วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

แล้วมันลงเอยที่ "จำเลยกามเทพ" ได้ไงเนี่ย


ฉันปวดท้อง เห็นใจนาย ใครๆ เป็นห่วง...

ฉันน่ะเป็นคนจำพวกไวต่อสารเคมีในร่างกาย บางครั้งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่แล้วก็พบว่ามันเป็นเรื่องของระดับสารเคมีที่เปลี่ยนแปลงเนื่องด้วยสารพัดเหตุ หลายครั้งที่ใครๆ บอกว่าไม่รู้จักประมาณตน ทำอะไรเกินกำลัง พอรู้ตัวก็แย่พอควร ฉันเลยต้องสังเกตุตัวเองให้มากขึ้น ฝืนอะไรให้น้อยลง ในขณะเดียวกัน ฉันก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าขี้เกียจไปมั้ยนั่น แต่ก็หัดเอามือไขว้หลัง ทำไม่รู้ไม่เห็น หลับหูหลับตา หากต้องการให้ใครทำอะไรให้ได้ตามมาตรฐานของเราก็คงจะทุกข์เปล่าๆ ยิ่งได้ยินเพื่อนเล่าให้ฟังถึงปัญหาการทำงานที่ทุกคนเครียดกันหมดเพราะตั้งเป้าไว้สูงมาก ่ครั้งจะทำงานน้อยลงก็รู้สึกอาย เพราะน้องที่เป็นเนืื้องอกทำงานถึงตีสองทุกวันมาตั้งแต่ต้นปี 

ฉันได้ฟังแล้วก็ เฮ้อ! นี้มันหนูถีบจักรดีๆ นี่เอง มีนายเก่าอีกคนที่คุยกับฉันหลังจากที่ฉันเคยบอกลูกน้องคนหนึ่งว่า ทำงานให้น้อยลงอีกหน่อยก็ได้ ดูแลสุขภาพให้ดีๆ เพราะน้องคนนี้ก็เริ่มป่วยอีกเหมือนกัน นายเล่าให้ฟังว่า เขาก็เคยทำงานหนักแบบนั้นเหมือนกัน แล้วก็พบว่า ถ้าเราทำงานน้อยลงอีกหน่อยก็ไม่ได้ทำให้โลกนี้แตกสลายอย่างใด พวกเรากันเองที่จริงจังกับชีวิต ทั้งๆ ที่ชีวิตมันก็แค่นี้ จะเอาอะไรกันนักกันหนา 

ไม่ใช่ว่าฉันจะคิดอะไรได้ก่อนคนอื่นหรอก เพียงแค่นายเก่าอีกคนเห็นฉันจริงจังกับงานที่ได้รับมอบหมายมาก เลยบอกให้ฉันลืมเช็คเมล์บ้างก็ได้ การที่เราจริงจังแม้จะไม่ได้ตั้งใจจะคาดหวังให้คนอื่นทำเหมือนเรา แต่คนรอบตัวก็รู้สึกได้ถึงความเครียด บรรยากาศการทำงานที่เร่งเร้าโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว

พูดถึงนายหลายคน เอานายคนดีที่ฉันพยายามเข้าใจดีกว่า เราต่างมีความตั้งใจ จริงจังในการทำงานไม่ต่างกันนักหรอก(นายฉันว่างั้น) เขาปลุกปล้ำงานที่ทำมาร่วมสิบปี ความรู้สึกของการเป็นเจ้าของย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แล้วเมื่อการเมืองทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน เราก็คงต้องจัดการกับปัญหาไปทีละเปลาะ ใจนึงฉันก็ว่าดี มีคนดูแลให้เสร็จสรรพ แต่อีกแง่มุมหนึ่งก็เห็นได้ว่า เป็นเรื่องปกติของคนไทยที่กลัวว่าจะมีคนแย่งงานไป จึงต้องกั๊กไว้ ประมาณว่าต้องให้ฉันทำเท่านั้น ไม่งั้้นก็จบ ไม่มีใครทำแทนได้ 

เรื่องแบบนี้ฉันเห็นมาเยอะ ในโลกธุรกิจที่ต้องแข่งขััน แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เป็นโลกที่นายเก่าคนหนึ่งของฉันเป็นห่วง เป็นห่วงว่าฉันคง "โดน" ไม่ใช่น้อย ประมาณว่า "ทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย" แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ฉันก็รู้ว่าฉัน "แตกต่าง" 

การเมืองที่กลุ่มคนหนึ่งค่อยๆ ยึดอำนาจ ริดรอนสิทธิที่เคยมีอย่างเต็มเปี่ยมไป ทั้งข้างเดียวกันและฝั่งตรงข้าม ทำให้เหมือนตัวคนเดียวแต่ต้องสู้กับศัตรูรอบด้าน ในเมื่อฉันร่วมหัวจมท้ายกับนายแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ไปไหนไปกัน 

ในเวลาเดียวกันที่ฉันเป็นห่วงนาย ใครๆ ก็เป็นห่วงฉัน...

วันนี้ฉันไม่รับโทรศัพท์ใด และเคยพบว่า การลืมโทรศัพท์ไว้ในรถเป็นความสุขอย่างหนึ่ง อย่างไรเสียก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ พอโทรกลับก็คล้ายจะร้อนตัวว่าทำหน้าที่ของตนไม่ดีพอ บางคนฝาก SMS ด้วยความเป็นห่วง ถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น ติดต่อกลับมาด้วย บางครั้งเราก็รู้สึกดีที่ทำให้บางคนเป็นกังวล

วันนี้แล้วสิ ที่จะได้ดู "จำเลยกามเทพ" ละครกุ๊กกิ๊ก น้ำเน่าเหลือแสนที่จะทำให้คนดูรู้สึกผ่อนคลาย เข้าไปอยู่ในโลกจินตนาการ ฉันเพิ่งเห็นประโยชน์ของละครน้ำเน่าเมื่อพูดกับเพื่อนที่ทุกข์จากสารพัดเรื่องเมื่อวานนี่เอง

อย่าจริงจัง(มาก)  หาความสุขใส่ใจกันดีกว่า


วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

เรื่องของเพื่อน

เพื่อนที่รู้จักกันมา 20 ปี แวะมาหาฉัน คุยกันสารพัดเรื่อง อัพเดทข่าวคราวของเพื่อนๆ และชีวิตของกันและกัน คนเราก็แค่อยากพูดคุยกับคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ...

บางทีฉันก็ไม่เข้าใจความคิดของผู้ชาย ทั้งๆ ที่ฉันออกจะสนิทกับคนต่างเพศมากกว่าคนเพศเดียวกัน รวมไปถึงเพศทางเลือกด้วย เอาเป็นว่าถ้าไม่แปลกฉันไม่คบละมั้งเนี่ย

เพื่อนคนนี้มีแฟนเด็กและสวยแบบที่ฉันทายได้เลยว่าเพื่อนๆ ในรุ่นเดียวกันอิจฉาเป็นแถวๆ แต่ในเรื่องความสัมพันธ์มันก็มีอะไรมากกว่านั้น ฉันนึกถึงข้อความในหนังสือของรุ่นพี่คนหนึ่งที่ว่า "ความรักนี่มันเหลวไหลสิ้นดี เราชอบในความต่าง แต่แล้วเราก็อยากให้เขาเป็นเหมือนเราในที่สุด" แฟนเพื่อนกุ๊กกิ๊ก น่ารัก อยู่แล้วสดชื่น แต่ในขณะเดียวกัน ถ้ามองอีกด้านก็คือ คิขุ ไร้สาระ ไม่เป็นผู้ใหญ่ อาจจะไปได้ถึง "ไร้ความคิด ความรับผิดชอบ" ด้วยคุณสมบัติเดียวกันแต่มองคนละแง่ก็สร้างความรู้สึกได้แตกต่างกันสุดขั้ว

มันก็น่าแปลกดีที่สมัยนี้ผู้หญิงก็ไม่ทน พอๆ กับที่ผู้ชายก็ไม่ได้อยากแต่งงาน สงสัยในอนาคตเราคงได้ลูกแบบผสมหลอดแก้ว มีความสุขสมผ่านเกมคอมพิวเตอร์เหมือนหนังเรื่องหนึ่งที่แซนดรา บุลล็อกเล่นกับพ่อหนุ่มร็อกกี้ 

สถาบันครอบครัวกำลังสั่นคลอนอย่างถึงที่สุด การมีความสัมพันธ์แบบฉาบฉวย one-night-stand มีให้เห็นกันทั่วอาร์ซีเอ แบบที่ผู้มีการศึกษาไม่อยากมีลูกในสภาพสังคมแบบนี้

เพื่อนฉันแฮปปี้กับการดูหนังที่ไร้สาระ เพียงเพื่อผ่อนคลายหรือหลับในโรงหนัง 

มนุษย์ออฟฟิศเครียดกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ

ตกลงฉันโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่หลุดออกมา

ฉันเลือกที่จะคิดว่าฉันโชคดี ^-^

วันนี้ได้ไปสถานที่ใหม่ๆ พบคนใหม่ๆ แล้วคล้ายจะสะท้อนภาพตัวเอง แต่ฉันคงไม่เหมือนขนาดนั้นกระมัง น้องที่เพิ่งรู้จักใหม่คุยเก่งมาก ฉันเรียกว่า "ยายจ๋อแจ๋" เหมือนที่เคยได้ยินคนให้สมญานี้กับคนคุ้นเคย คนเราอะไรจะสนทนาได้ทุกเรื่อง เมื่อเห็นดังนี้แล้ว ฉันคิดว่าต้องปรับปรุงตัวเองเป็นการใหญ่ พูดให้น้อยลง ฟังให้มากขึ้น ไม่มีใครอยากฟังเรื่องคนอื่นจริงๆ หรอก แม้ว่าการเริ่มต้นการสนทนาที่ดีคือการพูดเรื่องของคนอื่น หากเลือกที่จะฟังให้มาก ย่อมเป็นการเปิดโลกทัศน์และดูจะเป็นคนที่ควรคบหาสมาคมด้วย

เรื่องของคนเป็นเรื่องที่เรียนรู้ได้ไม่รู้จบ ฉันได้พบคนที่ไม่ได้พบมาเป็นสิบปีแต่ยังติดต่อ รับรู้ข่าวคราวผ่าน FB และบางคนที่เจอหน้าเพียงครั้งเดียวแล้วก็ติดตามความเคลื่อนไหวผ่านทางเว็บไซต์เดียวกัน ไม่แค่นั้นยังได้เพื่อนใหม่อีก 2 คนซึ่งก็ได้เพิ่มเป็นเพื่อนใน FB เรียบร้อยแล้ว 

ให้มันรู้ไปสิว่าฉันจะมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับคนไม่ได้ ถ้าได้ใส่ความพยายามลงไปแล้ว!!!

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

ฝนฟ้า พายุงาน เรื่องสะท้านใจ

วันนี้ฝนตกแรง ฟ้ามืด แตกต่างจากครั้งอื่นๆ ฝนสาดแรงผ่านระเบียงที่กว้างสักเมตรครึ่งมาโดนกระจกทีเดียว ต้นไม้ได้น้ำฉ่ำเย็น แต่ผ้าที่ตากไว้เปียกจนไม่เก็บเข้าบ้าน ตากไว้รอแดดวันพรุ่งนี้หากฟ้าไม่สั่งฝนให้ตกถล่มทลายเหมือนในวันนี้...

เป็นการเกริ่นย่อหน้าแรกที่ยาวที่สุด และไม่มีคำว่า "ฉัน" ในย่อหน้านั้นเลย

   
           ฝนตกแดดไม่ออก นกกระจอกไม่รู้อยู่ไหน
        ชักงงว่าทำไม ฉันจึงได้แต่แต่งกลอน
        ตืื่นนอนมีความสุข รู้สึกสนุกไม่ต้องซ่อน
        ใครทุกข์ฉันขอวอน มิได้สอนจงนอนไป


          ฝนยังตกพรำพรำ ละอองน้ำหยาดสวยใส
           สดชื่นรื่นฤทัย ต้นไม้ออกดอกใบงาม
           ม่านไม้ใกล้ความจริง เดปฉันยิ่งวิ่งไล่ตาม
           กล้วยไม้ออกดอกสาม ถ้าใครถามไว้บูชา


           พระพิฆเนศมี ได้เป็นศรีกิจการค้า
           ขอพรพระเจ้าขา ถ้าหนังสือฉันขายดี
           พวกเรากำมะหยี่ แสนยินดีชี้ช่องนี้
           ให้น้องรุ่นหลังที่ พิมพ์เรื่องดีเพื่อคนไทย


ฉันอยากพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนจะเริ่มงานหนัก ซึ่งไม่แน่ว่าจะหนักทางกายและใจเหมือนคราวก่อน แต่ที่แน่ๆ หนนี้ "หนักใจ" การเมืองในการทำงาน ทำให้ต้องใช้สมอง ต้องคิดให้รอบ ให้ครอบ ยิ่งทำงานกับคนฉลาดยิ่งเหนื่อย แต่ก็เป็นการเหนื่อยที่สร้างสรรค์ ได้ฝึกฝนตัวเองให้เก่งขึ้น สุขุมขึ้น และรอบคอบขึ้น ไม่แค่นั้น คราวนี้มีผู้ร่วมงานใหม่ที่รู้จักมาเก่าก่อนตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย คนที่มี "คดี" กันมาแต่หนหลัง ตอนนี้ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว แต่ก็เกรงว่าการทำงานประสานกันในช่วง 2 เดือนหรืออาจจะติดพันยาวไปกว่านั้น หากหาคนทำต่อจากฉันไม่ได้ เมื่อฉันไม่ได้รู้สึกอะไร ก็ไม่อาจทำอะไรฉันได้ แต่ฉันก็ไม่รู้ ว่าคนนั้นจะยัง "รู้สึก" อะไรกับฉันรึเปล่า เรื่องมันจบไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ยังไงแล้วความทรงจำของการเป็น "นักวิ่งขาสวย" ก็ทำให้ยิ้มในใจแสดงออกมา

ตั้งแต่จบงานคราวก่อน "นาย" ให้เกียรติฉันมากกกกก (จนเกินไป) ชมทุกครั้งที่พูดคุยกับคนอื่น มากจนทำให้ฉันสงสัย นายเองก็สงสัยในพฤติกรรมของฉันที่เปลี่ยนไป ที่ผ่านมาฉันเป็นเด็กคนหนึ่งที่ไม่พูดไม่จากับใครๆ นั่งเล่นคอมหรือร้องเพลง...แค่นั้น แต่เมื่อการงานบังคับ ฉันก็เริ่มทำในสิ่งที่คนอื่นๆ เขาทำกันซึ่งก็คือ การเข้าสังคม เมื่ออยู่ดีๆ ฉันก็ลุกขึ้นมาคุยกับคนนั้นคนนี้ สนิทสนมดั่งคนมนุษย์สัมพันธ์ดี เข้ากับคนได้ทุกระดับ ไปกับคนนั้นคนนี้ ภาพที่ดูออกมาก็ไม่แคล้ว "ไม่ค่อยดี" อย่างที่คนชอบมองกัน

เมื่อคืนนี้เองที่คุยกับรุ่นพี่สมัยเรียนคนหนึ่ง "ผู้ชายเค้าก็รู้กันมานานแล้วเรื่อง social networking" แน่ล่ะ ทำไมฉันจะไม่รู้ แต่ผู้หญิงกับผู้ชายก็ไม่มีวันเท่าเทียมกันอยู่ดี ผู้ชายเข้าสังคมเป็นเรื่องดี ผู้หญิงเที่ยวกลางคืน กินเหล้า สูบบุหรี่ ดูดีที่ไหน คนใกล้ตัวฉันไม่เข้าใจ และก็คงไม่มีวันเข้าใจ ป่วยการที่จะคอยอธิบาย เหมือนๆ กับหลายๆ การกระทำที่ไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นเข้าใจ ยิ่งพยายามอธิบายก็ยิ่งเหมือนเป็นการแก้ตัว คิดซะว่ามันเป็นระบบคัดกรองตามธรรมชาติ ดีซะอีก ใครที่เข้าใจฉันก็คงเป็นคนที่คู่ควรให้ฉันคบหาเสวนาด้วยฉันยังจำสายตาของคนที่มีโอกาสเข้าไปอยู่ในส่วนลึกของจิตใจฉันได้แจ่มชัด "ไม่ไปได้ไงล่ะ ได้ลงไทยรัฐสองครั้งก็เพราะพี่เค้าเนี่ยแหละ" ดูท่าฉันจะเป็นผู้หญิงที่รักสนุก เที่ยวไปวันๆ หาสาระอะไรไม่ได้ คล้ายจะว่างานที่ฉันทำอยู่ ทำเป็นหน้าตา ทำเพื่อให้  "มีอะไรทำ" ไม่น่าเชื่อว่าคนฉลาดปราดเปรื่องอย่างเขาคนนั้นจะมองฉันตื้นเพียงแค่นี้ น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้ใช้เหตุผลเพียงพอที่จะให้ใจ ให้ความรู้สึกกับใครบางคนที่มองฉันลึกลงไปกว่าเรื่องเปลือกหรือสิ่งที่ใครๆ ทั่วๆ ไปเขามองกัน ออกจะน่าผิดหวังที่คนที่ฉันแคร์มองฉันเพียงเท่านั้น 

ฉันเขียนข้อความในหนังสือที่เขาซื้อจากฉันว่า 

"สิ่งที่สำคัญไม่อาจมองเห็นได้ด้วยดวงตา" 

และปฏิกิริยาที่เขาประหลาดใจก็ทำให้ฉันรู้สึกดี หวังว่าวันหนึ่ง เขาจะเลิกปฏิเสธตัวเอง ยอมละเหตุผลที่กดทับอารมณ์ความรู้สึกศิลปินของเขา ได้ปลดปล่อยให้ได้สุข ได้ยิ้มจากใจ หลายๆ เสียงเตือน เขาเหมาะจะเป็นเพื่อนเป็นพี่ ไม่ใช่คนรัก ความเห็นล่าสุด "เขาเป็นคนจับจด" ฉันไม่แน่ใจขนาดที่ต้องไปดูความหมายของคำว่าจับจดอีกครั้ง เขาคนนั้น คนที่ฉันประทับใจไม่ได้เป็นคนแบบนั้นสักหน่อย 

ฉันยังจำครั้งแรกที่พี่คนหนึ่งแนะนำให้ฉันรู้กับเขาได้เหมือนเป็นภาพที่เกิดเมื่อวาน ผู้ชายสองคนเดินมานั่งที่เคานเตอร์บาร์ คนหนึ่งเพิ่งเลิกกับภรรยา และสาปส่งว่า "ไม่เอาอีกแล้ว" ณ เวลานั้นฉันไม่รู้หรอกว่า เวลานี้เขามีแฟนที่น่ารักและก็ดูเป็นคู่ที่เหมาะกันมากๆ ส่วน "เขา" ที่อยู่ในใจฉัน นั่งลงด้วยสายตาเคร่งเครียด กลุ้มใจเรื่องแฟน ถ้าไม่ทะเลาะกันในหนึ่งเดือนก็จะแต่งงานแล้ว ผู้ชายคนนี้น่าสนใจ แตกต่างจากคนอื่นๆ ที่มาที่ร้านนี้ เขาไม่ได้มาเฮฮาไร้สาระ มาเจอเพื่อนๆ แต่ก็แบกเอาความกลุ้มใจเรื่องส่วนตัวมาด้วยฉันคงไม่ได้รักเขาหรอก เพราะรู้ทันทีว่าประทับใจในส่ิงที่เขาพูดถึงแฟน 

แต่เขาคนนั้นก็อยู่ในความคิดคำนึงของฉันตลอดมา 

จนกระทั่งฉันได้มาเจอเขาอีกครั้งและก็ถามด้วยความสงสัยว่า ไม่ทะเลาะกันเดือนนึงรึยัง กลับได้คำตอบว่า "เลิกกันไปแล้ว" ณ เวลานั้น ฉันก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาหรอก แค่จำได้ เห็นบุคลิกที่โดดเด่นอย่างที่ว่า และตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา เมื่อใดที่ฉันได้เห็นเขาในอารมณ์นั้นอีก อารมณ์ที่ใช้ความคิด กังวลใส่ใจอยู่กับเรื่องใดๆ ก็เป็น "เขา" คนที่ฉันประทับใจเสมอมาแม้กระทั่งวันนี้ 

เวลาผ่านมานานแสนนาน เขาเปลี่ยนไป...

นานๆ ครั้งที่ฉันจะได้เห็นเขาในอารมณ์นั้น และทุกครั้งที่เห็นเขาในอารมณ์นั้น ฉันก็อยากเข้าไปคุย เข้าไปแบ่งเบาปัญหาหนักอก เข้าไปร่วมรับรู้ และนั่นคือความสุขที่ฉันได้จากเขา นอกเหนือจากเพียงครั้งเดียว เพียงครั้งเดียวจริงๆ ที่เขาบอกว่า รักฉัน และไม่ได้รักอย่างน้องสาว และเป็นคำตอบเดียวที่ฉันไม่ได้ถาม แค่คำว่า "พี่XXรักYY พี่XXรักYY" สองครั้งติดต่อกัน ก็ทำให้ฉันมีความสุขที่สุดแล้ว มันคงเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดครั้งหนึ่ง ที่เขาได้ให้กับฉัน ซึ่งฉันเชื่อว่ามันจะลบล้างสิ่งระคายเคืองใจใดๆ ที่เขามีส่วนทำให้เกิดในใจฉันทั้งหมดความสุขเมื่อนานๆ เกิดทีก็มีค่าเหมือนๆ กับดอกไม้ประจำตัวฉัน ดอกจันทร์กะพ้อที่ใครๆ ว่าหอมเหลือเกิน ปลูกหลายปีถึงจะออกดอก ฉันเองยังไม่เคยได้มีโอกาสเห็นดอกไม้นี้จริงๆ เสียที คงเป็นอีกหนึ่งความสุขใจที่ฉันหวังจะได้รับในชีวิตนี้

เมื่อก่อน ฉันเป็นเจ้าสาวที่กลัวฝน และเมื่อโดนฝนเปียกปอนผ่านพายุมาแล้ว ฉันก็ไม่กลัวฝนอีกแล้ว เพราะสิ่งที่ได้รับหลังจากฝนตก มันคุ้มค่าแก่การรอคอยและไขว่คว้าฝนหยุดตกแล้ว ฟ้าหม่นเพราะถึงเวลา แสงแดดจางๆ เห็นผ่านหมู่เมฆเป็นเส้นบางๆ พาดผ่านตึกสูงรอบๆ ระเบียง แสงสะท้อนจากตึกที่อยู่ถัดออกไปทำให้ภาพที่เห็นในวันนี้แปลกตากว่าวันอื่นๆ อากาศเย็นแม้ฉันจะใส่เสื้อแขนยาวก็ไม่ทำให้ร้อนจนเหงื่อออก ช่างแตกต่างจากวันที่เตรียมแต่งตัวออกข้างนอก แม้ยังเปลือยเปล่าแต่เม็ดเหงื่อก็ผุดขึ้นจนชื้นเต็มหลังวันนี้ฉันจะไปที่ใหม่ เจอคนใหม่ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง แต่การผจญภัยน้อยๆ ที่จะเกิดขึ้นนี้ก็ทำให้ชีวิตตื่นเต้นได้เหมือนกัน

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

กลอนหลอนจนรุ่ง


คิดหนัก คิดไกล จะไปหาหมอ
แต่ก็รอ นอนนิ่ง วิ่งในฝัน
ไม่แฮปปี้ วี๊ดวิ่ว เป็นวันๆ 
ตายละฉัน ฉันจะทำ ยังไงดี


                   วันก่อนนั้น ฉันสุดๆ ขุดมากล่าว
                   เล่าเรื่องราว ยาวยืด อย่างเร็วรี่
                   สรุปสั้นๆ ฉัดจี๊ด เพราะเพลงนี้ 
                   โดนไฟจี้ ที่หัวใจ ไม่ไหวทาน


คนที่รัก รู้ว่าแพ้ แม้จะลุ้น
"อาจเป็นคุณ" ชื่อแปลไทย เพลงไขขาน
พาจิตใจ ที่ฝันใฝ่ ไว้มานาน 
นึกวันวาน ยังคงอยู่ คู้ข้างกาย


                                           มองสายน้ำ นกกา เวลาผ่าน
                                           หวังพบพาน ใครสักคน พ้นเดียวดาย
                                           อาจเป็นคุณ ใครคนนี้ ที่คลับคล้าย
                                           ตรงใจหมาย เป็นคู่แท้ แค่คนเดียว


                    คือเนื้อความ ตามเพลง เร่งประจุ
                   ใจมุทะลุ วิ่งรี่ หนีไม่เลี้ยว
                   ขับรถซิ่ง เอาลิงสงบ ขบขาเกี่ยว
                  ใจไปเที่ยว ตัวยังเครียด เสียดแทงใน


ล้อรถเอี๊ยด เบียดเสา โอ้เจ้าเอ๋ย
ไม่เคยเลย จะถนอม รถส่วนไหน
ช่างกะไร รถช้ำ้ ย้ำฤทัย
แล้วใครๆ เขาจะรัก ฤาภักดี


                 โกรธสุดขีด ที่ร้องเพลง "อาจเป็นคุณ"
                ทำเคืองขุ่น ต้องสยบ ด้วยแบบนี้
                สะกดข่ม มีคาถา หาวิธี
                บดขยี้ ความเพ้อเจ้อ เจอทางไป


"เธอไม่มี ความหมาย ในใจฉัน" 
ถ้อยความนั้น ตะโกนซ้ำ ย้ำยำใส่
ไร้ความคิด ทางบวกใด ให้กำหนด
ใจจารจด ทบทดซ้ำ จำจนตาย


                                                     พอบรรเทา ให้คืนนั้น ฉันนอนได้
                                                     แม้ไม่ใคร่ สิ่งควรคิด หลับพร้อมกาย
                                                     หากไม่หลับ ยิ่งกล้ำกลืน ใช่เลือกได้
                                                     ตะวันฉาย ฉันคิดใหม่ ให้ผ่านวัน


                      ตื่นด้วยใจ ละเหี่ย เพลียเพราะฝัน
                     ยื้อดึงดัน วิ่งวุ่น ฝุ่นสามชั้น
                     จิตจินตนา การพิเศษ เสกพัลวัน
                     แล้วตัวฉัน จะได้พัก ฤาเพียงพอ


                                                                                  เริ่มต้นวัน เหนื่อยหน่าย กายอ่อนล้า
                                                                                  เริ่มซักผ้า ลาจากเตียง หยิบหยูกยา
                                                                                  ฤทธิ์ออกช้า ยาน้อยไป หรือคุณขา
                                                                                 ไม่รู้หา อาไรมา จูงใจตัว


                         ธุระ ปะปัง มีที่ต้องทำ
                         คือตัวนำ ให้เลิกอ้อยอิ่ง เอ่อปวดหัว
                         กิจการ ขาดทุน ก็ต้องกลัว 
                         มั่วไม่ได้ งานไม่เดิน เกินจะเป็น


ก็ยังทำ ทุกสิ่งจริง จากซาก
เรื่องยาก เรื่องลำบาก ทำไม่เห็น
เมื่อไหร่หนอ อาการดี สดใสเย็น
จิตชูเด่น พ้นตม โผล่พ้นใบ


                      ฉันก็ทำ เท่าที่จำ เป็นต้องทำ
                      เรื่องสำคัญ ดันให้น้อง ลองดูมั้ย
                      คนอาจคิด ว่าสอนงาน บานตะไท
                      เพราะกะไว้ ให้เป็นงาน การประชุม


จนวุ่นวาย หลายเรื่อง ยังเซื่องอยู่
ยังไม่รู้ ว่ายังไง จะหายกลุ้ม
หรือว่าเรา ต้องลองเปลี่ยน กินจิ้มจุ่ม
เนื้อนุ่มๆ ขยุ้มใจ ให้ปรีเปรม


          สิ้นวันแล้ว ยังไม่แคล้ว จะเหมือนผี
          จะอีกกี่ มากน้อย ค่อยเกษม
          หรือว่าต้อง หันมา เลือกเล่นเกมส์ 
          เปลี่ยน "Aim" ใหม่ ให้ ใจบรรเทิง


                                   ว่าได้ผล คนต่างๆ มาโพสต์ใส่
                                   ชื่นช่ำใจ เริ่มมีมุข เตลิดเปิดเปิง
                                  เมื่อยิ้มออก หน้าใส ใจร่าเริง
                                  ความคิดบวกก็เริ่ม เติมทั่วไป


ฉันใคร่ขอ ขอบคุณผู้ อุดหนุนบล้อก
เฟสบุค "knock" กระตุกต่อม ให้สั่นไหว
สมองโล่ง เปิดรับ ความสดใหม่
ไม่เหลือไว้ แม้ที่โกรธ คนร้องเพลง

ขอบคุณ Top Friends Photo ที่ทำให้อารมณ์ขุ่นเคือง ซึมเศร้ามลายหายสิ้น