วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ได้เวลาแล้ว!!!

ดาวศุกร์ย้ายเข้าธนูมาสองวันแล้ว ฉันพร้อมจะเจอกับเรื่องดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น :) ...

ฉันมั่นใจว่างานที่มองไว้จะได้ เพราะฉันเชื่อมั่นในผู้ร่วมงาน จากที่ดูข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต และแน่นอนที่งานใหม่ต้องเกื้อหนุนงานเดิม ถ้าปี 2552 เป็นปีที่ฉันได้ค้นหาตัวเอง ความคิดได้ตกผลึก ฉันก็คงได้พบได้เจอคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่คนอย่างฉันจะกำหนดให้ตนเองเป็นและช่วยเหลือสังคม หนังสือเป็นสื่อที่ให้ข้อมูลในเชิงลึก เหมาะสำหรับผู้ทีี่ได้รับการกล่อมเกลาให้อยู่ในรูปในรอยเรียบร้อยแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ยังหลงระเริงอยู่กับแสงสี รูปรสกล่ินเสียงสัมผัสที่เข้าถึงได้ง่ายกว่ามาก หากสำเร็จดังตั้งใจไว้ ฉันจะได้เริ่มต้นฉากชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง รูปแบบที่เข้าถึงคนส่วนใหญ่ได้มากขึ้น และเพื่อชักจูงคนเหล่านั้นให้เห็นคุณค่าของหนังสือ...สื่อสำคัญที่ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างถาวรและมั่นคง

ฉันไม่ได้ออกจากห้องเลย ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ตั้งแต่คืนวันที่ข้ามผ่านเป็นวันเกิดของคนสำคัญที่ฉันไม่รู้ว่าในใจของเขายังมีฉันเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด วันที่อย่างน้อย ฉัันควรจะไปอวยพร ร่วมแสดงความยินดีในวันเกิด แต่ฉันกลับนอนหลับทับสิทธิ์ ไม่ตื่นขึ้นมาให้ฟุ้งซ่านเลยทั้งวัน ทั้งคืน ฉันแอบหาเหตุผลให้ตัวเองว่า ของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดที่ฉันจะให้กับเขาได้ก็คือ อิสรภาพ เสรีภาพ ปลดปล่อยเขาไปจากใจฉัน แล้วถ้าเขาคือคนที่ใช่สำหรับฉัน เขาต้องกลับมา...

อาทิตย์นี้ฉันใช้เวลาเรียนรู้ ดูคลิปวิดีโอมากมาย อ่านหนังสือของนักเขียนคนโปรดคนล่าสุด มีความสุขกับสมบัติที่ล้ำค่าของฉันเพียงลำพัง เป็นการทำช่วงเวลาปลีกวิเวกให้ได้ประโยชน์สูงสุดในความรู้สึกของฉัน เรื่องราวที่ฉันรับรู้ เป็นเรื่องราวที่ผ่านมาเป็นปีของคนหลายคนในความสนใจของคนทั่วไป แต่ไม่ใช่ความสนใจของฉัน มาคราวนี้เรื่องของนิกกี้และนวล หมอลักษณ์ หมอกฤษณ์ และอีกหลายๆ คนที่น่าสนใจ รวมถึง ดร.อาจอง ที่เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนสัตยาไสโรงเรียนต้นแบบที่ฉันเคยรับรู้มาบ้างแล้วนั้น ได้รับการถ่ายทอดเป็น docudrama variety ในความดูแลของพระเอกในใจฉัน ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี ก็็ทำให้ฉันดีใจที่ผู้ชายคนนี้มีดีกว่าเพียงแค่เปลือก

ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะออกจากถ้ำ จัดการงาน กลับมาดูแลรับผิดชอบอะไรต่อมิอะไร มิเช่นนั้นท่านเจ้าสำนักกลับมาแล้วอาจจะหมดความอดทนกับรูปแบบวิธีการทำงานรวมไปถึงสันดานบางประการของฉัน

ใจจริงก็อยากจะปากโป้งบอกข่าวดีที่ฉันยังไม่ทันได้รับ แต่ก็มั่นใจเสียเหลือเกินว่าต้องได้รับโดยไม่เกิดความผิดพลาด ขอผลัดไปหน่อยละกัน เดี๋ยวจะหน้าแตกไม่ทันรับเย็บ แหะ แหะ

ฉันขอเริ่มต้นวันด้วยการไปวัดแขก ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวฉันเอง พร้อมๆ กับเปิดโอกาสให้สิ่งดีๆ ทั้งหลายเข้ามาในชีวิต ปีที่ฉันจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับหลานแท้ๆ เพียงคนเดียว น้องนีน ปลูกฝังให้เธอรักการอ่านและมีหนังสือเจ้าชายน้อยเป็นหนังสือเล่มแรกและหนังสือประจำชีวิต ก่อนที่ฉันจะขยายผลนี้ไปยังเด็กไทยคนอื่นๆ ฉันต้องทำให้หลานของฉันรักหนังสือให้สำเร็จซะก่อน

ฉันไม่ขอสัญญาอะไรมากมาย เพราะเป็นการผูกมัดให้ฉันอึดอัด ถ้าทำไม่ได้ยิ่งทุกข์ใจเข้าไปใหญ่ ปีที่ผ่านมา ฉันคาดหวังอะไรไม่น้อยทีเดียว อาจจะไม่เห็นผลในเชิงตัวเลขแต่ฉันได้เรื่อง awareness อันเป็นด่านแรกของทุกสิ่ง ฉันได้ทำบุญใหญ่ที่สุดในชีวิตโดยไม่ได้คาดหมาย และเชื่อว่าสิ่งดีๆ กำลังจะตามมา อุปสรรค ศัตรูจะพ่ายแพ้ จะได้รับโอกาสดีๆ มีผู้สนับสนุนช่วยเหลือ พร้อมๆ กับที่ความตั้งใจของฉัน คุณค่าของความเป็นมนุษย์ทีี่ฉันต้องการฝากไว้ให้กับโลกใบนี้จะค่อยๆๆ จารึกในความทรงจำของฉันและคนที่เกี่ยวข้อง นับจนถึงบัดนี้ ฉันถือว่า ชีวิตต่อจากนี้ไปคือกำไร ฉันอาจจะไม่ได้ทดแทนพระคุณพ่อแม่ในแบบที่ท่านคาดหวััง แต่ฉันได้ทำสิ่งดีๆ ให้กับครอบครัว คนรอบตัวและสังคมในลักษณะที่ฉันภูมิใจแล้วที่ได้เกิดมาในชาตินี้ บทสัมภาษณ์ในหนังสือขวัญเรือนเป็นความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของฉัน ความมุ่งหวังที่ฉันได้เอื้อนเอ่ยจะสมประสงค์ได้ถ้ามีคนที่เห็นด้วยช่วยกันทำให้เป็นจริงขึ้นมา และฉันกำลังจะทำให้เกิดกับหลานของฉันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ขอให้เกิดแต่สิ่งดีๆ กับคนในชีวิตของฉัน ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นมิตรหรือศัตรู ขอแผ่เมตตาให้ทุกๆ คน อโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย สิ่งใดที่ฉันทำให้เดือดร้อนทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ฉันขอโทษและหวังว่าทุกๆ ความสัมพันธ์ต่อจากนี้ไปจะมีแต่ดีขึ้นและมีแต่ความจริงใจให้กัน

ขอให้ทุกคนคิดดี ทำดี พูดดีและมีความสุขทุกๆ วันค่ะ

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มีแต่เรื่อง อิอิ

วันนี้ทำได้เกือบครบที่ตั้งใจไว้แน่ะ และยังแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตอนนอนนวดประคบอีกต่างหาก...

เมื่อคืนฉันนอนหน้าทีวี เปิดทีวีค้างไว้ด้วย เปิดประตูกระจกหน้าระเบียงรับอากาศบริสุทธิ์ นอนหลับด้วยวิธีนี้ก็ไม่ฟุ้งซ่านดีนะเธอ แถมเวลารู้สึกตัวก็บริโภคข่าวสารไปด้วยในตัว ดีกว่าฝันเรื่องโน้นนี้เป็นตุเป็นตะ ว่าแต่ว่า ถ้างั้นสงสัยต้องยกเตียงมาไว้ข้างนอก แล้วปรับเปลี่ยนห้องนอนเป็นห้องแต่งตัวแทนน่าจะเหมาะกว่า!!

เพราะทุกวันนี้ห้องนอนก็เอาไว้นอนกับแต่งตัว ถ้าลดหน้าที่ของห้องไปหนึ่งอย่างก็น่าจะทำให้ฉันมีที่ใส่เสื้อผ้าและอุปกรณ์ตกแต่งมากขึ้น (เป็นงั้นไป เฮ้อ!) แล้วโซฟาจะย้ายไปที่ไหนละเนี่่ย สรุปแล้วคงต้องทำเหมือนเดิม อะไรที่พอจะเอาออกจากห้องนอนได้ก็ย้ายมาไว้ข้างนอก ห้องนอนจะได้ไม่เหมือนห้องเก็บของ!! แล้วต้องซื้อทีวีไปไว้ในห้องอีกเครื่องมั้ยเนี่ยเรา จะตั้งไว้ที่ไหนละนั่น เฮ้อ (อีกที)

กลับมาเรื่องดีๆ ของวันนี้ดีกว่า ฉันไปหาหมอทัน (ไชโย) ก่อนหน้านั้นก็เก็บ/พับผ้า ดีที่ช่วงนี้ใส่แต่ชุดอยู่บ้านเลยไม่มีผ้าต้องรีด อุ่นอาหารมื้อเย็นมากินต่อจนหมด แล้วก็ไป La Villa ทำสารพัดธุระ เรื่องใหญ่ที่ไม่ได้ทำคือ ทำเล็บ ยังมีเวลาเหลือนาทีสุดท้ายบ่ายวันจันทร์ ตอนนี้เล็บที่ต่อเจลไว้มันก็หลุดไปเรียบร้อยแล้วหนึ่งนิ้ว ไม่นับที่ต้องนอนให้ซ่อมอีกหลายชั่วโมง คิดไปคิดมา ฉันคงจะทำเล็บ pr กำมะหยี่ต่อไป ดูเป็นผู้หญิงแต่งตัวที่มีสมองมั้ยเธอ

ที่ว่าฉันนอนให้นวดแบบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก็เพราะแฮปปี้ไปล่วงหน้าว่าจะได้รู้จักคนท่าทางนิสัยดีให้มากขึ้น นึกไปถึงบทสนทนา อากัปกิริยาที่น่าประทับใจ ตอนแรกฉันไม่คิดว่าจะมีใครผ่านเข้าประตูนี้มาได้แล้วซะอีก เพราะเขาคนนั้นต้องผ่านประตูใจก่อนจะถึงประตูสมอง แล้วส่วนใหญ่ ถ้าข้ามขั้นได้จะผ่านประตูสมองแต่ไม่ผ่านประตูใจ เฮ้อ!!

ฉันสวมวิญญาณเชอร์ล็อคโฮม(อาชีพเก่า)อีกเช่นเคย เวลาคนอื่นรู้แล้วจะตกใจ ทั้งๆ ที่ฉันไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องยากที่ตรงไหน ฉันแค่อาจจะตกอยู่ในมนตร์เสน่ห์ของการค้นหามากกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง บางคนหาข้อมูลใน google แค่หน้าหรือสองหน้าก็เบื่อแล้ว แต่ฉันคลิกไปดูเป็นสิบๆ หน้าได้สบายมาก แล้วก็เจอสิ่งที่ต้องการจะหาแทบทุกครั้ง

ครั้งนี้ก็เช่นกัน อิอิ

นอกจากเรื่องงานที่เป็นแพทเทิร์นเดิมซ้ำๆ น่าเบื่อๆ ที่ไม่ได้บอกให้ฉันรู้จักคนๆ นี้เพิ่มขึ้นไปจากหน้าที่การงานมั่นคงและดีมากที่รู้อยู่แล้วนั่น มีสองเว็บที่มีข้อมูลที่ฉันสนใจ เว็บที่บอกว่าฉันจะสามารถเห็นสมบัติส่วนตัวบางสิ่งของเขาจากหนังสือเล่มหนึ่ง และข้อมูลว่าสมบัติชิ้นนั้นของเขามีองค์ประกอบย่อยที่ใช้ของดีอย่างคนที่ใส่ใจในรายละเอียด

ฮ่า ฮ่า ฉันหาคนที่มีหนังสือเล่มนั้นเจอแล้ว!!!

ฉันเชื่อว่าของที่อยู่ใกล้ตัวใครจะบอกอะไรเกี่ยวกับคนๆ นั้นได้ไม่มากก็น้อย ขึ้นอยู่กับว่า เขามีข้อจำกัดใดๆ ในการเลือกสิ่งนั้นหรือไม่ สิ่งนั้นจึงจะสะท้อนความเป็นตัวตนของคนนั้นได้ในระดับต่างกัน

ฉันนั่งนึกรออยู่ว่าจะถามพี่คนที่มีหนังสือเล่มนั้นเมื่อไหร่ดี ถ้าแค่วันหรือสองวันมันจะเร็วเกินไปมั้ยเนี่ย!

ช่วงนี้ฉันต้องหาเรื่องอื่นให้สมองวุ่นวายมิฉะนั้นแล้ว จิตใจจะจดจ่ออยู่กับเรื่องนี้จนไม่เป็นผลดีกับตัวฉันเอง วันนี้ไปเอาจดหมายและพัสดุที่ส่งมาจากเมืองนอก มีอะไรมาทำให้ฉันไม่ว่างอีกกล่องใหญ่แล้วล่ะ หนังสือเล่มใหม่ก็กำลังจะออก หน้าปกปรูฟดิจิตอลออกมาสวยถูกใจ แต่ฉันยังไม่ค่อยรู้สึกลงตัวกับสายคาด คาดตรงไหนจะเหมาะที่สุดหว่า สักสองนิ้วจากขอบล่างด้านขวางท่าจะดีที่สุด แต่เอาให้แน่ รอดูม็อคอัพของจริงก่อนตัดสินใจดีกว่า หนังสือเล่มนี้ทำสำหรับคนที่รักหนังสือ เพราะฉะนั้นต้องใส่ใจทุกรายละเอียด หนังสือออกช้าก็ต้องรอจนกว่าจะพร้อมจริงๆ ฉันว่านะ (เจ้าสำนักรู้สึกจะเห็นด้วยนา)

แล้วก็กลับไปนึกถึงคุณพี่...ฉันตั้งชื่อว่าร็อกเก็ตละกัน เพราะอาหารมื้อแรกที่ร่วมโต๊ะกัน เขาสั่งร็อกเก็ตสลัด :)

วันนี้ฉันไปวางแผนบ้านน้องชายสนุกสนานกันใหญ่ เอ่อ ประมาณว่า

อยากได้พี่เขยดีๆ ป่ะ อยากได้ก็ช่วยพี่ด้วย

น้องสุดเลิฟถามว่า ไปดูรถไฟฟ้ามาหานะเธอรึยัง

ฉันตอบว่า ดูแล้ว น้องที่รักก็รู้แล้วว่าฉันควรจะมีศิลปะในการทิ้งผ้าเช็ดหน้าอย่างไร 555

ที่เหลือเรื่องข้อมูล น้องชายฉันส่งเมล์มาให้เรียบร้อย นอกจากจะทำเพื่อตัวเองแล้ว ยังต้องย่อยเป็นภาษาไทยส่งกลับไปให้น้องชายเป็นผลงานที่พี่สาวสุดที่รักเนรมิตให้อีกต่างหาก

อะไรมันจะลึกลับซับซ้อนนักนะเนี่ย!! ทำยังกะจะออกรบเลยอะ ว่างั้นมั้ยเธอ

ไปแระ มีอารมณ์อยากเล่าแล้วจะมาเล่าต่อนะ อิอิ

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มีความสุขกับตัวเองและโลกออนไลน์

ฉันกลับไปเป็นสาวไฮเปอร์แล้วนะครับท่าน...

ฉันตื่นมาเกิน 24 ชั่วโมงแล้วนะคะเนี่ย ไฮเปอร์ขนาดลุกขึ้นมาซักผ้า (แต่ยังขี้เกียจรีดอยู่ แหะ แหะ) กวาดบ้าน ล้างห้องน้ำ จัดของแบบย่อมๆ ทำกับข้าวและที่จะลืมไม่ได้คือ รดน้ำต้นไม้

ฉันดูหนังที่ซื้อไว้หลายอาทิตย์แล้วหมดซะทีคราวนี้ ก็มี Ghost Town, Once และ Sideways

นั่งเล่น Bejeweled จนอดรนทนไม่ไหว ซื้ออีกแล้ว จนได้เกือบแสนสี่ ติดห้าอันดับแรกในกลุ่มเพื่อนเฟซบุค ก็โอแหละ

หน้าที่ของฉันคือ พรุ่งนี้ต้องตื่นไปให้หมอทำเลเซอร์หลังให้ทันก่อนบ่ายสามและทำเล็บที่ใช้งานหนักเหลือเกิน เพื่อให้สวยพร้อมเจอหน้าผู้คนวันจันทร์และอังคารนี้ และงานอื่นๆ ที่กำลังจะตามมา อิอิ

ดีใจจังท่ีอารมณ์ดี หายขุ่นมัวจากสารพัดเรื่องราว ฉันไม่ตามไปคิดว่าใครบางคนมีแผนซับซ้อนกี่ชั้นหรอกนะ ยังไม่รู้ด้วยว่าจะเลือกทำอะไรสำหรับบางเรื่อง แต่ก็ไม่กังวล ฉันอยู่บ้านคนเดียวได้อยู่แล้ว ไม่มีอาการคล้ายลงแดงอย่างคนขี้เหงาขาดเพื่อนไม่ได้

เฟซบุคนี่ดีจริงๆ ทำให้ฉันไม่รู้สึกผิดว่าไม่ออกไปเจอหน้าเจอตาผู้คน ทักทายคนที่ไม่ได้เจอกันมานานต่างระยะเวลา ได้ยิ้มได้หัวเราะ ได้แบ่งปันเรื่องราวที่มีความสุข สนุกร่วมกัน

แฮปปี้จัง พรุ่งนี้ไปหาหมอๆ เสร็จแล้วต้องไปนวดด้วยเพราะลูกประคบร้อนที่แช่แข็งไว้จะหมดอายุในไม่ช้าสรุปว่า ฉันจะหาหมอหลัง หมอนวด หมอเล็บ จ่ายกับข้าว เช็คกล่องจดหมาย ตรวจปรูฟ และที่สำคัญ ฉันต้องซื้อที่เปิดขวดไวน์มาเปิดไวน์ดื่มแบบส่วนตั้วส่วนตัวซะที ได้ Brie อีกสักหน่อยก็ไม่เลว ว่าจะซื้อกุ้งมาไว้ผัดเล็กๆ น้อยๆ สักนิด แต่เมื่อใดที่ฉันซื้อเนื้อปูเป็นต้องรีบทำกินเดี๋ยวจะเสียทุกที

เพราะฉะนั้นนอกจากจะสรรหาทุกสิ่งได้ที่ La Villa แล้วก็ต้องไปชอป อตก. สำหรับของทะเลสดอีกหน่อย เอ หรือว่าฉันจะไฮเปอร์ขนาดนอนไม่หลับ ต้องไปเดินจตุจักรแต่เช้าตรู่ละเนี่ย!!!

กลับมาซะที ตัวตนดีๆ ของฉัน มารับขวัญวันดีที่จะได้เจอคนดีๆ เข้ามาในชีวิต!!!

:D

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความสงบภายใน Inner Peace

เป็นโชคดีที่ฉันซื้อ The Wisdom of Forgiveness รวมบทสัมภาษณ์ท่านดาไล ลามะ ที่อธิบาย Emthiness และ Interdependence และที่จะลืมไม่ได้คือ การให้อภัยในทุกๆ กรณี...

จริงๆ แล้ว เนื้อหาในเล่มก็ซ้ำไปซ้ำมา หากเข้าใจหลักที่ท่านดาไล ลามะต้องการสื่อแล้ว ก็อาจไม่ต้องอ่านจนจบเล่ม ฉันคิดว่าผู้เขียนคงไม่ได้มุ่งหวังเช่นนั้น เรื่องที่เข้าใจ บ่อยครั้งที่ปฏิบัติไม่ได้ (เช่น ฉัน เป็นต้น) เหลืออีกครึ่งเล่ม ฉันก็จะอ่านจบแล้ว เท่าที่อ่านมา ได้รับความรู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจทีเดียว แอบดีใจที่ฉันมีคุณลักษณะบางอย่างคล้ายกับทีี่ได้อ่าน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอ่านหนังสือเล่มนี้หรือไม่ ฉันถึงรู้สึกได้ถึงความสงบภายในมากกว่าวันก่อนๆ วันที่หัวใจของฉันสั่นไหวด้วยไม่ทันเตรียมใจรับรู้ข้อมูลเรื่องราวบางอย่าง

หลายวันที่ผ่านมา ก่อนนอนฉันจะนึกถึงภาพพระพุทธรูปที่ฉันยึดไว้เป็นที่พึ่งทางใจ ทำให้ใจสงบก่อนนอนทุกคืน ภาพพระพุทธรูปเมื่อหลายวันก่อนไม่นิ่งเลย นั่นเป็นสัญญาณว่า ฉันไม่สงบ ขาดความสุขทางใจอย่างแรง ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร นึกว่าฉันจะดีขึ้นแล้ว เอาเข้าจริงก็ไม่แคล้วอ่อนแอเช่นเคย

เมื่อคืนผู้ใหญ่เรียกหา ฉันไม่ไป ทั้งๆ ที่นึกได้ว่า เสียประโยชน์ไปหลายเรื่อง สำหรับเขาเหล่านั้นแล้ว การทำธุรกิจสำนักพิมพ์เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย แต่ฉันก็เลือกแล้วว่านี่คือ สิ่งที่ฉันรัก ชอบ มีความสุขที่จะทำ แต่คงจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำเมื่อฉันพร้อม ไม่มีใครในครอบครัวอยากเห็นฉันล้มลงอีก

ข้อดีคือ ลดความกดดัน แต่ฉันเอง แม้จะปฏิบัติตัวเช่นนั้น ก็ยังไม่แคล้วรู้สึกผิด ฉันฝันอยู่ทั้งคืนว่าไปขายหนังสือที่หน้าโรงหนังลิโด้ ตื่นขึ้นมาแล้ว ฉันก็ยังสงสัยตัวเองว่า ก็ทำไมไม่ไปซะเลยล่ะ มัวแต่มานั่งฝันแบบนี้ ไม่รู้กี่งานแล้ว

ช่วงนี้หนังสือปรัชญาทั้งหลายดูจะเหมาะกับฉันเป็นอย่างยิ่งในทุกๆ ด้านทีเดียวเชียว

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ผลตอบแทนที่ไม่เคยคาดหวัง

ช่วงนี้ฉันปลุกปั้นเด็กอยู่ 2 คน ไม่มีใครบอกให้ทำหรอก อยากทำก็ทำ ทำราวกับได้ประโยชน์มากมายมหาศาล แล้วก็อาจจะได้จริงๆ ด้วย...

คนแรก ใครๆ คงเข้าใจได้ไม่ยาก เพราะเธอมีศักดิ์เป็นหลานของฉันเอง ฉันนึกถึงบุญคุณที่แม่ของแกทำให้กับครอบครัวของฉัน ที่ต้องเรียกว่าครอบครัวเพราะเราเอื้ออารีย์กันมานาน เรื่องสำคัญๆ ก็คือ พี่ช่วยเหลือเกลาเรียงความที่ฉันส่งประกอบการสมัครเข้าเรียนต่อปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว (อายุมากจริงๆ เรา) พี่คนเดียวกันยังดูแล+ใช้งานน้องชายฉันตลอดมา อาหารอร่อยขึ้นชื่อ คนคอเดียวกันย่อมเข้าใจกัน บ้านฉันอิ่มท้องด้วยอาหารอร่อยที่พี่สรรหามาหลายครา กระทั่งร้านหนึ่งหุงข้าวได้อร่อย ก็ทำให้เราแวะไปเยี่ยมเยือน แล้วมันก็อร่อยจริงๆ ใครไม่เคยก็จะไม่รู้ว่าความแตกต่างเพียงนิด ทำให้ข้าวธรรมดาอัศจรรย์ได้ขนาดไหน ฉันยังนึกถึงข้าวสวยร้านนั้นมิรู้ลืม

นอกจากเรื่องกินเรื่องใหญ่แล้ว ฉันเคยช่วยพี่ตกแต่งอพาร์ตเมนท์พร้อมๆ กับที่พี่ให้โอกาสฉันแสดงความสามารถกับแม่ในยามชีวิตกำลังลอยละล่องไม่รู้ว่าจะไปทิศใดแน่ บางครั้งฉันก็ไม่แน่ใจว่าแม่คิดว่าฉันมีความสามารถหรือไม่ เลยทำให้ฉันต้องพิสูจน์อยู่เนืองๆ ด้วยกลัวว่าใครๆ จะมองว่าฉันเป็นคนไร้ความสามารถไปในที่สุด แต่ล่าสุด แม่พร่ำพรรณนาว่า แม่รู้ตัวว่าโง่มาก แต่ก็ไม่มากเกินไปหรอก ราวกับว่า ฉันปฏิบัติกับแม่เหมือนแม่ไม่ได้จบแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ อย่างงั้นล่ะ ใครจะไปว่าแม่โง่ได้ ฉลาดแกมโกงซะมากกว่า

เอาเป็นว่า เหตุการณ์ล่าสุดไม่เกินเดือนก็เป็นบทพิสูจน์ว่าฉันมีสติในยามที่สาวๆๆ อายุรวมหลายร้อยตกอกตกใจกับการพลัดหลงของแม่ที่มาเก๊า พร้อมกับพาแม่ลงเรือเฟอร์รี่ นั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพได้ก็แล้วกัน ส่วนที่ว่า ฉันจะเป็นโรคลักปิดลักเปิด ทำงานได้บ้างไม่ได้บ้าง อาการซึมเศร้าที่แสดงออกต่างแบบต่างวาระ ไม่ว่าจะหงุดหงิด อยากนอน ไม่อยากทำอะไรเลย ดูแต่หนัง หรือจะเอาแต่เที่ยว รวมทั้งลุกขึ้นมานั่งหาข้อมูลว่าฉันเป็นโรคบ้าอะไรกันแน่ จนอาฉันหมอที่เกษียณอายุแล้วตกใจ บอกว่ารายละเอียดของโรคที่ฉันส่งไปให้นั้น มีหมอเมืองไทยไม่กี่คนเคยเห็นเคยได้ยินมาก่อน แล้วก็เป็นอีกคนที่ยอมรับว่าฉันเก่ง มันคงต้องโอเคแล้วล่ะ ถ้าหมอ(อาชีพที่สุดแสนจะภูมิใจในตนเอง)ยอมรับว่าฉันเก่ง ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์ใดๆ ฉันคงจะเรียนรู้ได้ละนะ

พาออกนอกเรื่องจนไปถึงไหนแล้ว วกกลับมาที่หลานสาวคนเก่ง เพื่อนฉันที่ทำงานที่เดียวกันกับน้องก็ชมมาว่าน้องฉลาดและแอคทีฟ ไอ้ฉันมันของชอบอยู่แล้ว ส่งเสริมคนเก่ง ฉันแนะนำให้หลานคนดีรู้จักกับพี่ๆ ที่ฉันรู้จัก ด้วยอาชีพการงานของหลาน ยิ่งรู้จักคนมากยิ่งดี ผู้ใหญ่ก็รู้แกวฉัน ให้ความเมตตา ฉันได้แต่ย้ำว่า ช่วยไปบอกเจ้านายว่าให้ทำนามบัตรให้โดยด่วน ภายใน 1 วันจะเป็นการดีมาก แล้วฉันก็กุลีกุจอทำตนเป็นพี่ใหญ่ดูแลน้องคนใหม่ในวงการ

น้องอีกคนไม่ได้เกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่อะไรฉันช่วยได้ก็ช่วยจนคนคงงง ฉันเองยังงงตัวเองเลย น้องคนนี้ฉลาดไม่เป็นรองใคร อนาคตรุ่งแน่นอน ฉันเห็นใจน้องในหลายๆ เรื่องและก็เข้าใจความแตกต่างที่คนอื่นไม่เข้าใจ มันก็คล้ายพูดให้ตัวเองฟังนั่นแหละเธอ ฉันเคยอยู่ในสภาวะเดียวกับน้องมาก่อน ก็พูดอย่างคนที่จะพูดให้ตัวเองฟังถ้าสามารถนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปคุยกับตัวเองได้นั่นแหละ โชคดีที่น้องรับฟัง ไม่เหมือนคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรส่วนใหญ่ที่ไม่ชอบให้คนมาสอน ฉันเองไม่ได้ตั้งใจจะข่ม จะอวด เพียงแต่รู้ว่าตัวเองมีดีและไม่ดีอะไร จึงพูดอย่างมั่นใจ อย่างคนที่รู้จักตัวเองดี ผิดกับที่เราคนไทยถูกสอนมาให้ถ่อมตัว ฉันจะพังก็เพราะคนเกลียดและคนคิดว่าไม่เห็นหัวเขานั่นแหละ

ที่ว่าได้ประโยชน์มหาศาลจากน้องที่ทำอะไรให้ แนะนำให้รู้จักคนนั้นคนนี้ รับเป็นที่ปรึกษาปัญหาหัวใจ (จนวันรุ่งขึ้นฉันต้องนอนอยู่ที่ปั้มตอนขับรถกลับจากทำบุญเพราะง่วงจัดนั่นแหละ) หาสปอนเซอร์ให้หลายรายการ รวมทั้งช่วยแนะนำให้รู้จักกับผู้ใหญ่ที่อาจให้ความช่วยเหลือเรื่องงานที่กำลังริเริ่มคนนั้นด้วย

ใจจริง ฉันว่าจะงดกล่าวถึงผู้ชายคนนี้ เก็บความผิดหวัง เสียดายที่เขาเป็นคนแรกที่ฉันบอกรัก แต่กลับเป็นคนที่ไม่ควรได้รับส่ิงมีค่าของฉันสิ่งนี้ไปเลย

ถ้าไม่ได้น้องคนนี้ ฉันคงไม่ตาสว่าง มองเห็นความไม่ควรชื่นชมใดๆ ที่ฉันกลับมอบไปให้เสมอมา ฉันเสียดายความรู้สึกของตัวเอง เขาก็แค่ผู้ชายขี้เหล้า ไม่รับผิดชอบใดๆ แม้เพียงคำพูดของตัวเอง แถมยังทำให้ฉันรู้สึกพลาดอย่างแรงที่แนะนำให้น้องรู้จัก เพราะฉันเป็นแค่คนรู้จักคนหนึ่งในวงเหล้า เขาไม่คุยกันตอนกลางวันหรอก

เท่านั้นเอง

ฉันเองที่กลับรับอาสาช่วยเหลือคนที่รู้จักในวงเหล้า ช่วยงานที่เขาก็คงคิดว่าเป็นบุญคุณมากกว่าที่ให้ฉันมาช่วย โลกนี้หนอ ความรักที่ฉันมีให้เขา ที่ขยายตัวไปถึงเพื่อนๆ ของเขา สถาบันองค์กรที่มีความสำคัญกับเขา ช่างไร้ค่าในสายตาคนฉลาดของฉันจริงๆ

ของมีค่าของฉันไร้ค่าอย่างสิ้นเชิงในสายตาของเขา เหมือนๆ กับธนบัตรที่ถูกเหยียบย่ำ ไม่เป็นที่ต้องการของใครๆ แต่ฉันก็ยังมีค่าอย่างน้อยที่สุดเท่ากับค่าที่ระบุในธนบัตร แต่ธนบัตรฉบับนี้ นำไปแลกเป็นธนบัตรใบใหม่เอี่ยมได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ใส่กรอบและอยู่ในความครอบครองของคนใหม่ที่เห็นคุณค่า ธนบัตรนี้ก็มีค่าในสายตาใครๆ แม้ใครคนนั้นจะไม่เห็นมันอยู่ในสายตา

ขอบคุณบุญที่ฉันได้ทำ ความดีที่ฉันสะสมมา ในที่สุด ตาฉันก็เลิกบอดซะที

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ละเลยหรือไว้ใจ ปล่อยไปหรือผูกมัด

บทสนทนาสั้นๆ กับพี่ที่เป็นลูกเพื่อนสนิทของครอบครัวฉันทำให้ได้ข้อคิดอีกหนึ่งข้อที่น่าสนใจ...

ครอบครัวของพี่ปุ้ยและครอบครัวของฉันเราสนิทกันที่สุดแล้วแหละถ้าจะนับไป พ่อกับแม่ไม่ใคร่ชวนใครมาทานข้าวที่บ้าน เราเป็นครอบครัวนักวิชาการที่ไม่สังคมกับใครนัก เว้นแต่จะในระหว่างหมู่ญาติที่มากมายอะไรจะปานนั้น มีเพียงพ่อและแม่ของพี่ปุ้ยที่เป็นแขกประจำตลอดชีวิตฉัน ทั้งสองทำงานที่นิวยอร์คในช่วงเวลาเดียวกับพ่อและแม่ฉันอยู่ที่นั่น คล้ายว่าคู่นี้เป็นพ่อสื่อแม่ชักให้พ่อกับแม่ของฉันลงเอยกันในที่สุดเมื่อกลับมาทำงานที่เมืองไทย พี่ปุ้ยแก่กว่าฉันหนึ่งปี แต่ด้วยความที่ฉันเรียนเร็วแถมสอบเทียบด้วย ฉันเลยอยู่ในกลุ่มเพื่อนของพี่ปุ้ย รู้จักกับเพื่อนๆ พี่หลายคนจนคล้ายจะอยู่สาธิตจุฬาฯ รุ่น 24 ไปด้วย

พี่ปุ้ยเรียนหนังสือที่อเมริกาหลายปีจนกระทั่งจบปริญญาโท ในช่วงที่เป็นจุดหักเหของชีวิต ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์แนบแน่นจะรั้งให้อยู่ต่อหรือกลับมาใช้ชีวิตอยู่เมืองไทย ชายคนสำคัญก็ขอแต่งงาน แล้วชีวิตก็ดำเนินไปอีกรูปหนึ่ง ตอนนี้พี่ปุ้ยมีลูกสาวน่ารักหนึ่งคน ฉันถามไถ่พูดคุยเรื่องราวทั่วไปผ่านการสนทนาในเฟซบุคแล้วก็ได้รู้ว่า หลานน้าคนนี้เป็นเด็กที่น่าทึ่ง เธอตื่นนอน ทำอาหารเช้าเอง ทบทวนการบ้านก่อนที่แม่จะลุกจากเตียงด้วยซ้ำ ฉันถามพี่ปุ้ยว่าเลี้ยงลูกยังไงถึงได้สุดยอดแบบนี้ พี่ตอบมาคำเดียว

neglect 555

ฉันว่านี่คือการตั้งใจเลี้ยงแบบไม่ตั้งใจ หรือเรียกอีกทีว่า ไว้ใจให้ดูแลและเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องสอนเพราะเด็กไม่ทำตามสิ่งที่เราพูดหรือบอก แต่จะทำตามเราโดยที่ไม่รู้ตัว หรือเติมเต็มในส่วนที่ขาด ถ้าแม่เป็นคนชอบทำ ลูกก็ต้องเป็นคนรับบริการเพื่อการอยู่่ร่วมกันอย่างมีความสุข แล้วพอถึงคราว เด็กคนนั้นก็จะแสดงบทบาท "ทำ" อย่างที่เห็นมาเอง นั่นคือการมองโลกในแง่ดี มันก็อาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นกับทุกคน

ยังไงฉันก็เชื่อว่าหลานน้าคนนี้เป็นผู้หญิงที่มีความรับผิดชอบ ด้วยอายุประมาณ 10 ขวบเธอยังรับผิดชอบตัวเองได้ขนาดนี้ เมื่อเติบใหญ่เธอย่อมจะเป็นคนที่ดีของสังคมอย่างแน่นอน

+++

เขาว่ากันว่าความห่างทำให้ความรัักเบ่งบาน...

unfulfilled love is romance...

ฉันว่าความรักของฉันคงจะเบ่งบาน แผ่กิ่งก้านสาขาไปไหนต่อไหนแล้วละเนี่ย เห็นกันแต่ไม่ใคร่ได้พูดคุย รับรู้เรื่องราวของเขาผ่านคนอื่น วันนี้น้องปริญญาเอกเคมบริดจ์โทรมาเล่าให้ฟัง ขอเปลี่ยนความคิดเห็นที่ว่าเขาไม่คู่ควรกับฉัน หลังจากที่ได้คุยสนทนากันในเรื่องวิชาการ ฉันอดแปลกใจไม่หาย ทำไมเขาถึงเล่าเรื่องส่วนตัวให้น้องฟัง ฉันจะหลงตัวเองไปมั้ยเนี่ยว่า เขาพูดให้ฉันฟังผ่านน้องคนนี้

เมื่อคืนฉันร้องไห้ด้วยล่ะ ฉันคุยกับทุกคนได้อย่างสนิทสนมหรือบางทีออกจะเรียกได้ว่าเฟลิตในสายตาหลายๆ คน แต่พอเป็นคนสำคัญของฉัน ฉัันกลับทำได้แค่มองอยู่ไกลๆ มองว่ารถของเขาที่จอดคู่เคียงกับฉันออกไปรึยัง แล้วฉันก็ค่อยร้องไห้ซบอกน้องอีกคน ไม่รู้พล่ามอะไรไปบ้าง มันก็น่าแปลกมีหนุ่มอีกคนเลี้ยง sparkling wine แต่กลับมาคร่ำครวญกับอีกคนที่ไม่ได้พูดจา มองกันไปมาเหมือนปลากัด

แล้วก็กลับบ้านคนเดียวเหมือนเคย...

ไม่น่าสงสารอย่างที่ใครๆ คิดหรอกนะ บางครั้งเราก็สุขที่ได้เศร้า

Sometimes happiness and sadness come in the same package. It is up to us whether what we choose to remember. Happy December na ka. :)