วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

ยาวหน่อยนะ

ฉันเริ่มมองโลกในแง่ร้ายตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ...

ฉันเริ่มเป็นห่วงอนาคตตัวเอง เริ่มหวั่นไหวเวลาที่พี่คนหนึ่งที่เซ้นส์ของฉันบอกว่าฉันแน่ใจว่าคนๆ นี้เป็นที่ปรึกษาที่ดี เป็นคนดีที่ควรปรึกษา แล้วเขาก็พูดอะไรบางอย่างให้ฉันเก็บเอาไปคิด แม้เขาจะเป็นคนดีมากๆ พร้อมๆ กับที่เป็นผู้ใหญ่พอที่จะให้ฉันศึกษาด้วยตัวฉันเอง ดูแบบ 360 องศา เหมือนๆ กับการทำหนังสือ

เมื่อต้องมองช้างตัวนี้ให้รอบตัวในที่มืด ฉันต้องคลำไปทั่วๆ ทั้งบนล่างซ้ายขวาแล้วค่อยสรุปว่าสัตว์ตัวนี้คืออะไร หลายกรณีที่คนเราไม่มีโอกาสที่จะสัมผัสให้ครบทุกตารางเซนติเมตร เราก็คงจะพลาดปุ่ม เนื้องอก แผลเป็น หรือแผลสดที่โดนกระสุนปืน หรือเวลาสัมผัสถูกจุดสำคัญก็อาจจะโดนช้างเหยียบตายก่อนที่จะสรุปอะไรได้

คำพูดของพี่คนดีทำให้ฉันคิด คิด แล้วก็คิด!!

ถ้าจะมองให้รอบ ต้องนึกถึงความเป็นไปได้ทุกๆ กรณี Best, Worse, Optimal scenario การพลิกมุมมองวิกฤตให้เป็นโอกาส ถ้าแผน A ไม่สำเร็จ ต้องมีแผน B และ C กันพลาดด้วย แล้วถ้าปัจจัยแต่ละตัวทั้งภายนอกภายในเปลี่ยนล่ะ แต่ละตัวจะมีผลกระทบอย่างไร จะหักล้างกันได้มั้ย หรือจะเกิดผลเสียก่อนแล้วจึงเกิดผลดีตามหลัง ฉันเริ่มเซ็งและเริ่มเครียดถึงจุดที่ฉันคิดว่ายาท่าจะไม่ออกฤทธิ์ซะแล้วละมัง

เมื่ออยู่กับคนที่ความคิดบรรเจิด เราก็เลยกระเจิดกระเจิงไปตามความคิดที่หลั่งไหลพรั่งพรูมากมาย นี่เป็นบทสนทนาส่วนใหญ่ของเรา เราคุยกันสารพัดเรื่อง ฉันเหมาเอาว่าสมองทันกัน ไม่งั้นฉันก็จะโดนเหมือนที่ผ่านมา คือ พูดเรื่องนี้อยู่ดีๆ แล้วฉันก็ตัดฉับไปเรื่องใหม่ บางคนก็ทำหน้าเหรอหรา บ้างก็ว่าช่วยคุยทีละเรื่อง คิดร้อยเรื่อง ทำได้จริงแค่เรื่องสองเรื่องก็พอ แต่ตอนนี้คิดได้ไม่กี่สิบเรื่อง ฉันก็เริ่มเหนื่อยและหมดแรงกับความคิด ไอเดียวุ่นวายที่ผุดขึ้นมา แม้มันจะน่าสนใจแต่เรายังต้องคิดอะไรต่ออีกเยอะกว่าจะศึกษาจนรู้ว่ามันเป็นไปได้รึเปล่า

วันนี้ออกจะมีกรณีกันไม่น้อยทีเดียว ฉันต้องหาคนมาเช่าออฟฟิศเพื่อนำรายได้มาประทังชีวิตและเพื่อไม่ให้แม่หนักใจที่ลงเงินไปแล้วผลตอบแทนก็กำลังจะไม่มี ฉันคิดมาสารพัดตั้งแต่ซื้อมา จะทำโรงเรียนสอนโน่นนี่มากมาย แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เหลวทุกราย นี่ก็มีไอเดียใหม่ๆ ทำห้องอัดเสียงบ้าง ทำโรงเรียนสอนร้องเพลง หรือไปทำผับ คาราโอเกะโน่น ฉันน่ะทำอะไรก็ทำไปเถอะ รู้แต่ว่าฉันขอเก็บค่าเช่าอย่างเดียว ดูแล้วยังนึกไม่ออกว่าทำอะไรช่วงนี้ทีจะคุ้มเหนื่อย แต่ไม่แน่นะ ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องเหนื่อยเพื่อให้ได้รายได้มาอยู่ดี ออฟฟิศอีกสองแห่งหน้าห้องของฉันก็ว่างอยู่ ห้องแรกสุดเจ้าของต้องการจะปล่อยเซ้งหรือขาย ไม่ทำร้านทำผมแล้ว ฉันสันนิษฐานเอาว่า ทีมช่างคงย้ายไปที่อื่นแล้วเจ้าของหาคนทำต่อไม่ได้เลยให้คนเช่าดีกว่า

ใครๆ ก็อยากสบายหาคนเช่าอย่างเดียว แต่เศรษฐกิจช่วงนี้แย่ลงเยอะ การเมืองวุ่นวายหุ้นตกต่างประเทศถอนทุนออก ความรุนแรงการปราบม็อบเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด มีผลกระทบไปทั่วโลก งดเที่ยวบินไปกลับยุโรปทั้งหมด ฝนขี้เถ้าที่กำลังเกิดขึ้นเหมือนหนัง 2012 ที่ฉันดูเปี๊ยบ น้ำจะท่วมโลกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

หรือฉันไม่ต้องไปซีเรียสอะไร ยังไงอีกสองปีโลกก็จะแตกแล้ว เอาเวลาไปหาความสุขใส่ตัวดีกว่ามั้ย แต่ใครจะรู้ว่า 2012 จะเป็นยังไง ถ้าโลกมันเกิดไม่แตก ใครไม่ได้วางแผนอนาคตไว้ก็ตายทั้งๆ ที่ยังเป็นๆ กันพอดี

ตอนนี้ฉันกำลังมีความสุขกับการแต่งเพลงและโครงการที่เกี่ยวข้อง ก็คงต้องลองกันไปว่าจะไปได้ไกลถึงไหน เข้าถ้ำไปแล้ว ฉันจะเห็นแสงสว่างส่องเข้ามารึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ยังไงถ้าต้องเดินถอยหลังกลับไปทางเก่า ก็ยังเป็นทางออกที่มีอยู่ อาจจะเสียเวลาแต่อาจมีโอกาสเลือกอะไรใหม่ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ดีไม่ดี จังหวะนั้นอาจจะทำให้ถนนสายใหม่เสร็จแล้ว ใครที่ไม่รอก็พลาดไป ฉันอาจได้เป็นผู้บุกเบิกและได้พบเป็นรายแรกๆ ว่าทางสายใหม่พาเราผ่านอะไรใหม่ๆ ดีกว่าทางเดิมตั้งเยอะ

กลับมามองโลกในแง่ดีแบบหนังสือคุณหริ่นดีกว่า ยังไงความจริงที่เกิดขึ้นเราเปลี่ยนไม่ได้ แต่ความรู้สึกของเรา เราทำให้มันดีได้นี่นา ฉันจะไม่ไปหมกมุ่นกับ Worse Scenario มันแค่เป็นสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ฉันจะมีโอกาสลับสมองว่าจะพลิกให้มันเป็นประโยชน์ยังไงต่างหาก...เนอะ

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

สั้นๆ ละกัน

หมู่นี้ฉันจะกลายเป็นคนขี้เหล้าไปได้ยังไงกันนี่...

คิดในแง่ดีก็ประหยัดกว่าไปกินข้างนอก ทั้งชาบูชาบูที่กินวันนี้รวมแล้วก็ไม่ถึง 500 บาท ไวน์แดงคนข้างๆ ก็กินขวดยักษ์ ฉันเองยังจงรักภักดีกับ Absolute Vodka แม้จะไม่ใช่รสราสเบอร์รี่ที่รัก แต่พอเอารสธรรมชาติตั้งเดิมแต่เติมหมากฝรั่งรสโปรด คืนนี้กินมันก็หอมจริงๆ ด้วยสิ

คุณชายไปธุระให้สารพัดเลยประหยัดค่ามอเตอร์ไซด์ไปพร้อมๆ กับที่เขาก็ได้ออกกำลังกายไปด้วย (แหม คิดยังไงก็เอาให้ตัวเองได้ประโยชน์ทุกทีสิน่า) แล้วก็กลับมาพร้อมกางเกงยีนส์(ประจำ)แต่หนนี้ซื้อให้ลูกชาย ออกปากดีใจตัวละ 200 เอง จากที่แต่เดิมตัวเองซื้อบางทีคูณไปอีก 100 ฉันก็เอาไปฝันต่ออุตลุดว่ากะจะยกให้ฉันหนึ่งตัว แต่ฉันมัวแต่นอน เลยยกให้แฟนลูกชาย เห็นใส่แล้วหลวมเชียวเพราะแฟนลูกชายตัวเล็กนิดเดียว

วันนี้ฉันกวนตีนคนข้างๆ มากไปหน่อย เลยโดน ทำตัวให้สมกับเป็นแฟนมาเฟียหน่อย เออ เอาเข้าไป เกินอนาคตเดินกันคนละทาง ตรูตายแน่!

ตั้งแต่เพลงบรรเลงจนถึงพ่อ

วันนี้แต่งอีก 9 เพลง ยังไม่รู้จะขายได้มั้ย แต่ให้กำลังใจตัวเองไว้ก่อน...

เมื่อวันก่อนแต่งได้ 15 เพลงคนข้างๆ ก็ตะลึงอึ้งงงไปแล้ว ฉันคงต้องแต่งได้ดีเข้าทีบ้างละน่า เมื่อวานได้อ่านเพลงเด็ดของฉัน ตาสว่างเลย เขาบอกว่าจะคัดไปให้คุณเล็ก บุษบา ดาวเรืองสัก 3 เพลง วันนี้ฉันเลยแต่ง แต่ง แต่ง เข้าไปอีก เอาให้เลือกเยอะๆ ถ้าผ่านก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี เหมือนงานสำเร็จไปครึ่งนึงแล้ว ^-^

วันนี้ไปหาหมอ สงสัยว่าฝันมากมายเหลือเกิน หมอถามสั้นๆ ว่าฝันดีรึเปล่า ฉันก็ตอบไปว่า ฝันว่าอภิสิทธิ์ผูกเน็คไทสีแดงอะค่ะ ก็ไม่เห็นหมอว่าอะไร เล่าตอนที่หงุดหงิดเกินเหตุตอนที่ขนหนังสือไปงานสัปดาห์หนังสือ อันที่จริงทำเองหมดก็ได้ แต่เมื่อให้คนอื่นทำก็ไม่น่าจะไปทำให้มันวุ่นวาย คนคิดว่าช่วยก็ดีไป คนหาว่าเราไปทำเพราะเขาทำไม่ได้เรื่องก็ไม่รู้จะว่ายังไง เฮ้อ!! เอาเป็นว่า ของที่มันรอแก้ตัวไม่ได้เราก็ต้องเอาให้แน่ว่างานมันดี คนจะไม่พอใจก็ต้องยอมรับ ได้อ่านข้อคิดธรรมะของหลวงปู่ทวด พระพุทธเจ้าท่านยังต้องสละราชสมบัติ แล้วเราจะเอามันทุกอย่างได้ยังไง ปล่อยๆ มันไปบ้างเถอะ ฉันเลยกลายเป็นผู้ร้ายเจ้าอารมณ์ไปซะนี่

แต่พอฉันเล่าว่าฉันจัดการเรื่องอีเมลที่ด่าฉันได้เป็นอย่างดี รู้เท่าทันอารมณ์สติคุมไหว ก็แสดงว่าฉันอยู่ในภาวะที่โอเคแล้ว ไม่เหมือนตอนที่ได้รับอีเมลจากพี่ร่วมวงการแล้วฉันเก็บไปคิด จนเรื่องอะไรเข้ามาก็น้ำตาไหลสะอึกสะอื้นจนเกือบจะไปทำงานใหญ่ไม่ทัน

กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องหาคนแก้ไขคือเรื่องคนข้างตัวนี่เอง เอ่อ อันนี้ ค่อนข้างจะเรตเอ็กซ์ แต่ในเมื่อแปลเย็บถากปากร้ายได้ เรื่องนี้สบายมาก 555

อันเนื่องด้วยผลข้างเคียงของยาทำให้ฉันไม่พิสมัยเรื่องที่ผู้ชายเขาพิสมัยกัน คนข้างๆ ย้ำก่อนเดินเข้าห้องหาหมอ อย่าลืมถามเรื่องนั้นนะ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องนี้หรอก แต่เล่าโน่นเล่านี้ให้หมอฟังก็เลยนึกขึ้นได้ว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาและต้องอดท้นอดทนคือเรื่องนี้นี่เอง

หลังจากร่ายยาวทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต หมอก็จดบันทึกไปบ้างแล้วก็นั่งฟังต่อไป ในใจอาจจะคิดว่า คนไข้ของฉันคนนี้นี่มันนั่งรถไฟเหาะตีลังกาทุกครั้งที่มาหาฉันจริงๆ แล้วคุณหมอก็ทำหน้า โอ้โห โอ้โฮ เป็นพักๆ เพื่อลดผลข้างเคียงของยาที่ฉันจะไม่ระริกระรี้กับกิจกรรมก่อนนอน คุณหมอเสนอทางเลือกให้เพิ่มยาตัวนี้ ลดยาตัวนั้น และถ้าจะให้ผลโดยพลันก็ต้องกินเพิ่มอีกตัว ตัวนี้ออกฤทธิ์ช้า ลดอีกตัวก่อนแล้วกินพร้อมๆ กับตัวใหม่ กินไปสัก 2 อาทิตย์แล้วค่อยหยุดตัวเดิม เครื่องมันจะได้ไม่เดินสะดุด

ยาใหม่ต้องกินวันละสามเวลาก่อนอาหาร ข้อดีเยอะกว่า แถมสร้างเส้นใยประสาทด้วย ยานี้ปกติให้คนแก่กิน พอฟังไปท่าทางกินแล้วจะฉลาดขึ้น แผนเดิมที่กะจะให้เขาเลือกเองว่าจะให้ฉันกินยาแบบไหน(แต่ต้องเลือกให้ตรงกับที่ฉันอยากได้) ก็เป็นอันจบ ฉันก็ต้องเลือกทางใหม่อยู่แล้ว แต่ไม่บอกทั้งหมด สรุปแล้วเขาก็เลือกอย่างที่ฉันจะให้เลือกอยู่ดีนั่นแหละ แถมผลักภาระว่าซื้อให้กินเองนะ ฉันไม่จ่ายตังค์หรอก นั่งคำนวณวันละสามเม็ด สิบวันก็สามสิบเม็ด เดือนนึึงก็เก้าสิบเม็ด เม็ดละสิบกว่าบาทก็ประมาณพันนึง แล้วเขาก็รำพึง โธ่ ไปกินเหล้ากินเบียร์ กินอาหารสุดโปรดของฉันแพงกว่านี้ตั้งเยอะ แค่พันเดียวเพื่อจะได้สุขสมพี่แกก็ไม่ขัดข้องแต่ประการใด เฮ้อ! ตรูละเซ็ง ต้องทำหน้าที่อีกแระ

จริงๆ อยู่เป็นคู่ก็ดีกว่าอยู่คนเดียวตั้งเยอะแน่ะ ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะเปลี่ยนความคิดในเรื่องนี้ไปได้ ครั้งนี้ฉันคงใช้สติมากๆ เพราะโดนเป็นห่วง บ้างสาปแช่งจากสารพัดทาง ก็เลยทำให้เซฟตัวเองมากขึ้น อะไรไม่อยากปรับก็ไม่ต้องปรัับ ไม่งั้นที่ผ่านๆ มา คนก็ไม่รู้ว่าที่ฉันทำอยู่น่ะ ฉันไม่ได้ชอบหรอกนะ

ตอนนี้ฉันไม่ต้องไปมีสังคมกลางคืนให้มันมากมาย พบปะเจอหน้าผู้คนก็ไม่ต้อง ค่าใช้จ่ายก็น้อยลง หน้าตาผิวพรรณก็ดีขึ้น ช่วงหลังๆ นี่ไม่มีเสียงโทรศัพท์มารบกวนใจ ยังนึกถึงวันที่ฉันรู้สึกดีใจที่ลืมโทรศัพท์ไว้ในรถทั้งวันอยู่เลย กลับมามีชีวิตสงบไม่ต้องวุ่นวายอะไรกับใครมากมาย

แล้วก็แปลกที่อยู่กับใครสองคนทั้งวันทั้งคืนฉันก็ไม่เดือดร้อน แต่นั้นก็เป็นเพราะฉันมีอะไรให้ทำตลอดอยู่แล้ว เขาต่างหากที่อยากขโมยเวลาหน้าคอมฯ ของฉันไป สักอาทิตย์สองอาทิตย์เรากะกันว่า จะไปหาพ่อแล้วให้เขาเอาปืนสุดโปรดไปด้วย ไม่ได้เอาไปทำอะไรพ่อฉันหรอกนะ

ผู้ชายสองคนครั้งก่อนเขาคุยกันเรื่องปืนและอีกสารพัดเรื่องที่ชอบเหมือนๆ กัน ฉันจะให้คนข้างๆ เอาปืนไปโชว์พ่อฉันแล้วให้ชวนพ่อฉันออกมายิงปืนอีก อย่าน้อยเขาก็จะได้เคลื่อนที่ไปไหนมาไหนบ้าง ได้ออกกำลังกาย ได้คุยกับคนที่คอเดียวกัน นี่ถ้าพ่อรู้ว่าคนข้างๆ เป็นแฟนรักยืนยงรถอัลฟ่า ก็มีอันได้คุยกันอีกยาว ไหนจะพอร์ชอีก ทูตสันทวไมตรีคนนี้ดีที่สุดแล้ว ฉันคิดว่าพ่อน่าจะมีความสุขกับลูกเขยคนนี้...ทีเดียวเชียวล่ะ 555

วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

ช่วงนี้กำลังฮ็อต!!

ก็เมื่อคืนเล่นแต่งกลอน 15 เรื่องที่ขอร้องอยากให้ใส่ทำนองแล้วเปลี่ยนเป็นเพลงเพราะๆ ได้เงินได้ทองมาจัับจ่ายใช้สอยบ้างเถอะ!!

เมื่อคืนหันมองไปเจออะไรฉันก็ว่าเป็นกลอนไปหมด ไม่ว่าจะเป็น "มดแดงมดแดงไต่ราว หนอนสีขาวกระดึบกระดึบ" หรือ "ผ้าม่านบ้านฉันสีน้ำตาล" ตอนฟ้าใกล้สางก็ได้ "เสียงนกร้องกระจิบกระจิบ" นึกไปถึงแฟนเก่า รักกุ๊กกิ๊กสมัยมัธยม รักสับสน รักฝังใจที่ลงท้ายด้วยความเจ็บปวด ประมาณว่ามีหมดครบเครื่องทุกอารมณ์ แม้กระทั่งก่อนนอนระหว่างรอให้ยาออกฤทธิ์สารพัดพล็อต หัวข้อ ชื่อเพลงก็แว่บขึ้นมาให้จดใส่กระดาษจะได้เป็นการบ้านของวันพรุ่งนี้

นี่ยังไม่นับฝันอุตลุดที่คล้ายหนังสือของมูราคามิ แยกไม่ค่อยได้ว่าอะไรเป็นความจริงอะไรเป็นความฝันอยู่ในโลกแฟนตาซี!!!

วันนี้มีโจทย์ 12 หัวเรื่องบวกกับเพลง"ปากกา" ที่คิดได้บนเตียงก่อนหลับ

ทำไมฉันอยู่กับผู้ชายข้างๆ คนนี้ได้อย่างสบายใจอย่างนี้นะ หรือเขาเป็นคนปรับเข้ากับฉันแต่ฝ่ายเดียวกันแน่ แล้วความสบายแบบนี้มันจะหายไปวันนึงรึเปล่า วันนี้เขาโบ้ยให้ฉันทำกับข้าว ประมาณว่ากลับจากไปโบสถ์แล้วทุกอย่างพร้อมสรรพรอให้เขาตักเข้าปาก

แต่ไม่ได้หรอก เมนูที่ฉันตั้งใจทำวันนี้เป็นพาสต้า กินกับไก่ชุบแป้งขนมปังทอด พร้อมบล็อคเคอรี่ผัดกับเห็ดเข็มทอง อาจมีหมูสับปั้นเป็นก้อนทอดให้เลือกอีกอย่าง อาหารลูกครึ่งลูกเสี้ยวตามประสาฉันเนี่ยล่ะ

เหตุการณ์บ้านเมืองท่าจะรุนแรงขึ้นไปอีก เมื่อคืนก็ฝันว่าท่านนายกฯ เอารูปที่ไปเที่ยวหัวหินกับครอบครัวหนึ่งวันมาโชว์พร้อมใส่สูทผูกเน็คไทสีแดง ดูท่าฉันจะอินเกินไปแล้วนะเนี่ย!!!

ฉันว่ามันชักจะฮ็อตเกินไป พรุ่งนี้ถึงเวลาต้องไปเจอหมอตามนัด คงต้องเล่าเรื่องฝันอุตลุดแล้วปรึกษาว่า นั่นเป็นเพราะฉันนอนมากไปรึเปล่าดีกว่า

ขอไปผลิตผลงานตอนฮ็อตๆ ก่อนนะเธอ ^_^

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

สุขได้ในพริบตา ภาคความคิดและภาคชีวิต

หนังสือเล่มนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่าความเป็นตัวตนของฉันภาคหนึ่งได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง...

แม้ฉันจะรู้สึกถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจนว่า ฉันชอบภาคความรักมากกว่าสองภาคที่เหลือ แต่ก็มีหลายๆ เรืื่องที่โดดเด่นและทำให้ฉันอยากจะกล่าวถึง

ใช่ว่าฉันจะบ้าคนดัง แต่คิดว่าการยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมน่าจะทำให้คนเข้าถึงได้ง่ายกว่าการสื่อเรื่องความคิดในรูปแบบดั้งเดิมของมัน คุณนา กาญจนา ศิลปอาชา ยิ้มได้กับทุกสถานการณ์ ฉันอยากทำได้แบบนั้นเหมือนกัน คนเรามักไม่เห็นความบกพร่องของตัวเอง ปัญหาส่วนหนึ่งของการที่คนไม่ชอบฉัน เพราะหน้าฉันเวลาอยู่เฉยๆ มันดูไม่เป็นมิตร ดูเหมือนโกรธใครมา บางครั้งตาโตๆ ก็เหมือนไปจ้องตาหาเรื่องกับคนอื่น คนจะชอบจะเกลียดกันมันง่ายมากจนคิดไม่ถึง แค่ยิ้มก็ทำให้ทุกสิ่งดีขึ้นแล้ว

เรื่องคนจนสุขกว่าคนรวย เรื่องนี้ฉันก็คิดได้มาสักพักแล้วเหมือนกัน ตอนที่ฉันไปใช้ชีวิตแบบศิลปินอยู่ริมทะเล แวดล้อมไปด้วยคนรากหญ้า คนที่ทำหน้าที่ต่างๆ ในร้านอาหารริมหาด กระเทยนั่งดริงค์และร้องเพลงเชียร์แขก ฉันมีความสุขที่หล่อนบอกว่าฉันเป็นคนชั้นสูงที่ติดดิน ฉันร้องเพลงเพลงสุดท้ายเพลงประจำชาติของเกย์ หรือบางคนก็มองท่าเดินของฉันที่แตกต่าง ขาสองข้างชิดทุกก้าวย่างในขณะที่ลูกสาวของพี่เดินกางขา แล้วพี่ก็โทษตัวเองเสร็จสรรพว่าเพราะตอนท้องต้องยกของหนัก ฉันนึกถึงเจ้านายเก่าที่บอกว่าลูกเป็นออทิสติกเพราะตอนท้องเจ้านายนั่งทำงานอยู่ข้างเครื่องถ่ายเอกสาร

ฉันโดนตำหนิว่าไม่ไว้ตัว เพราะลดตัวไปพูดจาอย่างเป็นกันเองกับช่างภาพนิตยสารดังฉบับหนึ่ง ทั้งๆ ที่การที่บทสนทนาออกรสเพราะฉันเคยอยู่ที่บ้านเกิดของเขา คำว่า "ติดดิน" ช่างดูดีแตกต่างกันลิบลับกับคำว่า "ไม่ไว้ตัว" แล้วพอฉันร้องเพลงเพลงสุดท้ายต่างสถานที่ นักร้องชื่อดังให้ความเห็นว่า "ผู้หญิงที่ไหนเขาร้องเพลงนี้กัน เราน่ะประหลาด ชอบคบกับคนประหลาด"

กลับมาเรื่องจนรวยใครทุกข์กว่ากันดีกว่า คนจนก็รอเปียแชร์ เอาเงินไปใช้หนี้ที่กู้มาคิดดอกเป็นรายวัน คนรวยก็เอาที่มาจำนองกู้เงินมาลงทุนเหมือนๆ กัน คนจนลูกๆ ช่วยกันทำมาหากินช่วยกันคนละไม้คนละมือ คนรวยลูกช่วยทำมาหากินเหมือนกัน แต่ความเห็นไม่ตรงกัน สร้างความร้าวฉานยิ่งมีเขยสะใภ้มาร่วมด้วยยิ่งไปกันใหญ่ เหนียวหนี้ด้วยกันเอง กลัวว่าคนอื่นจะได้สมบัติมากกว่าตัว ถึงกับฆ่าแกงกันไปก็มีให้เห็นอยู่เนืองๆ

ใครโกรธอย่าโกรธตอบ เรารักเขาหายโกรธไปตั้งสิบปี เขายังทุกข์ทรมานจากความรู้สึกเกลียดเราที่อยู่ในใจเขาอยู่เลย พูดเรื่องประมาณนี้ ฉันอดคิดถึงพ่อไม่ได้ ทุกวันนี้ฉันอยู่อย่างเป็นสุข เพราะรู้สึกว่าได้ทำสิ่งที่ควรทำหมดแล้ว ฉันแค่อยากให้พ่อพ้นทุกข์อย่างฉันเท่านั้นเอง

เมื่อคืนเป็นคืนที่ฉันมีความสุข อาจจะไม่เกี่ยวกับหัวข้อหนังสือที่เพิ่งอ่านจบโดยตรง แต่ในเมื่อมันเป็นความสุขก็คงไม่ผิดที่จะกล่าวไว้ ณ ที่นี้

ฉันได้เห็นสายตาของผู้เป็นพ่อที่มีความสุขเวลาดูลูกชายคนเดียวร้องเพลงบนเวที ฉันสงสัยว่าสายตาที่มองแบบนั้นจะเปลี่ยนไปอย่างไรเวลาที่ลูกชายคนเก่งร้องเพลงบนเวทีคอนเสิร์ต มีคนฟังเป็นพันๆ มีคนร้องเพลงของลูกชายไปทั่วเมือง รายการทีวีช่องไหนก็เอาเพลงของลูกมาแซว

ตอนนี้ฉันได้เห็นพ่ออีกคนที่มีความสุขกับความสำเร็จของลูกสาว ไม่ใช่ใครอื่น พ่อของน้ำชา เจ้าของบทเพลง รักแท้...ยังไง นั่นเอง

ฉันก็พลอยมีความสุขไปด้วย เบียร์เย็นเจี๊ยบจากทาวเวอร์เบียร์สีเหลืองสดใสสูงร่วมเมตร เห็นว่าบรรจุเบียร์ประมาณ 6 ลิตร ฉันกับคนข้างๆ นั่งดึ่มพร้อมกับฟังเสียงเพลงของลูกคนข้างๆ ทำให้เมื่อคืนฉันออกจะเฮฮาเกินเหตุ ถึงกับขึ้นไปคว้าไมค์บนเวทีร้องเพลงรักคือฝันไป แต่เผอิญคุณลูกร้องเพลงด้วยคีย์สูงเกินเหตุ ฉันรู้ว่าด้นต่อไปไม่ไหวก็เลยรีบลงซะ ไม่ปล่อยให้ลูกค้าโต๊ะอื่นที่มีอยู่ประมาณ 2 โต๊ะรำคาญหูจนเกินไป

เสร็จแล้วต้องไปต่อที่ประจำอัพเดทความเป็นไป ดีเหมือนกันที่ฉันไม่เจอคู่กรณีทั้งหลาย ขึ้นเวทีร้องเพลง 2 เพลงแล้วก็ร้องตะโกนเล่นกับคนบนเวทีอีกหลายเพลง เมาได้ที่ขนาดเล่นกับพี่คนดีแบบหยิกแกมหยอกแต่คนมองว่ามันมากเกินไปไม่เหมาะสมที่กุลสตรีจะทำกริยาเช่นนั้น แต่จะไปสนใจใครให้มันมากมายนักหนา ในเมื่อคนข้างๆ ฉันเข้าใจว่าฉันหลุด พี่คนดีก็รู้ว่าฉันหยอก คราวก่อนน่ะ ฉันขนาดแกล้งเอานิ้วไปถูหัวนมเขาด้วยซ้ำ หนนี้แค่พยายามจะปลดกระดุมเสื้อหลอกๆ ที่หน้าอกเท่านั้นเอง

นิสัยเสียของฉันคือการเป็นคนชอบแกล้ง แต่อย่าได้ลามปามเชียวนะ ฉันจะหนีเลย คนข้างๆ เล่าให้ฟังวันรุ่งขึ้นว่าฉันไปลวนลามใครๆ อย่างไรบ้าง ฟังแล้วฉันก็ไม่ได้เวอร์อะไรมากมายนี่นา ก็แค่นิสัยขี้แกล้งกวนตีนสำแดงเดชเวลานึกสนุกเท่านั้นแหละ และก็เป็นโชคดีอีกแหละที่คนข้างๆ มองว่าคำพูดและนิสัยกวนตีนของฉัน "มันส์" ดี เรื่องนี้มันอยู่คนจะมองจริงๆ แค่อย่าไปล้อเล่นผิดที่ผิดทางเท่านั้นเอง ไม่งั้นไม่ได้ตายสวยกันพอดี

เดี๋ยวสุขจะหายได้ในพริบตา!!!

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

สุขได้ในพริบตา ภาคความรัก

ฉันทำสิ่งดีที่ได้ตอบผลดีให้กับฉันทันทีที่เปิดอ่าน...

การทำดีของฉันมิใช่เป็นการทำให้ผู้อื่น เป็นการขออ่านหนังสือที่คุณหริ่นเพิ่งแต่งเสร็จ มาย้ำซ้ำๆให้ฉันอย่าเผลอไม่เท่าทันความเป็นปกติของคนที่มองโลกในแง่ร้าย การที่ฉันเอ่ยชื่อบุคคลอื่นและพร้องที่จะเผชิญความเสี่ยงว่าเจ้าตัวอาจจะได้เห็นบทความในบล็อกของฉันเป็นเพราะว่า ฉันแน่ใจแล้วว่าไม่ว่าจะมองมุมไหน มุมซ้าย มุมขวา ตีลังกากลับหัว ก็จะเข้าใจตรงกับฉันว่า "ของมันดีจริงๆ"

ก็ชีเล่นก้มหัว ตีลังกา มองทุกสิ่งในแง่บวก แบบน่าทึ่งอึ้งและงง แถมเข้ากันพอดีกับบางความแตกต่างที่ต้องปรับสมดุลของฉัน

เริ่มด้วยคนไกลตัวที่ผุดขึ้นมาในทันใดดีกว่า หน้าของเธอกับข้อความในอีเมลยังโผล่มาเป็นครั้งคราว ในขณะอ่านหนังสือ "สุขได้ในพริบตา" ยิ่งโผล่หัวเด่มาให้เห็นในทันที "เพราะเค้ารักเรานั่นเอง เค้าถึงทำอย่างที่เค้าทำ" เขาทำสิ่งทีี่ฉันได้อ่านแล้วตกใจ งุนงง แต่มีเมตตาแผ่ไปให้ ฉันเหมาเอาเองว่าเขารักฉัน เขาแคร์ฉัน เขาเลยรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยเวลาที่เขาทำงานที่ฉันยก(โยน)ไปให้แบบไว้ใจเต็มๆ (ก็ฉันคิดแล้วว่าถ้าไม่ไว้ใจก็ทำอะไรไม่ได้ สู้ไว้ใจอาจทำให้เขารู้สึกมีส่วนร่วม คิดแบบเจ้าของ ทำเต็มที่แบบที่ตัวเองมีส่วนได้ส่วนเสียจริงๆ) แล้วพาลคิดไปต่างๆ นานา เมื่อพบปัญหาก็เหมือนอยู่กลางมรสุมแต่เพียงผู้เดียว

ไม่มีใครตายจากการทำงานบกพร่องหรอก คนที่เดือดร้อนที่สุดน่าจะเป็นเจ้าของเงิน ผู้บริหาร มิใช่พนักงานที่ตั้งใจทำงานอย่างเต็มความสามารถเพื่อให้ได้ตามมาตรฐานที่เขาคิดว่านายตั้งไว้ จะว่าไปมันก็เป็นศิลปะของการเป็นนายที่จะต้องดึงศักยภาพสูงสุดจากตัวลูกน้อง และก็ต้องเป็นหน้าที่ของนายอีกเหมือนกัน ที่จะต้องดึงให้แรงที่สุดพร้อมๆ กับทำให้แน่ใจว่าลูกน้องยังจะอยู่ให้ดึง อาจจะบ่นหรือไม่พอใจแต่ก็ต้องยังอยู่ให้ดึง!!

การเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นการเรียนรู้ที่มีประสิทธิผลสูงสุด แต่หากบางคนฉลาดพอและสามารถเรียนรู้และผ่านประสบการณ์อันโชกโชนจากเรื่องที่มีความเสี่ยงเกินเหตุก็ไม่ต้องเจ็บตัวเจ็บใจมากเกิน

เอาเป็นว่าฉันอ่านเรื่องนี้ทำให้ฉันสบายใจเรื่องลูกน้องที่ฉันมองว่าเป็นน้องที่ตั้งใจดีละกัน

กลับมาเรื่องหลักในเวลานี้ คนที่อยู่ข้างๆ ...

แม้เราจะ"คลิก"และฉันรู้สึกสบ้ายสบายเหมือนอยู่กับตัวเองเวลาอยู่กับเขา แต่เป็นเวอร์ชั่นที่มีคนดูแลด้วย จะว่าไปแล้วควรจะเรียกได้ว่า ดีกว่าฉันอยู่คนเดียว หากมองในมุมความสบายทางกาย ส่วนเรื่องทางใจ คงต้องปรับจูนกันบ้างเพราะไม่ใช่จิ๊กซอว์ที่ออกมาจากกล่องเดียวกัน

คุณชายเป็นลูกครึ่งไทย-ฟิลิปปินส์และผมยาวกว่าฉัน ถูกใจอะไรก็บอกว่า "มันส์ดี" เป็นประจำ ฉันไม่ค่อยแน่ใจหรอกว่า กางเกงยีนส์มันส์ ฉันเป็นคนมันส์ดี กับเล่นดนตรีมันส์ มันต่างกันยังไง คุณชายไม่ยอมหัดใช้คอมฯตอนที่ลูกสอน ทั้งๆ ที่อยู่ในช่วงเว้นวรรคของชีวิต แต่พอต้องมาอยู่ติดกับสาวบ้าเฟซบุคและสนุกกับทุกอย่างที่ต้องพิมพ์และหาได้ในโลกอินเตอร์เน็ต ฉันก็จับหัดแบบโยนลงน้ำวิธีเดิม ห้ามจดต้องจำทำให้คล่องมือจนขึ้นใจ แล้วฉันก็สั่งๆๆๆๆ อย่างเดียว

แรกๆ ฉันก็(อา)รมณ์เสียตามประสาคนไม่ชอบพูดอะไรซ้ำๆ แต่ตอนหลังก็เห็นเขาแอบเปิดคอมเวลาฉันหลับหรือไม่อยู่ กดปุ่มนั้นบ้างนี้บ้างลองโน่นลองนี้แบบสบายใจเพราะไม่มีใครมาจ้องมอง ตอนนี้เขาเปิดเครื่อง เปิดอีเมล์อ่าน เข้าเฟซบุค คลิกตอบรับเป็นแฟนหน้าสนพ.กำมะหยี่(ด้วยนะ)และปิดคอมเองได้(ด้วยล่ะ)

หน้าที่หลักในแต่ละวันของเขาคือ เปิดเมล์อ่านเพลงที่ฉันแต่งเมื่อวันก่อน ให้คอมเมนท์ว่าควรจะแก้ยังไง บอกคอนเซปท์ใหม่ให้แต่ง คล้ายๆ กับที่เขาบอกให้แอ๊ด คาราบาวแต่งในชุดกัมพูชากับเมดอินไทยแลนด์ ฉันแอบภูมิใจตัวเองแบบไม่ปิดบัง(เท่าไหร่) แม้ว่าเขาจะไม่พูดชมอะไรชัดเจน ความเร็วในการแต่งฉันเร็วแบบได้ 10 เพลงต่อวัน (อันนี้ไม่รวมแก้รวมเกลาซึ่งต้องทอดเวลาในการอ่านทวนซ้ำหลายๆ ครั้ง) แถมมีสไตล์คล้ายพี่ป๊อด สุนทรสิงห์ (อันนี้น้องชายเขาบอกเอง) แหม จะไม่วาดถึงอนาคตยังยิ่งใหญ่ยาวไกลคงจะไม่ได้กระมัง อิอิ

วันนี้เป็นวันแรกที่เขาหัดใช้น้อง Air จากที่ปกติใช้น้อง Mini มาตลอด มีเรื่องต้องเรียนรู้ใหม่เท่าที่เห็นสองจุด คือ ปุ่มที่เปิดเครื่องใหม่และการใช้ Mouse Pad ช่วงนี้คุณชายงานหนัก พายุอีเมลถล่มสาดซัดอย่างที่คนที่เคยทำงานกับฉันทั้งหลายเคยเจอมา ฉันคิดว่าเขาน่าจะเข้าใจว่าทำไมฉันถึงไม่รวบเขียนมันในอีเมลฉบับเดียว

จะว่าไปมันก็เหมือนต้นฉบับหนังสือหรือการประสานเรื่องงาน ต้องมีการส่งไปส่งมา แก้ไขเพิ่มเติมตัดเปลี่ยนหลายรอบ ถ้าจั่วหัวไว้ที่ Subject อีเมลก็จะได้หาง่ายมีอีเมลเยอะจริงแต่มีระบบในการจัดเรียงเวลาหาก็หาง่าย และอีกเรื่องที่เรียนใหม่วันนี้คือ การแก้ไขเนื้อเพลงในอีเมล ฉันให้เขา forward อีเมลให้ตัวเองแล้วตั้งหัวข้อใหม่เป็น edited edited1 edited2 ไปเรื่อยๆ ก็ดูจะทำให้เขางอนฉันน้อยลง ที่ฉันมัวแต่อินกับข่าวการเมือง เล่นเฟซบุค นั่งทำการบ้านส่งเขา อยู่กับคอมฯ ตลอดวัน เพราะเขาก็ทำเหมือนฉันในที่สุด 555

อีกเรื่องที่หนังสือคุณหริ่นทำให้ฉันระลึกถึงปัญหาและวิธีจัดการกับมัน หากมีเรื่องใดที่ไม่ชอบหรือรับไม่ได้จริงๆ ก็ให้มองว่าถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ข้อดีข้ออื่นก็จะหายไปด้วย ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสีย เราเลือกทิ้งบางส่วนของคนไปไม่ได้ และแม้ว่าเราจะเลือกทิ้งสิ่งที่เราไม่ชอบได้ ในความดี ข้อดีของเขานั้นเองมันก็มีข้อเสียฝังอยู่เป็นคู่กันอย่างเหนียวแน่น

เรื่องสุดท้ายที่ฉันนึกออกในตอนนี้ก็คงไม่แคล้วเกี่ยวกับเรื่องความคาดหวัง หากเรารักใครคงไม่เพราะเขาทำอะไรดีๆ ให้เรา นั่นเป็นความรักที่จะก่อให้เกิดทุกข์ ความรักที่ทำให้สุขเป็นความยินดีเมื่อเห็นเขาเป็นสุข ความเห็นใจเมื่อเขาเป็นทุกข์อยากช่วยแก้ปัญหาหรืออย่างน้อยก็อยู่เป็นเพื่อนใจเพื่อนคู่คิด ฉันว่าฉันได้ทำให้เขามีความสุข ได้ออกมาจากโลกอันหมองหม่น ชีวิตที่ต้องเว้นวรรค เพื่อรอจังหวะจะโลดแล่นต่อไป ตามธรรมชาติของทุกสิ่ง มีเกิดและมีดับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นวงจรซ้ำไปเรื่อยๆ จนกว่าชีวิตจะจบลง ได้เป็นคู่คิดได้ร่วมกันผลิตผลงาน ได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ ได้ใช้ชีวิตร่วมกันแบบแทบจะ 24 ชั่วโมงโดยที่ฉันไม่รำคาญ เพราะฉันอยู่กับคนที่มีวุฒิภาวะไม่ต่ำกว่าฉัน และรู้จักโลกมามากพอที่จะจัดการกับผู้หญิงกวนตีนคนนี้อย่างอารมณ์ดี

เป็นความสุขที่พบได้ในพริบตาจริงๆ เลยค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะ คุณหริ่น ^-^

วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553

ชื่อยาวไป ขอเอาไปใส่ไว้ในเนื้อความละกัน

“เลือกคบกับผู้ชายคน ไหน ก็คือการยอมให้กรรมของผู้ชายคนนั้นเข้ามาเกื้อกูลหรือรบกวนวิถีชีวิตของเรา เขาจะมีส่วนทำให้กรรมทางความคิด คำพูด และการกระทำต่าง ๆ ของเราเปลี่ยนแปลงไปไม่มากก็น้อย” ดังตฤณ/ธรรมะใกล้มือ

แหม เห็น update status ประโยคนี้แล้วอดไม่ได้ เข้ากันได้ดีกับเรื่องเมื่อวานที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ...

1 I rarely make up and dress up. Well, I do when go to luxurious parties so and so.

หลายคนบอกว่าฉันจะเนี้ยบทุกกระเบียด ไม่ว่าบุคลิกท่าทาง การนั่ง การยืนการเดิน (เอ่อ อันนี้ไม่ได้คิดเอง อาจารย์สอนด้านบุคลิกภาพคอมเมนต์ให้ฟัง เพราะฉะนั้นหมดข้อกังขาเรื่องหลงตัวเอง) เวลาอยู่บ้านฉันไม่ทำอะไรเลย ไม่แต่งหน้า ไม่อาบน้ำแปรงฟัน(เอ่อ ก็ยอมรับอะนะ ว่าออกจะซกมกพอควร) ไม่ทาครีม แต่แปลก ยิ่งอยู่บ้านนานๆ ผิวยิ่งดีเพราะไม่มีสิ่งสกปรกหมักหมม ไขมันตามธรรมชาติหลั่งออกมาเลี้ยงผิวหน้า รูขุมขนบริเวณข้างจมูกที่เคยเห็นได้ชัดก็พลันเล็กลง คนข้างๆ บอกว่าผิวดี (คล้ายโฆษณาครีมในทีวี แสดงว่าคนคิดก๊อปปี้คิดได้ตรงกับที่คนอย่างฉันรู้สึกว่าคุ้มค่าถ้าซื้อครีมแล้วได้คำชมจากแฟน)

ส่วนเวลาออกนอกบ้านไปซื้อของ ซื้อกับข้าว จิปาถะ หรือไปร้านประจำที่รู้สึกสบายแต่งอะไรก็ได้ ฉันก็ไม่แต่งหน้าและแต่งตัวน้อยลง แต่ถ้าไปงานอย่างแฟชั่นโชว์ Chanel ที่สยามพารากอน ฉันก็หยิบเสื้อสีม่วงเปิดไหล่มาใส่ให้เข้ากับกระเป๋า Chanel สีม่วงเพื่อเอาใจเจ้าภาพ (และหวังว่าพี่จะเห็น แหม กระเป๋าใบนี้ไม่ธรรมดานะ ฉันได้รับเป็นมรดกตกทอดจากญาติผู้ใหญ่ที่จากไปแล้วเชียวนะ)

และท้ายที่สุด การที่มีแฟนที่เจอนางแบบดาราทั้งก่อนแต่งหน้าและหลังแต่งหน้ามาแทบจะชั่วชีวิตการทำงานเป็นโปรดิวเซอร์และงานด้านโฆษณาในตำแหน่งอื่นๆ รวมทั้งเปิดผับที่เหล่าดารา นักร้อง และเซเลบที่ชอบเพลงฝรั่งแบบคุณภาพ เอาเป็นว่าอยู่ในวงการมายาแบบเต็มตัวนั่นแหละ เป็นผลให้เห็นความเป็นจริงของรูปร่างหน้าตาผู้หญิง ครั้งที่สองที่ฉันเจอเขา เขาจึงบอกว่าแต่งอะไรสบายๆ นะ นั่นก็แปลว่าฉันก็ทำแบบเขาเหมือนกัน แต่ไม่วาย ใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นโชว์ของดีที่ฉันมี อันว่าคือบั้นท้ายทอร์นาโดกับขาขาวเพรียวสูง จำไม่ได้ว่าแต่งหน้ารึเปล่า แต่เอาเป็นว่า ฉันมีทั้งเวอร์ชั่นที่ให้ช่างมาแต่งหน้าทำผมให้(ตอนที่สัมภาษณ์ลงหนังสือ) แต่งเอง(ไปงานต่างๆ แบบไม่ต้องเริดอันดับหนึ่ง) แต่งตามอารมณ์พอเป็นพิธีและท้ายที่สุดแค่ใส่เสื้อกางเกงหวีผมหรือรวบสักนิดก็ก้าวเท้าออกจากห้อง

อ่านแล้วสรุปเอาเองละกันว่าฉันเปลี่ยนไปรึเปล่า ฉันเองยังไม่อยากจะสรุปเลย โอเค ถึงเวลาพบกับข้อต่อไปหลังฉันกินข้าวเย็นฝีมือคนข้างๆ แล้วกัน ^-^

อะ มาต่อข้อที่สอง
2 I wear a pony tail (cos I am changing my hairstyle and it is in the ugly phrase)

คนอื่นจะรู้หรือไม่ฉันไม่รู้ แต่ฉันไม่สามารถเซ็ทผมสั้นที่ฉันไว้ได้สักเท่าไหร่ และเมื่อยาวมันก็ออกจะโทรมๆ ผสมกับการที่รวบผมและไม่แต่งหน้า มันก็เลยดูเปลี่ยนไป คล้ายกับว่าการมีแฟนคือสาเหตุของความเปลี่ยนแปลง

3 I don't visit my favourite pub that often

อันนี้ก็เนื่องมาจากฉันอยู่ในช่วงซึมเศร้าและเริ่มมีความคิดแตกแยกกับคนที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่รู้ว่าฉันเป็นสารประกอบใดแต่เมื่อต้องอยู่ตรงกลางระหว่างน้ำกับน้ำมัน การที่ฉันมีแฟนเป็นน้ำมันก็ทำให้เข้ากับน้ำไม่ได้โดยปริยาย แม้น้ำมันจะได้พยายามโอบกอดน้ำไว้แล้ว แต่น้ำก็สะบัดสะบิ้งตามประสาน้ำในมหาสมุทรยามมีมรสุม สารประกอบโนเนมอย่างฉันจึงเลือกอยู่อย่างสงบด้วยทางเลือกจำกัดบังคับอยู่บางส่วน แล้วน้ำก็ฝักใฝ่ในที่เที่ยวที่ฉันไม่ประสงค์ไปเยี่ยมเยือน อีกทั้งฉันมีกิจวัตรใหม่ทุกวันศุกร์ต้องไปดูผลผลิตของน้ำมันแสดงดนตรีสด กว่าจะเข้าไปเสนอหน้าที่ร้านประจำก็ตีหนึ่งกว่าๆ ไม่แค่นั้น งานการที่เคยต้องอาศัยผับประจำเป็นสถานที่ทำงาน ปรึกษาหารือ บางงานก็มีอันพับจบไป บางงานก็สามารถติดต่อในเวลาอื่น สถานที่อื่น ประจวบกับเป็นช่วงสัปดาห์หนังสือ พี่แสนดีคนหนึ่งก็แนะว่าดีแล้วที่ไม่ได้ไปที่ประจำ จะได้ไม่ต้องฟังเรื่องรกหู ทุกเรื่องมันเลยเป็นปัจจัยเสริมให้ไม่ได้ไปบ่อยๆ อย่างเคย

4 I made several major decisions abruptly without any notice even to myself!

ช่วงนี้เป็นช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ เรื่อง งานที่ฉันทำต้องอาศัยสายป่านยาวมากกกกก แค่วิตามินเอ็มที่ได้รับจากบุพการีที่แสนจะเข้าใจก็มากแล้ว ฉันเองยังจับจ่ายสิ้นเปลือง กล้าเสี่ยงกล้าลอง คนเกี่ยวข้องที่ไม่ได้เป็นอย่างฉันย่อมลำบากใจ ฉันบอกกับเจ้าของวิตามินเอ็มตามตรงว่า ถ้าฉันไม่สามารถลงทุนได้ในอัตราส่วนเท่าเดิม ฉันคงไม่สะดวกใจที่จะทำงานแบบเดิมต่อ พอๆ กับที่ถ้ายังจะรักษาอุดมการณ์เดิมก็จะทำให้ผู้จ่ายวิตามินเครียดจนเกินควร ไม่แค่นั้น สุขภาพของฉันที่ผีเข้าผีออก เป็นๆ หายๆ ย่อมกระทบโดยตรงต่อการทำงานที่ต้องทำร่วมกับคนอื่น ความรู้สึกผิดของฉันย่อมจะตอกย้ำให้ฉันไม่สบายใจเพิ่มขึ้นไปอีก ในเมื่อฉันก็วางทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็ได้แต่รอดอกผลที่จะได้รับซึ่งก็ไม่คาดหวังเสียเลยจะดีกว่า คิดเสียว่าได้ทำงานที่สร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับสังคม เป็นงานที่ฉันภูมิใจ สร้างความสุขจากความเหนื่อยในทุกเม็ดงานที่ฉันได้ทำได้เรียนรู้ได้เกี่ยวข้อง

เมื่อประตูปิด หน้าต่างก็เปิด มีคนเห็นแววฉันในหลายๆ เรื่อง งานอิสระที่ไม่กระทบใครถ้าคิดจะอยู่คนเดียวเป็นเดือนๆ แค่หาข้าวกิน จ่ายค่าน้ำไฟโทรศัพท์ก็พอ ในเมื่อมันมีความเป็นไปได้ ก็ดีกว่าจะรอวิตามินเอ็มอย่างเดียว สิ่งที่เคยทำเคยสะสมมาก็ออกจะเป็นคุณกับตัวฉันเอง และงานเดิมที่ฉันทำ งานประชาสัมพันธ์และงานโฆษณาทำได้หลายวิธี สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่องานเดิม เป็นประโยชน์ต่องานใหม่และตัวของฉันในระยะยาวย่อมต้องมีและฉันก็คงจะได้ทำต่อไป เพราะประโยชน์ที่ว่าก็จะตกไปสู่ผู้อ่าน ผู้ฟัง ผู้รับรู้จากสื่อในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะอย่างไร ฉันก็จะยังเป็นคนที่มีคุณค่าของสังคมอยู่ดี เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบวิธีการเท่านั้น

5 Many feasibility studies are not possible when further explore some important factors

งานที่น่าสนใจผ่านเข้ามา แต่อย่างที่เขียนในภาษาอังกฤษมันมีความเป็นไปได้ต่ำ ไม่ควรทำ หรือมีข้อจำกัดไม่คุ้มเสี่ยง งานเหล่านั้นก็พับไป งานที่ฉันเคยคิดว่า น้ำกับน้ำมันจะทำด้วยกันได้ ก็เป็นอันจบ ทั้งๆ ที่สิ่งมีประโยชน์ทั้งสองน่าจะใช้ความต่างมาร่วมกันสร้างให้เกิดประโยชน์เกิดงานที่มีประสิทธิภาพประสิทธิผล นี่ยังเป็นแค่เรื่องงาน เรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวก็จะได้พูดในหัวข้อที่กล่าวถึง

6 I have overestimated myself

สมญานาม Miss Anything จากน้ำอาจจะเป็นการกล่าวตามความเป็นจริงที่ฉันเมื่ออยู่ในสภาพพร้อมก็ทำมันได้สารพัดอย่าง แต่พอช่วงตกต่ำฉันก็ไม่ทำอะไรมันเลยทั้งนั้น งานทุกงานต้องมีคนรับช่วงไปทำต่อ คนที่จะเป็นแขนเป็นขาก็หาที่ทั้งดี เข้ากันได้ และไว้ใจได้...ฉันก็ยังหาไม่เจอ สรุป ไม่สามารถจัดการปัญหาได้อย่างเหมาะสม

7 Due to several factors, I myself make decisions without consulting anyone. (which is my usual style)

คนมองจากข้างสนามเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงเดียวกัน ก็ถือเอาว่าเรื่องที่เปลี่ยนทั้งหมดมีเหตุผลต่อกัน เป็นปัจจัยเชื่อมโยงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับอีกสิ่ง คนที่ว่าก็ไม่รู้อีกเหมือนเดิมว่าฉันตัดสินใจทุกเรื่องด้วยตัวฉันเองมาแต่อ้อนแต่ออก แม่เคยคล้ายจะน้อยใจที่ฉันไม่บอกแม่ก่อนที่จะลาออกจากแบงค์ชาติ ฉันออกจากงานที่ทำกับญาติที่มันมีปัจจัยหลายอย่างขัดแย้งกับอุดมการณ์และความเป็นฉันอย่างแรง ปัญหาที่ฉันพบเจอไม่สามารถบอกคนอื่นได้ คนรอบตัวไม่เข้าใจฉันอย่างที่ฉันเป็น แต่แล้วในที่สุดเวลาก็ทำให้คนรอบข้างเข้าใจ เมื่อเข้าใจก็ไปกระทบกับอีกคนอย่างชัดเจน เนื่องด้วยพ่อฉันคงไม่ได้มาอ่านบล็อกนี้แน่นอน การที่ทุกคนเข้าข้างฉันแล้วและถ้าพ่อยังยืนกรานที่จะเห็นฉันเป็นสูญญากาศเช่นเดิม มันจะทำให้แม่ฉันว่าพ่ออีก ฉันเลยเลือกจะไม่ทำอะไรให้แม่ว่าพ่อได้ แล้วฉันก็บอกตัวเองว่าฉันเข้าใจเขาอย่างที่เขาเป็น เขาแค่มีโอกาสแสดงความเป็นศิลปินของเขากับฉันคนที่เขารักที่สุดเท่านั้นเอง แล้วฉันก็อยู่กับมันได้อย่างสงบ

8 Many rumors about me are from my close friends. Anyway, they are still my friends but I might not be for some. And one of them said the topic of this article.

ฉันวิเคราะห์มา 7 ข้อแล้ว ฉันว่าฉันคงได้ใช้เหตุผลพอกับการพิจารณาว่าสิ่งที่ได้รับฟังเป็นจริงหรือไม่ กับคนที่สำคัญและมีวุฒิภาวะพอที่จะรับฟังและยินดีที่จะเชื่อคำพูดของฉัน ฉันก็เขียนอธิบายอย่างยืดยาวให้เขาฟัง ส่วนคนที่อารมณ์พาไปไหนแล้วโน่น ฉันก็เงียบๆ รอเวลา ส่วนคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าฉันแต่ไม่ได้พูดกับฉันโดยตรงว่าเข้าใจผิด ฉันก็ไม่ได้พูดอะไร ถามอะไรก็ตอบอย่างนั้น ไม่ได้ไปให้เห็นหน้าเพราะดูหนังดูซีรีส์เกาหลีอยู่บ้าน แล้วก็ทำตัวตามปกติ ส่วนใครจะคิดว่าไม่ปกติก็ปล่อยเขาไป ฉันไม่สามารถไปอธิบายคนทุกคนในโลกได้ ก็ต้องยอมรับว่าฉันไม่ได้เป็นอย่างที่ใครๆ คิดซะส่วนใหญ่...แม้กระทั่งคนข้างๆ ที่ค่อยๆ รู้จักค่อยๆ เข้าใจฉันทีละนิด เขาคนที่ใส่ใจถามเช็คสอบว่าเข้าใจถูกต้องในหลายๆ เรื่อง ในแบบที่ไม่มีใครสนใจและใส่ใจมาก่อน

9 Many conflicts lately and I still don't know whether what I do is the best way to handle these issues.

บางคนฉันก็เงียบ บางคนฉันก็ตกใจแล้วก็เงียบ บางคนฉันก็อธิบายด้วยภาษาเขียนที่ฉันน่าจะสื่อแล้วไม่เข้าใจผิด บางคนฉันก็ไม่รู้ว่าเขาไม่พอใจ บางคนฉันก็เข้าใจว่าเขาเข้าใจแต่จริงๆ แล้วเขาไม่ได้เข้าใจหรอก หรือกระทั่งบางคนที่ไม่รู้ว่าฉันไม่พอใจแต่ฉันก็ให้อภัยเขา ความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ไม่มีสูตรตายตัว คนที่มีความสัมพันธ์กับคนหนึ่งดีไม่ได้แปลว่าเขาจะมีสัมพันธ์กับคนที่มีพื้นหลังคล้ายกับคนแรก คนที่พยายามที่จะมีความสัมพันธ์กับใคร มีเจตนาดีไม่เคยปรารถนาร้ายอาจไม่สามารถสื่อด้วยวิธีต่างๆ ให้อีกคนเข้าใจว่าเขาปรารถนาดีอย่างจริงใจแม้จะต้องใช้เวลาชั่วชีวิต บางกรณีอาจต้องปล่อยให้คู่กรณีตายไป แล้วเมื่อได้มองย้อนกลับได้มีเวลาพินิจพิจารณา ได้รู้ว่าการขาดเป็นอย่างไร ก็อาจจะเปลี่ยนความคิด หรือไม่ก็เข้าใจผิดไปจนตาย

10 And I finally have a nice boyfriend (till now no one knows what tomorrow will bring)

ฉันเลิกฝันเพ้อไปนานแล้ว ฉันเคยไร้ความรู้สึก ฉันเคยคิดแม้กระทั่งว่าตัวเองตายด้าน ใครต่อใครที่ผ่านเข้ามามีทั้งฉันทำให้เขาผิดหวังและเขาทำให้ฉันเจ็บช้ำ ฉันเลิกกลัวว่าจะเจอกับอะไรอีกแล้ว เพราะฉันได้เคยเจอสิ่งที่ฉันไม่อยากเจอมาหมดแล้วมั้ง ฉันเลยอยู่แบบวันต่อวัน วันนี้ดีก็เป็นเรื่องของวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็เป็นเรื่องของอีกวันไม่เกี่ยวกับความเป็นไปของวันนี้และเมื่อวาน แล้วฉันก็ดูจะมีความสุขดี เพราะไม่หวังอะไรที่ดีเลยเป็นเรื่องที่ทำให้ฉันรู้สึกดี รับรู้ถึงคุณค่าของสิ่งที่ได้รับ และหากเกิดเรื่องไม่ดี มันก็เป็นเรื่องที่ฉันเจอะเจอมาแล้ว มันจะแย่ไปได้สักแค่ไหนกัน

ในที่สุด ฉันก็มีคนที่ถือกระเป๋าสตางค์ให้ฉัน จูงฉันข้ามถนน เลือกยืนอยู่ข้างที่จะโดนรถชนก่อนแล้วผลักให้ฉันไปอยู่ข้างหลังหรืออีกข้าง คนที่คอยดูแลว่าฉันกินข้าวรึยัง ทำอาหารถูกปากฉันรึเปล่า ฉันจะอึดอัดหรือกลัวค่าไฟเพิ่มก็ไม่เปิดแอร์ อาศัยอาบน้ำบ่อยๆ เอา แต่พออาบบ่อยๆ ฉันก็บอกว่าค่าน้ำเพิ่มเท่าตัว เขาก็เอาไปเป็นธุระ แต่ก็ขอน้อยใจว่าเวลาฉันออกไปข้างนอกกินข้าวทีก็แพงกว่าค่าไฟทั้งเดือนอีก

มีคนคอยเข็นรถเข็นไปซื้อของด้วยกัน ช่วยฉันหิ้วของและอาจจะหิ้วทุกอย่างให้ฉันเดินมือเปล่าแบบสบายนำหน้าไปไกล อีกทั้งความเอื้ออารีจนผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกว่าฉันเลือกผู้ชายถูกแล้ว สวนกับกระแสหลักที่ว่าฉันกำลังโดนหลอกโดนคุณไสยอย่างจัง

วันนี้กับพรุ่งนี้ไม่เหมือนกัน อย่าไปหวังให้พรุ่งนี้เหมือนวันนี้ แต่ถ้าวันนี้เป็นวันดีๆ ยังไงวันดีๆ ก็ยังคงอยู่และเราก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตที่สวยงามได้...ใช่มั้ยเธอ

วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2553

Thanks. We will talk when you are back to yourself.

The above topic is the answer to my Happy Songkran Day SMS...

Let me repeat it again. "Thanks. We will talk when you are back to yourself."

Who am I? Am I myself now? If not, when will I be back to myself?!!

Am I that hard to understand? Have I changed everytime I have a boyfriend?

Of course, I can say so. When two people are together, each needs to adapt or change or accept what one doesn't like or be or agree. I can see why people thought that I have changed. Only no make up or dress casually mean I have changed. Do they look deep down inside? Who I am? What I do? What I have done?

I am going to list all changes of which I can think:
1 I rarely make up and dress up. Well, I do when go to luxurious parties so and so.
2 I wear a pony tail (cos I am changing my hairstyle and it is in the ugly phrase)
3 I don't visit my favourite pub that often
4 I made several major decisions abruptly without any notice even to myself!
5 Many feasibility studies are not possible when further explore some important factors
6 I have overestimated myself
7 Due to several factors, I myself make decisions without consulting anyone. (which is my usual style)
8 Many rumors about me are from my close friends. Anyway, they are still my friends but I might not be for some. And one of them said the topic of this article.
9 Many conflicts lately and I still don't know whether what I do is the best way to handle these issues.
10 And I finally have a nice boyfriend (till now no one knows what tomorrow will bring)

Tomorrow I might have some answers to myself, right?...

วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

การเมืองเรื่องความเห็น

เธอเชื่อมั้ยว่าฉันดูทีวีช่องเสื้อแดงทุกวัน...

ฉันน่ะ ไม่สนับสนุนการประท้วงและการใช้กำลังใดๆ ทั้งสิ้น แต่ดูเพราะจะได้รู้ว่ามีการบิดเบือนหรือการพูดจากมุมมองอีกด้านอย่างไร เมื่อคืนก็เพิ่งเปิดช่อง ASTV ดูทางอินเตอร์เน็ต สมัครรับข่าวสารจากสืื่อที่รัฐสั่งให้ปิด อ่านข้อมูลที่ต้องห้าม ถกกับคนข้างๆ ที่ยอมรับว่าเป็นเสื้อแดง แต่เราก็อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบแฮะ เพราะเราพูดจากันด้วยเหตุผล และไม่บังคับให้ต่างฝ่ายทำอะไรที่ไม่พอใจจะทำ

ตื่นเช้า(เย็น) มาฉันมีหน้าที่รายงานข่าวต่างๆ อ่านคอลัมน์ที่สำคัญให้ฟังระหว่างรอเขาเตรียมอาหาร พร้อมๆ กับที่เช็คอีเมล ทำงานไปด้วยนิดหน่อย เมื่อเช้ากลุ่มมอเตอร์ไซค์เสื้อแดงวิ่งผ่านหน้าคอนโดฉันเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงเต็มพร้อมโทรโข่งกระจายเสียงดังไปทั่วบริเวณ ตื่นมาตอนเย็นผู้ประท้วงได้รับชัยชนะฉันเลยได้ดูช่องเสื้อแดงดังเดิม

อดรนทนไม่ไหวที่พระสงฆ์ขึ้นเวทีเสื้อแดงกับเขาด้วย มันไม่ใช่กิจของสงฆ​์พอๆ กับที่ไม่ใช่กิจของแพทย์ที่จะมาเจาะเลือดราดพื้น แต่เหตุผลของแพทย์ก็มีน้ำหนัก "หรือจะปล่อยให้ทำกันเอง มันไม่อันตรายกว่าหรือ" ส่วนพระสงฆ์ถ้าไม่ขึ้นเวทีก็อาจจะโดนประทุษร้าย บางรูปอาจจะจำใจ แหม คนธรรมดาที่ใช้พระสงฆ์เป็นเครื่องมือก็มีถมไป

เหล่าหมอดูหลายสำนักค่อนข้างจะฟันธงเหมือนกันว่าใครบางคนจะไม่ได้กลับเมือง ไทยและการประท้วงก็จะคลี่คลายเมื่อดาวพฤหัสย้าย รอดูอยู่เหมือนกันว่าจะเป็นไปตามคำทำนายรึเปล่า

วันนี้มีความคิดพิเรน จะไปสังเกตุการณ์ ณ สถานที่จริง พร้อมแวะเยี่ยมเยียนเพื่อนฝูงและดูกอล์ฟนอกสถานที่!

วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

รำลึกความหลัง...ขุดอดีต

หลังจากนอนปวดท้องไม่ยอมตื่นอยู่พักใหญ่ ฉันก็จำใจตื่นขึ้นมาทำงานที่ต้องทำ...ไล่หาข้อมูลจากอีเมลตั้งแต่ปี 08 นั่งอ่านหาข้อมูลตัวเลขประกอบการลงบัญชีจากอีเมลกว่าสามพันฉบับที่โต้ตอบเรื่องงานสารพัดสารเพ เหมือนมองย้อนภาพไปในอดีตตอนที่ล้มลุกคลุกคลาน สมาชิกเก่าจากลา คนใหม่เข้ามาช่วย แล้วก็คนเก่าจากไป ไปดีบ้างไปพร้อมระบายความในรูปแบบต่างๆ อันเป็นธรรมดาโลก...

รู้สึกขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่ช่วยเก็บเงินรับหนังสือกลับ ฉันรู้เสมอว่าตัวเลขมักทำให้เธอปวดหัวอยู่เสมอ แถมยังสภาพร่างกายไม่พร้อมอีกต่างหาก ก็ค่อยๆ ทำกันไป ฉันเองก็ทำบ้างนอนบ้าง แล้วรู้สึกว่าจะกระตือรือร้นรับรู้ข่าวสารบ้างเมืองจนเกินปกติเสียจริงช่วงนี้

นั่งปวดท้อง อัพบล้อก และฟังท่านนายกฯแถลงการณ์สดไปพร้อมๆ กัน เย็นนี้ฉันมีหมูต้มจิ้มน้ำจิ้มข้าวมันไก่ที่เหลือจากเมื่อคืนกับยำมะเขือยาวที่ฉันเอามะเขืออบใส่ซองพลาสติก รอให้ระอุจะได้ลอกออกง่ายๆ คนทำกับข้าวเรียกให้ไปอาบน้ำได้แล้ว ตื่นมาถ้าไม่ต้องออกไปไหน ฉันก็ไม่ทำอะไรกับตัวเองเหมือนกัน หลายๆ คนทักจังว่าทำไมหมู่นี้ไม่ค่อยแต่งตัว ก็เลยบอกไปตามตรงว่า คนข้างๆ ไม่ว่าอะไร จะแต่งหรือไม่แต่งก็ได้ ฉันเลยได้เป็นตัวของตัวเองแบบสุดๆ รู้สึกโล่งอกสบายใจ อยากแต่งเมื่อไหร่ก็ค่อยแต่ง ดีจังที่เขาไม่ได้ชอบฉันที่เปลือก

ไปอาบน้ำก่อนนะ

วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553

อันเนื่องมาจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ

บทบาทพิธีกรแม้จะตะกุกตะกักแต่ก็ลุล่วงไปแล้วในที่สุด...

ฉันอ่านหนังสือ พูดให้ดี เป็นพิธีกรให้เก่งของคุณนิเวศน์ กันไทยราษฎร์จบอย่างน้อยหนึ่งรอบก่อนที่จะเขียนสรุปความระหว่างรอขึ้นเวที นั่งฟังผู้บรรยายจากแบงค์ชาติสอนการจัดดอกไม้และเล่าประวัติการทำงานของตัวเอง รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง

ขึ้นเวทีคล้ายจะมั่นใจแต่พอว่าไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งแน่ใจว่าฉันควรสวมบทบาทพิธีกรฝึกใหม่ สาธิตการเรียนการสอนบนเวทีซะเลยจะทำให้ไม่เครียดหากฉันพูดอะไรผิดๆ ถูกๆ พอกลับมาดูรูปแล้วก็เห็นตัวเองหน้าบึ้งดูดุๆ ตาโตจ้องคนไปทั่ว ดูน่ากลัวเสียจริง

โชคดีที่พอมีรูปที่ยิ้มๆ บ้างเหมือนกัน ภาพถ่ายบอกให้ฉันปรับปรุงตัวเองหลายอย่าง ฉันควรจะนิ่งกว่านี้ ยิ้มในใจเพื่อให้มันออกมาทางสีหน้า และทำหรี่ตาอย่างที่เคยมีคนแนะนำ

งานที่ทำบรรลุวัตถุประสงค์ทั้งของฉันเอง วิทยากรและผู้จัดการเสวนาครั้งนี้ แม้ฉันจะทำน้ำหกตบท้ายก็ดีเหมือนกัน คนฟังจะได้รู้สึกว่า ทั้งซุ่มซ่าม พูดเอ้ออ้า รูปแบบประโยควกวนก็เป็นพิธีกรบนเวทีได้นะ จะบอกให้

ฉันดีใจที่ได้กล่าวถึงเจ้าชายน้อยอย่างที่ตั้งใจไว้ คู่สนทนาเข้าใจเจตนาที่ฉันเลือกเป็นนักเรียนทดลองบนเวทีบอกว่าฉันใจกว้างมากที่เลือกทำแบบนี้ ฉันก็ยิ้มแก้มปริไปสิ ฉันแค่ลองนึกในฐานะผู้ฟังว่า เขาต้องการอะไร เขาขาดอะไร การทำงานหลายๆ เรื่องสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ กำลังใจ ความกล้า แม้อาจจะทำผิดพลาด และเมื่อฉันสารพัดจะพลาด ฉันก็ยิ้มสู้และยอมรับความจริง แล้วมันก็ผ่านไป แค่พิธีกรซุ่มซ่ามคนหนึ่ง

ช่วงที่ไปส่งหนังสือ ร่วมทำ workshop และร่วมดำเนินรายการครั้งนี้ ฉันไม่สบายอีกเช่นเดิม ฉันคิดว่าต้องเลิกกินน้ำเย็นซะที กินทีไรหนาวจะเป็นไข้อยู่เรื่อย ดีที่ไม่ล้มแค่นอนให้มากๆ ก็ทำให้ค่อยยังชั่วแล้ว การทำงานในช่วงนี้ยังทำให้ฉันเห็นอะไรๆ ได้ชัดโดยไม่ต้องมอง ยิ่งได้คำยืนยันจากผู้ใหญ่เพิ่มเติมก็ทำให้ต้นไม้ความสัมพันธ์หยั่งรากลึก เติบโตอย่างมั่นคงขึ้น ด้วยได้รับความอบอุ่น เอาใจใส่ ดูแลอย่างสุขุม รอบคอบ คราวนี้เราเลยพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส

เล็งสินจัยและสมบัติเอาไว้แหละ อิอิ

วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

อะไรวะ! แต่ยังไงพรุ่งนี้ก็ต้องเริ่มต้นแต่เช้า

เรื่องอะไรวะก็ขอแค่นั้นละกัน ควรจะคิดถึงปัจจุบันและอนาคต...

วันนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่ได้แม้เสี้ยวเชื้อไฟของเมื่อคืน ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ มีที่เพิ่มก็ไปโบสถ์ในวัน Good Friday ตามที่โดนขอร้องแกมบังคับ นั่งฟังบ้างไม่ฟังบ้าง คิดอะไรออกก็จดโน้ตเอาไว้ สายจากพี่ที่แสนดีดังขึ้น รับสายพร้อมกับข่าวดีที่เอื้อเฟื้อให้ จากนั้นรีบวางแผนนัดแนะตกลงเพื่อวางหนังสือเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งบูธ อย่างน้อยอีกสี่วันก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย

ขอแว๊บไปเรื่องอะไรวะหน่อยเถอะ ฉันก็ยังงงๆ อยู่ว่า ฉันไปทำอะไร แล้วพอพยายามใช้ความเข้าใจลองคิดว่าถ้าฉันเป็นคนนั้นฉันจะรู้สึกอย่างไร แล้วก็พบว่าช่วยไม่ได้ เมื่อถึงคราวที่มองโลกในแง่ร้าย อะไรๆ มันก็ดูร้ายไปหมด เลือกมองอย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้น เพราะอันที่จริงแล้ว ไม่มีใครที่สามารถล่วงรู้ความคิดของใครๆ ได้หรอก และถ้าจะให้ดี ให้มีความสุข ถ้าเกิดสิ่งดี ก็มองว่าเป็นเจตนาดี หากได้ผลลัพธ์ไม่ดี ก็มองซะว่าเจตนาดีแต่ไม่ได้ผลอย่างที่ตั้งใจไว้

นายที่ดี(ตามหลักสูตรที่ฉันเรียนมาและพิสูจน์แล้ว) คือ นายที่ใช้ให้คนอื่นทำงานแทนเรา เมื่อก่อน ฉันก็คิดตรงข้ามกับข้อความที่ว่าเหมือนๆ กับใครๆ ถ้าใครจะว่าหลอกใช้ แล้วหลอกใช้คืออะไรล่ะ ถ้าหลอกใช้แล้วจ่ายเงิน อย่างนี้เรียกว่า หลอกใช้รึเปล่า ถ้าหลอกใช้แล้วทำให้คนที่หาว่าโดนหลอกเป็นคนเก่งรอบตัว ไปไหนก็สบายเพราะทำเป็นทุกอย่าง คุมคนได้ อย่างนี้เรียกว่าฉันปรารถนาดีรึเปล่า

ฉันก็ว่า ฉันทำใจไว้แล้วนา รู้ว่าทำดีแบบนี้มีแต่โดนกับโดน ก็ต้องยอมรับผลที่คาดไว้แล้ว ฉันมีความสุขที่ฝันลมๆ แล้งๆ ว่า วันหนึ่งเขาจะหันมองกลับมาด้วยมุมมองที่แตกต่าง

ถ้าจะมีคำถามว่า อะไรที่ฉันทำต่างจากที่นายเก่าทำกับฉัน ฉันตอบได้ทันทีเลยว่า ฉันไม่ได้ระเบิดอารมณ์หลังจากที่โดนว่าแรงๆ แบบไร้ความเคารพนับถือใดๆ ฉันดีใจที่เมื่อเจออะไรแบบนี้แล้วระดับอารมณ์ของฉันค่อนข้างปกติ มีเพียงอาการงงและงงเท่านั้น แต่ใจหนึ่งก็ไม่รู้ว่ามีใครมาป้ายสีหรือพูดในแง่ร้ายให้หูเบาหรือไม่ ถ้าคนรอบตัวเป็นคนอาฆาตต้องล้างแค้นเหมือนคนที่อยู่ดูไบ มันก็คงจะเป็นอย่างนี้แหละ ใครๆ ก็เตือนตั้งนานแล้ว ได้แต่คิดว่า สงบจะสยบความเคลื่อนไหว ไว้รอให้เขาหายโมโหและน้อยใจอย่างแรงค่อยเข้าไปหา ถ้าเข้าไปตอนนี้มีแต่พังกับพัง นี่ขนาดไม่ไปหาก็ยังโดนอย่างจังเลย รู้สึกอยากให้กำลังใจตัวเองว่า เก่งจัง ไม่โวยวายและคิดมากกับสิ่งที่ได้เห็นได้ยินได้ฟังได้อ่าน

พรุ่งนี้เตรียมขนหนังสือไปขายท่ามกลางความไม่แน่นอนว่าจะไปเจอเสื้อแดงเสื้อชมพูที่ไหน คนจะมางานสัปดาห์หนังสือหรือไม่