วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เริ่มต้นด้วยดี...มีอะไรช่วยแบ่งปัน (ให้เด็กๆ ตามข้อมูลล่างสุดด้วยค่ะ)

ดอกกล้วยไม้บานในวันสุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์...

แม้ฉันจะเริ่มต้นวันด้วยเสียง sms เข้า ซึ่งก็คาดเดาได้ว่า ต้องเป็นโฆษณาจากบัตรเครดิตไม่รายใดก็รายหนึ่ง เมื่อก่อนเราคงจะเบื่อกับเมลขยะและไปรษณีย์ขยะ ตอนนี้ sms ขยะดูจะส่งง่ายและค่าใช้จ่ายถูกจริงๆ วันนึงๆ ฉันได้รับอย่างน้อย 5 ข้อความ รวมกับบริษัทประกันชีวิตหรือธนาคารโทรมาเสนอบริการพิเศษที่ฉันจะตัดบทแบบไม่กลัวเสียน้ำใจเลยภายใน 5 วินาทีแรกที่รับสาย ด้วยคำถามที่ว่า "จากไหนคะ" และเมื่อได้รับคำตอบ ฉันก็รู้ล่วงหน้าว่าจะต้องฟังอะไรต่อ

sms วันนี้ก็เป็นแบบเคยๆ ไม่ได้ทำให้ฉันประหลาดใจ เดินออกมาห้องทำงาน มองไปที่ระเบียงอันน้อยนิด แต่เต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ กล้วยไม้ของฉันออกดอกแล้ว ไม่ใช่การออกดอกจากต้นกล้วยไม้ที่เพิ่งซื้อ เป็นต้นกล้วยไม้ที่ฉันได้รับเป็นของกำนัลจากพ่อกล้วยไม้ที่แม้ว่าครั้งสุดท้ายที่สนทนากันจะร่วมครึ่งปีมาแล้ว

ไม่เลว...

ฉันชมตัวเอง อย่างน้อยฉันก็สามารถดูแลให้กล้วยไม้ออกดอกได้ด้วยตัวเองละน่า ฉันไม่ได้เป็นคนสม่ำเสมออะไรนักหนา แต่มันก็เป็นกิจวัตรประจำวันของฉันไปแล้วที่ต้องรดน้ำต้นไม้ช่วงค่ำๆ หรือหากไปข้างนอกกลับเกือบเช้าก็รดก่อนเข้านอน น้อยนักที่ฉันจะพลาดกิจวัตรที่สร้างความเขียวชอุ่มในจิตใจ

ต้นไม้ ดอกไม้ ไม่เคยทำให้ฉันเสียใจ ถ้ามันทนฉันไม่ได้จริงๆ ก็จากไปเงียบๆ ไม่เรียกร้องใดๆ ฉันในฐานะคนเลี้ยง มีหน้าที่เป็นผู้ให้ น้ำ ปุ๋ย และยกต้นไม้ในห้องบางต้นมารับแดดเป็นครั้งคราว ตัดแต่งกิ่งใบ เมื่อสองวันก่อน ฉันเสี่ยงตายปีนเก้าอี้ไปจัดแต่งเดปที่เกี่ยวพันสายเอ็นที่คล้องตะปูจากด้านบนสุดของระเบียงยาวลงมาถึงระดับราวจับเหล็ก เพื่อรับน้ำหนักต้นไม้ของฉันห้าต้น อันได้แก่ กล้วยไม้แคทลียา หัวใจร้อยดวง เดป และอีกสองต้นที่ฉันจำชื่อไม่ได้ ฉันเอาเดปต้นนี้มาจากบ้านแม่ ด้วยว่าเป็นของฟรี เลยเลือกเอามาแต่งแบบประหยัด ใส่กากมะพร้าวชิ้นเล็กๆ บนดินเหนียวที่ฉันรองไว้เพื่อให้น้ำซึมช้าลง (ก็ฉันเล่นรดน้ำวันละหนเดียว ก็ต้องให้น้องเดปปรับสภาพบ้างแหละ) ตอนที่เอามาไม้เลื้อยอย่างนี้ก็ยาวประมาณ 1 เมตร แต่ปีกว่าๆ ผ่านไป เธอเลื้อยขึ้นเลื้อยลง แตกแยกย่อยไปครึ่งหนึ่งของความกว้างระเบียงฉันให้แล้ว เส้นสายโยงไปมาค่อยๆ ก่อตัวเป็นตาข่ายแบบห่างๆ ที่ฉันเสี่ยงชีวิตไปแต่งก็เพราะเดปดูจะเลื้อยไปกินพื้นที่อีกฝัง คืบคลานไปตามช่วงต่อระหว่างกำแพงด้านบนสุดกับเพดาน คล้ายจะเป็นแนวบอกทางให้เดปผจญภัยไปยังอีกฝั่งของระเบียง แต่ด้านนั้นไม่มีสายเอ็นให้พันเกี่ยว ฉันจึงปีนขึ้นไปบอกกล่าวด้วยการกระทำให้เธอตัดใจหันกลับมาหาสายเอ็นที่แขวนต้นไม้ที่อยู่กึ่งกลางระเบียง

เมื่อมองดอกกล้วยไม้อย่างชื่นใจที่ทำให้ฉันสามารถบอกใครๆ ได้ว่า ฉันก็สามารถทำให้กล้วยไม้ออกดอกได้เหมือนกันนา ดอกที่สองน่าจะตามมาอีกไม่นานเกินรอ น่าเสียดายที่ผลจากการลงโปรแกรมต้านไวรัสแบบถูกต้องตามกฏหมายทำให้ฉันไม่สามารถโหลดรูปขึ้นบล้อกได้ รูปที่ฉันเสี่ยงถ่ายอีกเหมือนกัน ไม่ได้เสี่ยงชีวิต แต่เสี่ยงสำหรับกล้องของฉัน แคทลียาดอกนี้ยื่นออกไปนอกระเบียงเหมือนจะอวดโฉมให้คนที่ผ่านไปมาตามเส้นทางของรถไฟฟ้าได้เหลือบมองเห็น ฉันจึงต้องยื่นกล้องออกไปให้ไกลว่าดอกแคทลียาที่ยื่นซะอีก เพื่อเก็บภาพความภูมิใจครั้งนี้ ยังดีที่มีสายคล้องข้อมือ หลังจากบรรจงสอดข้อมือตัวเองแล้วก็ยื่นมือไปถ่ายรูปอยู่สี่ห้าครั้ง ก็ได้รูปเหมือนดั่งใส่ฟิลเตอร์ ทำให้ดอกไม้ดูอ่อนโยนขึ้นอีกเล็กน้อยถึงปานกลาง ฉันคงได้โพสต์รูปที่คอลัมน์ทางขวามือแทน หากโปรแกรมต้านไวรัสของฉันอนุญาตให้ทำ!

แคทลียาบานจากระเบียงบ้านก็คงไม่แปลก แต่นี่เป็นดอกเดียวของตึกนี้ก็ว่าได้ เพราะเท่าที่มองขึ้นมาจากพื้นทางฝั่งห้องของฉัน มีห้องของฉันห้องเดียวที่ปลูกต้นไม้เป็นเรื่องเป็นราว

แล้วความชื่นใจอีกอย่างก็ตามมาใกล้ช่วงเที่ยงวันสุดท้ายของเดือน...

ฉันเปิดฟอร์เวิร์ดอีเมลฉบับนี้ และพูดด้วยการกระทำ บริจาคเงินหนึ่งพันบาทให้มูลนิธิสุธาสินี น้อยอินทร์ไปเรียบร้อยแล้ว หากฉันพอจะมีโอกาสได้ช่วยเหลือเด็กๆ เหล่านี้เพิ่มขึ้น ก็ขอให้มีคนได้แวะเวียนมาอ่านเจอ และพูดด้วยการกระทำเหมือนๆ กับฉันด้วย

+++

(แม่ต้อย กำลังจะตาย) ช่วยส่งต่อด้วยน่ะค่ะ ใครมีเพื่อนเยอะ ดูโฆษณาก็ว่าซึ้งแล้ว เจอภาพพร้อมบรรยาย น้ำตาหยดเลยใครเพื่อนเยอะก็ช่วยกัน FW นะ

"บ้านโฮมฮัก" เป็นบ้านแห่งความรักของเด็ก ๆ นับร้อยชีวิตที่มาอาศัยพักพิงในยามที่ไม่เหลือใคร เด็กๆ ที่นี่มีทั้งเด็กกำพร้าที่ติดเชื้อเอดส์จากพ่อแม่ เด็กกำพร้าไม่ติดเชื้อแต่ถูกชุมชนผลักไสด้วยความรังเกียจ เด็กที่พ่อแม่มีปัญหาไม่สามารถเลี้ยงดูได้ เด็กที่มีปัญหายาเสพติด เด็กบางคนมาด้วยหัวใจที่แตกสลายพร้อมกับร่างกายที่บอบช้ำจากการกระทำ ทารุณกรรมของผู้ใหญ่ เรื่องราวของเด็กบางคนดั่งนิยายที่กรีดกระชากใจผู้ที่ได้รับรู้สำหรับพวกเราชาวสนุก! ดอทคอม เรารู้จักบ้านโฮมฮักเป็นอย่างดี เพราะเมื่อปีก่อนทีมพนักงานได้เดินทางไปบริจาคของใช้จำเป็นและเงินช่วยเหลือ นำทีมโดยพี่อ้อ HR วันก่อนพี่อ้อก็ฟอร์เวิร์ดบทความมาให้อ่าน แล้วบอกว่าให้พี่ฝนช่วยทำอะไรสักอย่างได้ไหม อยากให้คนอ่านได้รู้จักเป็นวงกว้าง เพื่อที่ความช่วยเหลือจะได้ไปเร็วขึ้น.......

"บ้านโฮมฮัก"อบอุ่นด้วยรักแต่แร้นแค้น"บ้านโฮมฮัก" เป็นบ้านแห่งความรักของเด็ก ๆ นับร้อยชีวิตที่มาอาศัยพักพิงในยามที่ไม่เหลือใคร เด็กๆ ที่นี่มีทั้งเด็กกำพร้าที่ติดเชื้อเอดส์จากพ่อแม่ เด็กกำพร้าไม่ติดเชื้อแต่ถูกชุมชนผลักไสด้วยความรังเกียจ เด็กที่พ่อแม่มีปัญหาไม่สามารถเลี้ยงดูได้ เด็กที่มีปัญหายาเสพติด เด็กบางคนมาด้วยหัวใจที่แตกสลายพร้อมกับร่างกายที่บอบช้ำจากการกระทำ ทารุณกรรมของผู้ใหญ่ เรื่องราวของเด็กบางคนดั่งนิยายที่กรีดกระชากใจผู้ที่ได้รับรู้เด็กที่นี่มีทั้งหมด 104 ชีวิต ตั้งแต่อายุ 4 วันไปจนถึง 20 ปี บางรายถูกพ่อแม่เร่ขายให้ไปเป็นขอทาน บางรายกำลังถูกขายไปเป็นหญิง***

และอีกหลายกรณีที่สะเทือนใจ อาทิกรณีของน้องส้ม (นามสมมติ) เด็กหญิงวัย 3 ขวบ แววตาสดใสน่ารัก แต่โดนผู้ใหญ่ใจโหดร้ายป้ายบาดแผลทั้งร่ายกายและจิตใจให้เธอด้วยการข่มขืน เธอมาในสภาพอวัยวะเพศฉีกขาด จิตใจบอบช้ำ ซ้ำร้ายเธอติดเชื้อเอดส์ หรือกรณีของน้องโฟร์ (นามสมมุติ) พ่อแม่เสียชีวิตเพราะเอดส์ เธอเองก็ได้รับเชื้อเช่นกัน บ้านเธอยากจน ยามหิวโหยก็เคี้ยวข้าวสารประทังชีวิต เพราะไม่มีใครดูแล มีวัดใกล้บ้านเธอจึงไปขอเศษข้าวเศษแกงประทังชีวิต แต่ซ้ำร้ายโดนพระใจโฉดข่มขืน ทุกวันนี้ร่างกายเธอแคระแกรนเพราะขาดสารอาหาร และเอดส์ทำให้เธอมีอาการชักหลายครั้ง จนมีผลทางสมองทำให้เธอพัฒนาการช้ากว่าเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน

"แม่ต้อย" ของเด็ก ๆ หรือ สุธาสินี น้อยอินทร์ หญิงเหล็กหัวใจแกร่งที่มีความตั้งใจงานเพื่อสังคมมาโดยตลอดนับตั้งแต่เรียน จบ จากจุดเริ่มต้นที่ได้ทำงานเกี่ยวกับการดูแลเด็ก โดยไม่รับเงินเดือน จนกระทั่งมาตั้ง "มูลนิธิ สุธาสินี น้อยอินทร์ เพื่อเด็กและเยาวชน" อยู่ที่เลขที่ 3 หมู่ 12 บ้านประชาสรรค์ ต.ตาดทอง อ.เมือง ยโสธร โทร 0-4572-2241

แม่ต้อยก่อตั้งบ้านโฮมฮักมา 20 กว่าปีแล้ว แต่จดทะเบียนเป็นมูลนิธิเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นพินัยกรรมเพื่อความอยู่รอดของเด็กๆเมื่อเธอต้องจากไป ทรัพย์สินทั้งหมด บ้าน รถ ที่ดิน มรดก ของพ่อแม่ก็ขายหมดมาเป็นค่ายา ค่าอาหาร ค่าเทอม ค่าน้ำ ค่าไฟ ของเด็ก ๆ ที่สูงถึงเดือนละ 4-5 แสนบาท สุดท้ายแม้กระทั่งสร้อยที่ใส่ติดคอยังต้องขาย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้เด็กๆ ซึ่งเปรียบเสมือนลูกๆ ของเธอก่อน

เมื่อเปิดเทอมแม่ต้อย เล่าว่า บ้านโฮมฮักเป็นบ้านหลังที่อบอุ่นเพื่อเด็ก ๆ ที่ยากไร้ ขาดที่พึ่งพิง เราอยู่กันด้วยความรัก แต่แร้นแค้น ปัจจุบันขายสมบัติจนหมดเกลี้ยงตัว แม้จะมีเงินบริจาคเข้ามาแ?่ก็ไม่พอ เด็ก ๆ ที่บ้านโฮมฮักต้องช่วยเหลือกัน แบบพี่ดูแลน้อง ปลูกผัก หาแมลงกินประทังชีวิต แต่ด้วยความแห้งแล้งก็ยากลำบากเหลือเกิน แค่น้ำใช้อาบทั้งบ้านก็ไม่พอ จะเอาน้ำที่ไหนไปรดผัก แมลงที่หาได้ต้องเอาไปคั่วแล้วป่น โรยข้าวเพื่อให้พอกินกันทั้งบ้าน

เด็กก็มีแต่ตัวเล็ก ๆ บางส่วนก็ป่วย บางส่วนไปโรงเรียน ที่โตขึ้นมาหน่อยก็ต้องดูแลน้องตัวเล็ก ๆ ที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และบางคนก็ต้องพยาบาลน้องๆ ที่เจ็บป่วย"ที่น่าเศร้าใจคือสังคมยังมีการเลือกปฏิบัติและอคติต่อผู้ติดเชื้อเอดส์ เมื่อส่งเด็กไปโรงเรียนต้องหาโรงเรียนที่ไกลออกไป บางครั้งเมื่อรู้ว่าเด็กมาจากที่นี่ พ่อแม่ ผู้ปกครองก็ประท้วงให้ไล่เด็กออก เพราะสังคมยังขาดความเข้าใจว่าไม่สามารถติดเชื้อจากการอยู่ร่วมกัน แต่ติดทางเลือดและการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น ทำให้ไม่เข้าใจเด็กเหล่านี้ว่าป่วยแค่ร่างกายแต่ยังมีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึกนึกคิด ร้องไห้ได้เหมือนกับเรา

เด็กเหล่านี้โดนมองเหมือนเป็นตัวประหลาดที่ไม่มีใครอยากเฉียดกรายเข้าใกล้ ขนาดเหลือแต่ร่างไร้ลมหายใจจะเผาในวัดยังไม่ได้ ชาวบ้านกลัวขี้เถ้าฟุ้งไปในอากาศตกหลังคาบ้านแล้วจะติดเอดส์กันทั้งหมู่บ้าน " แม่ต้อย เล่าทั้งน้ำตามีเด็กระยะสุดท้ายที่แพทย์พิพากษาว่า อยู่ได้อีกไม่ถึงเดือน หรือ 2 เดือน กับเด็กที่แพทย์หยุดยา เพราะดื้อยาแล้ว ส่งมาอยู่รอความตายที่นี่ แต่ด้วยความรัก ความอบอุ่น และบรรยากาศที่ดูแลกันเหมือนพี่น้อง

เด็ก ๆ หลายคนกลับมีชีวิตอยู่ได้เกินกำหนดที่แพทย์บอก เช่น น้องก้อง (นามสมมุติ) มาตอนอายุ 8 เดือน ซึ่งหมอไม่รักษาแล้ว เพราะเชื่อว่าอยู่ได้อีก 2 เดือน แต่ตอนนี้น้องก้องสุขภาพแข็งแรงดี อายุ 12 ขวบแล้ว ช่วยพี่ๆ รดน้ำผักทุกวันแต่ตอนนี้ผักปลูกได้น้อย แมลงหาจนไม่มีให้หาแล้ว ข้าวกินได้ครึ่งท้องเพื่อแบ่งอีกครึ่งให้น้อง ๆ ซ้ำร้ายแม่ต้อยของเด็กกำลังป่วยด้วย "มะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย" ซึ่งหมอบอกว่าเธอจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 6 เดือน แต่หัวใจแม่เกินร้อยที่เธอมอบให้เด็กๆ ทำให้เธอสู้ บางคืนเธอถูกรุมเร้าด้วยอาการปวดที่ไม่ได้พักผ่อนจากการทำงานหนัก พอช่วงกลางคืนถึงกับนอนไม่ได้ ต้องลุกออกมาเดิน หาก ใครไปบ้านโฮมฮักไม่รู้คนไหนแม่ต้อยละก็ ให้สังเกตที่ข้อเท้าจะมีกระดิ่งเป็นลูกกระพรวนห้อยไว้ เพราะยามเธอออกมาเดิน เด็ก ๆ ได้ยินเสียงกระดิ่งจะได้ไม่กลัวคิดว่าเป็นผี ...แต่ จะมีวันไหนที่แม่ต้อยไม่ลุกออกมาเดินอีกแล้วก็ไม่รู้ !?! แล้วเด็ก ๆ จะอยู่กันได้อย่างไร ต้องกำพร้าครั้งที่สองในชีวิตกันอีกแล้วหรือ ?

ปัจจุบันบ้านโฮมฮักกำลังประสบภาวะขาดแคลนทุนทรัพย์ อย่างหนัก และยังขาดครูพี่เลี้ยง ขาดเจ้าหน้าที่อาสาสมัครที่ทยอยถอนตัวออกไป เราลองมาช่วยกันสร้างปาฏิหาริย์ให้บ้านโฮมฮักเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่ถูกทอดทิ้ง ใครที่เคยคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นส่วนเกิน เป็นส่วนที่ต้องกันไว้ให้อยู่อีกโลก เป็นอีกชนชั้นของสังคม ก็น่าจะมองกันใหม่ เพราะพวกเขาเป็นเพียงเด็ก เป็นชีวิตที่ไร้เดียงสา แววตาบริสุทธิ์ไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่ผู้ใหญ่ยัดเยียดให้ เด็กน้อยเหล่านี้เกิดมาจากปัญหาที่พวกผู้ใหญ่สร้างขึ้นทั้งนั้นถ้าหากใครได้ไปสัมผัสเยี่ยมเยือน เด็กๆ ที่บ้านโฮมฮัก จะเห็นแววตาที่สดใส ร่าเริง ทุกคนจะดีใจที่มีพี่ๆ ไปเยี่ยม ยิ่งถ้าไปเล่นไปสัมผัสเด็ก ๆ เหล่านั้นด้วยจิตกุศล ด้วยความรักก็เหมือนได้ต่อเติมชีวิตอันสดใส จากเด็กที่ไม่ลุกเดิน ซึมเศร้าเหม่อลอย ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม เมื่อเห็นผู้มาเยี่ยมเยือนจะดีใจ ลุกขึ้นมาต้อนรับ มีรอยยิ้ม เพราะนานมากแล้วที่ถูกทอดทิ้ง ไม่ค่อยมีใครไปเยี่ยมเยือน

"พี่ ๆ จะกลับมาหาพวกหนูกันอีกมั๊ยคะ"

"พี่หนูอยากได้เสื้อสีแดงไว้ใส่ หนูจะได้ใส่ก่อนตายมั๊ยคะ"

และอีกมากมายคำพูดอันเสียดแทงหัวใจพี่ๆ ทุกคน อยากให้สังคมได้รับรู้ ก่อนจากกันโบกมือลาด้วยน้ำตา และแววตาของเด็ก ๆ ที่มองรถจนลับตาพร้อมกับความหวังว่า จะมีใครมาเยี่ยมเยือนและนึกถึงพวกเขาเหล่านั้นกันอีกบ้าง…

สำหรับผู้มีจิตศรัทธาบริจาคช่วยเหลือเด็ก ๆ โอนเงินไปได้ที่ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขายโสธร ชื่อบัญชี มูลนิธิสุธาสินี น้อยอินทร์ เพื่อเด็กและเยาวชน เลขที่ 561-2-21187-7โทร. 0-4572-2241 หรือจะบริจาคเสื้อผ้า หนังสือการ์ตูน หนังสือเรียน ของเล่น และสิ่งจำเป็นได้ตามจิตศรัทธาเป็นของใหม่หรือของใช้แล้วก็ได้ เพราะของที่ท่านไม่ใช้แล้วยังมีค่ากับเด็ก ๆ เหล่านี้อย่างมากช่วยกันหน่อยนะคะ...จะเป็นพระคุณอย่างสูง
(ช่วยส่งต่อกันไปเยอะๆนะ เพราะเยาวชนของชาติอยู่ในมือพวกคุณ)
+++

เลิกเขียนนิยาย...ยังไม่สายกับชีวิตจริง

ฉันแทบจะเขียนนิยายมาตลอดระยะเวลาที่เริ่มเขียนตั้งแต่ตอนที่ 1 ของ หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต เว้นแต่มีการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหลานป้าและหนังสือเล่มล่าสุดที่ฉันแปล ยังมีอะไรอีกมากมายให้ฉันทำ ทั้งๆ ที่มันไม่น่าจะมากมายขนาดนั้น ฉันนั่งนึกอยู่ว่า วันๆ นึงฉันทำอะไร แม้ว่าฉันจะทำงานทั้งวัน อยู่หน้าทั้งพีซีและน้องฟ้าที่นับวันจะมีปัญหาขึ้นเรื่อยๆ อันมาจากการอุตริของฉันเองที่ทำตนเป็นคนดี ลงทุนซื้อซอฟท์แวร์ป้องกันไวรัสมาลงเอง บางครั้งการเป็นคนดีก็ดูจะทำให้ชีวิตยุ่งยากจนเกินไป

สองสามวันมานี้ฉันไม่สามารถเช็คเมลที่จีเมลด้วยเวอร์ชั่นปกติได้ คล้ายกับว่าเน็ตของฉันช้า อันที่จริงแล้ว ฉันว่ามันคงเป็นเพราะคุณซอฟท์แวร์ตัวดีป้องกันภัยให้ฉันดีเกินไป ประมาณว่า เหมือนกว่าจะเข้าประตูเมืองก็เจอด่านอยู่เป็นสิบด่านอะไรอย่างนั้น ฉันไม่สามารถเช็คจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมบล้อกได้เหมือนเคย เวลาส่งเมลที่จีเมลจะเจอข้อความเหมือนส่งไม่ได้ทุกครั้ง แต่เมื่อใดที่ฉันคลิกกลับไปดูหน้าก่อน ก็เห็นว่า เมลได้ถูกส่งไปเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเช้าเป็นการเริ่มต้นวันที่ทำให้ฉันหงุดหงิดเสียจริง อย่างที่ใครเค้าว่ากัน ถ้าเริ่มต้นวันด้วยความหงุดหงิดมันก็จะยุ่งยาก เสียอารมณ์ทั้งวัน จริงๆ แล้วสายโทรศัพท์แรกที่โทรเข้ามา ไม่ได้ทำให้อารมณ์เดือดคุกรุ่น แต่มันก็เป็นเหมือนมอร์นิ่งคอลล์สำหรับมนุษย์นกฮูกอย่างฉัน หรือฉันควรจะปิดเสียงปิดเครื่องก่อนนอนจริงๆ ให้คนทั่วไปยอมรับชั่วโมงทำการของฉัน

ฉันเสียอารมณ์กับการโกหกของใครบางคน การไม่รับผิดชอบไม่ทำตามคำพูด การที่ฉันต้องคอยตามแล้วตามอีกกับงานที่ใครๆ ก็ว่าง่าย แต่มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด มีคนบอกว่าจะส่งเอกสารมาให้ฉันตั้งแต่สิ้นเดือนมกราคม จนบัดนี้ก็ยังไม่ถึง จะว่าไปรษณีย์ไทยช้าขนาดนั้นก็ใช่ที่ แถมได้รับแจ้งว่าจะให้คนมาส่งเอกสาร ทางนี้ทวงไป ทางนั้นทวงมา พอฉันจัดการเรื่องที่เขาทวงฉันเสร็จ ฉันก็ทวงตอบโดยเลือกถามกลับจากอีเมลที่ส่งมาเมื่อเดือนที่แล้วนั่นแหละ

แค่ตามเรื่องเอกสาร ข้อมูลอะไรต่อมิอะไร ก็กินเวลาฉันไปหลายชั่วโมงในแต่ละวันแล้ว แม้การสื่อสารจะมีประสิทธิภาพ ทุกคนที่เกี่ยวข้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนทำเป็นอย่างดี แต่เรื่องมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างนั้น มันต้องมีการสื่อสารทำความเข้าใจ มีปัญหาจุกจิก เรื่องที่ต้องถามให้แน่ใจ จำต้องรอคำตอบก่อนที่จะส่งงานให้คนที่รับผิดชอบในลำดับต่อไป ฉันเบื่อตัวเองพอๆ กับที่ฉันคิดว่าคนรอบข้างที่ฉันตามเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็คงจะเบื่อการตามของฉันเช่นกัน

แต่ตามดวงฉันน่ะ เหมาะแก่การตามหนี้นะ เพราะคนจะรำคาญจ่ายๆ ไป ถ้างั้นมันก็น่าจะเทียบเคียงกับการตามงานได้สินะ คงเป็นฉันเองที่ต้องเปลี่ยนนิสัยให้เป็นคนชอบตาม คนชอบสร้างความรำคาญให้ชาวบ้านชาวช่องเพื่อให้งานคืบหน้า

ถ้าฉันยังเป็นคนที่ใครทำอะไรก็ไม่ถูกใจอยู่เช่นนี้ ฉันคงต้องทำอะไรเองทั้งหมด แล้วฉันจะไปสร้างความลำบากให้กับชีวิตทำไมละนั่น

แต่อย่างน้อยๆ นะ เจ้าชายเสื้อส้มของฉันก็ยังเป็นอัศวินตัวอ้วนผมเคลียไหล่แบบศิลปินที่ฉันเชื่อใจได้มากที่สุดแล้วล่ะ (แต่แฟนของเจ้าชายเสื้อส้มกลับหึงสะบัด โทรมาหาฉันถามว่าติดต่อที่เบอร์นี้ทำไม ฉันฉุนอีกแล้ว ฝากบอกไปว่า ถ้ายังจะโทรมาหึงอะไรกับฉัน ฉันก็จะเลิกใช้บริการเจ้าชายเสื้อส้มนะ แม้ว่าฉันจะไม่ได้มีปัญหากับบริการของเจ้าชายขนาดนั้น) วันนี้เจ้าชายของฉันมารับสิ่งตีพิมพ์ไปส่งไปรษณีย์ตามเคย แต่ฉันทนรอเจอหน้าเจ้าชายไม่ได้ ฝากน้องประชาสัมพันธ์ไว้แทน เป็นไงล่ะ แทนที่จะส่งเป็นของตีพิมพ์เสีย 6 บาทกลับส่งเป็นจดหมายเลยเสียตามน้ำหนัก 9 บาทซะนั่น

โถ จ่ายเพิ่มอีกสิบกว่าบาทสำหรับการส่งหนังสือผิดประเภททั้งหมด รวมกับค่าบริการ 50 บาท เทียบกับแทบจะเป็นคนเดียวที่ช่วยแบ่งเบาภาระฉันได้จริงๆ แค่นี้ ไม่เรียกว่าคุ้มแล้วจะให้เรียกว่าอย่างไรเจ้าคะ

วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (27) จบ

แม้ว่านพนาศจะอายุเกือบสี่สิบแล้ว แต่หล่อนยังต้องทำตัวเหมือนเด็กวัยรุ่น หลบๆ ซ่อนๆ...

อันที่จริงนพนาศออกจะดีใจที่ในที่สุดก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตน หลังจากที่เจอะเจอมาแต่ละคน ไม่เขี้ยวลากดิน จนเป็นข่าวว่าพรากผู้เยาว์ในหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งนพนาศก็รู้สึกขอบคุณป้าเป้ตลอดมาที่เตือนสติให้หล่อนเลิกหลงงมงาย เป็นบ้าเป็นบอ ก็มีเมียแล้วบ้าง หรือมีแฟนจะเอานพนาศเป็นกิ๊ก จริงๆ แล้วมันเป็นคุณสมบัติขั้นพื้นฐานเลยก็ว่าได้ ว่าการจะคบใครสักคน คนๆ นั้นก็ไม่ควรมีพันธะทั้งทางใจและทางกายกับคนอื่น ไม่เช่นนั้นแล้ว ความสัมพันธ์ที่กำลังจะสร้างขึ้นใหม่บนรากฐานที่สั่นคลอนจะไม่มีวันทานรับแรงเสียดทาน ความกดดันจากสารพัดปัจจัยทั้งที่ควบคุมได้และไม่ได้ สิ่งที่ทำให้การประคับประคองชีวิตคู่เป็นไปได้อย่างยากเย็นเหลือทน

นอกจากที่นพนาศพาบอสไปรู้จักกับเพื่อนสมัยเรียนของหล่อน ญาติๆ ที่มีนัดสังสรรค์กันทุกเดือนก็ได้ยลโฉมบอสหลังจากความสัมพันธ์ตกกระไดพลอยโจนเริ่มต้นขึ้นไม่นาน ตอนแรกนพนาศก็ไม่คิดว่าบอสจะกล้าไปพบญาติกลุ่มใหญ่ร่วม 15 คน และมันก็ออกจะดูผูกมัดจนเกินไปถ้าจะพาบอสไปทั้งๆ ที่เพิ่งคบกันได้ไม่นาน นพนาศจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย เพียงแค่บอกให้รู้ว่า วันนี้ทำอะไร จะไปไหนบ้าง เท่านั้น

ตกบ่าย หลังจากที่นพนาศเอารถไปเช็คตามระยะทางที่บริษัทรถยนต์กำหนด หล่อนก็กะว่าจะแวะไปหาหมอยิงเลเซอร์กระชับรูขุมขนแล้วจึงนั่งรถไฟฟ้ากลับไปเอารถ แต่กลายเป็นว่าหล่อนต้องรอคุณหมอนานจนทำให้แผนของหล่อนเสียหมด ถ้าแวะไปเอารถก่อน อาจจะไปกินข้าวตามนัดไม่ทัน โชคดีที่บอสโทรเข้ามาพอดี ยามคบกันใหม่ๆ อะไรๆ ก็หวาน เมื่อนพนาศบ่นเรื่องต้องไปเอารถ บอสบอกว่าวันนี้ว่างแล้ว ไม่ติดธุระอะไร หล่อนจึงรบกวนให้บอสไปเอารถแทนและไปรับเก้าอี้โยกแบบถอดประกอบได้ที่หล่อนเพิ่งสั่งทำใหม่ จากนั้น บอสก็ต้องขับรถมารับนพนาศโดยปริยาย

นพนาศตื่นเต้นจนออกนอกหน้าเมื่อเจอญาติๆ หล่อนมักจะไม่เก็บความรู้สึกใดๆ อยู่แล้วถ้าไม่จำเป็น ญาติทุกคนรู้ว่านพนาศกำลังเห่อแฟนใหม่ หล่อนก็จาระไนคุณสมบัติของบอสเป็นการใหญ่ บางครั้งคนเรามักจะคิดว่า สิ่งที่น่าภาคภูมิใจในคู่ของเรา น่าจะเป็นจำนวนเงินที่อยู่ในบัญชีธนาคาร หรือหน้าที่การงานใหญ่โต ใส่ชุดสูทไปทำงานทุกวัน นพนาศไม่แน่ใจหรอกว่าสิ่งที่หล่อนคิดอย่างใช้ 'สติ' ที่สุดจะถูกต้องหรือไม่ เพราะมันดูจะสวนกับความรู้สึกของคนทั่วไป

นพนาศประทับใจในตัวบอสในเรื่องที่ดูเหมือนว่าจะเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นการที่บอสตอบคำถามเด็ดของหล่อนได้ถูกต้องโดยใช้เวลาแป๊ปเดียว การที่บอสชอบลงท้ายประโยคด้วยคำว่า 'ค่ะ' เวลาที่พูดกับหล่อน แม้แต่ตอนที่แม่ของบอสหรือน้องบิวที่โทรมาหาอยู่เรื่อยๆ แล้วบอสพูดคุยอย่างสนิทสนม การที่บอสบ่นว่าน้องแบม น้องสาวคนรองที่ทำงานอยู่เมืองนนท์ติดแฟน ไม่กลับไปหาแม่ช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์เลย บอสยกที่รองนั่งชักโครกทุกครั้งและไม่เคยทำให้นพนาศต้องหงุดหงิดเห็นคราบเหลืองๆ เวลาล้างห้องน้ำ

บอสอาจจะไม่ใช่คนฉลาดที่สุดที่นพนาศเคยรู้จัก แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา หล่อนรู้แล้วว่ามีข้อเสียเรื่องใด และถ้าหล่อนจะเลือกใครสักคนมาเป็นคู่ชีวิต คนๆ นั้นต้องมีคุณสมบัติอย่างไร นั่นเป็นเรื่องของเหตุผล ส่วนเรื่องของความรู้สึก หล่อนขอให้เขาไม่ทำตัวเป็น 'ปลาตาย' แต่มั่นคงกับหล่อน ดูแล้วมันออกจะขัดแย้งกันเอง นพนาศไม่สามารถทนอยู่กับคนที่น่าเบื่อ ทำอะไรตามตาราง กลับบ้านตรงเวลาเป๊ะทุกวัน หล่อนชอบเซอร์ไพรส์ มีกุ๊กกิ๊กหวานแหวว จะว่าไปแล้ว นพนาศก็ชอบเล่นกับไฟนั่นแหละ เมื่อไฟมันมีประโยชน์นานับประการ โทษของมันก็รุนแรงไม่แพ้กัน ชีวิตของนพนาศจึงได้หวือหวาตามแบบศิลปินทั้งๆ ที่ใครๆ ก็ชอบมองว่าหล่อนคิดถึงแต่ผลประโยชน์ ไม่ได้มีความรู้สึกรู้สาอะไรกับใครเขา จะว่าไป หล่อนก็คือแก้วเจียระไนตามที่แฟนเก่าของหล่อนเคยเปรียบเทียบเอาไว้นั่นแหละ นพนาศยอมรับแม้ว่าในสังคมไทยคนเราต้องถ่อมตัว หล่อนทำอะไรได้หลายอย่าง เก่งหลายด้าน คล่อง ไอคิวเกือบ 140 เพราะฉะนั้นหล่อนจึงมักเป็นดาวเด่นเมื่อย่างกรายไปในทุกที่ มีทั้งอิจฉาริษยา และชื่นชม หล่อนเป็นคนอยู่ยาก ถ้าหล่อนเป็นขันพลาสติกที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคำวิพากษ์วิจารณ์ของคน นพนาศคงไปได้ดีในโลกระบบทุนนิยม แต่ไม่ว่าใครก็ต้องมีข้อด้อย ยิ่งข้อดีของใครเด่นมากแค่ไหน ข้อด้อยก็ยิ่งมีผลลบกับคนผู้นั้นมากเช่นกัน

นพนาศขาดคุณสมบัติข้อสำคัญของคนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต นั่นคือ ความอดทน จะเรียกได้ว่า หล่อนไอคิวสูง อีคิวต่ำก็ไม่ผิด หล่อนเพิ่งรู้ไม่นานว่าชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ เป็นผลมาจากระดับสารเคมีในสมองที่ไม่ปกติ ในยามดี หล่อนจะคิดอะไรได้เร็ว มองภาพรวมและภาพย่อยออกชัดเจน ทำให้เรียนรู้เร็วและเหมาะกับงานที่ต้องริเริ่ม หรือทำโครงการที่ต้องรู้รอบรู้ลึกแต่เป็นโครงการเฉพาะกิจ ไม่ต้องมีภาระความรับผิดชอบมากมายนัก ในยามแย่ ความคิดเร็วๆ ซึ่งเคยอำนวยประโยชน์ในด้านดีให้หล่อน กลับหยุดไม่ได้ เมื่อหล่อนไม่หยุดคิดในเวลาที่ควรจะหยุด นพนาศก็อ่อนเพลียเพราะนอนไม่หลับ และการที่พักผ่อนไม่เพียงพอนานๆ หล่อนก็จะไม่มีอารมณ์ทำงาน ดูทีวีทั้งวันทั้งคืน ชอปปิ้งกระจุยกระจาย ก่อนที่จะกลับมาสุดขั้วอีกด้านโดยหลบหน้าผู้คน หมกตัวอยู่ในห้อง นั่งอยู่เฉยๆ เหมือนคนที่ถูกปิดสวิตช์ซะอย่างนั้น

นพนาศเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ทุกคนที่หล่อนคบฟัง แม้ว่าแม่ของหล่อนจะห้ามไม่ให้เล่า นพนาศถือว่า เมื่อเราอยากได้ความจริงใจจากใคร เราก็ต้องมอบสิ่งนั้นให้คนอื่นก่อน นพนาศไม่อยากมานั่งเสียใจทีหลังว่าคนที่คบกับหล่อนรับ 'ความแตกต่าง' ของหล่อนไม่ได้เมื่อมารู้ความจริงในที่สุด นพนาศเปิดไพ่ให้ดูกันตั้งแต่ต้นเลย ไม่มีการลักไก่ ถ้าจะมาบ่นทีหลัง ก็จะหาว่าหล่อนปกปิดไม่ได้ นี่เป็นกลไกการป้องกันตัวเองของนพนาศ

บอสรับฟังเรื่องเหล่านี้มาแล้ว นพนาศอธิบายอย่างนักวิชาการ หล่อนศึกษาข้อมูลอย่างลึกซึ้งจนเป็นคนไข้ประเภทที่แพทย์ไม่อยากรักษา เพราะต้องอธิบายนาน ไม่เหมือนตาสีตาสาที่ให้กินยาอะไรก็กิน แต่คนอย่างหล่อนต้องแจกแจงเหตุผล อธิบายจนยอมรับเท่านั้น นพนาศโล่งอกที่ได้เล่าปัญหาของหล่อนให้บอสฟัง โดยที่บอสไม่ได้ตกอกตกใจใดๆ เขาเพียงพูดสั้นๆ ว่า "รู้มั้ยว่าเค้าเป็นคนที่ใครๆ ชอบมาปรึกษา มาระบายให้ฟัง" นพนาศตีความเอาเองว่า เขาก็ทำตัวเป็นจิตแพทย์อยู่แล้ว เรื่องแค่นี้ ขี้ผงในสายตาของเขา

เมื่อได้บอกเล่าเรื่องราวของหล่อนแล้ว นพนาศก็พร้อมที่จะแนะนำให้เขารู้จักกับญาติๆ ของหล่อน แม้ว่าปฏิกิริยาจากหลายๆ คนจะเป็นไปตามความคาดหมาย คือ มองว่าบอสมาหาประโยชน์จากหล่อน หรือไม่ก็หล่อนกินเด็ก แต่นพนาศก็ไม่สะทกสะท้าน เพราะเป็นอะไรที่หล่อนคาดเดาได้อยู่แล้ว หล่อนจึงเล่าให้บอสฟังว่ามีคนเตือนว่าอย่างไร นพนาศแค่คิดว่า บอสคงจะเข้าใจและไม่แคร์กับสายตาของใครๆ ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่หลังจากวันนั้น บอสก็ปฏิเสธไม่ไปงานแต่งงานเพื่อนของนพนาศ หรือไปกินข้าว ดูคอนเสิร์ตร่วมกับญาติๆ ของนพนาศอีกเลย

นพนาศแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่ดูเหมือนจะเข้าใจบอสซะจนหล่อนนิ่ง ไม่โวยวาย งอน หงุดหงิดกับการกระทำของบอส แต่นพนาศก็เชื่อว่า หล่อนได้ใช้สติ พิจารณาแบบคนที่ไม่ยอมให้ความรักบดบังให้มองไม่เห็น หล่อนยอมรับแม้กระทั่ง เรื่องการเงินที่คงจะลุ่มๆ ดอนๆ จากอาชีพที่เขาใฝ่ฝัน อาชีพของศิลปินที่ไม่มีอะไรแน่นอน มีความเสี่ยงสูงที่จะไปไม่รอดอย่างเช่นคู่ของเพื่อนหล่อนที่แต่งงานมีลูกได้สองคน สามีเป็นนักดนตรี สังคมก็ต่างจากเพื่อนหล่อน หน้าที่การงานก็ไม่มั่นคง รายได้ไม่พอกับรายจ่าย จนเพื่อนของหล่อนต้องลุกขึ้นมาทำงานและเลี้ยงลูกไปพร้อมๆ กัน เมื่อเรื่องเงินเป็นปัจจัย ความตึงเครียดก็มาแวะเวียนแบบไม่ห่างหาย จนท้ายที่สุด หล่อนเพิ่งทราบข่าวไม่นานว่า เพื่อนหล่อนหย่าขาดจากสามีเรียบร้อยแล้ว เป็นอันว่า ชีวิตคู่ของศิลปินจบลงเหมือนๆ กับคนในวงการมายาที่เราเห็นๆ กัน

ความสัมพันธ์ครั้งนี้เป็นอะไรที่นพนาศเรียกว่า 'ไม่มีอนาคต' ไม่มีตำราใด หรือ ใครๆ จะสนับสนุนการตัดสินใจเช่นนี้ของหล่อน ตัวหล่อนเองก็รู้ว่าต้องอยู่กับปัจจุบัน ไม่คาดหวังอะไรทั้งนั้น แต่หล่อนก็แอบหวังอยู่ลึกๆ ว่า เมื่อไม่หวังอะไร เตรียมใจกับความล้มเหลว มันคงจะทำให้มีแต่ดีกว่าที่คาด อยู่ได้สองเดือนก็ดี ได้สามเดือนก็โอ้โห เก่งนะ เมื่อครบสี่เดือนก็เออ ไม่น่าเชื่อ

นพนาศย้อนนึกไปถึงวันที่ไปหาบอสที่บ้านแม่และป้าๆ ของเขา หล่อนคิดว่า ครอบครัวแบบนี้เป็นครอบครัวดีที่หายาก พื้นฐานที่กล่อมเกลาให้บอสเป็นบอสในวันนี้ มาจากคนที่เป็นอาจารย์ นักวิชาการ คุณทวดของบอสจูงมือภรรยาเดินเล่นรอบบ้านและพูดถึงแต่เรื่องในอดีต นี่เป็นภาพที่บอสนึกในใจเวลาพูดถึงญาติผู้ใหญ่ของเขา มันเป็นชีวิตสมถะ เรียบง่าย ใสสะอาด เป็นครอบครัวในฝันสำหรับนพนาศเลยทีเดียว บางคนอาจจะรู้สึกว่าน่าเบื่อที่ต้องพูดคุยกับนักวิชาการหรืออาจารย์ที่วันๆ มีแต่ตำรา นพนาศเองก็ไม่ได้มีพื้นฐานต่างไปจากบอสเท่าใดนัก คนที่เป็นหมอ ครู อาจารย์ ข้าราชการ(ที่ดี)จะมีศีลธรรม ทำอะไรเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่เหมือนนักธุรกิจพวกวัตถุนิยมที่จะมองคนกลุ่มนี้ว่า จน ซื่อบื้อ หลอกง่าย ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ นพนาศเลือกจะมองโลกแบบตรงข้ามกับนักธุรกิจ แม้ว่าหล่อนก็ต้องทำงานให้อยู่รอดด้วยเช่นกัน หล่อนเลือกแล้วที่จะทำพอมีพอกิน ไม่ไขว่คว้าตะกายดาว ทั้งด้วยสภาพจิตใจของนพนาศรับไม่ได้และอาการของโรคประจำตัวไม่อำนวยให้หล่อนพบเจอกับความเครียด การแข่งขัน

นพนาศแค่คิดว่า หล่อนจะประคับประคองความสัมพันธ์อย่างไรให้ทั้งหล่อนและบอสสบายใจ นพนาศจะไม่ทำอะไรที่จะทำให้หล่อนเจ็บใจตัวเองว่าเหตุผลที่บอสคบกับหล่อนก็เพื่อผลประโยชน์ ฉะนั้นหล่อนจึงจะอำนวยประโยชน์ให้เขาตามที่ควรจะเป็น ไม่ได้ใช้เงินซื้อผู้ชาย ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้เขาภูมิใจในตัวเอง แม้จะมีงานบ้างไม่มีบ้างตามธรรมชาติของอาชีพในวงการนี้

นพนาศอยากเหลือเกินที่จะบอกกับบอสว่า 'บอสไม่ต้องรู้สึกไม่ดีกับตัวเองเลยนะ ถ้าเห็นว่านาศทำอะไรๆ ก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งบอสเลยด้วยซ้ำ นาศแค่หวังว่าบอสจะไม่รู้สึกว่านาศทำอะไรข้ามหน้าข้ามตา หรือเด่นซะจนกลบบอสมิด บอสมีความเก่งของบอสที่คนทั่วๆ ไปอาจจะมองว่าไม่สำคัญ แต่นาศมองว่า มันเป็นคุณสมบัติที่จะทำให้ชีวิตคู่ของเราเป็นไปได้ ไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องเก่งเรื่องเดียวกัน บอสเก่งเรื่องคนที่จะมาเติมเต็มในจุดด้อยของนาศ และบอสมีอะไรๆ ที่ทำให้นาศยอมรับ คนอย่างนาศไม่ได้จะยอมใครง่ายๆ ขอให้บอสจำข้อนี้ไว้ให้ดีและอย่าเขวไปตามกระแสสังคม ส่วนในเรื่องความแตกต่างของอายุ สังคมและอะไรต่างๆ ที่เราก็พอจะเห็นกันบ้างแล้ว บอสอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบ นาศมีเวลาอีกไม่นาน ในแง่ของสรีระผู้หญิง ถ้าเราจะมีลูกด้วยกัน นาศรอได้อีกไม่เกิน 2 ปี ถ้าบอสเจอคนใหม่ นาศจะไม่แปลกใจเลย ถ้าเราคบกันได้ยาวนั่นสิเป็นเรื่องแปลก ทุกวันนี้ นาศก็ได้แต่มองไปทีละวัน ทางสายนี้ดูจะมืดมนไปหมด แต่มันก็น่าตื่นเต้นดีที่เราก็อยู่กันมาเพิ่มขึ้นทุกวัน มันเป็นวันที่มีค่า ถ้ามันจะจบ นาศก็เข้าใจ เข้าใจมานานแล้วด้วยซ้ำ'

นพนาศยังมีคำถามอยู่ในใจตลอดมา เรื่องของนพนาศไม่มีวันจบเพราะถ้าความสัมพันธ์ของหล่อนกับบอสจบลง นพนาศก็จะมีคำถามว่า หรือคนนี้จะเป็นคู่ของหล่อน อยู่เสมอ แม้ในใจหล่อนจะรับรู้ตลอดมาว่า คนอย่างหล่อนอยู่คนเดียวดีที่สุด แต่บางครั้งชีวิตเราก็มีสีสัน เจอมรสุมบ้าง จะได้ทำให้เราตระหนักว่า เวลาที่มีความสุขมันมีค่าเพียงใด

วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (26)

นพนาศเพิ่งรู้ว่ามีทางไปกลับกรุงเทพ-ชลบุรีที่ไม่ใช่เส้นบางนากับมอเตอร์เวย์...

บอสพาหล่อนลัดเลาะไปตามทางคดเคี้ยว ใช่ว่าถนนจะเรียบแต่ก็ไม่ได้ขรุขระจนคนขับกระเด็นกระดอนขึ้นลงตามระลอกภูเขาดินเตี้ยๆ เป็นหย่อมๆ ไม่มีรถหรือสิ่งมีชีวิตใดๆ ตลอดสองข้างทาง เรียกได้ว่าเป็นโลกส่วนตัวอย่างที่สุด หากเกิดอะไรขึ้น กว่าจะมีคนพบศพ ไม่รู้ว่าจะยังชี้ตัวว่าเป็นใครได้รึเปล่า ความสงบมาพร้อมกับความวังเวง นพนาศนึกถึงวันที่หล่อนไปทำบุญ 7 วัดในวันมาฆบูชาที่ผ่านมา น้องเจนพาหล่อนไปที่วัดชนะสงคราม พบแม่ชีที่ใครๆ ว่ากันว่าท่านบรรลุเป็นอรหันต์แล้ว หน้าตาของแม่ชีเสงี่ยมดูสงบ งามตามวัยร่วม 80 ของท่าน บรรยากาศของเรือนแม่ชี ร่มรื่น ลมพัดเย็นสบาย...บรรยากาศที่นพนาศเรียกว่า 'สงบ"

แต่บรรยากาศในวันนี้ แม้จะยังไม่พลบค่ำ แต่แสงอาทิตย์เหมือนหลบอยู่หลังม่านเมฆตลอดเวลา มีลมโชยมาเป็นระยะ นพนาศเลือกเปิดกระจกหน้าต่างให้อากาศบริสุทธิ์เข้ามาภายในตัวรถ หล่อนรู้สึกได้เองว่าบอสพยายามขับรถให้เรียบร้อย ให้หล่อนตามทัน ครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่นพนาศขับรถตามหลังรถบอส แต่อะไรบางอย่างก็บอกนพนาศเสร็จสรรพว่า นี่ไม่ใช่สไตล์การขับรถโดยปกติของบอส ถ้าทางข้างหน้ามี 4 เลน เขาคงวิ่งซ้าย แฉลบขวา ปาดหน้า พุ่งเป็นจรวด แต่นี่ เหมือนเขามีใครที่ต้องดูแล

นพนาศรู้สึกได้ถึงความอึดอัดจากการขับรถเรียบร้อยนั้น เหมือนหล่อนจะเข้าใจว่านกที่บินเดี่ยวอย่างนกอินทรี แต่ต้องคอยดูนกอีกตัวตลอดเวลา มันผิดธรรมชาติของมันอย่างที่สุด แม้แต่ในตอนนั้น นพนาศก็รู้ว่า นี่เป็นการฝืนตัวตนของบอส แต่การที่จะมีความสัมพันธ์กับใครสักคน คนทั้งสองต้องลด จำกัดความเป็นตัวของตัวเองลง ไม่เช่นนั้นแล้ว ไม่มีทางที่คนจะคิดหรือทำอะไรเหมือนกัน ตัวเราเองบางครั้งยังทะเลาะและเปลี่ยนใจจนไม่รู้ว่าอนาคตอันใกล้จะเป็นอย่างไร

นพนาศขับรถไปก็ให้นึกขำ หล่อนเพิ่งได้อ่านหนังสือการ์ตูนที่มีตัวละครอยู่สามตัว หัวไฟ ถั่วงอก และบุบบิบ นอกจากที่หล่อนจะทึ่งที่หนังสือขายหมดเกลี้ยงในงานมหกรรมหนังสือ ภายในเวลาเพียง 4 วัน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ให้บริษัทรับจัดจำหน่ายหนังสือดูแลเรื่องการวางแผงตามร้านต่างๆ เล่มที่หล่อนขอยืมมาจากน้องบิว น้องสาวคนเล็กของบอส เป็นฉบับที่พิมพ์ครั้งที่ 4 นพนาศยังได้ปรัชญาแฝงมาตั้งแต่ตอนแรกที่อ่านหนังสือการ์ตูนเล่มนี้

ตอนแรกเริ่มต้นด้วยถั่วงอกที่ลืมตาขึ้นมาก็อยู่ในกองขยะ เขาพบหัวไฟที่ผ่านมาพร้อมกับบุบบิบหมาคู่ใจ ถั่วงอกขอเดินทางไปกับหัวไฟด้วย แต่จะไปได้นั้นต้องตอบคำถามของหัวไฟให้ได้ซะก่อน

"อะไรที่เราไว้ใจได้มากที่สุด"

"ปืน ตัวเอง หรือบุบบิบ"

ถั่วงอกคิดอยู่ครู่นึง แล้วก็โชคดีที่ตอบได้ตรงใจหัวไฟ ซึ่งก็คือ บุบบิบ

เมื่อตอบถูก หัวไฟก็ยอมให้ถั่วงอกร่วมคณะไปด้วย แต่ไปในฐานะ "ลิ่วล้อของบุบบิบ"

นพนาศได้ข้อคิดสองข้อจากเรื่องนี้ หนึ่งก็คือ คนเราจะมีค่าก็เพียงได้ทำหน้าที่อะไรสักอย่างนึง แค่เป็นหน้าที่เล็กน้อยอะไรสักอย่าง หน้าที่ๆ ดูจะไม่มีความสำคัญใดๆ แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้คนเรานับถือตัวเอง ไม่เป็นขยะของสังคม ส่วนข้อสองก็คือ เหตุที่ทำให้นพนาศขำนั่นปะไร อะไรที่เราไว้ใจได้มากที่สุด หมามันยังไว้ใจได้มากกว่าตัวเราเอง ถ้ามันจะนั่งรอเจ้านายมันที่หน้าประตูทุกเย็น มันก็จะทำอยู่เช่นนั้นทุกวัน ไม่กินข้าวกินปลา เมื่อนายไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว มันก็ตรอมใจจนตาย

แม้นพนาศจะไม่เคยมีหมาที่ซื่อสัตย์ปานนั้น แต่หล่อนก็เคยเลี้ยงหมาที่มันรักหล่อนอย่างที่สุด แต่เข้ากับคนอื่นไม่ได้เลย เที่ยวไล่กัดคนที่เดินผ่านไปมาจนโดนยาเบื่อตาย แต่ก่อนหน้าที่มันจะตาย มันได้สร้างความทรงจำที่ตราตรึงใจนพนาศอยู่ไม่รู้ลืม แม้มันจะต้องเสี่ยงตาย โดนหมาเจ้าถิ่นรุมทึ้ง มันก็ยังตามจักรยานของนพนาศไปอย่างไม่ลดละ จนนพนาศเองนั่นแหละที่ต้องเป็นคนเปลี่ยนใจ จำกัดอิสระของตนเอง เพราะมีหมาที่รักหล่อนอย่างที่สุดตามมาด้วย หล่อนยอมลดความเป็นตัวเองลงเพื่อความปลอดภัยของมัน เพราะความรักที่มันมีให้กับนพนาศ

ถ้าจะลองคิดดูอีกแบบ บอสจะลดความเป็นตัวเองเพราะความรักที่คนบางคนมีให้ ในลักษณะเดียวกับที่นพนาศเคยได้รับจากเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ตัวนั้นหรือไม่

นพนาศไม่ได้มีเวลาคิดเรื่อยเปื่อยนานนัก แล้วหล่อนก็เข้าเมืองตามท้ายรถของบอสโดยไม่รู้ตัว บอสขับนำนพนาศไปจนถึงออฟฟิศโรงงาน นั่นก็ควรจะเป็นเวลาที่ทั้งสองจากกันวันนั้น

"นาศจะนอนที่บ้านหรือที่ออฟฟิศ แต่ที่ออฟฟิศไม่มีน้ำร้อนนะ" บอสพูดขึ้นมาอย่างเร่งรีบ

นพนาศออกจะงงๆ กับคำถาม หล่อนจึงตอบคล้ายไม่มั่นใจว่า "นาศอายพ่อบอสอะค่ะ"

"งั้นเดี๋ยวบอสขับตามไปนะ" บอสสรุปเอาเองเสร็จสรรพว่าจะไปค้างที่บ้านนพนาศ โดยที่หล่อนไม่มีโอกาสได้ออกความเห็นใดๆ

เกือบสองเดือนจากนั้น เตียงของนพนาศก็ไม่ได้รับน้ำหนักของหล่อนคนเดียวอีกแล้ว เว้นเพียงแต่วันที่บอสต้องไปหาแม่และป้าๆ ที่เมืองชล

นั่นคือสิ่งที่นพนาศรับรู้และอยากจะเข้าใจ หลายๆ สิ่งที่ก่อตัวเป็นความระแวงค่อยๆ ตามมา ทับถม ก่อความสงสัย จนนพนาศไม่รู้ว่า หล่อนควรจะเชื่อลางสังหรณ์ตัวเอง คำทำนายของบรรดาหมอดู หรือประคับประคองความสัมพันธ์ให้ดีที่สุดจนถึงวันจากลา...ไม่ว่ามันจะเป็นการลาเป็นหรือลาตาย!

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (25)

คืนนั้น นพนาศกลับมานอนคนเดียวอีกครั้ง...

การที่ผู้หญิงคนหนึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ในสวนกล้วยไม้คนเดียว ไม่ได้ยินเสียงใครถ้าไม่เปิดทีวี กล้วยไม้มีแต่โต ออกดอก รากงอก แล้วก็เหี่ยว ขึ้นอยู่กับความเอาใจใส่ของคนเลี้ยง การรดน้ำ แดดและลม ผู้หญิงคนที่ชื่อนพนาศเริ่มรู้สึกแปลกแม้เพียงคืนเดียวที่มีใครมาอยู่ร่วมห้อง ใช่ว่าหล่อนจะไม่เคยใช้ชีวิต ไม่มีคนเคยร่วมเตียง แต่ความรู้สึกในคราวนี้มันไม่เหมือนคราวก่อนหน้า คราวที่ต่างฝ่ายต่างนอนหันหลังให้กัน อยู่กันคนละสุดข้างเตียง แถมยังมีการทำสงครามเย็น แอบเปลี่ยนระดับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศ คนนึงชอบหนาวแล้วซุกตัวในผ้าห่ม ในขณะที่อีกคนชอบอุณหภูมิปกติใส่เสื้อยืดบางๆ นอน

นพนาศจำได้ว่า เพื่อนหล่อนเคยบอกว่า สาเหตุที่ตัดสินใจแต่งงานกับภรรยาคนปัจจุบันก็เพราะว่าภรรยานอนไม่หลับถ้าเพื่อนนพนาศคนนั้นไม่ได้นอนด้วย นพนาศออกจะมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระ ใครจะนอนไม่หลับได้ถ้าต้องนอนคนเดียว เกิดมาก็เกิดมาคนเดียวอยู่แล้ว ความคิดเห็นเป็นเช่นนั้นเพราะนพนาศไม่ได้ประสบกับตัวเอง คราวนี้หล่อนจึงเพิ่งเข้าใจความผูกพันของเพื่อนกับภรรยาที่เป็นสายใยมัดให้คนอิสระสองคนมาใช้ชีวิตร่วมกัน นพนาศเคยฟังเรื่องราวความสัมพันธ์ของคนคู่นี้ ทั้งจากฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ทั้งยังอยู่ในเหตุการณ์ที่ฝ่ายชายนอกใจอยู่เป็นนิจ ท้ายที่สุดก็มาตายรัง เลือกผู้หญิงที่ทนเขาได้มากที่สุด ฝ่ายหญิงก็ทนจริงๆ อย่างที่ว่า เพราะหล่อนต้องไปปรึกษาจิตแพทย์ กินยาเพราะเป็นโรคซึมเศร้าจากความประพฤติของแฟนหนุ่มรายนี้ แต่ด้วยความอึด ทนเป็นอูฐ แล้วหล่อนก็ได้เขามาครองอย่างเต็มภาคภูมิ

คืนนี้ นพนาศนอนไม่หลับ พุทโธก็แล้ว กินยาสำหรับโรคประจำตัวของหล่อนที่มีฤทธิ์ทำให้ง่วงก็แล้ว ความคิดของนพนาศก็ยังเตลิด วิ่งวุ่นอยู่ในวังวนของวันวาน เรียงลำดับเหตุการณ์ ย้อนนึกไปมาว่ามันเกิดเหตุการณ์อย่างที่เป็นอยู่ได้อย่างไร จิตไม่สงบเป็นอย่างนี้นี่เอง

สายๆ ของวันต่อมา บอสโทรมาหานพนาศ หล่อนคิดว่าความรู้สึกของหล่อนคงจะสื่อถึงเขาได้ บอสบอกนพนาศตรงๆ เหมือนถ่ายทอดความรู้สึกจากใจจริงๆ "คิดถึง อยากอยู่ด้วย มาที่นี่มั้ย"

ทั้งสองนิ่งอยู่พักใหญ่ แล้วนพนาศก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า "ก็ดีค่ะ เดี๋ยวจะได้ถ่ายรูปบ้านเอาไปให้ป้าเป้ดูไง มีรูปออฟฟิศแล้ว มีบ้าน เอาขึ้นบล้อก คราวนี้ให้มันรู้ไปว่า ป้าจะหาเรื่องอะไรมาว่าบอสได้อีก"

"จะมากี่โมงคะ วิ่งมาทางบางนา เลี้ยวเข้าบายพาสชลบุรี อีกสักพักก็ถึงแล้ว ถ้ารถไม่ติด ไม่เกินชั่วโมงหรอก 60 กว่ากิโลเอง" นพนาศชอบผู้ชายที่ลงท้ายประโยคว่า คะ ค่ะ เมื่อพูดกับผู้หญิงอยู่แล้ว หล่อนรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นผู้หญิงที่น่าทนุถนอม ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงเก่งคนใดก็มีความสุขจากการปฏิบัติอย่างให้เกียรติและอบอุ่นอย่างนี้ทุกคน แต่อันที่จริงจะไปเหมาหมดก็ไม่ถูก อาจจะมีผู้หญิงมาโซคิสม์อยู่กลุ่มนึงก็เป็นได้ ที่ชอบให้ผู้ชายทารุณ ด่าทอ จิกตบ เพราะเป็นการสนองความต้องการลึกๆ ในใจที่แม้แต่ตัวเองก็อาจจะไม่เข้าใจ

นพนาศรีบวิ่งผ่านน้ำ แปรงฟัน แต่งหน้า แต่งตัว เลือกชุดที่คิดว่าเหมาะจะไปพบผู้ใหญ่ แต่ก็ต้องไม่ดูเรียบร้อยและดูมีอายุจนเกินไป หล่อนเกิดจะมาชอบเด็กเข้าหนิ จะว่าอายุไม่สำคัญซะเลยก็ไม่ใช่ หล่อนย่อมไม่อยากให้แม่และป้าๆ ของบอสมองว่าหล่อนเป็นสาวแก่คิดจะกินเด็กขึ้นมา

แล้วหล่อนก็เลือกใส่กางเกงยีนส์ค่อนข้างรัดรูป เห็นเรียวขายาวอันเป็นจุดเด่นของหล่อนเสมอมา กางเกงยีนส์สีซีดที่หล่อนเพิ่งซื้อมาจากญี่ปุ่น น่าแปลกที่ขากางเกงยาวกว่าความยาวช่วงขาของหล่อนเสียอีก ทั้งๆ ที่นพนาศแน่ใจว่า หล่อนขายาวกว่ามาตรฐานสาวญี่ปุ่นอยู่หลายขุม อาจเป็นเพราะกางเกงเป็นแบรนด์นอก ผลิตตามไซส์ของฝรั่ง หล่อนยังอดนึกไม่ได้ว่า ถ้าสาวญี่ปุ่นมาซื้อมิต้องตัดขากันทุกคนหรอกหรือ

เสื้อยืดปิดคอสีม่วงเข้ม จับเดรปห่างๆ จากคอมาเข้ารูปช่วงเอวโดยการเย็บด้วยยางยืดเป็นตารางสี่เหลี่ยมรูปว่าวลายละเอียดเพิ่มความหวานให้เสื้อสีขรึม แถมยังเน้นให้เห็นรูปร่างแบบผู้หญิงสูงโปร่งได้เป็นอย่างดี นพนาศแค่แต่งหน้าอ่อนๆ ดัดขนตา ปัดมาสคาร่าเล็กน้อย บรัชออนสีชมพูอ่อนปัดขึ้นเป็นเงาเหมือนเห็นเลือดฝาด แค่นี้ก็ลดอายุของหล่อนลงได้อีกสัก 5 ปี สำหรับส่วนต่างอีก 4 ปีที่เหลือ จะให้หล่อนไปใส่ใจมาก นั่นก็อาจเป็นการเพิ่มรอยย่น รอยตีนกาให้หล่อนซะเปล่าๆ

นพนาศขับรถคันเก่ง สีน้ำเงินดูไม่เก่าเท่าไหร่ แต่มันเป็นทาสภักดีของหล่อนมากว่า 10 ปี ทาสคนนี้ไม่จู้จี้จุกจิก ไม่เกเร ไม่ต้องบำรุง นานๆ ซ่อมที แถมยังไม่โกรธแค้นหล่อนที่ชอบปาดซ้ายแถขวา ชนหน้าชนหลังจนกันชนห้อย กระโดดยืดหยุ่นตลอดเวลาที่หล่อนขับ แวะเติมน้ำมัน เช็คลมยาง เตรียมพร้อมออกต่างจังหวัดซะหน่อยพอเป็นพิธี จากนั้นหล่อนก็วิ่งปรึดขึ้นทางด่วน แซงซ้าย เปิดไฟเลี้ยวขวา แล่นเป็นงูไปตามช่องว่างบนทางไร้ไฟแดง ทางที่บางครั้งติดเสียจน คนขับอยากเลือกไปขับผ่านสี่แยก เพราะแน่ใจว่าจะมีไฟเขียวบ้าง ไม่ใช่มัดมือชกอยู่บนทางด่วนที่เมื่อติด ไม่มีทางเลือกอื่นใดให้เลือกอีกเลย

บ้านบอสไม่ไกลและไปไม่ยากอย่างที่เขาบอก แต่พอเลี้ยวเข้าทางย่อย ไหงมันมีตรอกซอกซอยมากมายจนบอสต้องขับรถออกมารับ ทางที่เมืองชลเหมือนร่างแห เข้าทางนั้น ออกได้อีกสิบทาง อยู่ที่จะเลือกไปทางใด ซ้าย ขวา ขวา ซ้าย ข้ามทางรถไฟ ข้ามคลองชลประทาน เลี้ยวเข้าแยกโรงเลี้ยงหมู แล้วก็นับไปอีก 7 ซอย เลี้ยวขวาก็ถึงบ้านญาติๆ บอสในที่สุด

ที่ว่าเป็นบ้านของญาติๆ บอส เพราะมีบ้านเล็กบ้านน้อยรวมกันอยู่ในบริเวณนั้นไม่น้อยกว่า 4 หลัง เริ่มตั้งแต่เข้าประตูเหล็กสีเหลืองสดใส เป็นบ้านสองชั้นหลังคาสูงขนาบด้วยต้นหมากที่สูงกว่าตัวบ้านที่ว่าสูงแล้วนั้นเสียอีก ทางซ้ายเป็นสนามหญ้ากว้างใหญ่ แม้หญ้าจะออกสีเหลืองๆ แต่ก็ถูกตัดอย่างเป็นระเบียบ ต้นไม้ใหญ่และกอไม้ดอกเรียงรายเป็นระยะ ไม่รกและไม่ว่างโล่งจนเกินไป ในบริเวณนั้นมีบ้านชั้นเดียวที่ดูเหมือนจะเพิ่งเสร็จใหม่ๆ นพนาศทราบทีหลังว่าเป็นบ้านหลังน้อยที่สร้างขึ้นเพื่อให้คุณทวดอยู่หลังจากหกล้มลื่นตอนเดินออกกำลังกายบริเวณบ้าน แทบไม่น่าเชื่อว่าคุณทวดของบอส อายุเกือบร้อยปีแต่ยังแข็งแรงขนาดออกเดินรอบบริเวณบ้านวันละ 1 รอบตอนเช้าและอีกหนึ่งรอบตอนเย็น กิจวัตรที่คุณทวดของบอสปฏิบัติมาตลอดเวลาหลังเกษียณอายุราชการเป็นหัวหน้าผู้พิพากษาศาลฎีกาอาจเป็นสิ่งทำให้สุขภาพกายและจิตของท่านดี ยังผลให้อายุยืนขนาดนี้

เดินถัดไปด้านหลังมีโรงครัวขนาดเกือบเท่ากับบ้านของคุณทวด เป็นที่ซึ่งทุกบ้านมาร่วมทำกับข้าวและรับประทานอาหารเมื่อมีโอกาสพิเศษ นอกเหนือจากที่คุณป้าของบอสใช้เป็นห้องทดลองปรุงอาหารชนิดใหม่ๆ ซึ่งช่วงนี้ป้าต่ายกำลังสนุกกับการเอาสมุนไพรไทยมาทำอาหารสไตล์ฟิวชั่น อย่างที่เขาฮิตๆ กัน นพนาศคิดว่า นั่นคงเป็นเพราะป้าต่ายเป็นอาจารย์สอนคหกรรมในระดับมหาวิทยาลัย คุณป้าคงอยากทำให้หลักสูตรทันสมัยและนักศึกษารู้สึกว่าสามารถนำสิ่งที่เรียนไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงได้

เดินลึกเข้าไปอีกหน่อยเป็นบ้านไม้หน้าต่างกระจกรอบด้านของลุงกลางและป้าแจ๋ว ลุงกลางเพิ่งแต่งงานกับป้าแจ๋วได้ไม่นานหลังจากที่ตัดสินใจกลับมาใช้บั้นปลายชีวิตในเมืองไทย ประสบการณ์ 25 ปีในต่างแดนตั้งแต่เรียนปริญญาตรีจนจบปริญญาเอก การเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยชื่อดังในนิวยอร์ก อาจจะสร้างสมความรุ้สึกโดดเดี่ยวจนลุงกลางได้คำตอบของชีวิตว่า ไม่มีที่ใดอยู่แล้วสุขใจเท่าเมืองไทย ลุงกลางกลับมาเป็นอาจารย์ทำประโยชน์ให้คนไทยอีกเช่นกัน เงินเดือนหลายแสนในประเทศที่ค่าครองชีพสูงอย่างสหรัฐอเมริกาทำให้ลุงกลางสามารถสร้างบ้านราคาร่วม 10 ล้านเพื่อเป็นสวรรค์ของครูผู้ให้ทั้งสองท่าน ไม่หรูหรา เพียงแต่ใช้ไม้สักกว้างประมาณ 1 ฟุตทั้งหลัง ห้องน้ำกลางแจ้งปกคลุมด้วยไม้ยืนต้นที่แผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่วอาณาบริเวณ แม้ลุงกลางจะเล่าให้นพนาศฟังในภายหลังว่า ป้าแจ๋วโกรธซะจนหน้าเขียวหน้าแดง เมื่อพบว่า คนก่อสร้างเรือนไม้สักหลังงามตัดต้นไม้รอบๆ ซะจนความร่มรื่นหายไปหมด แสงแดดแผดเผา หากอาบน้ำในช่วงกลางคืนก็ดูจะเห็นดาวและพระจันทร์ชัดจนเกินไป ร่มไม้ที่ตั้งใจให้บังด้านบนของฝักบัวอาบน้ำของห้องน้ำที่อยู่ภายนอกตัวบ้าน หายไปหมด ร้อนถึงบอสที่ต้องปีนไปติดระแนงไม้ไผ่ให้ต้นไม้เลื้อยพาดผ่านด้านบนของฝักบัว

บ้านที่อยู่ลึกสุด เป็นบ้านของป้าติ๋วสาวโสดนักวิชาการ ศาสตราจารย์ผู้ทำประโยชน์ให้กับวงการศึกษาไทยจนได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุด เป็นเกียรติประวัติของสกุล เพชรรักษา อันเป็นนามสกุลของแม่บอสนั่นเอง

บอสพานพนาศเดินลัดเลาะรอบบริเวณบ้านหลังจากที่นพนาศเข้าไปไหว้ทำความรู้จักกับแม่ของบอส และนำรองเท้านารีที่เพิ่งจะออกดอกใหม่ๆ มาเป็นของกำนัล สร้างความประทับใจสำหรับคราวแรกที่หล่อนได้พบกับคนสำคัญอันดับหนึ่งในใจบอส บอสในฐานะลูกชายคนโตที่ต้องดูแลน้องสาวอีกสองคน เป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน เป็นที่พึ่งพิงและพึ่งพาของบรรดาป้าๆ แม่และลุงกลางที่รู้แตกฉานเฉพาะเรื่องในตำรา เรื่องที่ไม่ต้องตีความ ซับซ้อนยอกย้อน เรื่องที่ตรงไปตรงมา ไม่ใช่ต้องอาศัยการเอาตัวรอด บิดพลิ้ว แถไปทางโน้นทีทางนี้ทีอย่างที่คนทั่วไปต้องพบเจอ บอสจึงเป็นเหมือนผู้ชายคนเดียวจริงๆ ที่เป็นหลักของบ้าน ที่ต้องรับผิดชอบ ดำเนินการจัดการความเป็นไป เรื่องเดือดเนื้อร้อนใจใดๆ จะหลั่งไหลไปที่บอส และที่สำคัญ... เป็นที่พึ่งทางใจให้กับแม่ของตนตั้งแต่ที่พ่อของบอสตัดช่องน้อยแต่พอตัว หย่าขาดจากภรรยา ไปสร้างครอบครัวใหม่ มีลูกคนใหม่ที่บอสต้องเห็น ต้องอยู่ร่วมในออฟฟิศโรงงานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เด็กไร้เดียงสา ไม่รุ้อิโหน่อิเหน่ใดๆ ที่บอสไม่อาจทำใจ "รัก" เหมือนน้องสาวอีกสองคนได้ อีกทั้งความรู้สึกที่ทิ่มแทงจิตใจตลอดเวลาที่ต้องวิสาสะกับเมียใหม่ของพ่อ ผู้หญิงที่มาสร้างความร้าวฉานให้กับครอบครัวสมถะครอบครัวนี้

ระหว่างทางที่บอสพานพนาศไปถ่ายรูปบ้านและบริเวณรอบบ้าน เขาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคนสำคัญของเขาอย่างเปิดใจ นั่นอาจเป็นเพราะการสบประมาทของป้าเป้ นพนาศได้แต่ขอบคุณป้าเป้ในใจที่ทำให้บอสบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ภายในครอบครัว เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าเขาไม่ได้จะมาหลอกนพนาศ ใช้ประโยชน์จากนพนาศ

ทั้งสองเดินไปจนถึงสุดปลายเขตเนื้อที่กว่า 5 ไร่ ด้านหลังเป็นบึงใหญ่ที่ลุงกลางใช้เป็นที่ทดลองการผสมพันธุ์ปลาอันเป็นงานอดิเรกที่ลุงกลางชอบมาแต่ไหนแต่ไร ชีวิตของลุงกลางจึงมีแต่ป้าแจ๋ว มหาวิทยาลัย ตำรับตำรา และปลานานาพันธุ์

บอสเล่าว่า เขาคิดจะสร้างบ้านหลังเล็กๆ ที่ริมบึงแห่งนี้ หลังเล็กที่ใหญ่พอสำหรับเขาและใครอีกสักคน หรือถ้าเป็นไปได้ ก็เป็นห้องสำหรับใครที่สวรรค์เลือกแล้ว เลือกให้มาอยู่ด้วย อยู่เพื่อทำให้ชีวิตคู่เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ เมื่อถึงเวลานั้น ก็คงต้องสร้างบ้านอีกหนึ่งหลังสำหรับจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้น ไม่แน่หรอก บ้านริมบึงอาจจะกลายเป็นที่หลบจากความวุ่นวาย ที่ๆ บอสจะได้มารำลึกถึงชีวิตที่ยังไม่ต้องมีภาระผูกพัน มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบนอกเหนือไปจากที่ต้องรับภาระเป็นหลักอยู่แล้วในตอนนี้

วันนี้เป็นวันที่นพนาศได้เห็น ได้สัมผัสสิ่งที่หล่อหลอมให้เกิดเป็นผู้ชายหน้าตากวนตีนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผู้ชายที่ถ้าไม่มองให้ลึกลงไป ก็คือเด็กเมื่อวานซืนดีๆ นี่เอง แต่หากใครจะมองผ่านความผิวเผิน ลงลึกผ่านรูปกายที่เป็นดังฉลากที่ไม่ตรงกับของที่อยู่ข้างใน ก็จะพบว่าผู้ชายที่ดูซ่าๆ พูดแข็งๆ ตรงๆ คนนี้ เป็นผู้ชายที่มีความสุขกับเรื่องง่ายๆ เรื่องสามัญธรรมดา เป็นผู้ชายอบอุ่นที่ใส่ใจความรู้สึกของคนรอบข้าง ผู้ชายโรแมนติกที่มองว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้

นพนาศได้มีโอกาสครั้งนี้เพราะป้าเป้จริงๆ เชียว

เย็นวันนั้น บอสจะกลับเข้ากรุงเทพเช่นกัน บอสจะพานพนาศไปทางเส้นใหม่ นพนาศมีหน้าที่ตามผู้นำชีวิตคนใหม่ของเธอ แล้วเขาก็นำหล่อนไปสู่ชีวิตใหม่ ชีวิตที่นพนาศไม่เคยรับรู้ว่ามีอยู่จริง

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (24)

แม้ว่านพนาศจะแกล้งเมา แต่หล่อนก็มีอาการแฮ้งค์ตั้งแต่เช้า...

นพนาศพลิกตัวไปมาอยู่พักใหญ่ ด้วยกลัวว่าคนข้างๆ จะตื่น แต่ครั้นจะให้นอนต่อก็รู้สึกไม่สบายตัว สู้ลุกขึ้นมาทำอะไรให้ลืมความรู้สึกอึดอัดยังดีซะกว่า "ไปซักผ้าก่อนนะคะ" นพนาศบอกคนข้างๆ ที่ดูเหมือนจะลืมตาขึ้นมาดูนิดนึง

นพนาศกวาดบ้าน ซักผ้า ทำอาหารเช้า อันประกอบด้วย ข้าวต้ม ไข่เจียว ยำปลากระป๋อง และคอร์นบีฟผัดเนย

ระหว่างที่นพนาศเอาผ้าจากเครื่องออกมาตาก ความคิดหลากหลายก็ผุดขึ้นมาในใจ

'นี่มันเกิดอะไรขึ้น มันจะเป็น one-night-stand รึเปล่า ฉันจะทำอะไรต่อไปละนี่ เรายังไม่ทันรู้จักกันเท่าไหร่เลย'

แต่แล้วนพนาศก็นึกถึงคำพูดของเพื่อนคนนึงที่ว่า 'ถ้ามันมีอะไรผิดพลาด เราก็ไม่จำเป็นต้องทำให้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง เรื่องของเมื่อวานก็คือเมื่อวาน เรื่องของวันนี้กับพรุ่งนี้มันก็ไม่เกี่ยวกัน'

นพนาศรู้สึกว่ามันออกจะเป็นวิธีปลอบใจ ทำให้ตัวเองรู้สึกดี ไม่จิตตกแม้ชีวิตจะพบกับความผิดพลาด แต่จะทำอย่างไรได้ หล่อนไม่รู้ว่าอนาคตอันใกล้จะเป็นอย่างไร ที่ทำได้ก็แค่ทำให้บ้านสะอาดขึ้น เป็นที่เป็นทาง เผื่อว่ามันจะเป็นการจัดระเบียบให้ชีวิตหล่อนอย่างที่นพนาศมักจะเชื่อมโยงการกระทำเข้ากับการตีความทางจิตวิทยา

นพนาศเคยเล่าให้บอสฟังแล้ว ว่าปัญหาหนึ่งที่หล่อนเข้ากันไม่ได้กับสามีเก่าก็คือ การที่ทำอาหารไม่ได้เรื่อง วันนั้น บอสพูดขึ้นทันทีว่า "แค่มีน้ำใจทำให้กินก็ดีจะตายแล้ว" นพนาศใจชื้นเมื่อได้ฟัง แต่อะไรๆ มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดซะส่วนใหญ่ พอถึงวันที่หล่อนทำให้เขากินบ้าง เขาก็กินอยู่พักนึง แล้วก็ค่อยๆ รีบออกจากบ้านไป เย็นวันหนึ่ง เขาบอกด้วยซ้ำว่า ไม่ต้องทำอะไรให้กินนอกจากไข่ลวก ที่ต้องพูดตอนนี้ เพราะถ้าเป็นคราวอื่น เขาจะเกรงใจแล้วก็ไม่กล้าพูดในที่สุด

อันที่จริงแล้ว วันนั้นบอสต้องรีบกลับไปบ้านที่ชลบุรีตามที่นัดไว้กับแม่ แต่เขาก็อาสาขับรถไปสมุทรสาครเพื่อทำธุระให้หล่อน นพนาศนอนตลอดทางทั้งไปและกลับ ถึงสมุทรสาคร นพนาศรีบจัดการธุระให้แม่และนัดแนะเพื่อปรึกษาเรื่องพันธุ์กล้วยไม้กับเพื่อนชาวต่างแดนที่แอบชอบหล่อน นพนาศอยากให้บอสไปด้วยเพื่อให้แน่ใจว่า หล่อนไปเรื่องงานจริงๆ แม้จะไปกับคนที่มีความรู้สึกพิเศษให้กับหล่อน นพนาศบอกแผนให้บอสฟังเพื่อให้เข้าใจว่า ที่ไปพบเพื่อนรายนี้คนเดียวก็เพื่อรักษาน้ำใจไม่พาบอสไปเจอเหมือนจะตอกย้ำความรู้สึก

หลังจากเสร็จธุระ บอสขับรถกลับ เขาไม่ได้รู้สึกสบายใจที่ต้องโกหกแม่ว่า ติดงานอยู่ ทั้งๆ ที่ขับรถมาเป็นเพื่อนนพนาศ ไม่แค่นั้น แฟนเก่าของเขายังโทรเข้ามาที่มือถือของนพนาศ แม่ของบอสให้เบอร์ติดต่อหลังจากที่แฟนเก่าบอสคนนั้นคะยั้นคะยอ อ้างว่าต้องติดต่อเรื่องงาน แต่มือถือของบอสแบตเตอรี่หมด นพนาศให้มือถือบอสยืมระหว่างที่หล่อนปรึกษางานกับเพื่อนชาวต่างแดน

นพนาศได้ยินเรื่องราวของแฟนเก่าคนนี้อยู่เหมือนกัน หล่อนทราบจากน้องเจนว่า เขาเพิ่งเลิกกันก่อนหน้าที่จะมาปิ๊งปั๊งกับหล่อนไม่กี่วัน แถมน้องเจนยังเล่าให้ฟังว่า เขาเคยบอกว่าติดธุระต้องไปงานเปิดตัวบริษัทที่เขาทั้งสองทำงานร่วมกัน ยังมีเรื่องที่ต้องติดต่อประสานงานและเรื่องหุ้นที่ลงไปด้วยกัน นพนาศไม่เคยถามถึงเรื่องนี้ จนกระทั่งหล่อนพบว่าตัวเองไม่ไว้ใจบอส ทั้งๆ ที่หล่อนไม่เคยมีความรู้สึกนี้กับใครๆ ไม่ว่าคนๆ นั้นจะซื่อสัตย์กับหล่อนหรือหลอกหล่อนตั้งแต่ที่ให้คำมั่นสัญญาก่อนแต่งงานตลอดจนระยะเวลาที่ใช้ชีวิตคู่กันอย่างสามีเก่า

นพนาศไม่คุ้นเคยกับการต้องจับมือใครตลอดเวลาที่อยู่ในรถ รถของหล่อนไม่มีหมอน ถ้าคราวนี้หล่อนนั่งรถของบอสมา นพนาศก็คงนั่งกอดหมอนสีฟ้าใสที่มีตุ๊กตารูปหมาหูยาวเกาะอยู่ด้านบนของตัวหมอน บอสขับรถมือเดียวตลอดเวลาที่นั่งอยู่ด้วยกัน ณ ตอนนั้น นพนาศก็ไม่รู้อีกเช่นกัน ว่าอาการจับมือตลอดเวลา ความรู้สึกเสียวซ่านที่มือของทั้งสองสัมผัสกัน มันจะไม่ได้อยู่นานไปกว่า 1 อาทิตย์

ใกล้ถึงกรุงเทพแล้ว บอสพูดขึ้นว่า "แวะไปงีบที่ห้องก่อนมั้ย" รถของบอสจอดอยู่ที่ออฟฟิศตั้งแต่เมื่อคืน ไม่ใช่ว่านพนาศจะไม่รู้ว่าบอสหมายถึงอะไร หล่อนจึงพยักหน้า และเมื่อถึงออฟฟิศหล่อนก็วิ่งขึ้นห้องไปก่อน ออกจะกลัวๆ กล้าๆ เพราะพ่อของบอสกับลูกเมียใหม่ก็อยู่ชั้นเดียวกัน ห้องก็เปิดประตูกว้างอยู่ หลังจากลังเลอยู่พักใหญ๋ นพนาศก็ตัดสินใจวิ่งรี่เข้าไปเปิดประตูแล้วรีบปิดทันใด

ห้องของบอสขนาดซัก 4*4 เมตรเห็นจะได้ มีที่ฟูกวางอยู่บนพื้นทางด้านขวาของประตู ด้านซ้ายเป็นราวแขวนเสื้อ ที่ส่วนใหญ่ก็คือเสื้อยืด ตะกร้าสำหรับใส่ผ้าเพื่อซักอัดแน่นซะจนขากางเกงห้อยออกมาข้างนอก สุดกำแพงด้านในสุด มีของวางระเกะระกะ น่าจะเป็นลักษณะของห้องผู้ชายโสดโดยทั่วไป ที่ซึ่งเอาไว้ซุกหัวนอนจริงๆ

นพนาศนอนต่อบนฟูกนั้น ระหว่างที่ยังนอนไม่หลับ หล่อนก็กวาดตามองไปรอบๆ แล้วก็บอกกับตัวเองว่า 'เราต้องรับเขาอย่างที่เขาเป็น เลิกเจ้ากี้เจ้าการ ยุ่งย่ามเรื่องของคนอื่นซะที ปล่อยให้เขาเป็นอย่างที่เขาเป็นหรืออยากจะเป็น ไปยุ่งอะไรมาก ถ้าเขาไม่เห็นค่า เดี๋ยวเราก็จะเสียใจอย่างที่เคย'

นพนาศออกจะดีใจนิดหน่อยในภายหลัง เมื่อหล่อนเห็นบอสลุกขึ้นมาจัดโต๊ะทำงานหลังจากที่ทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันเกือบเดือน แต่หล่อนก็ไม่ได้พูดอะไรในตอนนั้น แอบดีใจลึกๆ ว่า เขาเลือกจะเปลี่ยนแปลงตัวเองในทางที่ดีขึ้นด้วยตัวของเขาเอง ไม่นับแค่เรื่องนี้หรอก เรื่องที่เขาลุกขึ้นมาเอาใจใส่ธุรกิจโรงงานจุลินทรีย์ของพ่อ เอาใจใส่และรับรู้ขั้นตอนการทำงานโดยละเอียด ด้วยเขารู้ว่า งานที่เกี่ยวข้องกับนพนาศ มีแต่คำว่า "คุณภาพ คุณภาพ และคุณภาพ" เขารู้ว่านพนาศจริงจังกับเรื่องนี้เท่าใด ถึงเวลาต้องคุยกันเรื่องงาน นพนาศก็ใส่ไม่ยั้ง สวนกล้วยไม้ ไม่ได้เป็นของนพนาศคนเดียว ท่านนายทุนใหญ่วางใจให้หล่อนจัดการทุกสิ่งทุกอย่าง หล่อนยิ่งต้องแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวให้ชัดเจน จนหล่อนคิดว่าถ้ามีผู้ช่วยมาเป็นหนังหน้าไฟ อาจทำให้ดีขึ้นทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว

บอสตามมาที่ห้องหลังจากวิ่งขึ้นวิ่งลงจัดการสารพัดธุระที่นพนาศก็ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง

แล้วสิ่งที่ควรจะเกิด ก็เกิดขึ้น ทั้งสองปล่อยให้สิ่งต่างๆ เป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น ไม่มีการขัดขวาง ปิดกั้นใดๆ เมื่อทุกสิ่งเป็นไปตามธรรมชาติ ทั้งสองก็ควรจะยอมรับกลไกของธรรมชาติที่ไม่มีสิ่งใด ยืนยง ถาวร ไม่เปลี่ยนแปลง

นพนาศได้เพียงแต่ขอให้ธรรมชาติของความสัมพันธ์ครั้งนี้ยืนยาวกว่าครั้งแล้วๆ ที่ผ่านมา...

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (23)

ประตูอัตโนมัติค่อยๆ เลื่อนไปทางซ้าย บอสขับรถไปตามทางราดคอนกรีตอย่างดี ไปจนสุดทาง บ้านของเพื่อนนพนาศอยู่ในบริเวณเดียวกับพ่อของสามี เพียงแต่ส่วนของจี๊ดและสามีอยู่ท้ายสุดของบริเวณบ้าน จี๊ดแต่งงานได้กว่า 6 ปีแล้ว หล่อนเป็นสาวที่มักปรากฎตัวในหน้าข่าวสังคม บางครั้งก็เป็นนางแบบโฆษณา แต่พอพบและได้ใช้ชีวิตกับสามีคนดี ที่ใครๆ ก็สงสัยว่า อยู่ดีๆ ลุกขึ้นมาแต่งงานกับผู้หญิงได้อย่างไร หล่อนก็ทำหน้าที่ภรรยาเป็นแม่บ้านคอยเลี้ยงลูก ไม่ได้ทำงานนอกบ้านเหมือนเคย จี๊ดแต่งงานท่ามกลางความสงสัยและคำครหามากมาย แม้แต่นพนาศเองก็ยังแปลกใจกับการตัดสินใจของเพื่อนคนนี้ จี๊ดมีทุกอย่าง คนอย่างจี๊ดไม่จำเป็นต้องแต่งงานเพื่อพยุงฐานะ หรือเพื่อเขยิบฐานะทางสังคมที่ผู้หญิงหลายๆ คนเลือกจะทำ นพนาศย้อนนึกถึงคำพูดของจี๊ดยามที่หล่อนถามเพื่อนคนนี้ตรงๆ ว่าทำไมถึงตัดสินใจแต่งงาน โดยละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า เหตุผลของคำถามนั้นคืออะไร

"เธอชื่อบีโธเฟ่นรึเปล่า มีแค่ฉัน สามีและบีโธเฟ่นที่อยู่ในห้องนอน บีโธเฟ่นนอนอยู่ใต้เตียง มีมันเท่านั้นที่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในห้องนั้น"

ในแวดวงคนใกล้ชิด อย่างที่เรียกว่าวงในที่สุด วงที่เห็นภาพตอนที่เขาจีบจี๊ด วันที่เขาสารภาพรักกัน และได้เข้ามาที่บ้าน เห็นอะไรๆ และความเป็นไป เพื่อนในกลุ่มนพนาศคนนึงถึงกับพูดว่า "จี๊ดได้สามีดีจริงๆ "

นพนาศเคยพยายามจะเป็นเพื่อนที่ดี อธิบายให้คนทั่วไปฟังว่า ความจริงเป็นเช่นไร แต่ข่าวลือหนาหูทำให้ใครๆ ไม่เชื่อสิ่งง่ายๆ ที่นพนาศตั้งใจจะบอก หล่อนจึงเลิกล้มความตั้งใจ แล้วก็นึกถึงคำพูดของจี๊ดที่ว่า "คนเราอยู่ที่ว่า จะเลือกเชื่ออะไร" คำพูดของจี๊ดที่ก้องหูนพนาศเป็นความจริงที่เป็นสากล

ใช่ว่าจี๊ดจะไม่รู้ว่าคนทั้งเมืองนินทาเกี่ยวกับความสัมพันธ์นี้อย่างไร หล่อนเพียงแต่พูดสั้นๆ ว่า "ถ้าเขามีคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ฉันก็ไม่เอาเหมือนกัน"

บอสกับนพนาศมาถึงบ้านจี๊ดแทบจะเป็นคนสุดท้าย ทุกคนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารยาวขนาดเพียงพอสำหรับคน 12 คน หม้อชาบูชาบู 2 หม้อ แยกเป็นหม้อสำหรับคนที่กินเนื้อกับสำหรับคนที่ไม่กินเนื้อ จี๊ดอยู่ในครัวที่ห่างจากโต๊ะอาหารเพียงประตูกั้น ง่วนอยู่กับการผสมน้ำจิ้มชาบูชาบูตามสูตรที่หล่อนเคยชิมมาจากประเทศญี่ปุ่นต้นตำรับ จี๊ดใส่ใจในรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นกระเทียมสับ หัวไชเท้าขูดละเอียด ต้นหอมซอยถี่ยิบ พริกขี้หนูซอย น้ำมะนาว น้ำซอสทำจากถั่วและน้ำซอสรสเปรี้ยว แค่ผสมน้ำจิ้มก็ใช้เวลาเป็นสิบนาทีแล้ว ไม่แค่นั้น จี๊ดยังเตรียมกุ้งเผาตัวโตสำหรับเพื่อนทุกๆ คน พร้อมน้ำจิ้มรสแซ่บ

นพนาศแนะนำบอสให้เพื่อนๆ รู้จัก บอสไหว้เพื่อนๆ ของนพนาศทุกคน นพนาศเองอายุน้อยที่สุดในกลุ่มเพื่อนก็ยังแก่กว่าบอสถึง 9 ปี ในโต๊ะอาหารวันนั้น เพื่อนนพนาศแก่กว่าบอสตั้งแต่ 10 ปีเป็นอย่างน้อย ถ้านพนาศเป็นผู้ชายและบอสเป็นผู้หญิง เพื่อนๆ ก็คงอิจฉาว่าได้แฟนเด็ก แต่ที่เป็นอยู่ นพนาศมองเห็นสายตาเกษมที่มองบอสแล้วถามว่า "เจอกันที่ไหน" พร้อมกับแววตาที่นพนาศอ่านว่า "คงเจอกันในที่เที่ยวประจำของนพนาศละสิ"

นพนาศตอบตามความเป็นจริงว่า "เจอกันที่จตุจักร"

มันเป็นคำตอบที่ผิดจากความคาดหวังของเกษมไปหลายขุม จนเขาไม่รู้จะถามต่ออย่างไร หลังจากนั้นไม่นาน นพนาศก็เลือกให้บอสสวมบทเป็นลูกเจ้าของโรงงานจุลินทรีย์ เพราะดูจะเข้ากับเจ้าของสวนกล้วยไม้ดี ไม่ได้ไปหลอกเด็กมาจากผับหรือคลับที่ไหน

ความจริงรูปแบบความสัมพันธ์ของบอสกับนพนาศก็ไม่ใช่การหลอกเด็ก ทั้งสองรู้ดีอยู่ว่า รู้จักกันเพราะป้าเป้ เจอกันที่จตุจักร วันแรกที่ทั้งสองเจอกัน นพนาศกำลังร้องเพลงอยู่ที่ร้านกาแฟหรูที่ป้าเป้อาสาช่วยจัดการเรื่องดนตรี นพนาศก็ไปช่วยเรียกแขกในฐานะนักร้องหญิงสมัครเล่น ส่วนบอสก็ไปหาป้าเป้เรื่องงานที่ป้าเป้จะช่วยติดต่อประสานงานให้

บอสนั่งกินชาบูชาบูเงียบๆ นพนาศคอยบริการผสมน้ำจิ้มให้บอสและเพื่อนๆ หล่อนอยู่ใกล้หม้อชาบูชาบูกว่าคนอื่น จึงเป็นหน้าที่โดยอัตโนมัติที่จะต้องลวกผักและเนื้อสัตว์ให้คนอื่น ในขณะเดียวกันหล่อนก็ต้องคอยกระซิบ อ้อนให้เพื่อนที่อยู่หน้าหม้อชาบูชาบูสำหรับคนที่กินเนื้อคอยลวกเนื้อของโปรดของหล่อนให้ส่งมาให้อยู่เรื่อยๆ

สักพัก น้องกิ๊บแฟนของสุบินที่เป็นนางเอกภาพยนตร์ก็ตามมาสมทบ คู่อย่างนี้สิ เป็นคู่ที่เพื่อนๆ อิจฉา ใครจะไปรู้ว่าสุบินที่มักจะอกหัก โดนสัตว์สี่ขาคาบไปกินเป็นประจำ ในที่สุดจะได้แฟนสวยระดับนางเอกหนัง การศึกษาดีจากสถาบันเก่าแก่มีชื่อ แถมยังเด็ก สวีท หวานแหววขนาดที่เวลาโพสต์ท่าถ่ายรูปกับสุบิน น้องกิ๊บซบหน้าเข้ากับซอกคอ เอามือทั้งสองโอบเป็นรูปหัวใจที่เหนือหัวสุบิน เล่นเอาเพื่อนๆ ทั้งที่แต่งงานแล้ว ยังไม่มีแฟน หรือที่มีแต่ไม่กล้านำมาโชว์อิจฉาส่งเสียงกันอย่างไม่เก็บอาการ

หลังจากที่กินเนื้อและผักลวกแล้ว ก็ถึงคราวกินเส้นและน้ำซุป จี๊ดรับอาสาปรุงและตักน้ำซุปตามแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น เหยาะเกลือ พริกไท ใส่น้ำจิ้ม เติมน้ำซุปและเส้นให้เพื่อนๆ ทีละคน ลูกสาวทั้งสองของหล่อนก็มาร่วมวงด้วยในที่สุด เด็กผู้หญิงจอมซนน่ารักสองคนทั้งหน้าตาและนิสัยคล้ายจี๊ดจอมแก่นผู้เป็นแม่ไม่มีผิด นี่ขนาดอายุไม่ถึงสิบขวบยังแก่น เซี้ยว ฉลาดเป็นกรดขนาดนี้ สงสัยว่าพอลูกเป็นวัยรุ่นคงจะทำให้คุณแม่สุดเปรี้ยวคนนี้เหนื่อยไม่น้อย สมัยแม่ก็แค่ปีนรั้วออกจากบ้าน หนีไปเที่ยวเธคและสูบบุหรี่ นพนาศเองก็ยังนึกไม่ออกว่า อีกสิบปีข้างหน้า เด็กๆ รุ่นนั้นจะหาอะไรพิเรนๆ ทำได้มากกว่ารุ่นเพื่อนๆ ของหล่อนขนาดไหน

จบมื้อเย็นก็เป็นเวลาสูดควันของพวกเพื่อนผู้ชาย จี๊ดยังไม่เลิกบุหรี่ นพนาศถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า "นี่เธอยังดูดบุหรี่อยู่รึเปล่า"

จี๊ดพยักหน้าพร้อมกับพูดว่า "ฉันก็แอบดูด เอาบุหรี่ไปซ่อนไว้ตรงที่เก็บอาหารปลา กลิ่นมันก็เลยกลบๆ กันไป"

นพนาศนึกในใจขำๆ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ จี๊ดก็ยังต้องแอบสูบบุหรี่ เมื่อก่อนต้องหลบไม่ให้พ่อแม่รู้ คราวนี้ต้องหลบไม่ให้ลูกเห็นตัวอย่างที่ไม่ดี

กลุ่มเพื่อนสมัยเรียนย้ายกันมานั่งข้างนอก ผู้ชายก็เริ่มจับกลุ่ม บอสก็เข้าไปอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย นี่อาจเป็นบุญคุณของบุหรี่ที่ทำให้บอสมีโอกาสได้พูดคุยกับเพื่อนๆ ของนพนาศโดยที่ไม่ขัดเขิน ให้เขาได้แสดงตัวตน ให้ใครๆ ได้เห็นว่าความสัมพันธ์ของนพนาศกับบอสก็เหมือนๆ กับความสัมพันธ์ของหญิงชายที่อายุไม่ต่างกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นลักษณะที่ใครมาหลอกใคร มาใช้ใครเป็นบันไดเพื่อความสำเร็จบางประการ แต่จะอย่างไร คำพูดของผู้ชายที่อายุน้อยกว่าร่วม 10 ปี ก็ไม่ได้ทำให้น่าเชื่อถือเท่าใดนัก น่าแปลกที่อายุ ทำให้การรับรู้ของคนเปลี่ยนแปลงไปได้มากมาย ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นผู้ชายที่อายุมากกว่านพนาศ 10 ปี ก็อาจจะมาหลอกใช้ให้หล่อนดูแลยามเจ็บไข้ หรือหล่อนอาจจะหวังเอาสมบัติของคนๆ นั้นเพราะคงตายในไม่ช้า

จะอย่างไรก็เถอะ คืนนั้นบอสดูจะเป็นผู้ชายขรึม ออกไปทางเรียบร้อย ซึ่งก็แน่ล่ะ ที่คนอื่นๆ ก็ไม่ได้มองว่าเป็นอาการขรึมของผู้ใหญ่ เป็นอาการของ "เด็ก" ของผู้หญิงรุ่นใหญ่อยู่เช่นเดิม

ไม่มีใครแสดงอะไรชัดเจนขนาดนั้นหรอก แต่สิ่งที่มองไม่เห็นมันแจ่มชัดเหลือเกินแล้ว

จบงานเลี้ยงสังสรรค์ในคืนนั้น ทั้งสองไม่ได้รู้สึกอะไรแย่นัก เพราะนั่นก็เป็นสิ่งที่คาดเดาได้อยู่แล้ว และเพื่อนของนพนาศก็มีมารยาทพอที่จะไม่ทำอะไรให้รู้สึกมากไปกว่าสายตาของเกษมตอนที่ถามว่าทั้งคู่รู้จักกันได้อย่างไร

บอสและนพนาศมีนัดกลายๆ กับป้าเป้ที่ร้านประจำ จริงๆ แล้วหล่อนก็ไม่ได้คิดจะไปไหนต่อ หลังจากที่กินแชมเปญของโปรดที่จี๊ดนำมาเลี้ยงเพื่อนๆ แบบไม่อั้น หล่อนจึงไปหาป้าเป้แบบครึ้มอกครึ้มใจ แต่บอสไม่ได้รู้สึกแบบนั้นด้วย เขาอ้างจะไปซื้อของแล้วก็มานั่งรอที่รถ ในขณะที่นพนาศเดินเข้าไปทักป้าเป้ที่เมาได้ที่แล้วเหมือนกัน ป้าเป้ไม่พอใจขนาดหนักกับความสัมพันธ์ของคู่นี้ พูดกันได้ไม่กี่คำ ป้าเป้ก็เดินหนีขึ้นรถแท็กซี่กลับบ้านไปโดยที่ไม่ได้บอกนพนาศ หล่อนก็หันรีหันขวางระหว่างบอสกับป้าเป้ที่ไม่ยอมเผชิญหน้ากัน ก่อนกลับหล่อนฝากให้เพื่อนๆ ที่นั่นบอกป้าเป้ว่า หล่อนกลับไปแล้วนะ

แล้วหล่อนก็กลับไปที่บ้านโดยที่มีบอสเป็นคนขับรถไปส่ง

ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ที่อยู่ดีๆ นพนาศก็คิดอุตริอยากจะทดสอบบอสขึ้นมา หล่อนแกล้งเป็นเมาหลับอยู่ในรถ พอถึงบ้านหล่อนก็ลุกขึ้นแบบงัวเงีย บอสต้องมาพยุงพร้อมกับสะพายกระเป๋าของหล่อนพาเข้าบ้าน บอสพาหล่อนเข้าไปนอนในห้องนอน นพนาศก็หลับตาทำเหมือนเมาแล้วก็หลับไปจริงๆ ในใจหล่อนก็นึกอยู่ว่า บอสจะทำอย่างไรต่อไป

บอสปิดประตู เข้ามานอนข้างๆ แล้วก็ถอดเสื้อและชุดชั้นในของหล่อนออก นพนาศเริ่มกรุ่นในอารมณ์ พลางคิดในใจว่า "ผู้ชายคนนี้คิดจะทำอะไรกับฉันเนี่ย" พอถึงคราวที่บอสกำลังจะรูดซิปกางเกงของหล่อน นพนาศก็ลุกพรวดขึ้นมา โวยวาย "นี่ บอสคิดจะทำอะไรน่ะ" พร้อมกับใส่เสื้อชั้นในและสวมเสื้อให้อยู่ในสภาพเดิม

"รู้ว่าแกล้ง ก็อยากสัมผัส" บอสพูดในขณะที่นอนตะแคง ตาฉ่ำแต่ไม่ใช่ด้วยความหื่นกระหาย ถึงอย่างไร นพนาศก็ไม่รู้ว่าจะแปลความหมายของนัยน์ตาคู่นั้นอย่างไร

"ก็อยากสัมผัส" บอสพูดอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา จนนพนาศสงบลง หล่อนแปลกใจตัวเองว่าทำไมถึงไม่ไล่บอสไปซะ จนเวลาผ่านไปเนิ่นนานหล่อนก็ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ นพนาศนอนลงพร้อมถอนหายใจ

บอสพูดด้วยน้ำเสียงต่ำๆ แบบคนที่ควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี "อย่าทดสอบกัน"

แค่นั้น นพนาศก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ผู้ชายตัวโตที่อยู่ข้างๆ จะจัดการกับหล่อน

คราวนี้ หล่อนปล่อยให้เสื้อผ้าหลุดออกจากกายโดยปราศจากการดิ้นรน ทั้งสองได้สัมผัสไออุ่นของผิวกายที่สัมผัสกันอย่างที่บอสต้องการ และก็ได้รับรู้รสสัมผัสที่ลึกซึ้งยิ่งไปกว่านั้น...

ทุกสิ่งดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ แต่ถ้าเปรียบความก้าวหน้าของความสัมพันธ์ที่รุดหน้าแบบตั้งตัวไม่ติดในครั้งนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับรถสปอร์ตที่สตาร์ทอุ่นเครื่องเพียงครู่แล้วก็วิ่งทะยาน รอบเครื่องยนต์สูงส่งให้วิ่งฉิวแซงหน้ารถแห่งความสัมพันธ์ทุกคันที่นพนาศเคยนั่งมา

คืนนั้น นพนาศไม่ได้นอนคนเดียว แต่ ณ ตอนนั้น หล่อนไม่รู้หรอกว่า นับแต่คืนนั้นเป็นต้นมา การอยู่คนเดียวของหล่อนจะกลายเป็นความเดียวดาย เพียงเพราะเมื่อมีคนอยู่เคียงข้าง มาเติมความสมบูรณ์ในสิ่งที่ขาดหาย จะทำให้การอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวยิ่งกว่าเดิม

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (22)

วันนี้เป็นจุดหักเหในชีวิตของนพนาศทีเดียว...

หล่อนตื่นมาตอนสายๆ เช่นเคย ทำกิจกรรมเดิมๆ ที่ต้องทำประจำวัน แล้วสายโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

ชื่อที่ขึ้นอยู่หน้าจอโทรศัพท์มือถือจะเป็นใครไม่ได้นอกจากตัวอักษรภาษาอังกฤษสี่ตัว BOSS...

อีกครั้งที่หล่อนเลียนแบบเด็กสาวที่เคยมาช่วยงานบ้าน นพนาศรอให้โทรศัพท์ดังสักพักแล้วถึงจะรับ ปรับเสียงให้ดูเรียบๆ ไม่แสดงอาการดีอกดีใจจนเกินควร แม้ว่าตั้งแต่หล่อนเกิดมา ไม่เคยมีใครไม่รู้ว่าหล่อนรู้สึกเช่นไร นอกซะจากว่า หล่อนทำตรงข้ามกับที่รู้สึกแบบสุดขั้วไปเลย และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้คนเข้าใจหล่อนผิดเป็นประจำ หรือบางครั้งที่หล่อนสวมบทบาทที่ควรจะเป็นในสถานการณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ใครๆ ก็เข้าใจว่านั่นคือตัวตนของหล่อน สิ่งที่อดีตพี่เขยเคยให้คำจำกัดความหล่อนว่าเป็น "เครื่องกระป๋องที่ปิดฉลากผิด" หรือ "ผ้ายับที่พับไว้" ดูจะถูกใจหล่อนมากกว่าสิ่งที่พี่รุ่นใหญ่อีกคนที่เห็นนพนาศตอนเมาแล้วเปรียบเปรยว่า "ปกติขี้ยังนั่งพับเพียบเลย"

"มาที่โรงงานมั้ย" บอสเริ่มต้นบทสนทนาตรงประเด็นทันที

"ยังไงก็ต้องไปดูอยู่แล้วค่ะ จะซื้อผลิตภัณฑ์มาใช้กับกล้วยไม้ของพี่ก็ต้องไปดูว่าแหล่งผลิตน่าเชื่อถือได้รึเปล่า ไม่ใช่ว่าพอใช้ไปแล้วกล้วยไม้ตายหมด พี่ก็แย่กันพอดี" นพนาศยังไม่รู้ว่าจะใช้สรรพนามแทนตัวว่าอย่างไรดี หล่อนจึงดูจะสับสนกับรูปแบบความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวแบบที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย

"เดี๋ยวว่าจะเข้าไปเลย บอสอยู่ที่โรงงานตลอดรึเปล่า" โรงงานมีบริเวณพอสมควร ไม่ห่างจากบ้านกล้วยไม้ของนพนาศนัก บอสมีห้องเล็กๆ อยู่ในตึกสำนักงานข้างๆ โรงงานนั่นเอง ห้องที่นพนาศจะได้เห็นในไม่ช้า เพียงแต่ไม่ใช่คืนวันนี้

"งั้นเดี๋ยวเจอกันนะคะ"

"ถ้างงๆ มาไม่ถูกแล้วโทรมานะ"

ถึงโรงงานภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง โชคดีที่รถไม่ติดมาก อันที่จริงเรื่องงานมันไม่ได้สำคัญอะไรมากมายนักหรอก หล่อนอยากจะรู้มากกว่าว่าผู้ชายคนที่หล่อนสนใจเป็นคนยังไง หล่อนเคยเห็นรถของเขาแล้ว รถเป็นเฟอร์นิเจอร์ของคนที่สามารถปรุงแต่งกันได้ แต่บ้าน ห้องทำงาน ห้องนอน ห้องน้ำ สถานที่ที่ต้องใช้ต้องอยู่ทุกๆ วันนั่นแหละ ที่จะสะท้อนตัวตนของคนๆ นั้นได้มากที่สุด คล้ายๆ กับที่บางคนเคยบอกนพนาศว่า รูปภาพบ่งบอกความเป็นตัวตนของผู้ถ่าย รูปวาดก็อธิบายว่าคนวาดเป็นคนอย่างไรเช่นกัน

บอสพานพนาศเดินชมโรงงานพร้อมอธิบายอย่างละเอียดเหมือนหล่อนเป็นนักศึกษามาดูงานยังไงยังงั้น นพนาศเองก็ไม่ได้เพียงแค่ดู หล่อนถ่ายรูปเก็บเอาไว้เพื่อใช้ทั้งสำหรับงานและเรื่องส่วนตัว สวนกล้วยไม้ของหล่อนไม่ได้เป็นของหล่อนคนเดียวหรอก จริงๆ แล้วหล่อนเป็นคล้ายคนที่รับผิดชอบดูแลแทนนายทุนใหญ่อีกคนต่างหาก เพราะฉะนั้นหล่อนจะทำอะไรกับสวนก็ต้องมีหลักการ ชี้แจงให้นายทุนใหญ่รับรู้และเห็นด้วย

อันที่จริง นพนาศก็ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าหล่อนจะมาทำงานใกล้ชิดกับธรรมชาติขนาดนี้ หล่อนเป็นพนักงานออฟฟิศมาก่อน แต่หล่อนก็ใฝ่หาอิสระและเกลียดการตอกบัตรเข้าไส้ วันนึงโชคชะตาก็ทำให้หล่อนได้มาพบมารู้จักกับนายทุนใหญ่ หล่อนเพียงแค่อยากลองดูว่าหล่อนจะเหมาะกับการปลูกดอกไม้ขายหรือไม่ ใครๆ ก็ชอบบอกว่า หล่อนมือขึ้น ปลูกอะไรก็เจริญเติบโตออกดอกแม้ต้นไม้ต้นนั้นจะใกล้ตายหรืออาจจะเหมือนตายไปแล้ว หล่อนก็สามารถรักษาเยียวยาต้นไม้เหล่านั้นให้กลับมามีชีวิต มีอนาคตได้อีกครั้ง

นพนาศจำได้ว่าพ่อเคยชี้ให้ดูต้นไม้ริมทะเลที่ล้มเหมือนตายไปแล้วทั้งต้น ตอนนั้นหล่อนยังเด็กนัก ไม่เคยคิดที่จะถามหรือหาคำตอบว่าต้นไม้ต้นนั้นคือต้นอะไร แต่สิ่งที่หล่อนจำได้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานก็คือคำพูดของพ่อ "ดูสิ นี่เป็นปรัชญาชีวิตนะ แม้แต่ต้นไม้ที่ล้มอย่างนั้น มันยังดิ้นรนจนรอดตาย คนล้มอย่าข้าม ต้นไม้ล้มก็ข้ามไม่ได้เหมือนกัน" พ่อไม่ค่อยมีโอกาสได้อยู่กับนพนาศมากนัก เพราะพ่อทำงานเพื่อส่วนรวมมาทั้งชีวิต ทำซะจนนพนาศคิดว่าโตขึ้นจะไม่มีวันทำอาชีพเดียวกับพ่อ ตอนเด็กๆ หล่อนไม่รู้หรอกว่าอยากเป็น หรืออยากทำอะไร หล่อนรู้แต่ว่าอยากเป็นเหมือนป้า เพราะป้ารวยและสบาย มากรุงเทพทีไรก็แจกตังค์หลานๆ ทุกที ในขณะที่พ่อของหล่อนทำงานหนัก ไม่กลับบ้านเลยทั้งอาทิตย์ มีเพียงบ่ายวันอาทิตย์ที่พ่อของนพนาศหยุดทำงาน ภาพที่หล่อนเห็นจนชินก็คือภาพพ่อนอนดูทีวี พ่อไม่เคยจับต้องอะไรสักอย่างในบ้าน ปล่อยให้แม่เป็นคนจัดการทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ช้าไม่นานจากนี้นักหรอก ที่นพนาศก็จะได้รู้ว่า หล่อนก็เลือกคนที่เหมือนพ่อของหล่อนโดยไม่รู้ตัว

โรงงานของพ่อบอสเป็นระเบียบใช้ได้ทีเดียว แค่นี้หล่อนก็โล่งใจแล้ว บอสพาหล่อนไปที่โต๊ะทำงาน จานข้าวที่ใช้เป็นที่เขี่ยบุหรี่เป็นจุดแรกที่หล่อนสังเกตเห็น มันคงเป็นสุสานของบุหรี่มาหลายเดือนเป็นอย่างน้อย กระดาษและหนังสือวางกระจัดกระจายเต็มโต๊ะ คอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่เป็นรุ่นเก่าซะจนหล่อนไม่รู้ว่ามันยังทำงานได้อยู่หรือไม่ แต่น่าแปลกที่คอมพิวเตอร์รุ่นโบราณขนาดนั้น แต่มีกล้องเว็บแคมติดอยู่ส่วนบนของจอ เมื่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์ นพนาศก็อดไม่ได้ที่จะประสานงานกับท่านนายทุนที่ลอสแองเจลิสและติดต่อกับคู่ค้าต่างประเทศที่สั่งกล้วยไม้จากสวนของหล่อน บอสปล่อยให้หล่อนใช้คอมพิวเตอร์ที่โต๊ะทำงานอย่างสบายใจ แม้จะเป็นครั้งแรก แต่หล่อนก็สะดวกใจเหมือนใช้คอมพิวเตอร์ของตัวเอง

สายเรียกเข้ามือถือของบอสทำให้เขาต้องรีบไปทำธุระข้างนอก น่าแปลกที่เขาไว้ใจปล่อยหล่อนไว้ที่ออฟฟิศ ระหว่างนั้นน้องอายลูกภรรยาใหม่ของพ่อบอสก็เดินเข้ามาหานพนาศ

"น้องชื่ออะไรคะ เรียนชั้นอะไรเอ่ย"

"หนูชื่ออายค่ะ อยู่อนุบาลช๋อง" ตอนนี้น้องอายยัง "อาย" อยู่ แต่สักพักหลังจากที่นพนาศคุยกับท่านนายทุนผ่านโปรแกรม chat ที่คนใช้มากที่สุด หล่อนก็อุ้มน้องอายมานั่งตักให้ท่านนายทุนเห็น น้องอายเองก็ชอบ ปกติแล้วเด็กๆ ก็ชอบอยู่กับคนที่ใส่ใจตัวเขาอยู่แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องถนัดของนพนาศเลยทีเดียว แต่หล่อนไม่รู้หรอกว่า ถ้าเด็กที่เป็นลูกของหล่อนเอง ความสามารถพิเศษในการผูกใจเด็กๆ จะใช้ได้ผลกับคนใกล้ตัวรึเปล่า นพนาศยังไม่รู้ว่าหล่อนจะมีโอกาสได้รู้เรื่องนี้หรือไม่

บอสไปธุระข้างนอกแต่กลับมาเร็วเหมือนแค่เดินไปตรวจรอบๆ โรงงาน สีหน้าประหลาดใจปรากฎอย่างชัดเจน แน่ล่ะ เขาจากไปไม่นาน น้องอายมานั่งตักของนพนาศเรียบร้อยแล้ว

ทั้งสองเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แทบจะเรียนรู้กันไปพร้อมๆ กับความสัมพันธ์ที่เบ่งบานตรงกันข้ามกับเสียงไม่เห็นด้วยจากทุกๆ ฝ่าย ตอนที่บอสไม่อยู่ น้องเจนโทรมาหาหล่อนบ่นเรื่องป้าเป้ที่ไม่รู้จะไประบายกับใครก็มาระบายกับเธออีกแล้ว ป้าเป้หวงและเป็นห่วงหล่อนมากซะจนเหมือนเป็นเจ้าของเป็นแม่หล่อน น้องเจนถึงกับบอกว่า "พี่นาศเค้าอายุจะสี่สิบแล้วนะป้า เขาคิดเองได้มั้ง" แม้แต่น้องเจนเองก็เถอะ เธอก็คอยปรามๆ นพนาศอยู่ในที "พี่นาศคะ หนูรู้ว่าพูดอะไรกับพี่ตอนนี้พี่ก็ไม่ฟังหรอก หนูจะไม่ยุ่งเรื่องของพี่แล้ว เพราะกรรมของใครก็เป็นของคนนั้น แล้วพี่ก็จะรู้ด้วยตัวพี่เอง แต่เจนเห็นบอสแล้ว เจนนึกถึงก้องนะคะ" เจนทุกข์ทรมานจากเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับก้องอยู่เป็นเดือนๆ ร้องไห้ทุกวันแม้จะไม่ใช่แฟน แต่เจนก็ติดเขาซะจนเธอห่วงและเศร้าใจทุกครั้งที่ก้องเห็นผู้หญิงคนอื่นสำคัญกว่าตัวเธอเอง ทั้งๆ ที่เธอไม่มีสิทธิ์ แต่ความพิเศษที่ก้องมอบให้ มนต์ดำหรือเสน่ห์ของก้อง สุดแล้วแต่ใครจะเรียก ทำให้เจนติดก้องเหมือนๆ กับที่ผู้หญิงมากมายเข้าออกในชีวิตของก้อง แค่เธอพูดเช่นนั้น นพนาศก็รู้แล้วว่าเจนมองบอสว่าเป็นผู้ชายประเภทไหน แต่คนอย่างนพนาศ มีรึจะเลือกเล่นกับปลาตาย ...ไฟเท่านั้นแหละที่จะหลอกล่อหล่อนได้ คุณอนันต์ โทษมหันต์ คุ้มค่า น่าลองจะตาย

เสร็จธุระที่โรงงานและที่ออฟฟิศแล้ว บอสชวนหล่อนไปทานข้าวข้างนอก อาหารญี่ปุ่นราคาคนไทยข้างทุ่งนาข้าวเขียวขจี คนต่อคิวยาวเหยียด สำหรับนพนาศแล้ว เขาช่างเข้าใจเลือกร้านอาหารที่ไม่ธรรมดาแต่ก็ไม่ได้หรูหรา...คงเป็นคำว่า "พิเศษ" ที่เหมาะสำหรับร้านเพิงไม้ชื่อดังที่เขาเลือก

"ชอบเล่นกีฬาอะไร" บอสอาจจะถามไปอย่างนั้น แต่นพนาศชอบและคิดเอาเองว่าเขาช่างใส่ใจ

"นาศชอบเล่นอะไรที่ใช้ขา แต่ที่จริงแล้วชอบทำอะไรที่ได้ประโยชน์ด้วย อย่างรีดผ้า ถูบ้านอะค่ะ" นพนาศก็ตอบอย่างที่หล่อนคิด แม้ว่าถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นอาจจะเสกสรรปั้นแต่งคำตอบสร้างให้เห็นภาพของผู้หญิงมีระดับ ใครจะไปคิดว่ากิจกรรมโปรดของนพนาศคือการรีดผ้า "มันสงบดี" เป็นเหตุผลที่หล่อนเลือกทำกิจกรรมโปรดนี้

อาหารมื้อนี้อร่อย ราคาประหยัด วิวดี ใกล้ธรรมชาติแต่อยู่ในเมือง นพนาศรู้สึกว่า หล่อนเป็นชาวกรุงเทพที่ดูเหมือนว่าจะไม่รู้อะไรเอาซะเลย ยิ่งเป็นย่านนี้ด้วยแล้ว อันที่จริงมันไม่ได้ไกลจากบ้านสวนของหล่อนเท่าใดนัก แต่ทำไมหล่อนไม่เคยรู้ว่ามีอะไรดีๆ แถวนี้ แล้วหล่อนก็ไม่รู้อีกเช่นกันว่า มีอีกหลายที่ๆ บอสพาไปและที่เหล่านั้นก็ถูกใจหล่อน เหมือนๆ กับอาการของกบเพิ่งได้ออกจากกะลายังไงอย่างงั้น

รถบอสจอดอยู่ฝั่งตรงข้าม ตอนขาที่ข้ามมากินข้าวเที่ยง นพนาศเดินนำลิ่วตามเคย ข้ามถนนมาถึงอีกฝั่งก่อนบอส แต่คราวนี้ หล่อนไม่อาจทำเช่นนั้น บอสค่อยๆ สอดนิ้วมือมาประสานกับมือของหล่อน มันไม่ใช่ไฟฟ้าช็อต แต่มันก็ไม่ใช่การจับมือแบบที่รับรู้แต่การสัมผัส มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้ใจเต้นตุบตับพร้อมกับอาการหายใจแรง ชานิดๆ แต่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่น นพนาศรู้สึกแบบนั้น

บอสขับรถตั้งใจจะไปส่งนพนาศที่โรงงานเพื่อเอารถกลับ ขับไปได้สักพักก็มีสายเรียกเข้ามือถือบอส ป้าเป้โทรมา... สองคนนี้เหมือนกำลังลักลอบทำอะไรแล้วต้องหลบผู้ใหญ๋ นพนาศเงียบเงี่ยหูฟัง ทั้งบอสและนพนาศรู้โดยไม่ต้องะเอ่ยปากออกมา...ห้ามไม่ให้ป้าเป้รู้ว่าทั้งสองอยู่ด้วยกันเด็ดขาด ป้าเป้ให้บอสไปเอารูปถ่ายแบบที่บอสไปถ่ายกับเพื่อนป้าเป้แล้วเอาไปให้ป้าเป้วันนี้เลย วางสายแล้วไม่นาน ชื่อป้าเป้ก็ขึ้นอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์นพนาศบ้างแล้ว

"อยู่ไหน" คำทักทายจาบจ้วงเช่นเคย

"อยู่ข้างนอกค่ะ" นพนาศรู้แล้วก็เลิกถือสามานานแล้ว

"ทำอะไร" ป้าเป้ต้องการคำตอบที่เฉพาะเจาะจงเข้าไปอีก

"กำลังจะไปใช้อินเตอร์เน็ตที่ออฟฟิศคนรู้จักนะค่ะ ที่บ้านมันช้าโหลดข้อมูลไม่ทันใจ" นพนาศไม่ใช่คนโกหกเก่ง หล่อนจึงเลี่ยงใช้คำว่า "คนรู้จัก" เพราะหล่อนเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเรียกรูปแบบความสัมพันธ์นี้ว่าอย่างไร ดีที่ป้าเป้ไม่ได้ถามอะไรมากมายไปกว่านี้ แค่นัดแนะกันว่าคืนนี้เจอกันที่ร้านเดิม แต่หล่อนก็ออกตัวก่อนแล้วว่า มีนัดกินข้าวที่บ้านเพื่อน คราวที่แล้วหล่อนเคยอยู่ถึงเช้า!

ก่อนวางสาย โทรศัพท์ของบอสดังขึ้นบ้าง ทั้งคู่สะดุ้ง หล่อนรีบเปิดประตูรถ กลัวว่าป้าเป้ได้ยินเสียงแล้วจะจำได้ ในขณะที่บอสก็สะดุ้งเฮือกรีบกดสายทิ้งเป็นพัลวัน วางสายป้าเป้แล้ว ทั้งคู่ก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องหลบๆ ซ่อนๆ ขนาดนั้น

บอสไปเอารูปและเอาไปส่งให้ป้าเป้ นพนาศก็นั่งไปด้วยแต่ไม่ได้ลงจากรถ บอสได้แต่บอกกับตัวเองว่าขอให้ป้าไม่ให้เขาพาไปที่ไหนต่อ ไม่เช่นนั้นความแตกแน่นอน

ค่อยยังชั่ว...ป้าเป้รับรูปจากบอสแล้วก็ไล่กลับทันที เหมือนคนที่ยังโมโหไม่หาย

กลับขึ้นรถ นพนาศเอ่ยปากขึ้นว่า "บอสอยากกินชาบูชาบูอีกรึเปล่า" ณ เวลานั้น จะให้กินอะไรซ้ำๆ ทุกวันทุกมื้อก็คงไม่ปฏิเสธ เรื่องสำคัญคือคนที่กินด้วยต่างหาก

"ไปสิ"

แล้วบอสก็นึกได้ "แล้วไม่ต้องไปกินกับเพื่อนเหรอคะ" นพนาศชอบเวลาผู้ชายพูด "คะ ค่ะ" เวลาพูดกับผู้หญิงจังเลย มันดูนุ่มนวล อบอุ่น และรู้สึกได้ถึงการทะนุถนอมที่น่าจะได้รับจากผู้พูด

"ก็เพื่อนเค้าทำชาบูชาบูให้กินนะค่ะ"

"อ๋อ เหรอคะ" บอสแสดงอาการงงเล็กๆ ด้วยว่า มันเหมือนกำลังขึ้นรถสปอร์ตเร่งเครื่องแล้ว ทั้งสองยังไม่ค่อยรู้จักกันเท่าไหร่ แต่นพนาศจะพาบอสไปทำความรู้จักกับเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว

"แล้วเพื่อนๆ ไปกันกี่คนเหรอคะ" บอสก็อยากรู้ว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงเขาจะต้องเจอกับอะไร

"ก็สัก 7-8 คนนะค่ะ" นพนาศอมยิ้ม หล่อนชอบทำอะไรแบบนี้แหละ บอสไม่ใช่คนแรกที่หล่อนพาไปเซอร์ไพร์สเพื่อนๆ หรอก คราวที่แล้วหล่อนพาพี่ณัฐ ผู้ชายรุ่นใหญ่ อีก 5 ปีจะเกษียณไปกินเนื้อเกาหลีย่างกับเพื่อนๆ มาแล้ว แล้วหล่อนก็ขำกับสีหน้าของเพื่อนๆ คราวนี้ก็เช่นกัน หล่อนพาผู้ชายอายุ 28 ปีไปเจอเพื่อนๆ ทั้งๆ ที่ระยะเวลาห่างกันไม่ถึง 3 เดือน!

รถกำลังเคลื่อนเข้าประตูบ้านเพื่อนของนพนาศแล้ว พร้อมๆ กับใจระทึกของบอส สายตาของเพื่อนๆ นพนาศจะมองเขาในลักษณะไหน เขาควรจะแสดงตัวอย่างไร บอสเริ่มคิดและพิจารณาว่าควรจะสวมหมวกเป็นลูกเจ้าของโรงงานจุลินทรีย์หรือผู้ชายที่เพิ่งเข้าวงการ เขาควรจะปฏิบัติต่อนพนาศในลักษณะใด

ไม่ใช่แค่บอสที่กังวลหรอก นพนาศก็กำลังคาดเดาปฏิกิริยาของเพื่อนๆ เช่นกัน เพราะหล่อนก็เพิ่งส่ง SMS ไปบอกเจ้าภาพว่า หล่อนมี "แขก" มาด้วยนะ!

วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เย็บถากปากร้าย: ต้องพิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง


ในที่สุด ต้นฉบับหนังสือแปลเล่มที่สาม (สองเล่มแรก คือ แพร์ซโพลิส 1 และแพร์ซโพลิส 2) ของฉันก็ถึงโรงพิมพ์แล้ว ฉันอยากให้ลูกคนนี้คลอดตามกำหนดวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 อย่างไรก็ดี ถ้าเด็กคลอดช้ากว่ากำหนด เท่าที่ทราบ ไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติมากมายแต่อย่างใด ฉันคิดซะว่า ลูกจะได้อยู่ในครรภ์มารดา ได้ใช้เวลาใกล้ชิดกันมากขึ้นอีกนิดนึง

สำหรับฉันแล้วนิยายภาพ (Graphic Novel) เล่มนี้ ดูจะเป็นหนังสือที่อ่านง่าย เป็นหนังสือที่พูดถึงเรื่องที่คนอยากรู้อยากเห็น ด้วยความที่ต้องอ่านไปมาหลายรอบ ความคิดและทัศนคติของผู้หญิงอิหร่านที่ส่งผ่านภาพวาดและตัวหนังสือทำให้ฉันฉุกคิดและเปรียบเทียบกับความรู้สึกของตัวฉันเอง และเลยไปถึงความคิดและทัศนคติในเรื่องนี้ของเพื่อนพ้องชาวไทย

ทัศนคติที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์หญิงชายเหล่านี้มองได้หลายแง่ และแน่นอนว่าความคิดเห็นที่แตกต่างย่อมนำมาซึ่งการถกเถียง เห็นด้วย/ไม่เห็นด้วย บางเรื่องเป็นทัศนคติที่ไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมไทย แต่ถามว่า เป็นการสะท้อนเรื่องจริงที่เกิดขึ้นหรือไม่ เรื่องต่างๆ ที่กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้บอกเล่าความจริงที่อาจจะเป็นสากลหรือไม่

...ฉันว่าคำตอบ "ใช่" คงเป็นคำตอบจากใครหลายๆ คน

บางครั้งเรายึดติดกับสิ่งที่ควรจะเป็น และหลอกตัวเองว่า "สิ่งที่ควรจะเป็น" เป็น "สิ่งที่เป็นอยู่จริง" อยู่ในโลกปัจจุบันนี้

ผู้ใหญ่หรือคนรุ่นเก่าที่ไม่ได้สัมผัสกับเรื่องราว ความเป็นไป ของลูกหลานในรุ่นถัดมา อาจจะเผลออ้าปากอุทานออกมาเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ไปได้ไม่กี่สิบหน้า บางคนอาจจะวางไม่ลง หรือบางคนทนอ่านต่อไปไม่ได้ รับไม่ได้ เป็นเรื่องเสื่อมเสีย ประมาณว่า "สกปรก ลามก"


ถ้าเป็นเด็กหรือวัยรุ่น อ่านแล้วอาจจะรู้สึกอบอุ่นใจว่ามีคนในประเทศอื่นที่คิดเห็นคล้ายๆ กับตน หรืออาจจะเป็นหนังสือที่ทำให้เด็กและวัยรุ่นมีทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ที่ผิดเพี้ยนไปจากที่พ่อแม่ ปู่ย่าตายายอบรมสั่งสอนมา

หากเปิดใจให้กว้างอีกสักนิด คิดวิเคราะห์ความเห็นของผู้หญิงต่างรุ่น ต่างประสบการณ์ อาจจะค้นพบสัจธรรมเหมือนฉันก็เป็นได้

"โลกนี้ไม่มีอะไรถูกผิด อาจจะเถียงกับคนอื่นให้ชีวิตมีรสชาติ ต้นดีปลายอาจจะดีหรือร้ายก็ได้ไม่มีใครรู้ อยู่ที่เราว่าเลือกจะทำอะไร ด้วยเหตุผลใด และอยู่กับสิ่งที่เลือกนั้นด้วยความสุขหรือไม่ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เรากำหนดไม่ได้ แต่เรากำหนดได้ว่าเราจะรู้สึกกับทุกเรื่องราวในชีวิตอย่างไร"

มองให้ลึกอีกสักนิด หนังสือเล่มนี้จะไม่ใช่เพียงหนังสือลามก พูดเรื่องบัดสีบัดเถลิงเฉกเช่นหนังสือที่มีภาพและบทสนทนาคล้ายคลึงกัน

คงไม่มีใครให้คำตอบใดได้ดีไปกว่าตัวคุณเอง...

เย็บถากปากร้าย (Broderies/Embroideries)
Marjane Satrapi เขียน
ณัฐพัดชา แปล
วางจำหน่าย กุมภาพันธ์ 2552

วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (21)

แม้นพนาศจะเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการเข้าเรือนกล้วยไม้อย่างเคย แต่สิ่งที่สร้างสีสันให้ชีวิตหล่อนในวันนั้นคือ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์จากบอส...

"สวัสดีค่ะ"

"บอสนะครับ"

"ค่ะ จำได้" นพนาศตอบรับ หัวเราะเบาๆ ด้วยใจอิ่มเอม

"ผมโทรหาป้าเป้แล้วแกยังโกรธผมอยู่เลย"

"แหม คนแก่ก็อย่างงี้แหละค่ะ อ้อนไปอีกหน่อยเดี๋ยวก็ดีเอง" นพนาศให้ความหวังแม้จะไม่รู้ว่าป้าเป้จะโกรธจริงจังขนาดไหน แล้วหล่อนก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์อีกรายแทรกเข้ามา พอเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ หล่อนรีบตัดบทกับบอส "ป้าเป้โทรมาค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน"

"หวัดดีค่ะ ป้า" นพนาศเรียกพี่เป้ว่าป้ามาจนเกือบจะลืมไปว่าป้าไม่ใช่ผู้หญิง หล่อนปฏิบัติต่อเขา(เธอ)เหมือนเป็นพี่สาว จะกอดจะหอมก็ไม่กระดาก ทั้งที่ปกติหล่อนก็ไม่ได้ให้ใครกอดง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง

"ไอ้บอสมันโทรมาหาเธอใช่มั้ย" ป้าเป้ถามแบบจะหาเรื่อง

"ก็ ค่ะ" นพนาศยังตั้งตัวไม่ติด

"นี่มันยังไงกัน ทำไมคุยกับชั้นไม่ได้แล้วจะต้องโทรมาคุยกับเธอ หึ"

"ป้าก็ นาศเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องข้าวหลามน่ะ เขาจะปรึกษาใครได้ล่ะถ้าไม่ใช่นาศ"

เหมือนเหตุผลเริ่มจะยึดพื้นที่ในใจป้าเป้เข้าบ้างแล้ว

"นี่ นาศ ป้าบอกจริงๆ นะว่า เราน่ะ 'เลือดขัตติยา' คงรู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง ต่อไปนี้ถ้าจะนัดเจอกันอย่ามาใช้บ้านชั้นนะ ชั้นไม่ต้องการรับรู้อะไรทั้งสิ้น"

"...." นพนาศไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี บางทีความเงียบอาจจะเป็นคำตอบที่นพนาศควรเลือกในสถานการณ์นี้ วิธีนี้อาจจะทำให้ป้าเป้เกรงใจไม่ล้ำเส้นหล่อนจนเกินไป

นพนาศกับป้าเป้คุยอะไรต่ออีกนิดหน่อย จบลงที่ว่าหลังจากเสร็จธุระป้าเป้จะมาหาหล่อนที่คอนโดเพื่อออกไปกินข้าวกัน

วางสายป้าเป้ นพนาศโทรกลับไปหาบอส หล่อนยังทำหน้าที่เดิมที่รับมาโดยที่ไม่ได้มีใครมอบให้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นหน้าที่ๆ หล่อนอยากทำ เพราะทำแล้วมันก็น่าจะเกิดผลดีกับหล่อนในที่สุด คุยไปคุยมาจบเรื่องป้าเป้ บอสชวนนพนาศไปกินข้าวได้ยังไงไม่รู้ หล่อนอ้างว่าป้าเป้บอกว่าจะมาหาแล้วไปทานข้าวกันคงไม่สะดวก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้บทสนทนาของทั้งสองจบลง ไม่ว่าจะคุยเรื่องใดก็เห็นจะต่อกันไปได้เรื่อยๆ วกไปเวียนมา เหมือนบอสจะถามว่าทำไมหล่อนถึงวางฟอร์มนัก แต่ก็ถามหล่อนเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่น พอหล่อนจะพูดตรงประเด็นว่าบอสไปติดใจใครเข้ารึเปล่า บอสเองก็ใช่จะไร้ฟอร์ม แต่แล้วก็ยังคุยไปคุยมาอยู่ในเรื่องประมาณว่าผู้ชายผู้หญิงถ้าชอบกันแล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร นพนาศคันปากจนเอ่ยถามว่า "ตกลงจะจีบมั้ยเนี่ย"

บอสไม่ทันตั้งตัว ถามกลับมาว่า "อะไรนะ เมื่อกี้หูมันอื้อๆ ฟังไม่ได้ยิน"

"ไม่ได้ยินก็ช่วยไม่ได้" นพนาศก็อายเป็นเหมือนกัน

"ถึงออฟฟิศแล้ว แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยว chat ทาง M"

ทั้งคู่ก็ยังคุยกันไปกันมาจนบอสที่ไม่ได้เป็นมนุษย์คอมพิวเตอร์เลือกจะโทรเข้ามาแทน เขายังคงชวนนพนาศไปกินข้าวอย่างไม่ลดละ แถมยังบ่นว่าถ้าไปซะตั้งแต่แรกก็กลับมาทันนัดกับป้าเป้ คุยไปจนเลยห้าโมง ป้าเป้ก็ไม่โทรเข้าหรือมาหา นพนาศเห็นว่าถ้าป้าไม่โทร หล่อนก็น่าจะสามารถออกไปไหนต่อไหนได้แล้ว หล่อนจึงโอเคที่จะกินข้าวเย็นกับบอส ยอมให้บอสมารับไปกินชาบูชาบูร้านโปรดของหล่อนไม่ไกลจากบ้านนัก

สองหนุ่มสาวนั่งนิ่งไม่ได้พูดอะไร บางครั้งความสุขก็เกิดขึ้นได้ง่ายๆ แค่ได้นั่งใกล้ๆ คนที่เราชอบ เรื่องมาสะดุดก็ตรงที่นพนาศได้รับ SMS จากป้าเป้ผู้ทั้งหวงและห่วงใยหล่อนจนคล้ายจะเป็นอาการหึง

"บอสอยู่ที่บ้านเธอใช่มั้ย"

นพนาศอึ้ง ส่งมือถือให้บอสอ่านแล้วก็มองหน้ากันอย่างงงๆ ครั้นจะรู้สึกโกรธที่ป้าเป้มายุ่งเรื่องส่วนตัว นพนาศกลับเข้าใจป้าเป้อย่างดีจนกลบความรู้สึกส่วนตัวไปสิ้น หล่อนสบายใจที่ทั้งคู่ออกมาจากบ้านหล่อนแล้ว เพราะฉะนั้น การที่หล่อนตอบกลับไปว่า "เปล่าค่ะ" จึงเป็นคำตอบที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงและเป็นคำตอบที่ควรจะตอบด้วย มีหรือที่ป้าเป้คนฉลาดจะไม่เช็คสอบว่าเป็นความจริงรึเปล่า เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทันที ตอนนั้นนพนาศกับบอสมาถึงมอลล์เล็กๆ เรียบร้อยแล้ว เสียงดังจอแจเป็นเสียงพื้นหลังที่ดีทีเดียว

"หวัดดีค่ะ ป้า" หล่อนทักทายแบบปกติทั้งที่น่าจะอารมณ์ขึ้นบ้างแล้ว

"อยู่ไหน" ป้าพูดกลับสั้นๆ เหมือนเป็นหน้าที่ๆ นพนาศต้องตอบเป็นกิจวัตร

"ออกมากินข้าวค่ะ ก็ตอนแรกป้าบอกจะแวะมาหาที่บ้าน ไม่เห็นมา นาศเลยออกมาหาอะไรกินนะค่ะ"

"อ๋อ เหรอ"

"แล้วคืนนี้ตกลงป้าจะพาไปดูพ่อหนุ่มนักดนตรีที่ผับตรงสยามสแควร์นั่นรึเปล่าคะ"

"ใคร อะไร ที่ไหน ไม่รู้เรื่อง" ป้าเป้พูดแบบงงๆ เต็มไปด้วยคำถาม

"ก็เมื่อคืนไง ป้าบอกเองว่าจะพาไปดูหนุ่มนิสัยดี อายุประมาณ 40 ยังโสดด้วยน่ะ"

"นี่ ชั้นจำไม่ได้จริงๆ นะเนี่ย ตายแล้ว ท่าทางจะเมาสุดๆ "

"งั้นก็ไว้วันหลังละกันนะคะ ขี้เกียจไปแล้วอะค่ะ อยู่บ้านดีกว่า" นพนาศรีบตัดบท ระหว่างที่เดินไปร้านบุฟเฟ่ต์ชาบูชาบูเจ้าโปรดกับบอส

"โอเคๆ แล้วโทรหากันนะ" ป้าเป้มักจะจบบทสนทนาอย่างนี้เสมอ

"ค่ะ"

พอวางสาย สองหนุ่มสาววิเคราะห์กันใหญ่ นพนาศพยายามอธิบายให้บอสฟังว่า อย่าไปถือสาป้าเป้แกเลย แกอายุขนาดนี้แล้วก็ขี้เหงา กลัวว่าเพื่อนที่มีอยู่ พอเป็นแฟนกัน ติดต่อกันเองแล้วแกจะหลุดไปอยู่นอกวงโคจร แล้วทั้งสองก็คิดว่า การที่ป้าเป้ส่ง SMS มาแบบนี้ ดูจะล้ำเส้นไปมากทีเดียว อีกทั้งโทรมาเช็คอีกต่างหาก แต่ก็ด้วยความเข้าใจในตัวป้าเป้ นพนาศให้อภัยและไม่ถือสาได้ทั้งหมด

ทั้งสองเดินเข้าร้านอาหาร สั่งอาหารแล้วก็ยังคุยต่อเรื่องป้าเป้ ต่างคนก็ต่างค่อยๆ แพลมออกมาว่า ป้าเคยพูดกับตนไว้อย่างไร ถ้าเป็นคนอื่นก็คงจะโกรธไม่มองหน้าไปแล้วอีกเหมือนกัน ป้าเป้ว่าบอสไม่เคยออกค่าใช้จ่ายอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าเหล้า ส่วนนพนาศ ป้าเป้ก็บอกไปว่า หล่อนเป็นคนมีปัญหา เที่ยวหว่านเสน่ห์ไปทั่ว อยากมีแฟนซะเหลือเกิน สรุปแล้ว ไม่ได้พูดดีเกี่ยวกับใครใดๆ ทั้งนั้น แต่นพนาศก็รู้ว่าป้าเป้ห่วงหล่อนจริงๆ ที่เตือนเรื่องบอส ในใจของหล่อนเอง ก็รู้สึกตงิดๆ อยู่แล้ว เพียงแต่หล่อนเป็นคนที่ชอบเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ของตัวเอง แน่นอนว่าเจ็บหนักกว่า แต่ก็จำแม่น ส่วนจะหลาบจำทำซ้ำหรือไม่ อันนี้เป็นอีกประเด็น ตัวหล่อนย่อมรู้ดีว่า ความผิดพลาดในอดีตตลอดมา หรือคนที่เข้ามาในชีวิตหล่อน ก็หนีไม่พ้นคนที่มีลักษณะพื้นฐานคล้ายๆ กัน แต่หล่อนก็อยากจะลองคบกับคนที่(หล่อนเข้าใจว่า)ไม่มีพันธะใดๆ

เมื่อนพนาศบอกกับบอสว่าป้าเป้พูดเรื่องเงินซะอย่างนั้น บอสจึงเป็นคนจ่ายเงินเลี้ยงนพนาศเอง บอสพูดด้วยความรู้สึกเหมือนถูกกดดันว่า "ถ้ามีก็จ่ายไปเรื่อยๆ ไม่มีแล้วจะบอก"

หลังจากกินชาบูชาบูกันอย่างอิ่มหนำสำราญ บอสก็ขับรถไปส่งนพนาศที่บ้าน ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าการออกไปกินข้าวกับเพื่อนธรรมดา นพนาศขอบคุณในขณะที่บอสหันตัวมาทั้งตัวและทำสายตาเว้าวอน แต่เขาก็ได้แค่คำขอบคุณ หล่อนรับรู้ถึงความรู้สึก แน่ใจทั้งๆ ที่ไม่มีการสื่อสารเป็นคำพูด

นพนาศเข้าบ้าน อาบน้ำอาบท่า เตรียมขึ้นเตียงนอน แล้วหล่อนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เขียนข้อความส่ง SMS ให้บอสว่า

"you are not the only one who has such feeling. thanks for tonight na ka"

ทุกอย่างกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี แต่ใครจะรู้ว่าถ้าเปรียบความสัมพันธ์นี้เป็นรถ เมื่อติดเครื่องและวอร์มได้ประเดี๋ยว รถก็พุ่งทะยานระดับ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในวันถัดมา

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (20)

"เราจะไปล้างรถที่ไหนดี"...

"อ้าว เมื่อกี้บอสไปล้างที่ไหนล่ะ"

"พระราม 5"

"โห ไปไกลขนาดนั้นเลยเหรอ"

"ก็รู้จักที่นี่ที่เดียว แต่แถวนี้ก็น่าจะมีมั้ง"

"ขับๆ ไปเดี๋ยวคงเจออะค่ะ" นพนาศนั่งนึกว่า ต่อให้หาร้านล้างรถไม่เจอ ก็คงไม่มีใครอารมณ์เสีย

บอสขับรถนพนาศ พอถึงแยกก็เลี้ยวขวา ผ่านไฟแดงไปแล้ว นพนาศเหลือบเห็นบริการล้างรถด้วยเครื่อง หล่อนบอกให้บอสใช้บริการที่ปั๊มนี้ บอสพุ่งเข้าไปจอดหน้าส่วนที่ให้บริการล้างรถอัตโนมัติ

"ท่าทางจะปิดแล้วอะ"

"เค้าคงยังล้างด้วยคนให้มั้ง" นพนาศให้ความเห็น

บอสถามเด็กปั๊มว่า "น้องๆ แถวนี้มีปั๊มนางรมมั้ย"

"ไม่รู้ค่ะ" เด็กปั๊มถามงงๆ ประมาณว่า ...อะไรวะ มาปั๊มกรูแต่ถามถึงปั๊มอื่น...

นพนาศขำพร้อมๆ กับที่บอสยิ้มๆ แล้วก็ขับรถออกจากปั๊มไป สักพัก ทั้งสองก็เห็นป้ายปั๊มนางรม บอสพุ่งเข้าไปอีกตามเคย ถามเสร็จสรรพว่ามีบริการล้างรถหรือไม่

"ไม่มีครับ" เด็กปั๊มตอบ

"สรุปว่า เราก็ต้องกลับไปที่ปั๊มสมิงนะสิ" นพนาศพูดปนหัวเราะ

บอสเป็นคนขับรถเร็วมากกก นพนาศเป็นพวกชอบสังเกตอากัปกิริยาของคนอื่นๆ แล้วแปลออกเป็นลักษณะนิสัย หล่อนเคยโดนคนที่ทำงานเก่าถึงสองคนทดสอบเรื่องนี้ ทั้งคู่ทำทีขออาศัยรถนพนาศไปประชุมหรือไม่ก็กลับบริษัท จริงๆ แล้วหล่อนก็ไม่แน่ใจหรอกว่าทั้งคู่เลือกดูที่ตรงไหน แต่ผลก็คือ ทั้งคู่ไม่ได้สนใจจะทาบทามหล่อนให้ไปทำงานด้วย คล้ายกับว่า ลักษณะการขับรถและการจัดรถของหล่อนจะไม่ได้มาตรฐานพนักงานที่ดี

สำหรับนพนาศ บอสขับรถเร็วมากสำหรับการขับรถในกรุงเทพยามรถติดแถมฉวัดเฉวียน แสดงว่าเป็นคนใจร้อนอย่างที่สุด แต่ลักษณะที่คนทั่วไปเห็น บอสไม่ใช่คนวู่วามขนาดนั้น นพนาศก็มีคำอธิบายให้ตัวเองตามเคย ลัคนาของบอสอยู่ราศีเมษ ราศีชั้นที่ 1 ทำอะไรเร็ว แรง กระฉับกระเฉง ใจร้อน กระตือรือร้น แต่ตนุเศษซึ่งหมายถึง จิตใจ กลับไปสถิตย์อยู่ภพอริ ใจของเขาเป็นดาวเสาร์

"อีกแล้ว" นพนาศคิดในใจ ทำไมหล่อนจะต้องเจอแต่คนที่ตนุเศษเป็นเสาร์นะ

นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นพนาศเข้าใจบอสทั้งๆ ที่รู้จักกันไม่นาน

ถึงปั๊มสมิง ทั้งคนล้างและเจ้าของรถขำกันใหญ่ บอสจอดรถ นพนาศขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เมื่อหล่อนกลับมา วิญญาณนักสืบ นักสังเกตเข้าสิงอีกแล้ว หล่อนถามโน่นถามนี่เรื่องรถเพื่อจะทดสอบว่า บอสรู้เรื่องรถมากน้อยแค่ไหน เขาทำท่ากระฉับกระเฉงอธิบายให้หล่อนฟังว่า ต้องเช็คอะไรบ้างเวลาขับรถ นพนาศปล่อยให้บอสแสดงภูมิ ดูท่าทางว่าคล่องแคล่วเพียงใด

"ใช้ได้" นพนาศพูดกับตัวเองอีกครั้ง

ระหว่างรอ บอสก็เล่าให้นพนาศฟังว่า "เมื่อก่อนก็เคยใช้คอรัมนะ แต่ขับชนตั้งแต่รถยังป้ายแดงอยู่เลย พอซ่อมเสร็จก็เลยยกให้พ่อ มันไม่ค่อยแรง เลยเอาฮุมย่ามาขับแทน"

นพนาศคิดแล้วไม่พูดอีกแล้ว "นี่ขนาดขับจนรถชนตั้งแต่เพิ่งออกรถใหม่ๆ ยังบ่นว่ารถไม่แรงอีก"

ยิ่งคุย หล่อนยิ่งแน่ใจว่า บอสไม่ใช่เด็กเหลือขออย่างที่หล่อนสร้างภาพไว้ตอนแรก เขาเป็นคนช่างเลือกต่างหาก แล้วก็เลือกได้ด้วยว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร ระหว่างทางกลับไปที่บ้านป้าเป้ บอสเล่าให้หล่อนฟังถึงประสบการณ์ทำงานด้านต่างๆ ฟังแล้วหล่อนก็งงว่าเด็กอายุ 28 ปีอย่างบอส ทำไมมีประสบการณ์การทำงาน รู้ลึกรู้จริง ได้ทำได้ลอง เป็นผู้ใหญ่เกินอายุจริงไปตั้งเยอะ

นพนาศชอบคนไม่ผิดแล้ว...

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (19)

นพนาศมีข้ออ้างให้โทรหาบอสแล้ว...

สักบ่ายสองโมงหลังจากที่สะสางเรื่องงานบ้าน งานกล้วยไม้ นพนาศก็โทรถามบอสเรื่องจุลินทรีย์ที่จะใช้กับต้นกล้วยไม้ หล่อนนัดแนะเสร็จสรรพว่าให้บอสมาเจอที่บ้านป้าเป้อันเป็นบ้านกลางเพื่อการพบปะอย่างคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน เป็นที่ๆ ทั้งนพนาศและบอสมักจะเจอกันเป็นประจำ

ประมาณสี่โมงเย็น นพนาศเดินเข้าบ้านป้าเป้แล้วก็ตรงรี่ไปตักข้าวกิน เห็นบอสนอนเอกเขนกที่เตียงหน้าโต๊ะคอมฯของป้าเป้

"วันนี้ป้าทำอะไรบ้างคะ"

"มีไข่เจียวกุ้งสับ กับน้ำแกงฝัก โน่น เอาถ้วยตรงนั้นไปตักแกงเลยนะนาศ"

ตักข้าวเสร็จ นพนาศก็ทักบอสนิดนึงว่า

"บอสมานานรึยัง"

"มาตั้งแต่สามโมงแล้ว มีธุระตอนห้าโมง"

นพนาศสะดุดกึก วางจานข้าว หลังจากที่ตักกินไปได้สองสามคำ เดินมานั่งที่ปลายเตียง ชี้แจงปัญหาพร้อมตัวอย่างต้นกล้วยไม้ที่มีปัญหา หล่อนเอาพวกศัตรูพืชและลักษณะใบของต้นกล้วยไม้มาให้บอสดู ขอคำปรึกษาว่าจะรักษาและปรับสมดุลให้ต้นกล้วยไม้อย่างไร เวลาต้นกล้วยไม้ต้นหนึ่งติดโรค มันก็ระบาดไปทั้งเรือน สิ่งที่หล่อนฝูมฝักมาแรมปี จบกันตรงที่กล้วยไม้ไม่ออกดอก บางครั้งออกดอกแต่ก็เหี่ยวเร็วผิดธรรมชาติของกล้วยไม้ ที่บางพันธุ์ดอกอยู่นานเป็นเดือนๆ

หล่อนรู้สึกว่าบอสรู้เรื่องที่กำลังคุยจริงๆ ไม่ได้เป็นเด็กเหลือขอไม่เป็นโล้เป็นพายสักกะหน่อย แต่ยังไงก็ต้องรอให้บอสเอาจุลินทรีย์มาให้ลองใช้พร้อมทั้งปรับสูตรให้เหมาะกับกล้วยไม้อีกครั้ง

คุยเรื่องงานจบ

"จริงๆ มีเวลาอีกชั่วโมงนึง" พร้อมยิ้มกวนตีนที่ได้ขัดจังหวะเวลากินข้าวบ่ายของนพนาศ หล่อนกลับไปกินข้าวที่เหลือ แล้วเสียงป้าเป้ที่ควรจะแว่วมา กลับกลายเป็นเสียงแว๊ดๆ ว่า

"จำไว้เลยนะบอส ข้าวหลามแค่นี้ยังเอามาให้กันไม่ได้ แล้วยังจะมาโกหกอีก คนอย่างนี้ชั้นไม่ชอบ ทนอะไรก็ทนได้ แต่คนโกหกนี่ไปเลย"

นพนาศงง บอสก็คงงงแต่ไม่แสดงออก นอกจากเสมองไปทางอื่น

สักพัก เขาก็ลุกเดินออกไปโดยไม่บอกกล่าวอะไร นพนาศรู้สึกถึงบรรยากาศมาคุระหว่างป้าเป้กับบอส

บอสหายไปพักใหญ่ หล่อน sms ไปหาเขาว่า

"ป้าเป้ก็เป็นอย่างนี้แหละ อย่าคิดมากนะ เค้ารักบอสยังช่วยหางานให้อยู่เลย"
ส่ง sms ไม่ทันไร ป้าเป้ก็พ่นพรวดๆ ด้วยความอัดอั้นตันใจ

"ป้ามีวิธีเทสต์คนของป้านะ คิดดูซิ มาถึงก็บอกให้ป้าทำกับข้าวให้หน่อยดิ เอาไข่ดาวไม่สุกนะ ชั้นเป็นอะไรกับมัน มาถึงก็ใช้ๆ ๆ เรื่องข้าวหลามบอกว่าจะซื้อให้ตั้งแต่วันก่อน นี่สองวันแล้วยังไม่เอามาให้ ป้าไม่ได้อยากจะกินข้าวหลามอะไรนักหรอก แต่มันเป็นเรื่องของน้ำใจ ป้าไปพูดกับคนอื่น เอาหน้าไปรับประกัน นาศนึกสิ ป้าไปพูดกับใครไว้ ก็เป็นหนี้บุญคุณเค้า ต้องไปชดใช้กันทีหลัง แล้วมันยัง..."

"ป้าก็ว่าเค้าซะขนาดนั้น มันเหมือนฉีกหน้าเค้าต่อหน้านาศเลยนะ ผู้ชายเค้าก็เสียหน้าสิคะ แล้วก่อนหน้านี้ป้าพูดอะไรกับเค้ารึเปล่า"

"มันเสียอารมณ์ เดินเข้ามาก็บอกให้ชั้นตักข้าวให้กิน ชั้นก็ไม่ได้พูดอะไร มันถามอะไรมา ชั้นก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง"

"แหม ป้า ผู้ชายเค้าก็มีอีโก้นะคะ เค้ามาคุยกับป้าดีๆ แล้วป้าก็แข็งกับเค้าอย่างนั้น"

"นี่ตกลงเธอนัดกันที่บ้านชั้นใช่มั้ย นี่บอกไว้ก่อนนะ อย่ามาใช้บ้านชั้นเป็นจุดนัดพบอะไรทั้งนั้น ชั้นไม่ชอบ" ป้าเป้ยังแรงอยู่เหมือนเดิม เริ่มจะระแวงด้วยความรู้สึกหวงเพื่อน ต้องการให้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง ถ้าเพื่อนติดต่อกันเองก็อาจจะทิ้งป้าเป้ให้เหงาอยู่เหมือนเคย เกย์ทุกคนเป็นอย่างนี้หรือเฉพาะป้าเป้คนเดียว...ไม่มีใครรู้

"คือว่า...ป้าชวนนาศมาทานข้าวใช่ม้า แล้วเมื่อคืนก็คุยกันแล้วว่าเค้าจะช่วยนาศเรื่องกล้วยไม้ นาศก็บอกเค้าว่าจะมาหาป้า ถ้าเขาสะดวกมาที่บ้านป้าก็ดี เค้าก็ว่า ต้องมาธุระแถวนี้อยู่แล้วนะค่ะ งั้นนาศขอโทษละกันที่ไม่ได้บอกป้าก่อน คิดว่านาศจะมาถึงก่อนเค้า นึกว่าเค้าจะมาตอนห้าโมงนะค่ะ" นพนาศอธิบายยืดยาว หล่อนพอจะเข้าใจความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย ถ้าวิธีเทสต์คนของป้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ป้าก็คงไม่ผิดที่จะรู้สึกเช่นนั้น แต่หล่อนก็คิดว่า บอสคงเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ได้ใส่ใจ ในเมื่อคนๆ นึงใส่ใจ อีกคนไม่ มันก็ผิดใจกันอย่างนี้

บอส sms กลับมาว่า "ผมหิวออกไปหาอะไรกินเดี๋ยวกลับไปครับ"

นพนาศเริ่มสงสัย แต่ก็ยังเบาใจเพราะเขาจะกลับมาอีก หลังจากฟังป้าเป้ระบายความรู้สึก ความทุ่มเท ใช้ "ใจ" ทุ่มช่วยเหลือบอส แล้วรู้สึกน้อยใจ ต่างๆ นาๆ หล่อนก็เริ่มรู้ตัวว่าต้องทำตัวเป็นคนกลางคอยห้ามศึก แล้วหล่อนก็เดินออกไปนอกบ้านตอนที่มือถือดังขึ้น

"บอสอยู่ไหนแล้ว"

"ล้างรถอยู่"

"ไหนว่าหิวไปหาอะไรกินไง"

"ก็กินก๋วยเตี๋ยวเป็ดที่ป้าเคยพาไปกินแล้วก็มาล้างรถ"

"ป้าเค้าก็น้อยใจเรื่องข้าวหลาม..." แล้วนพนาศก็ฉายซ้ำคำพูดของป้าเป้

"นี่ตกลงจะเป็น ข้าวหลามน้อยฆ่าลูกมั้ยเนี่ย" บอสยังมีอารมณ์ขัน พลอยทำให้นพนาศหัวเราะไปด้วย

"แล้วไปล้างรถที่ไหนล่ะ เอารถไปล้างให้ด้วยสิ" นพนาศเริ่มมีความคิดเจ้าเล่ห์ปิ๊งขึ้นมา

"ได้ เดี๋ยวบอสกลับไปนะ"

"กลับมาแล้วก็ไปง้อป้าเค้าซะหน่อยนะ เค้าก็น้อยใจเพราะรักบอสแหละ เราเด็กกว่าก็เข้าไปหาเค้า ไม่เป็นไรหรอกนะ"

"ครับ"

วางสาย นพนาศเดินเข้าบ้านป้าเป้ เล่าให้ป้าเป้ฟังเกี่ยวกับบทสนทนาระหว่างหล่อนกับบอส หล่อนใจชื้นขึ้นหน่อยที่ป้าเป้ลดความแรงลงไปบ้าง

"เค้าซื้อข้าวหลามให้ป้าจริงๆ นะ แต่แช่ไว้ในตู้เย็น เค้าเลยคิดว่ามันคงไม่อร่อยแล้วเลยไม่อยากเอามาให้ ป้าลองคิดดู ถ้าวันที่เค้าไปเยี่ยมคุณตาแล้วเค้าไม่ได้ซื้อ เมื่อคืนเค้าก็ต้องขับไปเมืองชลวิ่งเอายาไปให้คุณตา เพิ่งกลับมาเมื่อตอนเที่ยงนี่เอง เขาก็ซื้อมาให้ป้าใหม่ก็ได้"

"มันไม่มีข้าวหลามในตู้เย็นหรอก ถ้ามีมันก็ต้องเอามาแล้ว"

"แล้วป้ารู้ได้ไงว่ามันไม่มี ป้าไม่ได้บินไปที่บ้านแล้วเปิดตู้เย็นเค้าดูนะ"

"บอสอาจเป็นคนที่หลอกนาศอย่างที่พี่อู๊ดบอกก็ได้นะ" คราวนี้ป้าก้มหน้าพูดด้วยเสียงต่ำ

นพนาศมองแล้วก็เงียบไป

สักพัก บอสก็กลับมา คุยกับป้าอย่างที่นพนาศแนะ เสียงป้าอ่อนลงนิด แล้วป้าก็ขึ้นไปหยิบของข้างบนบ้าน เป็นสิบนาทีก็ยังไม่ลงมา

นพนาศยื่นกุญแจให้บอส

"ไม่ไปด้วยกันเหรอ"

"เหรอ อะ ไปก็ไป" นพนาศงงๆ แล้วก็โทรไปบอกป้าว่าออกไปล้างรถเดี๋ยวกลับมา

นี่เป็นครั้งแรกที่นพนาศและบอสได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองในที่จำกัด ร่างกายหล่อนมีปฏิกิริยา จังหวะหัวใจเต้นเร็วขึ้นกว่าปกติ...

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (18)

ยังไงๆ คืนนั้นนพนาศก็ยังทำตัวไม่ถูกอยู่ดี ร้องเพลงคู่ด้วยกันไปสักสี่ห้าเพลง มีคนแอบมาแซวก็แล้ว พอขยับขยายไปที่ผับใกล้ๆ กัน หล่อนก็ชิ่งหนีไปร้องเพลงเฮฮาแบบไม่มีเจ้าของ หรือเกี่ยวข้องใดๆ กับใคร หล่อนยังนึกภาพเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนที่หล่อนกับพี่จูนแกล้งกันแย่งตัวบอส ประมาณว่า "นี่เด็กของชั้นนะ" ตอนนั้นหล่อนยังไม่ได้คิดอะไรเลยด้วยซ้ำ



นพนาศทำตัวเป็นปกติ คือไม่สนใจใคร ร้องเพลงลูกเดียว จะว่าไม่สนใจทีเดียวเลยก็ไม่ได้ หล่อนเหลือบมองบอสเป็นครั้งคราว แต่ก็ดูเขาจะนิ่งๆ นั่งดูเหมือนจะวิเคราะห์คนที่แหกปาก เต้นแร้งเต้นกา ร้องเพลงซ้ำๆ ทำท่าเดิมๆ ใส่อารมณ์กับบางเพลงเหมือนเก็บกดมาจากไหน



"เมาแล้ว" บอสหันมาบอกนพนาศ ตอนที่หล่อนหยุดร้องเพลงแล้วบอสก็มาป้วนเปี้ยนอยู่ข้างหน้า



แค่นั้น...



ไม่มีอะไรมากกว่านั้น...



ไม่ช้าไม่นาน ไชยา เพื่อนชาวอินเดียที่ช่วยนพนาศเรื่องกล้วยไม้แวะมาทักทาย ไชยาชอบนพนาศมานานแล้ว หล่อนก็รับรู้ความรู้สึกดีๆ ที่เขามีให้ตลอดมา แต่ของแบบนี้ถ้าไม่ใช่มันก็ไม่ใช่ แต่ถึงจะไม่ใช่ก็ทำให้บอสเกิดอาการที่นพนาศคิดเข้าข้างตัวเองว่า "หึง" กลุ่มเพื่อนไปเที่ยวต่ออีกร้าน นั่งกันแปดคนทั้งโต๊ะ ช่างประจวบเหมาะเหมือนกามเทพแกล้ง นพนาศไปห้องน้ำเดินกลับเข้ามา ที่เดียวที่เหลืออยู่คือ หัวโต๊ะ ซ้ายเป็นบอส ขวาเป็นไชยา หล่อนไม่ได้ตั้งใจให้การสนทนาในคืนนั้นเหมือนเป็นการประลองภูมิแต่อย่างใด แต่คนที่ชอบถามคำถามจิตวิทยาอยู่เรื่อย ก็ประหลาดใจที่บอสตอบคำถามได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไชยาที่เป็นอัจฉริยะในความรู้สึกของนพนาศกลับใช้เวลาคิดนานแล้วก็ตอบไม่ถูก นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ทำให้นพนาศทึ่งในกึ่นของบอส

วงดนตรีเล่นเพลงแจ๊สเสียงไม่เบาเลยแต่นพนาศกลับไม่ได้ยิน หันไปทางซ้าย ที่ผนังมีรูปแขวนอยู่สามสี่รูป รูปแรกเป็นรูปที่มีโคมไฟสว่างในขณะที่ฉากหลังเป็นชนบททุ่งนาสุดลูกหูลูกตา รูปที่สองเป็นรูปราวตากผ้ามีผ้าตากอยู่หลากสี และมีเงาทอดยาวที่พี้นหญ้าด้านหลัง อีกรูปเป็นด้านหลังของผู้ชายคนหนึ่งเดินไปตามทาง สองฟากเป็นบ้านแถวทำด้วยไม้ แสงอาทิตย์สลัว

"พี่เห็นอะไรในรูปนี้" บอสถามนพนาศหลังจากนั่งมองรูปเหล่านั้นอยู่พักใหญ่

"แสงสว่างในความมืด" นพนาศพูดถึงรูปแรก จากนั้นก็อธิบายเป็นเรื่องเป็นราวถึงสิ่งที่หล่อนเห็นในรูปที่สอง "เห็นอับราฮัม ลินคอน ตรงที่เป็นเงาๆ นั่นไง เห็นด้านล่างมั้ยเป็นคางยื่นๆ แล้วตรงนั้นเป็นจมูกไง"

"แล้วรูปนี้ล่ะ"

"รูปชายกำลังเดินไปตามแสงตะวันที่กำลังขึ้น" พอถึงรูปที่สามทั้งนพนาศและบอสก็ไปอ่านชื่อรูปที่เหมือนเป็นคำเฉลย กลายเป็นว่าภาพนั้นเป็นภาพพระอาทิตย์กำลังตก

"เอ เราจะรู้ได้ยังไงว่าอาทิตย์ขึ้นหรือตกเนอะ" บอสยังสงสัยในความแตกต่างของแสงยามอาทิตย์ขึ้นกับอาทิตย์ตก

"ก็มองโลกในแง่ดีซิ"

...

นพนาศรู้ว่าอากัปกิริยาของหล่อนไม่พ้นสายตาเหยี่ยว สายตาดั่งเป็นเรดาร์ของไชยา บ่อยครั้งที่หล่อนคุยกับคนอื่นแต่ก็รู้สึกได้ว่าไชยาจ้องมาที่หล่อนจนทำให้หล่อนถึงกับไม่กล้าสบตา

บอสก็ใช่ว่าจะไม่รู้ ไชยาช่วยหล่อนเรื่องกล้วยไม้ ทั้งๆ ที่บ้านบอสทำเรื่องจุลินทรีย์รักษาสมดุลของธรรมชาติ แต่เขาไม่เคยเอ่ยปากเสนอที่จะทำธุรกิจกับหล่อน วันนี้เหมือนจะอดรนทนไม่ได้ บอสคุยให้ฟังในรายละเอียดจนหล่อนเกือบจะให้เขาเข้าไปที่บ้านเพื่อดูกล้วยไม้อยู่แล้ว

"นี่มันดึกแล้ว จะทำอะไรก็ทำกันตอนกลางวัน ฉันง่วงจะแย่แล้ว" ป้าเป้พ่นเพราะอดนอนมาร่วมสองคืน

ได้เวลาร้านปิด กลุ่มเพื่อนเริ่มแยกย้าย แต่บางคนก็ยังไปกินก๋วยจั๊บเจ้าอร่อยต่อ

แน่นอน ทั้งบอสและไชยาไปกินกับกลุ่มป้าเป้และนพนาศ

เพิ่งเป็นคราวแรกที่หล่อนสังเกตเห็นขนหน้าอกของบอสที่โผล่พ้นคอเสื้อคอกลมขึ้นมา

"มีขนหน้าอกด้วยเหรอ"

"มีเยอะด้วย...เป็นรูปตัวทีเลย"

แล้วพรุ่งนี้ทั้งนพนาศและบอสก็รู้ว่าทั้งสองจะได้เจอกัน...

วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (17)

เมี่ยงหอยแครงก็คือ หอยแครงที่กินแบบเมี่ยงคำ...

จะว่ามันอร่อยกว่าหอยแครงลวกก็ใช่ที่ แต่ก็เป็นอีกหนึ่งรสชาติที่ดูจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งผักสารพัด นพนาศไม่ค่อยได้กินผักกับเขาสักเท่าไหร่ ก็หล่อนเป็นพวกชอบกินหมูเห็ดเป็ดไก่เหมือนผู้ชายนี่นา

คืนนั้นหลังจากลองเมี่ยงหอยแครง นพนาศกับทีมก็พากันไปต่อที่ร้านประจำเช่นเคย หล่อนนั่งเล่นเกมส์ที่เพิ่งจะฮิตทั้งๆ ที่คนอื่นเขาเล่นกันเป็นแสนๆ ล้านๆ คะแนนแล้ว แต่หล่อนก็ยังเตาะแตะอยู่ที่หมื่นต้นๆ เรื่องเล่นเกมส์ไม่เคยเป็นเรื่องที่หล่อนทำได้ดีเลยตั้งแต่เด็กจนโต

"พี่มีที่ชาร์จแบตมั้ย"

"อะไรนะคะ" ตั้งใจเล่นเกมส์ นพนาศไม่ทันได้ยินว่าบอสวิ่งหน้าตื่นถามหาอะไร

"ที่ชาร์จแบตมือถือน่ะ"

"อ๋อ ไม่มีอะค่ะ" ตอบแล้วหล่อนก็เล่นเกมส์ต่อ ด้วยไม่รู้ว่าควรจะอยู่ในอารมณ์ไหนเพราะทั้งป้าเป้และน้องเจนสังเกตอากัปกิริยาของสองคนนี้อย่างแน่นอน หลังจากเห็นอาการ "บ้า" ผู้ชายของนพนาศอีกแล้ว

นพนาศไม่รู้ว่าตัวหล่อนเองเหมือนกับคนอื่นๆ รึเปล่า เวลาที่หล่อนชอบใคร หล่อนจะแอบมอง ทำเป็นไม่สนใจ คล้ายคนมีฟอร์ม ทั้งๆ ที่หน้า "ออกอาการ" ของหล่อนไม่เคยปิดบังความรู้สึกใดๆ ได้เลย

วันนี้นพนาศเล่นเกมส์จบแล้วก็ขึ้นเวทีร้องเพลงเลย ปล่อยให้บอสที่วุ่นวายกับที่ชาร์จแบตมือถือคุยกับน้องเจน แล้วหล่อนก็ตั้งอกตั้งใจกับการร้องเพลงเหมือนไม่มีใครที่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของหล่อนไปจากงานอดิเรกสุดโปรด

"มาร้องแบคอัพให้นะ" เสียงบอสแว่วมาพร้อมกับจับไมค์ยืนร้องข้างๆ นพนาศ

นพนาศเหลือบดูแล้วก็ร้องเพลงต่อ บอสจะร้องคลอเป็นท่อนๆ ที่มีเสียงประสานแล้วทำให้เพลงเพราะขึ้น

เพลงต่อไปคือ "ดาว" ของคริสติน...

หากคืนนี้มีดาวอยู่ล้านดวง ฉันขอได้ไหมสักดวงหนึ่งช่วยฟังฉันที

เพราะว่าคืนนี้ฉันมีเรื่องร้อนใจ อยากอธิฐานและขอดวงดาวให้ช่วยฉันสักที


เนื่องจากตอนนี้ฉันรู้สึกจิตใจมันอ่อนไหว อยากจะรู้ว่าเขาเป็นยังไงจากคำพูดวันนี้

เพราะฉันเพิ่งบอกรักไป และเขาก็รับฟังทุกอย่างทุกถ้อยคำ

เหมือนความฝัน แต่ฉันเองก็ไม่อาจแน่ใจ

ว่าพรุ่งนี้เรื่องของเราจะสุขหรือแสนเศร้า จึงวอนขอดาวให้ช่วยบอก(ที)


หากว่าตัวเขาใจให้ฉันจริง ฉันขอได้ไหมให้ทุกสิ่งเป็นจริงเรื่อยไป

ให้ต่อจากวันนี้เขามีแต่ฉันในหัวใจ จะอธิฐานและขอดวงดาวให้ช่วยฉันสักที


เนื่องจากตอนนี้ฉันรู้สึกจิตใจมันอ่อนไหว อยากจะรู้ว่าเขาเป็นยังไงจากคำพูดวันนี้

เพราะฉันเพิ่งบอกรักไป และเขาก็รับฟังทุกอย่างทุกถ้อยคำ

เหมือนความฝัน แต่ฉันเองก็ไม่อาจแน่ใจ

ว่าพรุ่งนี้เรื่องของเราจะสุขหรือแสนเศร้า จึงวอนขอดาวให้ช่วยบอก(ที)


ช่วยบอกให้ฉันรู้ ให้มั่นใจ การรอคอยมันยากเกินทนไหว

ได้โปรดช่วยบอกฉันและตอบหน่อยได้ไหม ว่าพรุ่งนี้เขากับฉันนั้นจะเป็นยังไง


เพราะฉันเพิ่งบอกรักไป และเขาก็รับฟังทุกอย่างทุกถ้อยคำ

เหมือนความฝัน แต่ฉันเองก็ไม่อาจแน่ใจ

ว่าพรุ่งนี้เรื่องของเราจะสุขหรือแสนเศร้า จึงวอนขอดาวให้ช่วยบอก(ที)

+++

นพนาศตั้งใจร้องเหมือนจะบอกอะไรใครผ่านเสียงเพลง หล่อนก็ชอบทำอะไรกำกวมอย่างนี้แหละ เพลงต่อไปเป็นคิวของบอส เขาขอเพลง ...ยอม

ฉันรู้ ฉันรู้ ตั้งแต่วันที่ฉันนั้นมีโอกาสได้ใกล้เธอ

หัวใจฉันเองก็รู้ดี เธอคือคนนั้น

คนที่ฉันไม่เคยคิดฝันว่ามี

แล้วเธอ แล้วเธอก็ยืนอยู่ตรงนี้

* แม้ว่าการ ตัดสินใจ ของฉันจะผิดพลาดมากสักเพียงไหน

ก็ไม่อาจ เปลี่ยนหัวใจ ไปจากนี้

** หยุดไม่ได้แล้วทุกอย่าง ใจของฉันนั้นรักเธอตั้งแต่เราได้พบหน้า

สบสายตา กันและกันห้ามไม่ได้แล้ว หัวใจ

จะไม่ยอมปล่อยเธอให้ไปจากฉันแม้ต้องเจ็บสักเท่าไหร่

แม้จะต้องแลกกับสิ่งไหน (ไม่สำคัญ)

(ซ้ำ *, **)

แม้ต้องเจ็บสักเท่าไหร่ ฉันยอม

...แล้วคืนนั้นก็เป็นคืนฝันหวานของนพนาศ...