปดูละครเวทีทางเลือกคนเดียว...

ได้ยินชื่อโรงละครมะขามป้อมมาหลายครั้งหลายครา ด้วยว่าอยู่ใกล้สำนักงานบ้าน แต่ไม่เคยไปด้วยตัวเองเสียที ในใจ คิดว่าโรงละคร ก็คงต้องมีความใหญ่โตประมาณหนึ่ง แต่ไฉนเป็นเพียงห้องแถวเล็กๆ สองห้องที่มุมตัด เพราะอยู่ตรงหัวมุมหลังป้อมตำรวจตรงสี่แยกสะพานควาย

แม้จะใกล้แสนใกล้แต่ฉันก็นั่งแท็กซี่ไป ด้วยไม่รู้ว่าไอ้ที่ว่าอยู่หลังป้อมตำรวจน่ะ ฉันนึกภาพไม่ออกจริงๆ โทรถามคนชวนก็ได้ความอย่างที่รู้อยู่นั่นแหละ แต่จินตนาการบดบังข้อเท็จจริงจนฉันเหลือบเห็นลักษณะภายนอกของโรงละครแห่งนี้ ที่พอจะอนุมานได้ว่า 'ก็ใกล้เคียงกับโรงละครปกตินั่นแหละ'

ฉันไปถึงก่อนเวลากว่าครึ่งชั่วโมง ด้วยจำเป็นทุ่มตรงเหมือนกับที่ส่งแมสเสจไปชวนหนุ่มใหญ่ใส่แว่นตาที่ปฏิเสธมาด้วยความเงียบงัน เฮ้อ!! แป่ว ตามเคย ตรู แต่ใครๆ ก็คิดกันไปเองอีกเช่นเดิมว่าฉันมีหนุ่มๆ มากมาย พอเดินเข้าใกล้ใคร หรือพูดจากับใคร ไอ้อากัปกิริยาของฉันก็ให้ได้แปลเป็น ระริกระรี้ ทุกทีสิน่า 

ฉันไม่รู้ว่าจะไปชี้แจงแถลงไขให้ใครๆ ฟังได้อย่างไรว่า ท่าของฉันก็เป็นแบบนั้นเองแหละ มันไม่ได้แปลว่าฉัน 'ระริกระรี้' จริงๆ สักหน่อย มีคนเคยใช้คำว่า 'เล่นไม่เป็น' ซึ่งก็เห็นว่าจะจริง คนเรามันคงแก่เกินแกงแล้วละมั้ง ถ้าฉันเปลี่ยนท่าอีกคนก็งง ทำท่าเดิมก็งง แล้วฉันจะไปเหนื่อยให้เมื่อยตุ้มทำไม ใครจะเข้าใจก็เข้าใจละกันเนอะ มีเอกลักษณ์ดีออก (ปลอบใจตัวเองมันเข้าไป)

ว่าแล้วก็ควรจะวกเข้าละครเวทีได้แล้วหลังจากเดินเลยไปโน่นนนน  ไปถึงก่อนเวลา ได้ดูทีมงานซ้อม ได้โฆษณาขายหนังสือรหัสลับ เกเก้วินชี เช่นเคย บ่ายวันนี้ก็ไปโฆษณา หนังสือเจ้าชายน้อยเวอร์ชั่นการ์ตูน มารอบนึงแล้ว กินข้าวเช้า เที่ยง เย็น แล้วก็ใส่เสื้อเจ้าชายน้อยฝ่าฝนไปดูละครเนี่ยแหละค่ะ

ฉันไปเบี่ยงเบนความสนใจ พาชาวบ้านชาวช่องออกนอกลู่นอกทาง นอกเรื่องอีกเช่นเคย แทนที่ชาวมะขามป้อมจะได้แต่งหน้า เตรียมตัว ฉันก็ชวนคุยขายหนังสือ พ่อพระเอกหนุ่มแสนดีก็โทรหารุ่นน้องเพื่อช่วยเชิญสื่อมางานเปิดตัวหนังสือที่แหวกแนวจัดที่บาร์เกย์ชื่อ เดอะปาติโอ สีลมซอย 2 ทุ่มครึ่ง พฤหัสที่ 3 กันยายนนี้ (เห็นมั้ยว่า ยังไงฉันก็อดไม่ได้ แวะวนเข้าโฆษณา ขายหนังสือตามเคย)

ได้สัมผัสอุ่นไอ ความจริงใจ ความรักในงานศิลปะ ความเอื้อเฟื้อ โอบอ้อมอารีที่ชาวมะขามป้อมมีให้ ฉันเอง ทำเป็นใจใหญ่เชิญทุกคนร่วมงานเปิดตัว ดื่มกันไม่อั้น โอะ โอ คำนี้ชอบๆ ถ้าไม่ได้พี่บัญชานางฟ้าตัวจริง ฉันจะทำโอ่อย่างนี้ได้ไฉน

คนเราพอทำอะไรที่ชอบแล้วก็มีความสุข เมื่องานคือความสุข เงินก็เป็นเรื่องเล็กน้อย เพียงให้พอที่จะประทังชีวิต ให้มีปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็น...ก็เพียงแค่นั้น


ซ้อมก็สนุก อบอุ่นร่างกาย เตรียมเสียงก่อนแสดงก็ขำ เรื่องที่เล่นก็มุขบาน หัวเราะกันครื้นเครง ไม่ต้องพึ่งยาเสพติดขนานใดๆ (เอ่อ มีพันช์เหยาะแม่โขงพอได้กลิ่น คงไม่ผิดนักนะคะ ท่านผู้ชม) ละครสนุกและเดาไม่ถูกตลอดเรื่อง มีการลืมบทเล็กน้อย แต่ด้วยบุคลิกของพระเอก ก็พอกล้อมแกล้มไปได้ไม่สะดุดนัก แอบชื่นชมตัวเองที่พอจบการแสดง เจ้าตัวมาสารภาพว่า ลืมบท หน้าตากิวตี้เหลือเกิน ฉันถึงได้รู้สึกเห่อเหิมว่า อันตัวข้าก็ดูออกนะเนี่ย ว่ามีการลืมบท ฮ่าๆ ๆ 

จบละคร นัดแนะเรื่องงานหนังสือเล่มต่อไป ฝากแจกที่คั่นหนังสือรหัสลับ เกเก้วินชี ที่เกิดขึ้นจากวิกฤติ แล้วเราก็ทำให้มันเป็นโอกาสทำการตลาดประชาสัมพันธ์แบบได้ผล รุ่นพี่คนนึงที่นั่งฟังฉันขายหนังสือถึงกับรีบเปิดไปที่หน้า 39 ทันใด ด้วยสงสัยจากถ้อยความในที่คั่นหนังสือ 

"เริ่มการถอดรหัสลับ เกเก้วินชี ด้วยการเปิดไปที่ หน้า 39 และลบเชิงอรรถให้ขาวสะอาด อย่าให้รหัสผิดพลาดหลงเหลือ!!!"

ได้ผล ฮ่าๆ ๆ  เป็นการโฆษณาที่เจ๋งเป้งจริงๆ ในความรู้สึกของฉัน

และแล้ว ฉันก็เดินอยู่กลางลมฝน(ปรอยๆ ) สู้ทนฟันฝ่า กายที่มันอ่อนล้า (เพราะปวดท้องเบา) แทบยืนไม่อยู่ (ต้องรีบวิ่ง เดี๋ยวไม่ทัน!!!)

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หรือฉันจะทำไม่ได้จริงๆ


นานมาแล้ว ตอนที่น้องๆ ของฉันไปพบนักจิตวิทยา ได้ทำแบบทดสอบแล้วน้องคนกลางก็บอกให้ฉันไปทำบ้าง ทำแบบทดสอบไปหลายอย่าง จำผลการวิเคราะห์ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ที่จำได้แม่นคือ ตอนที่เขาให้ฉันวาดรูปคน ฉันวาดและตั้งใจพิเศษในการวาดนิ้วแต่ละนิ้ว  นักจิตวิทยาวิเคราะห์แบบตรงที่สุด ฉันไม่มีวันมีความสัมพันธ์ที่ดีกับใครๆ ไม่ว่าจะตั้งใจแค่ไหนก็ตาม...

มันดูจะเป็นคำตอบที่เชือดเฉือนใจไม่ใช่น้อย พอๆ กับที่ฉันไม่รู้จะทำยังไงให้พ่อพูดกับฉันอีก หายโกรธจากอะไรก็ไม่รู้ที่ฉันทำแล้วทำให้เคือง หรือฉันจะยังพยายามไม่มากพอ หรือฉันจะพยายามมากเกินไป ฉันรู้ว่ามีผู้ใหญ่หลายคนเห็นใจฉันแล้ว หลังจากที่มองฉันผิดไปจากความเป็นจริงเป็นปีๆ มีคนคิดว่า ฉันไม่ได้เป็นคนผิดอย่างเดียวหรอก 

ฉันเห็นหลายๆ สายตาในวันงานเปิดตัวหนังสือครั้งยิ่งใหญ่สำหรับฉัน เป็นสายตาที่ทึ่ง แต่ทึ่งแบบสงสัยอย่างที่สุด สงสัยเพราะมันไม่ได้เป็นไปตาม "ภาพ" ที่ใครๆ วาดเอาไว้ ฉันดูเป็นคนเหลวไหลมานาน ฉันยังจำคำที่นายเก่าบอกว่า "คนเค้าจะคิดว่าเราไม่มีความรับผิดชอบ" นายฉันพูดเพราะเข้าใจว่าฉันรับผิดชอบ แต่เพราะฉันมีความรับผิดชอบมากเกินไป มากจนฉันจะไม่สร้างภาระผูกพัน ถ้าฉันรับผิดชอบมันไม่ได้ดีตามมาตรฐานของฉัน 

ฉันรู้สึกได้ แม้จะทำเป็นไม่รู้สึก ไม่ว่าจะเรื่องใดๆ ฉันไม่ใส่ใจเพื่อน จะโทรหาเฉพาะมีธุระ ไม่มีการไต่ถามสารทุกข์สุขดิบ ไม่ได้โทรหาหรือคุยกับใครทุกวัน ถามคำถามน่าเบื่อว่า ทำอะไร ไปไหน กินอะไร เพราะฉันไม่เห็นว่ามันมีอะไรสร้างสรรค์ที่ตรงไหน ฉันพูดจาเหมือนจะยกตนข่มท่าน เหมือนจะเอาชนะ เหมือนจะขึ้นเสียงเพื่อให้ตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของบทสนทนา หลายคนคิดว่าฉันฟังไม่เป็น คิดว่าฉันไม่สนใจคนอื่น ฉันไม่ชอบตัดเค้ก ให้ของขวัญเป็นเรื่องเป็นราว นอกจากจะเห็นว่าอะไรเหมาะกับคนๆ นั้นจริงๆ แล้วก็ซื้อให้โดยที่ไม่ต้องมีวาระโอกาสพิเศษใดๆ ฉันไม่ชอบให้ใครทรมานฉันด้วยการถ่วงเวลากล่าวคำปฏิเสธ ฉันจะไม่ยุ่ง ไม่ทำให้วุ่นวายทันที ถ้ารู้ว่า เขาไม่ได้ต้องการให้ฉันอยู่ในวง อยู่ในกลุ่ม เพราะฉันเข้าสังคมไม่เป็น เหมือนบ้านนอกเข้ากรุง 

ฉันกำลังจะทำอะไรสุดโต่งอีกแล้ว ฉันซีเรียสอีกแล้ว และฉันก็เป็นคนที่เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางอีกแล้ว ใช่มั้ยล่ะ 

ทำยังไงคนถึงจะเข้าใจฉัน ฉันตอบคำถามนี้เองว่า ฉันก็ต้องเข้าใจคนอื่นก่อน ฉันก็เข้าใจว่า เขาไม่อยากให้ฉันอยู่ด้วย ฉันก็ไม่อยู่ นี่ฉันยังไม่ได้ทำตามความต้องการของคนอื่นอีกเหรอ ฉันไม่ถือโทษโกรธคนที่โกรธฉันด้วยเหตุอันใดไม่ทราบได้ เพราะฉันไม่แสดงออกใช่มั้ย เขาถึงไม่รู้ว่าฉันรู้และฉันอภัย เขาคิดว่าฉันซื่อบื้อ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร และดูเหมือนว่าใครๆ ก็จะรู้ว่าฉันเป็นยังไง ทั้งๆ ที่ฉันว่าเขาเหล่านั้นไม่เคยรู้เลยว่าฉันรับรู้ความรู้สึกที่ว่าทั้งหมด แต่ฉันไม่แสดงออก เพราะเมื่อเราให้อภัยและเข้าใจ เราก็จะไม่ต้องการที่จะแสดงความไม่พอใจ ฉันต้องแสดงให้เขารู้เหรอว่า เธอทำไม่ดีกับฉันแต่ฉันให้อภัยเธอ นี่ไม่เท่ากับเป็นการเอาดีเข้าตัวเหรอ ฉันควรจะพูดอย่างที่หลายๆ คนพูดกับฉันเหรอ 

น้ำตาหยุดไหลแล้ว ก่อนหน้าที่จะเขียนบล้อกวันนี้ ฉันโทรไปหาน้องคนที่ไม่ใคร่เป็นที่รักและนิยมชมชอบจากหลายๆ คน ฉันคล้ายจะพยายามมองไปที่น้องแล้วสะท้อนให้เห็นตัวเอง น้องพูดฉะฉาน เสียงดัง พูดเร็ว เปิดเผย แล้วก็ได้รับปฏิกิริยาตอบกลับไม่ต่างจากฉันนัก ฉันเคยรู้สึกถึงการคุกคามของเจ้าตัว ด้วยความเป็นคน aggressive มันเลยดูเหมือนไปบังคับให้คนอื่นคิดเห็นเหมือนกับตัวเรา 

มีหลายๆ คนพยายามจะบอกฉันด้วยวิธีละมุนละม่อม ไม่ให้กระทบกระเทือนความรู้สึกของฉัน ณ เวลานี้ ฉันขอบคุณในความใส่ใจที่เขาเหล่านั้นมอบให้ ฉันรู้สึกว่า ความพยายามของฉันมันอาจจะทำความลำบากให้ฉันเกินไป หรือไม่ก็ระดับความอดทนของฉันต่ำกว่าคนปกติ 

มีอะไรหลายอย่างที่ฉันไม่เหมือนคนอื่น ฉันไม่ชอบเล่นเกมส์ ฉันไม่ชอบโทรหาใครบ่อยๆ ฉันไม่ต้องการให้คนมาถนอมน้ำใจมากเกิน ฉันไม่ต้องการให้ใครๆ รู้สึกไม่ดีและเข้าใจฉันผิดๆ แล้วก็ฉันๆ ๆ 

ฉันเริ่มเจ็บปวดเมื่อตระหนักว่า คนอื่นเขาคิดกับฉันยังไง ฉันไม่เคยไปตอแย ออดอ้อน ถ้าใครไม่ต้องการทำสิ่งที่ฉันต้องการ หรือไม่เลือกอะไรอย่างที่ฉันอยากให้เลือก หรือไม่อยากไปสถานที่ๆ ฉันจะไป แล้วฉันก็ไม่โกรธด้วย ที่ฉันเป็นแบบนี้ยังผิดอยู่มั้ย

ฉันพูดตรง ไม่สตอเบอรี่ แล้วฉันต้องหัดสตอบ้างใช่มั้ย ฉันจะลบความรู้สึกผิดจากการพูดไม่ตรงกับความเป็นจริงได้อย่างไร ของบางอย่างไม่เห็นจำเป็นต้องเบี่ยงเบนประเด็น การที่ฉันรับได้ ถ้าคนที่รับของขวัญจากฉันไป เขาจะไม่ชอบของขวัญของฉัน มันประหลาดนักหรือ คนอื่นๆ ถึงอยากได้คำตอบที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ฉันเลยตอบไปว่า ลองแล้ว ใส่ได้พอดี พร้อมๆ กับที่งงตัวเองว่า ทำไมฉันต้องทำอะไร ไร้สาระแบบนี้ด้วย ฉันต้องเป็นเหมือนคนอื่น เพื่อจะอยู่ในสังคมได้ใช่มั้ย แล้วถ้าฉันเหมือนคนอื่นแล้วความพิเศษ ความไม่เหมือนใครที่โดดเด่นมีคุณค่ามันคงจะหายไปด้วยสินะ

ถ้าฉันเลือกจะแตกต่าง ฉันก็ต้องพร้อมที่จะอยู่ชายขอบ ยอมรับว่าอยู่ร่วมกับคนอื่นยาก แต่ความพิเศษนั้นก็ทำให้ฉันได้อะไรต่างจากคนอื่น ฉันควรจะพอใจในสิ่งพิเศษที่ตนเองมีไม่ใช่หรือ เมื่อเหตุผลสูงลิบถูกยกออกจากอารมณ์ความรู้สึกสุดขั้วแล้ว ฉันจะกลับไปอีกเพื่ออะไร อ้อ ฉันนึกออกแล้ว ฉันยังมีงานที่ต้องทำร่วมกับผู้อื่นอยู่ แต่นั่นคืองานที่ฉันรับผิดชอบ ฉันต้องฝืนใจ ฝืนความรู้สึก นั่นก็คงเหมือนๆ กับที่นายของฉันพูดจาดีกับฉัน ด้วยรู้ว่าจะใช้ฉันอย่าพูดจาทำร้าย ใส่ๆ เหมือนฉันเป็นทาสในเรือนเบี้ย โอเค ฉันต้องปรับ แต่ในพื้นที่ส่วนตัวของฉัน ฉันก็ยังคงจะได้เป็นอย่างที่ฉันเป็น และพื้นที่ส่วนนั้นจะเป็นที่ไหนไม่ได้ นอกซะจาก บ้านของฉัน เท่านั้นเอง 

มันคงง่ายสำหรับคนอื่น ที่จะทำสิ่งที่ฉันเพิ่งพูดไป แต่คนที่โตมาพร้อมความเก็บกดอย่างฉัน เมื่อถึงเวลาได้ปลดปล่อย นั่นย่อมจะแรงและเอาแต่ใจมากกว่าคนปกติ เหมือนอย่างที่ฉันประเมินเพื่อนต่างชาติคนหนึ่ง ฉันเข้าใจเธอดี แต่ก็ไม่รู้อยู่นั่นว่าเธอจะเข้าใจฉันมั้ย

ฉันรู้สึกว่าการไม่ตอแยของฉัน ทำให้คนๆ หนึ่งที่รู้สึกผิดกับการกระทำของตนมีความสุขขึ้น แม้ว่าความสุขของเขาจะนำมาซึ่งความไม่สมหวังของฉัน แต่เมื่อฉันบรรลุแล้วว่า การไม่ครอบครองก็มีความสุขได้ ฉันอาจจะเดินออกจากเรื่องทางโลกไปอีกนิดแล้วละมัง 

น้ำตาแห้งสนิท ฉันเลือกจะห่างออกมา เพื่อจะได้มีเวลาทำงานที่ฉันชอบมากขึ้น งานที่ไม่ต้องยุ่งกับใคร ทั้งๆ ที่งานที่ต้องมีคนทำ ฉันไม่ชอบแต่ทำได้ดี ดีจนคนนึกว่าฉันชอบ 

ฉันจะลองกลับไปนอนอีกครั้ง หวังว่าตอนบ่ายที่ฉันนัดพบผู้ใหญ่เพื่อคำแนะนำเรื่องการงาน จะทำให้ฉันได้ไอเดียดีๆ อย่างน้อยฉันว่า ท่านเข้าใจเหตุผลของการกระทำของฉันอยู่ไม่น้อย

ฉันเชื่อว่า ฉันจะได้อะไรดีๆ ในวันนี้ แม้ว่ามันจะเริ่มต้นด้วยน้ำตาก็ตาม

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เหงา...

หมู่นี้ฉันเหงา...

ฉันยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าฉันรู้สึกโดดเดี่ยว มันเป็นความรู้สึกที่นานๆ ที่จะมาเยี่ยมเยือน ฉันโทรหาใครต่อใครเพื่อชวนไปกินข้าว ทั้งๆ ที่ปกติฉันก็ไปไหนมาไหนคนเดียวได้อยู่แล้ว ออกจะทำให้ฉันสูญเสียความเป็นตัวเอง ความเป็นอิสระ ที่อยู่ดีๆ ก็ต้องมาพึ่งพาคนอื่นจริงๆ 

ฉันโทรไปหาหลายต่อหลายคน พร้อมๆ กับต้องเตรียมใจรับคำปฏิเสธที่ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อจิตใจฉันนัก ด้วยมักจะยอมรับคนอื่นอย่างที่เป็น ใครอยากไปด้วยก็ไป ไม่ไปก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อต้องเป็นคนเอ่ยปากขึ้นก่อน ก็รู้สึกหวั่นๆ พิกล และฉันก็ไม่ชอบความรู้สึกนี้อย่างที่สุด

แล้วฉันก็ได้พี่สาวคนดีไปนั่งกินที่ร้านปลาดิบ ร้านอาหารฟิวชั่นใกล้ที่พักที่ตื่นนอนมาก็นึกอยากกินเสียนี่กระไร วันอาทิตย์ วันพักผ่อน เป็นวันที่ฉันนอนกินบ้านกินเมือง นอนเพราะไม่อยากจะตื่นขึ้นมาพบว่า อยู่คนเดียว ไม่อยากทำงานบ้าน ไม่อยากทำงาน ไม่อยากชอปปิ้ง ไม่อยากไปหาญาติพี่น้อง เพราะมันเหมือนว่าไม่มีที่ไปแล้วต้องไปบ้านของครอบครัว 

ฉันพยายามรักษาระยะห่างกับคนในครอบครัวมาโดยตลอด ด้วยเป็นบุคคลที่มีผลต่อความรู้สึกของฉันมาก มากซะจนต้องอยู่ให้ห่างๆ เมื่ออยู่ใกล้กระทบกระทั่งกันง่าย ก็ทำร้ายความรู้สึกของกันและกันเสมอมา พออยู่ไกล นานๆ เจอที ฉันก็จะ behave พร้อมๆ กับเขาเหล่านั้นก็ behave ด้วย ความเกรงใจ ทำให้การล้ำเส้นที่นานๆ เกิดขึ้นทีเป็นเรื่องที่ยอมกันได้ ให้อภัยกันได้

ฉันเองก็ชินซะแล้วที่พ่อไม่พูดด้วยมานาน ฉันยังคงทำอะไร พูดอะไร เริ่มต้นด้วย ฉัน ฉัน ฉัน อยู่เช่นเดิม ยังเหมือนได้ยินถึงคำที่ใครว่าไว้ ว่า  self center เมื่อขึ้นต้นประโยคด้วยสรรพนามแทนตัวเอง 

อาหารอร่อย ยำทะเลดิบสองจาน สลัดเต้าหู้กับอโวคาโดสองจานเช่นกัน พิซซ่าสโมคแซลมอน ทาท่า ท้องปลาทูน่า พร้อมเบียร์อาซาฮีสดอีก 2 เหยือก ก็ทำให้ค่ำคืนนี้เป็นคำ่คืนที่ไม่เลวทีเดียว เพื่อนรู้ใจสองคนแก่กว่าฉันเกือบสิบปีคนนึง อีกคนเกินสิบห้าปี นั่งเป็นเพื่อนผู้หญิงเอาแต่ใจคนนี้ แน่ล่ะ จะว่าไม่เอาแต่ใจได้ไง พี่คนโตเดินมานั่งได้ไม่ถึงห้านาที ฉันเข้าเรื่องงาน ฉับ ฉับ ฉับ อยู่พักใหญ่ เล่นเอาอีกคนนั่งฟัง งงไปเลย 

ฉันนั่งบวกเลขโทรศัพท์มือถือ เครื่องหนึ่งได้ห้าบวกสามเป็นแปด อีกเครื่องได้สี่บวกห้าเป็นเก้า ความรู้เรื่องตัวเลขกับดาวทำให้ฉันเหมารวมๆ เอาว่า ใช้วิชาความรู้และต้องเหนื่อยแบบสู้รบ ซึ่งก็จะได้ทำงานใหญ่ ทำเวลาวิกาลกับเรื่องภาพมายาและชีวิตกลางคืน ส่วนอีกหมายเลขก็เป็นการติดต่อสื่อสารและหนังสือเป็นงานที่ติดต่อต่างประเทศและหรือเป็นเรื่องจิตวิญญาณ

เมื่อฉันตัดใจเลิกดูดวง เลิกทำนายทายทักใครๆ แล้ว เท่ากับหมายเลขเก้าของฉันก็คงเหลือแค่ลางสังหรณ์กับเรื่องต่างประเทศ หมายเลขที่รวมกับได้แปด อาจจะต้องโอนให้คนที่ดูแลในภาคสนามแทนฉันแล้วล่ะ เพราะฉันจะเน้นเรื่องการประสานงาน ติดต่อกับใช้ความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวกับต่างชาติต่างแดนแทน  ฉันหวังว่า ฉันจะยกเบอร์นี้ให้ลูกน้องคนใหม่ได้ในที่สุด ขอให้เธออยู่กับฉันนานไปเรื่อยๆ ทีละเดือนก็พอ 

ตอนนี้กำลังมีการเปลี่ยนแปลง การเริ่มต้น การรับมอบ โอนถ่าย ฉันต้องเริ่มปรับชีวิตรับกับฤดูการทำงานหนักในช่วง 2-3 เดือนที่กำลังจะมาถึง หนักที่ว่าคือหนักทั้งเนื้องานและเวลาสังสรรค์ ฉันพบว่าเราเลือกเพียงหนึ่งไม่ได้หรอก เรื่องสังสรรค์อาจจะจำเป็นมากกว่าการทำงานด้วยซ้ำไป สำหรับหน้าที่งานของฉัน บางครั้งแค่ไปนั่งคุยเมื่อมีพี่โทรตาม งานฉันก็เดินเองโดยไม่ต้องพูด ไม่แม้จะถาม ทุกอย่างมีคนเสนอให้แทบจะไม่ต้องเรียกร้อง ฉันได้แต่คิดว่า ฉันคงทำบุญมาดี ได้รับความช่วยเหลือ แม้เมื่อมองไปที่เด็กรุ่นใหม่ ฉันเองบางครั้งก็มองเห็นอนาคตของเธอและเขา อยากช่วยเหลือ เหมือนๆ กับที่ฉันได้รับความช่วยเหลือมาเป็นทอดๆ 

ตอนนี้ฉันคลายเหงาแล้ว ทำงานเท่าที่คิดว่าต้องรีบจัดการ แล้วก็จะดูวิดีโอหนังที่หนังสือเล่มใหม่ของสำนักพิมพ์ไปล้อเลียน เพื่อจะได้เข้าใจในงานมากขึ้น

วันก่อน มีพี่คนนึงบอกว่าฉันน่าจะมีลูกได้แล้ว มีกับผู้ชายคนนี้แหละ ลูกจะได้ออกมาดีเพราะรับเอาข้อดีของพ่อและแม่ นั่งๆ คิดไปแล้ว การที่ไม่มีครอบครัวเป็นเรื่องเป็นราว ก็ทำให้มีเวลาสังสรรค์เฮฮามากมาย ทั้งสนุก ทั้งได้งาน และไร้สาระในคราวเดียว ฉันเอง พร้อมรึยังกับการที่จะก้าวขึ้นไปอีกขั้นของบันไดชีวิต การทีต้องมีใครสักคนอยู่ด้วยและให้กำเนิดชีวิตน้อยๆ ที่นำมาซึ่งความผูกพันและภาระที่ต้องใส่ใจตลอดชีวิต วิญญาณอิสระอย่างฉันพร้อมแล้วหรือกับความรับผิดชอบใหม่ที่ใหญ่โต หรือเหมาะสมแล้วสำหรับฉันที่จะหยุดที่บันไดขั้นนี้ แม้เพียงแค่นี้ ฉันยังไม่ได้ทำหน้าที่ของลูกที่ดีด้วยซ้ำ ไม่เหมือนครอบครัวอื่นๆ ที่มีวันครอบครัว  กับน้องๆ ฉันได้เป็นพี่ที่ดีแล้วรึยัง คนในครอบครัวของฉันมีความสัมพันธ์อยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้วหรือ 

หลายคนว่า ถ้ายังทำครอบครัวให้ดีไม่ได้ ก็คงไม่สามารถจะทำความสัมพันธ์อื่นให้ดีได้ แต่ก็เคยมีคนพูดให้ฟังอีกเช่นกันว่า วิธีแก้ปัญหาคือสร้างครอบครัวใหม่ แล้วฉันล่ะ ครอบครัวของฉันคือ คอมพิวเตอร์ หนังสือ ต้นไม้ ทีวี ละมัง ฉันดูแลสิ่งต่างๆ รอบตัวดีแล้วรึยัง ฉันดูจะไม่ใคร่เป็นคนรักของ ด้วยถือว่าของที่ใช้คือเอาไว้ใช้ สิ่งของรอบตัวฉันถ้ามีจิตใจก็ต้องอดทน ฉันใช้งานเต็มที่ ไม่เสียไม่ซ่อม ถลอกปอกเปิก แต่ฉันก็ใช้จนมันใช้ไม่ได้ล่ะ ไม่ใช่ได้ของใหม่แล้วลืมของเก่า ของทุกชิ้นถ้ายังเก็บไว้ ก็จะอยู่เพื่อรอการถูกนำมาใช้ใหม่ เว้นเสียแต่ว่า เก็บแล้วก็ยังไม่ได้ใช้นานจนเกินไป ก็คงได้เวลาบริจาคหรือทิ้งซะที 

ดูเหมือนฉันจะไม่รักอะไรเลยใช่มั้ยเนี่ย หรือว่าฉันแค่เป็นคนที่ไม่ยึดติดกับอะไรกันแน่

แล้วความเหงาล่ะ เกิดจากฉันติดคนขึ้นมาแล้วหรือไง?

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

38

ฉันอายุครบ 38 ปี ให้สัมภาษณ์ลงนิตยสารหน้า 38 ในเวลาที่ใช้หมายเลขโทรศัพท์มือถือลงท้ายด้วยเลขสามสิบแปดเช่นกัน...
อาทิตย์นั้นทั้งอาทิตย์ฉันเลือกจะใส่เสื้อผ้าสีม่วง

ไม่เว้นแม้แต่ในบทสัมภาษณ์ครั้งแรกของชีวิตที่ได้ลงคอลัมน์ Woman on Top ของ Mix Magazine ประจำเดือนสิงหาคม 2552 ... เดือนเกิดของฉันพอดี

เพื่อนๆ บรรจงเลือกกระเป๋าสตางค์สีม่วงให้เป็นของขวัญวันเกิด ซื้อเค้ก จุดเทียนให้ฉันตอนเที่ยงคืนของวันที่ 4 สิงหาคม เพื่อนเก่าสมัยเด็กที่ไม่ได้เจอกันมาเกิน 20 ปี ให้ดอกกุหลาบสีชมพูหวานเป็นของขวัญ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเพื่อนๆ จะให้ความสำคัญกับฉันขนาดนี้ บางปี ฉันกลับจากทำงาน มานั่งที่ร้านประจำโดยไม่ได้บอกให้ใครรู้เลยด้วยซ้ำว่าเป็นวันเกิด ฉันเป็นโรคขี้เกียจหาของขวัญให้ใคร (หรืออีกทีก็ตั้งใจสรรหาแบบตั้งใจสุดๆ) ฉันจึงรู้สึกผิดหากมีใครมาให้โน่นให้นี่ฉันเยอะๆ แล้วฉันยังไม่ได้ให้อะไรกลับไป 

หนึ่งในของขวัญวันเกิดที่ไม่ได้คาดหมาย คือ ชุดปักเลื่อมแขนกุดทั้งตัว เซ็กซี่สุดพรรณนา คนที่ให้ก็คือ น้องที่ช่วยเหลือสารพัดทั้งให้คุณแม่ของเธอและคุณลูกมาช่วยงานเจ้าชายน้อยนี่แหละ ไม่แค่นั้น เธอยังชอบเลี้ยงเครื่องดื่มที่ีมีแอลกอฮอล์ (ฟังดูดีกว่าเหล้าเนอะ) และอาหารเย็น อีกทั้งยกอายไลน์เนอร์และลิปสติกสีม่วงให้ฉันอีกต่างหาก

น้องดีซะจนฉันเริ่มหวั่นใจในความดี!?!?!

พี่ใหญ่ที่ฉันเรียกว่า "ป้า" ให้ไพลินฉันหนึ่งเม็ด เป็นของที่แม่ของเธอให้มาร่วมสามสิบปีแล้ว 

เธอเห็นมั้ยว่าฉันได้อะไรมากมายเกินไปแล้วเนี่ย ฉันไม่นับที่แม่ให้เช็คมาหนึ่งใบ ไม่มากอะไร แต่ไม่กี่วันต่อมา ฉันเอาเครื่องประดับที่ฉันซื้อเป็นของขวัญให้ตัวเองที่หลายเงินอยู่ แต่พอเอาไปให้ดู แม่ให้กลับมามูลค่าสูงถึงสิบเท่า

เอ หรือฉันจะโชคดีรับอายุ 38 จริงๆ 

คืนวันที่ 4 สิงหาคม หลังจากร้านโปรดปิดแล้ว ฉันกับเพื่อนๆ อีก 3 คนไปต่อที่บ้านเพื่อนคนนึง นั่งกิน ดื่ม จนพี่ของเพืื่อนเปิดประตูมาบ่นว่าเสียงดัง เพื่อนเจ้ากรรมของฉันที่ใจยังวัยสะรุ่น ตัดสินใจหนีออกจากบ้านตัวเอง ไปต่อที่บ้านเพื่อนอีกคน แล้วเราก็นอนที่บ้านเพื่อนกัน ก่อนนอนคืนนั้นให้ได้รำลึกความหลัง สารภาพความใน ปรึกษาปัญหาหัวใจของกันและกัน 

ตื่นมาก็บ่ายแล้ว รอข้าวเที่ยงที่เป็นข้าวเหนียว ส้มตำ พร้อมผัดซีอิ้ว ที่ไม่น่าจะสั่งมากินด้วยกันเล้ย ให้ตายเถอะ!!

เพื่อนกระดังงาของฉันคนนี้มีลูกน่ารักสุดๆ แค่สองขวบแต่แก่นและฉลาดล้ำเหลือ ไม่งอแง เป็นตัวของตัวเอง แรงดี มีความคิด แม้แต่เล่นเป็นแม่ครัว ยังบอกให้ระวังเพราะกะทะร้อน!!

ของเล่นเด็กสมัยนี้น่าเล่นจริงๆ มีอะไรสร้างสรรค์สวยงามแบบที่ฉันยังอยากจะกลับเป็นเด็กอีกครั้ง... แล้วก็อดรนทนไม่ไหว ขอเข้าไปเก๊กท่าถ่ายรูปในบ้านหลังน้อย ในวันที่ไม่แต่งหน้าใดๆ คล้ายจะพยายามให้ใสบริสุทธิ์เหมือนน้องหนูเจ้าของบ้าน

วันเกิดฉันปีนี้ เป็นครั้งแรกที่ผู้ชายด้อยความสำคัญ ฉันมีเวลาแห่งความสุขกับเพื่อนๆ แม้ว่าใครคนนั้นจะปรากฎตัว โน้มกิ่งต้นไม้แห่งชีวิตมาใกล้ฉันมากที่สุด ส่วนฉัน ในวันที่มีเรื่องราวแห่งความสุขรายล้อม ต้นไม้ของฉันหยุดแกว่งไกวอย่างที่เคย นิ่งรับสายลม ชื่นชมสิ่งดีๆ ที่ใครๆ มอบให้ ต่างจากเดิมที่โอนเอนไปทางต้นไม้แห่งชีวิตต้นนั้น น่าแปลกที่ฉันมีความสุข แต่ไม่ไขว่คว้า วางตัวแบบที่เพื่อนเรียกว่า ดี แล้วไม่ได้ฝืน หรือเลือกสิ่งใด เพียงปล่อยใจไปตามสายลมแห่งความสุขที่พัดพาฉันไป 

ฉันไม่เคยได้รู้ล่วงหน้าเลยว่าวันนั้นจะจบลงอย่างไร ตอนบ่ายฉันกลับมาในชุดลูกไม้ซีทรูสีขาวหวานพร้อมกางเกงขาวอย่างสาวมั่นใจ แล้วก็ใส่ชุดเปรี้ยวปักเลื่อมสีเงินพราวไปทั้งตัวให้คนให้ของขวัญชิ้นนี้ดู ฉันได้คุยกับผู้ชายคนเดิม แต่คืนวันที่ 5 เป็นวันที่แตกต่าง วันที่ต้นไม้แห่งชีวิตดีดกลับไปไกล คล้ายว่าฉันกำลังกวดไล่ ทั้งๆ ที่วันก่อนหน้ายังเข้ามาหาฉัน มาแบบยอมรับการมาของตัวเอง จน ณ วันนี้ เขาคนนั้น ยังมาๆ ไปๆ ฉันเองนิ่งดูอย่างขำๆ อยากรู้จังว่าจะแกว่งไปถึงไหน เขาถึงจะเจอจุดสมดุลที่ลงตัวกับความคิดมากมายที่แตกสายในสมองอันปราดเปรื่อง 

จริงด้วยที่คนโง่มีความสุขง่ายกว่าคนฉลาด ฉันลองใช้ความรู้สึกและตัดเหตุผลไปอย่างสิ้นเชิงตอนดูหนังเรื่องหนีตามกาลิเลโอ โลกแห่งความหวัง ความสุข โลกที่เปิดกว้าง โลกแห่งความเป็นไปได้ในทุกสิ่ง ช่างเป็นโลกที่น่าอยู่เหลือเกิน เมื่อออกจากกรอบ ฉันไม่คิดจะกลับเข้าไปอยู่อีกแล้ว

ฉันไม่อยากรู้อนาคต ฉันจะไม่ดูดวงตัวเองและดวงของคนอื่นๆ แล้ว ฉันถอดสร้อยข้อมือหินสองตาจากธิเบตอันเป็นเครื่องหมายของการโชคดีในเรื่องคู่ที่ใส่มาเป็นปีๆ 

ฉันพอใจที่จะเผชิญกับเรื่องราว ความเป็นไปใหม่ๆ ในแต่ละวัน เมื่อมองไปที่เขาคนนั้น ฉันได้แต่คิดในใจว่า เขายังไม่หลุดพ้น...

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หยุด...เพื่อก้าวต่อ

เมื่อมันมีอะไรวุ่นวายเข้ามาในชีวิตพร้อมๆ กันหลายอย่าง หลายเรื่อง หลายมุม หลายประเภท ฉันเลือกที่จะหยุด อยากประเดประดังกันเข้ามานักใช่มั้ย หยุด ไม่มีการตัดสินใจ ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ 

ฉันตื่นมาเพื่อเจอหน้าเพื่อนฝูง กินๆ ดื่มๆ ร้องเพลง แม้จะอยากทำบ้าง ไม่อยากทำบ้าง ก็ทำให้มันผ่านพ้นไปวันๆ รอให้อารมณ์เดือดปุดๆ คลายความร้อนลง จะได้ไม่ทำอะไรที่จะต้องมาแก้ไขทีหลังเมื่อทุกอย่างสายเกินไป 

ฉันมีเพื่อนดีอย่างน้อยสามคน หนึ่ง เจอหน้าฉันตลอดช่วงสามสี่วันที่ผ่านมา รับฟังเรื่องราว อยู่กิน นั่งข้างๆ กัน สอง รับฟังปัญหาฉัน แล้วก็ไปจัดการช่วยฉันเบ็ดเสร็จ แล้วส่งที่เหลือให้ฉันทำต่อเอง ในฐานะผู้รับผิดชอบโดยตรง สาม เพื่อนที่รับทุกอย่าง รับหลายเรื่อง เป็นหนังหน้าไฟ เป็นกองหน้า จัดการปัญหาเรื่องราวจนจบไปเป็นเรื่องๆ พร้อมๆ กับที่นั่งดูฉันไม่ทำอะไรเลยด้วยความเข้าใจ

ฉันไม่ใคร่เห็นความสำคัญของเพื่อนเท่าใดนักในช่วงชีวิตที่ผ่านมา เพราะฉันประเมินดูแล้วว่า ฉันมักจะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่พึ่งพาใคร ทั้งทางจิตใจและความช่วยเหลือเรื่องธุระปะปัง แต่เมื่อฉันเริ่มหาคนช่วย จากปริมาณงานที่ไม่สามารถจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองได้ แล้วคนที่ช่วยเหลือฉันก็คิดว่าควรจะส่งต่อให้คนอื่นทำงานให้โดยมีค่าใช้จ่าย คนอย่างฉันที่เดิมจัดการทุกอย่างเพ่ือไม่ให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น พอรู้ว่าคนที่มาทำงานให้ฉันมีความเห็นทำนองนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกลำบากใจ ไม่ใครก็ใครไม่ต้องการเหนื่อยหากเรื่องเหล่านั้นไม่ใช่ธุระของตน ใครก็ต้องการผลักภาระ เมื่อเขาไม่ได้เป็นเจ้าของ ไม่ได้เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและรับผิดชอบต่อผลกำไรขาดทุนของธุรกิจที่ดูแล 

ฉันซื้อพัดลมเพื่อลดการใช้เครื่องปรับอากาศ ฉ้นให้ใช้กระดาษทั้งสองหน้า ฉันรู้สึกหงุดหงิดในใจเมื่อก๊อปปี้จากเครื่องพิมพ์อเนกประสงค์ เพราะหมึกจะหมดทั้งที่เพิ่งซื้อมาใช้ไม่นาน นี่ฉันยังสรุปไม่ได้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร เพราะไม่รู้ว่าการที่พิมพ์เองกับให้ออฟฟิศของตึกพิมพ์ให้ราคาแผ่นละ 2 บาทอะไรจะถูกกว่ากัน ฉันแค่คิดว่า ถ้าเราเอากระดาษไปให้เขาก๊อปปี้ซึ่งเคยเสียแผ่นละ 50 สตางค์ ดูจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด

ฉันรู้สึกว่าเมื่อฉันเริ่มปล่อยงานให้คนมารับช่วงต่อ ค่าใช้จ่ายช่างพอกพูน ค่ารถ ค่าแรง ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต ทำไมเจ้านายเก่าคนที่ฉันไม่เห็นด้วยกับการกระทำมากที่สุด จึงเป็นคนที่แวะเวียนเข้ามาให้ฉันเห็นหน้าอยู่เรื่อยๆ เขาคนที่ฉันทำอะไร ๆ เหมือนกับที่เขาเคยทำและฉันไม่ชอบ 

ฉันเริ่มรู้สึกว่า ป่วยการที่จะอธิบาย เพราะเมื่อไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดียวกันจะไม่เข้้าใจ แค่กำหนดว่าให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ดูจะทำให้ชีวิตง่ายกว่า อธิบายแล้ว เมื่อยืนอยู่คนละจุดก็จะไม่ "เห็น" เหมือนที่ฉันเห็น

แล้วก็ทำให้ฉันย้อนนึกถึงแม่ แม่ฉันเป็นอยู่อย่างที่เป็นได้อย่างไร ทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วง ดูแลทุกชีวิตในปกครองตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา เธอมีอะไรเป็นกำลังใจรึ ฉันเองไม่เห็น มีแต่สิ่งบั่นทอนกำลังใจทุกช่วงทุกเวลา น้อยครั้งที่จะเห็นแม่พูดด้วยความน้อยใจ ส่วนใหญ่จะเป็นการบ่นที่สิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นไปดั่งใจ แล้วแม่ก็เติมกำลังใจให้ตัวเอง แล้วก็ดำเนินชีวิตต่อไป ทำหน้าที่มากมายที่แบกรับไว้เพียงผู้เดียวได้ดีเท่าที่ผู้หญิงแกร่งคนนึงพึงกระทำได้

ฉันบอกตัวเองเสมอว่าฉันไม่เลือกจะเป็นอย่างนั้น และฉันจะไม่เป็นอย่างนั้น แต่บางครั้งเราก็เลือกไม่ได้หรอก นี่ก็แค่ถึงเวลาที่ฉันต้องทำหน้าที่ แสดงบทบาทที่ต้องทำ เมื่อฉันคือคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับหน้าที่นี้