วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วันศุกร์ที่ยังไม่สุก

วันนี้ไปตลาดมา...

ขับรถออกจากประตูคอนโด มองไปทางขวา หน้าปากซอยเห็นรถติดหนึบบนถนนพหลโยธิน ยังไงก็ต้องเลี้ยวซ้าย ก็เลยเลี้ยวซ้าย ทะลุตรอกซอกซอยจนไปออกซอยอารีย์ ร้านค้าคึกคัก แผงลอยขายของเต็มไปหมด รถจอดสองข้างทาง หาที่จอดรถยากเหลือเกิน ฉันวนอยู่สามรอบ หลังจากที่โดนบีบแตรไล่ กับคิดต่างเรื่องจอดบริเวณห้ามจอดกับคนข้างๆ ในที่สุดก็ได้จอดตรงแผงลอยขายผักที่คนข้างๆ ไปซื้อเข้าบ้านเป็นประจำ

แวะกินเย็นตาโฟก่อนชอปครั้งใหญ่ อากาศร้อนมาก ร้านก๋วยเตี๋ยวที่เดินผ่านฉีดน้ำขึ้นกันสาด น้ำไหลไปโดนมอเตอร์ไซด์สามคันที่จอดข้างใต้ คันนึงมีผ้าสีน้ำเงินอ่อนวางคลุมเบาะสีดำ ไม่รู้ว่ากันเบาะที่นั่งร้อนหรือกันมันเปียกน้ำ น่าเห็นใจทั้งเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวและเจ้าของรถมอเตอร์ไซด์ แต่ไม่แน่นะ มอเตอร์ไซด์ที่โดนน้ำอาจจะแห้งก่อนเจ้าของกลับมาก็ได้

ซื้อทั้งของคาว ได้ปลาอินทรีกับปลากระพง กุ้งครึ่งกิโล หอยนางรม ส่วนผัก ได้ยอดมะพร้าว มะเขือเทศ หัวหอม มะนาว ผักกาดแก้ว ผักหวานและเห็ดอีก 3 ชนิด ถั่วต้ม 20 บาท ก่อนกลับสอยมังคุด เงาะและกล้วยน้ำว้า แหม เดี๋ยวนี้ฉันกินอาหารครบทุกหมู่เลยนะเนี่ย

มื้อเย็นเป็นยำมะเขือยาวกับปลากระพงนึ่งมะนาว ถ้าไม่รีบกิน มะเขือยาวคงจะเน่าในไม่ช้า แกล้มเบียร์แช่แข็งจนเป็นเกล็ด 2 ขวดที่เหลือจากคราวก่อน แล้วฉันก็มานั่งหน้าคอมฯเหมือนเดิมนี่แหละ

เหตุการณ์บ้านเมืองดูจะนิ่งๆ แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นน้ำนิ่งไหลลึกรึเปล่า ได้อ่านบทความดีๆ ของคุณสมเถา สุจริตกุล แล้วก็ได้เห็นมุมมองประหลาด เขาคิดว่าอภิสิทธิ์น่ะเสื้อแดง ส่วนทักษิณน่ะเสื้อเหลือง อ่านดูก็เข้าใจความคิดของเขา มีอีกหลายมุมให้มอง แค่แดงกับเกลียดแดงมันไม่พอหรอก

วันนี้รีบโหลดหนังมาดูดีกว่า เดี๋ยวจะหลับก่อนจบเหมือนคราวที่แล้ว ไปละนะเธอ ^_^

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เมื่อเวลาผ่านไปอีกหนึ่งวัน

เมื่อเวลาผ่านไปอีกหนึ่งวัน ฉันคิดว่าคำอธิบายบางอย่างในบทความ "วันแห่งการบริโภคข่าวสาร" อธิบายความเพียงด้านเดียว แต่แล้วก็ตอบตัวเองว่า ฉันเลือกหยิบการมองในแง่ร้ายของแต่ละฝ่ายขึ้นมาพูดพร้อมๆ กัน น่าจะได้ให้ความยุติธรรมกับทั้งสองฝ่ายแล้วนะ "ทุนนิยม" กับ "ไร้สาระ" ไม่ได้อธิบายได้ทุกอย่างหรอก พอๆ กับ "สลิ่ม" กับ "ควาย" นั่นแหละ

แต่วันนี้เจอคำคมของโอบามาที่ถูกใจจัง สั้นๆ เรียบง่ายแต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่

" I will listen to you, especially when we disagree."

วันแห่งการบริโภคข่าวสาร

ฉันได้กลับมาทำงานสุดโปรดของฉันอีกครั้ง...

ฉันยังจำสมัยที่ฉันประสานงานกับ Research House เรื่องบทความทางวิชาการ กรณีศึกษาต่างๆ และหาทางยัดเยียดแบบแนบเนียนบ้าง ไม่แนบเนียนบ้างให้แต่ละส่วนงานขององค์กร มีผลตอบรับต่างๆ กัน บ้างก็ติดต่อกันเป็นประจำเหมือนเป็นกิจวัตร (แอบมาทราบทีหลังว่าคนเข้าใจว่าฉันจีบเด็ก เพราะเผอิญส่งให้หนุ่มรุ่นน้อง) หรือนานๆ มีแท้งค์กิ้วมาให้ชื่นฉ่ำใจ แต่คำตอบส่วนใหญ่คือ ไม่มีคำตอบ...

ไม่มีคำตอบ ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ ไม่อาจรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ เบื่อรำคาญหรือคอยตามอ่าน ฉันยังคงยัดเยียดเช่นเดิมแล้วก็เฝ้าบอกตัวเองว่า คนไทยไม่แสดงออก ชอบแต่ไม่พูด แล้วฉันก็ใส่โปรแกรมให้สมองทิ้งความคิดตรงข้ามที่แว่บมาเป็นประจำ

มีอยู่พักนึง ฉันทำข่าวประจำสัปดาห์แจกจ่ายทั่วองค์กร ช่วงนั้นฉันอ่านข่าวจากทุกสำนักข่าว เลือกอ่านได้ทุกหมวด เพียงแต่คัดข่าวที่เจาะลึกไปในกลุ่มธุรกิจขององค์กรที่ฉันทำอยู่

จำได้ว่าตอนนั้นฉันมีความคิดแผลงๆ ว่าจะซื้อหุ้นของอินเดีย รัสเซีย ก็แหม ข้อมูลอยู่กับตัว มี case study ให้เปรียบเทียบ ข้อมูลพร้อมขนาดนี้ เรารู้อยู่แล้วว่าในระยะยาวจะมีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงอย่างไร

ชีวิตตอนนั้นฉันมีความสุขจัง มีความสุขที่มีอภิสิทธิ์ได้ใช้อินเตอร์เน็ทด้วยความเร็วระดับผู้บริหาร ได้อยู่ในวังวนของโลกข่าวสาร โลกที่แสนกว้างใหญ่ มีอะไรให้ฉันเข้าไปเดินชม แวะไปเสาะหาไม่มีเบื่อ แม้จะรู้สึกโดดเดี่ยวในบางทีว่ามีใครสนใจสิ่งที่ฉันหามาให้บ้างรึเปล่า

และช่วงวิกฤตของประเทศนี้ ฉันกลับแอบไปมีความสุขอย่างที่เคย...อีกครั้ง

อันที่จริง ฉันอ่านเจอข่าวสารอะไรก็ส่งต่อให้เพื่อนๆ อยู่แล้วเปลี่ยนจากรูปแบบ Forwarded Email เป็น Share ใน Facebook

แม้ตอนที่ส่งอีเมลฉันก็เจอคนบ่นว่าส่งเยอะไปคนไม่อ่านนะ นานๆ ส่งทีดีกว่า ฉันก็เลยลักปิดลักเปิด นึกครึ้มใจก็ส่งให้เพื่อนทั้งแก๊งค์ บ้างก็ส่งให้เฉพาะคนเป็นเรื่องๆ ไป

ทุกวันนี้ ฉันก็ยังได้รับอีเมลเป็นประจำสม่ำเสมอจากพี่ 2 คน พี่ที่มีแต่ให้กับให้ ฉันสงสัยอยู่เหมือนกันว่าพี่ทั้งสองเคยเจอคนว่าบ้างมั้ย แต่ด้วยความที่ฉันชอบส่งเหมือนกัน ฉันเลยนับถือและอ่านเรื่องที่เขาส่งมาให้เสมอมา แม้จะไม่ตอบซึ่งก็เหมือนกับคนทั่วๆ ไปนั่นแหละ แต่นานๆ ถูกใจมากๆ ก็ตอบที ฉันรู้ว่าคำตอบสั้นๆ อาจจะแค่ :) ก็ทำให้คนส่งมีความสุขแล้ว

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ฉันก็ยังไม่ได้เข้าเรื่องเลย เพียงแต่พาให้นึกไปถึงความสุขของการค้นคว้าอ่านรายงานการวิจัย อาจจะมีคนที่เข้าใจ และก็มีอีกหลายๆ คนที่คิดไม่ได้ว่าเรื่องเครียดๆ แบบนี้มันทำให้มีความสุขยังไง

ก็สังคมไทยไม่ใช่สังคมการอ่านนินา

แต่เพื่อนๆ ใน Facebook ก็ต้องอ่านมากทีเดียวล่ะ หรือบางส่วนก็พอใจจะดูวิดีโอคลิป หรือไม่ก็มาเล่นเกมส์อย่างเดียว ฉันกลับมาสื่อสารด้วยการเขียนแบบเต็มรูปแบบ อยู่หน้าจอทั้งวันเหมือนเคย หาข้อมูลอย่างมีจุดหมาย เพราะสิ่งที่ฉันสนใจเป็นสิ่งเดียวกับที่คนส่วนใหญ่สนใจ...การเมืองไทย ณ ตอนนี้

แรกๆ ฉันก็อ่านบทความตามหนังสือพิมพ์ออนไลน์เจ้าประจำสองสามเว็ป อ่านข้อความที่เพื่อนๆ โพสต์ซึ่งก็มีทั้งลิงค์ไปยังข้อมูลในแหล่งอื่นๆ เพิ่มเติม แล้วฉันก็มักจะหลงใหลไปกับเว็ปที่เข้าไป ฉันอ่านเสร็จแล้วก็สอดส่ายสายตามองหาเรื่องที่น่าสนใจหรือไม่ก็คลิกไปที่หน้าหลัก กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ไปอ่านอะไรแล้วก็ไม่รู้

อ่านจนหนำใจก็กลับมาที่เรื่องเดิม อัพเดทข้อมูลคนอื่น ตามอ่านรายละเอียดต่างๆ แสดงความคิดเห็นก็หมดวันแล้ว หมดวันอย่างมีความสุข

ประเด็นสำคัญที่อยากจะยกมา ณ ที่นี้ก็คือ ฉันได้พยายามเข้าใจความคิดและการแสดงออกของเพื่อนที่มีความสัมพันธ์กับฉันในระดับความสนิทแตกต่างกัน เพื่อนหลายคน ฉันยังไม่เคยเห็นหน้า ได้ยินเสียงหรือพูดจา กลุ่มเพื่อนจากโลกเก่ากับเพื่อนในโลกใหม่ ฉันเรียกให้มันแตกต่างทั้งๆ ที่จะใช้คำว่าโลกธุรกิจกับโลกศิลปินก็ได้ แต่มันฟังดูวัตถุนิยมกับคนไร้สาระยังไงชอบกล

ฉันรู้ว่าคนกลุ่มหนึ่งคิดอย่างไร มองปัญหาและมีปฏิกิริยาอย่างไร กลุ่มหนึ่งมีปฏิกิริยากับเรื่องที่มากระทบ ณ เวลานั้น ตัดสินถูกผิดเป็นกรณีๆ ไป ตรงๆ ง่ายๆ ชัดเจน เสียดสีออกมาตรงๆ ด่าไปเลย อีกกลุ่มหนึ่ง พูดแต่เรื่องเป็นนามธรรม พูดในภาพรวมหลังจากประเมินสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วสรุปความ ความคิดจึงดูซับซ้อนเป็นเรื่องเข้าใจยาก และกลุ่มหลังก็ถกกันเป็นภาษานามธรรม ภาษาสูงในขณะเดียวกันก็เหยียด หรือแอบด่าไม่ให้รู้ตัว แล้วก็สมน้ำหน้าอยู่ในใจ คำว่า "หึหึ" เป็นคำที่ฉันเห็นแล้วรู้สึกว่ากำลังโดนเหยียดอย่างแรง

ฉันพยายามเป็นกลางมาตลอด แต่พอเหตุการณ์วันนี้มันถึงจุดแตกหัก เกิดมีความรู้สึกร่วมกับความเป็นไปและปฏิกิริยาของคนอื่นมาก มากขนาดใช้คำว่า "เสนียด" เมื่อมีคนปราศรัยให้ผู้ชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองหากการชุมนุมโดนสลาย

แล้วก็สะเทือนใจกับภาพ Central World ที่ไฟลามควันพวยพุ่งหนาจนปิดบังทัศนียภาพท้องฟ้ากรุงเทพจนมัวซัว ซากร้างจากไฟที่แผดเผา ความอ้างว้าง เหงาๆ เหมือนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ล่มสลาย พังพินาศ จบสิ้น รอเวลาถล่มซ้ำเติมลงมาให้ความโดดเดี่ยวนั้นถูกทำลายไปจนไร้อารมณ์

ได้เวลาเปลี่ยนความรู้สึก ทันทีที่อ่าน update status ของเพื่อนคนหนึ่งและ comment จากแฟนๆ อีกเป็นสิบ นี่คือโลกใบใหม่ที่ฉันพูดถึง

จากที่คิดว่าเป็นกลางกลายเป็นเอียงคนละข้างกับเขาเหล่านั้น แต่ฉันก็เลือกทำอะไรโง่ๆ แบบที่ไปเป็นแกะสีชมพูในหมู่แกะม่วง เขาทุกคนดูจะสื่อสารกันอย่างมีเหตุผล แต่ฉันว่ามันแปลกๆ ยังไงพิกล ฉันพยายามเข้าใจความคิดของเขาเหล่านั้น แล้วก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบแบบกล้าๆ กลัวๆ ที่กลัวเพราะไปคิดต่างกับเขาอยู่คนเดียว แถมบอกว่าถ้าเขาจะบล้อกก็เข้าใจ แต่เขาก็ไม่บล้อก แล้วก็ยังมีคนตอบกลับเรื่องที่ฉันถกไปอย่างยืดยาว แบบที่มองทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ของกูถูกอยู่ฝ่ายเดียว แต่มันก็มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกอยู่เหมือนกัน ฉันเชื่อว่าฉันยังอยู่ในกลุ่มปัญญาชน เราสื่อสารกันด้วยคำสุภาพแต่บาดลึกภายใน เอาเป็นว่าฉันก็ปรับความคิดและมุ่งไปยังเรื่องที่สำคัญกว่าคือเราจะฟื้นฟูประเทศกันอย่างไร เป็นอันจบสงครามออนไลน์ในใจฉัน

โลกใบเก่าและส่วนหนึ่งของโลกใบใหม่ที่โต้คารมกันอย่างออกรส เรื่องเครียดๆ ภาษาสูงๆ ที่ดูจะน่าปวดหัวไม่ต้องเอามาใช้ (เพราะเอามาใช้ทีนึงแล้วก็เหมือนเป็นแกะม่วงในฝูงแกะชมพู) คราวนี้ฉันก็อยากจะไปลดความรุนแรงของฝั่งนี้บ้าง แต่ก็กลายเป็นพูดจาเสียดสี เหน็บแนม ปนตลกร้ายให้ฮากันพอเป็นพิธีเหมือนๆ กับเขา

อยู่ที่จะเลือกจริงๆ ว่าจะสื่อสารแบบไหน ให้เหมาะกับกลุ่มคนอย่างไร แล้วฉันก็มักจะสื่อผิดวิธีทุกทีสิน่า

เอาวะ ชีวิตไม่ใช่เรื่องถูกผิด เป็นเรื่องของการเรียนรู้ วันนี้ก็ได้รู้เยอะน่ะ

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ขอพูดเรื่องความใจกว้าง

พอความคิดนี้แว่บขึ้นมาในใจปุ๊บ คำพูดของพี่รุ่นใหญ่อีกคนก็ผุดขึ้นมาปั๊บ...

ฉันได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับการบล้อกคนในเฟซบุคของเพื่อนคนหนึ่ง ในใจก็พยายามเข้าใจทั้งสองฝ่ายและพยายามเข้าใจความเป็นจริงของโลก ไม่ได้ออกตัวว่าฉลาดหรือรู้ดีกว่าคนอื่นหรอก แค่มองทุกฝ่ายในแง่ดีเพื่อที่จะลดเรื่องที่ขัดแย้งกัน ให้ทุกฝ่ายยอมรับกันและกันอย่างที่แต่ละฝ่ายเป็น หากได้ชี้แจงใช้เหตุผลของตนแล้ว เพราะหากไม่ยอมรับก็แสดงว่าเห็นเหตุผลของตนเป็นใหญ่ เหตุผลที่คนอื่นอ้างสู้เรื่องของตัวไม่ได้ แน่นอนว่าเมื่อเจอคนไม่ยอมรับความคิดเห็นของเราแรงๆ อยากจะเถียง อยากจะโต้ตอบ เมื่อไหร่ที่ฉันต้องพบเจอเรื่องแบบนี้ ฉันจะเงียบไปเลย เงียบให้แน่ใจว่าไม่ได้ตอบด้วยอารมณ์แม้ว่าน้ำเสียงและหน้าตาที่แสดงออกจะใส่อารมณ์จนทุกคนรู้สึกได้ ฉันเป็นพวกประหลาด คนส่วนใหญ่ไม่ได้ฟังที่คนพูด ดูที่อากัปกิริยา ส่วนฉันคิดอย่างที่พูด แต่ท่าทางมันเป็นอย่างนั้นเอง ฉันอาจจะโกรธและอิน แต่ฉันหมายความตามที่พูดจริงๆ

หลายๆ ครั้งฉันนั่งวิเคราะห์ เมื่อฉันมาอ่านสิ่งที่ตัวเองเขียน มันก็ตีความได้หลายอย่างนี่นา ก็เลยเข้าใจ ฉันอ่านเองยังคิดได้หลายอย่าง แล้วทำไมคนอื่นจะมองต่างไปจากมุมที่ฉันมองล่ะ

ปัญหาคือ ฉันไม่สามารถไปอธิบายให้คนอื่นเข้าใจ ส่วนที่จะไปปรับเปลี่ยนความเป็นตัวตน ฉันบอกตัวเองว่า ฉันจะเลิกทำแล้ว ไข่อีกาที่อยู่ในเล้าไก่ ให้อีกาที่ฝักเป็นตัวพยายามยังไงก็ไม่มีทางเป็นไก่ไปได้ เมื่อคิดได้อย่างนี้ฉันก็มีความสุข

กลับมาที่เรื่องในเฟซบุค ฉันเข้าใจเพื่อนคนนั้นอย่างถ่องแท้ทันทีที่ฉันลองเข้าไปดู Wall ของเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งอันที่จริง ปกติฉันก็ไม่ทำอย่างนั้นหรอกนะ แล้วก็ให้ได้เข้าใจว่าการบล้อกไม่ให้ดูและแสดงความเห็นบน Wall แต่ยังเป็นเพื่อนอยู่เป็นอย่างไร แล้วก็บอกตัวเองเอาว่าคงเป็นเพราะสาเหตุที่ฉันไปขอบคุณพร้อมกับแนะนำหนังสือใน Wall ของผู้นั้นละมัง มันก็มีโอกาสที่ฉันจะคิดผิด แต่ฉันยังนึกเหตุอื่นไม่ออก อาจเป็นเพราะฉันแสดงความระคายเคืองให้เขามากจนถึงจุดมั้ง ก็โอเค เขาไม่ต้องการความเห็นฉันก็ไม่เป็นไร แต่ฉันเสียดาย เพราะฉันยังอยากเห็นความคิดเห็นของเขาอยู่

แล้วเรื่องที่ผุดออกมาคือ โทรศัพท์ที่พี่รุ่นใหญ่โทรมาจากภูเก็ต บอกว่า ฉันเป็นคนตรงไปตรงมาและใจกว้าง ฉันเลือกแฟนที่ดี เหมาะสมแล้ว และหน้าตาของทั้งสองเหมือนกัน

จะว่าไปเรื่องที่ผุดขึ้นมาไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องด๊อกเตอร์ชาวเกาหลีที่โทรกลับมาหาฉันทันทีที่เครื่องลงจอดที่สนามบินในกรุงโซล บอกขอโทษฉันและเขารู้ว่าฉันรู้อยู่แล้วว่าเรื่องอะไร ฉันก็เลยไม่ว่าอะไร เพราะฉันก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องนั้นคือเรื่องที่เขาเกาฝ่ามือฉันตอนที่เช็คแฮนด์ และฉันก็ดีใจที่ฉันเลือกปฏิบัติอย่างถูกต้อง ไม่เกิดความหมางเมิน ไม่ทำให้เขาเสียหน้า และเขาก็ขอโทษ ฉันได้สิ่งเหล่านี้มาโดยไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยกับสิ่งนั้นที่เขาทำ ปฏิบัติต่อเขาอย่างให้เกียรติทุกอย่าง แล้วฉันก็ได้รับการปฏิบัติอย่างให้เกียรติจากเขาตลอดมา

กลับมาเรื่องพี่รุ่นใหญ่ ฉันก็ใช้วิธีเดียวกัน เราได้มีโอกาสพูดคุย ร่วมงานและทำงานร่วมกันบางเรื่อง มันเป็นช่วงที่ต่างฝ่ายต่างเรียนรู้ว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร เขาเป็นคนช่างสังเกตขนาดถามว่าฉันใส่คอนแทคเลนส์ใช่มั้ยตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน ฉันได้มีโอกาสแชร์เรื่องราวบางเรื่องกับเขาพร้อมๆ กับแสดงความอ่อนไหวด้วยน้ำตา วันรุ่งขึ้นเขาโทรมาให้กำลังใจและเสนอทางออกของปัญหา ความสัมพันธ์น่าจะดีนับจากนั้นเป็นต้นมา แล้วเราก็ได้พบกันเมื่อต้องร่วมทริปไปต่างจังหวัด คราวนี้เขาเห็นคนข้างๆ ฉันที่รุ่นพอๆ กันกับพี่รุ่นใหญ่ แต่อยู่ในเวอร์ชั่นผมยาวมัดผม ภาพลักษณ์ของศิลปินที่คนเลือกจะมองโดยไม่ต้องรู้จักพูดคุย ฉันโฆษณาหนังสืออย่างโจ่งแจ้งทุกครั้งที่มีโอกาสเช่นเดิม การโฆษณา ขอให้ได้สร้างความประทับใจ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ ชอบก็ตามอ่าน ไม่ชอบก็ตามอ่านเพื่อจับผิด ฉันคิดอย่างนั้น...

แล้วก็ได้มีโอกาสร่วมงานกันในต่างบทบาท ในบทบาทที่ฉันทำเพื่อเป็นประโยชน์กับหนังสือของฉัน และฉันทำเพื่อประโยชน์ของงานที่ฉันไปร่วม ฉันอนุมานเอาเองว่า เขาคงคิดว่าฉันทำเพื่ออยากเด่น เบี่ยงเบนความสนใจ เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตน ฉันก็เข้าใจ ปกติคนก็คิดอย่างนั้น ใครไม่คิดอย่างนั้นสิจะเป็นคนที่ฉันสนใจ คนที่ฉันเหลียวมองและให้ความสำคัญ แล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป เพราะเรื่องแบบนี้ไปอธิบายก็ร้อนตัว ต้องให้เขาตัดสินด้วยตัวเอง เอาเป็นว่าแม้เขาจะยังไม่เข้าใจ แต่มีคนมาถามถึงหนังสือที่ฉันใช้เป็นตัวอย่างประกอบการถามคำถามให้การโฆษณาไม่น่าเกลียดจนเกินไป

และเหตุการณ์ที่ทำให้เขาโทรมาหาฉันจากภูเก็ตก็น่าจะเป็นเหตุการณ์นี้ เขายินดีให้ฉันใช้เวทีนี้เพื่อประโยชน์ของหนังสือของฉัน ส่วนฉันก็คิดอยู่ว่า ฉันจะเล่นบทอะไรเพื่อประโยชน์ของผู้ที่มานั่งฟัง พร้อมๆ กับที่ฉันก็ได้โฆษณาหนังสือในอีกรูปแบบที่แตกต่างไปด้วย ฉันกลายเป็นพิธีกรที่ป้ำๆ เป๋อๆ ทำหน้าที่ได้ห่วยแตก ทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ฉันยินดีที่จะเล่นบทเป็นพิธีกรอ่อนหัด เล่นบท role play ผลัดกันแสดงให้ดูว่าการเป็นพิธีกรมีเคล็ดลับ มีจุดที่ต้องใส่ใจอย่างไรบ้าง ฉันเล่นเป็นพิธีกรห่วยแตกขนาดที่ต้องหันไปถามเขาแล้วเขาถึงกับตอบเบาๆ กลัวว่าคนจะมองว่าฉันมาเป็นพิธีกรเรื่องนี้ได้ยังไง แล้วฉันก็คิดว่าเขาเริ่มเข้าใจแล้วว่า เวลาฉันทำอะไรฉันทำสุดตัว

ตบท้ายด้วยปัดแก้วทำน้ำหก อันนี้ยกผลประโยชน์ให้ตัวเองว่าเป็นการซุ่มซ่ามแบบตั้งใจ แล้วก็น่าจะทำให้คนที่ไม่กล้าเป็นพิธีกรเห็นใจ และคิดว่าป้ำๆ เป๋อๆ อย่างฉันยังเป็นได้เลย ทำไมเขาจะเป็นไม่ได้ ตอนท้ายประชาสัมพันธ์หนังสือและคอร์สฝึกอบรม ฉันก็พูดออกมาจากใจว่า ฉันต้องรีบสมัครไปเรียนก่อนเลย ลงมาจากเวที เขายิ้มด้วยสายตาอ่อนโยนถามว่าฉันแกล้งรึเปล่า ฉันไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธแต่ฉันบอกว่า ฉันคิดว่าฉันควรจะเล่นบทนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่มาฟังมากที่สุด

แล้วชีวิตก็ดำเนินต่อไปแม้จะไม่ได้อ่าน Wall ของเพื่อนลดไปหนึ่งคน

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ชีวิตรักคนติดอยู่ในคอนโด

ช่วงนี้มีความสุขดี สุขแม้เหตุการณ์บ้านเมืองจะเลวร้ายลงทุกวัน บางทีต้องผ่าตัด ต้องตัดขาเพื่อให้ร่างกายคงอยู่ ดีใจที่ไม่ต้องเป็นคนลงมือกระทำเอง เห็นใจคนที่ต้องตัดสินใจเพราะมีแต่เจ๊งกับเจ๊ง การบ้านให้แต่งเพลงยังไม่ได้ทำ ตอนนี้ความคิดสะดุด คิดได้แต่กลอน ได้โพสต์สุนทรพจน์ของมูราคามิ เป็นสุขอย่างยิ่งที่ "ลูก" มีคนชื่นขมและแชร์ให้คนอื่น แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว...

เป็นคำขึ้นต้นที่ยาวที่สุดที่ฉันเคยเขียนเลยเนี่ย!

คุณหริ่นขอมา จัดให้เป็นเรื่องแรกเลยค่ะ :)

พ่อหนุ่มข้างกายเอาใจฉันสารพัด เข้ามาก็ถามว่าอยากกินอะไร หิวรึยัง เที่ยงก็กินไอ้นี่มั้ย ทำไอ้นั่นจะกินรึเปล่า แล้วก็เย็นเอาอะไรดี ตลอดวันฉันนั่งหน้าคอม เดี๋ยวก็หัวเราะ เดี๋ยวก็เปิดเว็บนั้นเว็บนี้ เขาก็คอยถาม อ่านอะไรอยู่ อ่านให้ฟังหน่อย แล้วก็ถกเรื่องการเมือง อัพเดทสถานการณ์กันทั้งวัน เราคิดต่างและนั่งถกกันทุกวันได้อย่างราบรื่น

ต้องขอบคุณที่เขามีอะไรก็พูดกันตรงๆ บางเรื่องที่ส่วนตัวส่วนตัว ฉันก็แชร์เป็นตัวอย่าง เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนอื่น เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เนี่ยแหละสำคัญ

คนข้างๆ บ่นขึ้นมาว่า ขยะในห้องน้ำเหม็น เฮ้ย ฉันเป็นคนทิ้งคนเดียวนา เพื่อพิสูจน์ความจริง ก้มลงไปดมใกล้ๆ ถังขยะ

ไม่เห็นมีกลิ่นนิหว่า

มองไปรอบๆ มีผ้าเช็ดครัวที่แช่ผงซักฟอกค้างคืนอยู่ ก้มลงไปดม เออ เหม็นจริงๆ

แล้วฉันก็ซักผ้า โห น้ำดำปี๋เลยเธอ จากนั้นก็ไปตอบเขาว่า ที่มันเหม็นคือผ้าที่ซักไว้นะคะ

จากนั้นฉันก็คอยดมถังขยะทุกวัน (จินตนาการแล้วอ้วกได้เลย ไม่ว่าอะไรค่ะ)

เห็นมั้ยเธอ พอพูดกันก็หาสาเหตุเจอแล้วก็แก้ไขได้ นี่ถ้าเขาทนแสนทน มันก็สะสมแล้วเมื่อถึงคราวของฟางเส้นสุดท้าย ไม่ว่าเรื่องมันจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ทำให้ทุกอย่างที่เคยสร้างด้วยกันมาพังทลายเหมือนปราสาททรายหายไปเลย

ที่พูดไปน่ะ เคยเจอมาแล้ว เขาคนนั้นพูด พูด พูด ให้พี่กับน้องฟังอย่างยืดยาว 2 ชั่วโมงไม่มีหยุด และนั่นก็ถึงคราวแตกหัก ฉันได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง เจ็บเองแล้วว่า

มีปัญหาให้พูดกัน แล้วก็พูดกันนะ ไม่ใช่พูดกับคนอื่น เรื่องในบ้านต้องแก้ไขในบ้าน แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ให้คนที่มีวุฒิภาวะมาช่วยเป็นคนกลางในการหาทางแก้ปัญหา

มีเรื่องสะดุดติดอยู่ในความคิดของฉันเหมือนกัน เมื่อความคิดมันค้างคา ฉันว่าจะพูดแต่เขาง่วงแล้วไม่เหมาะที่จะคุยกัน ฉันอดรนทนไม่ไหวก็เลยเขียนและส่งอีเมลไปหา คงหลายหน้าอยู่ ยาวเฟื้อย เขียนแล้วก็สบายใจให้ไปอ่านเอาเอง แล้วคนที่ควรอ่านก็อ่านแล้วก็ว่าฉันคิดมาก โอเค ในเมื่อเรื่องที่ฉันสงสัยไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ฉันก็ทิ้งเรื่องนั้นไปได้เลย ถือว่าถามแล้ว จะยกมาใช้ในศาลไม่ได้อีกนะคะคุณ

ฉันไม่เคยอยู่กับใครแล้วสบายใจอย่างนี้ คนขี้รำคาญอย่างฉันไม่คิดเหมือนกัน ยิ่งช่วงนี้ไปไหนไม่ได้ตัวติดกันเป็นฝาแฝดอินจัน ประมาณนั้น

แอบมีเมื่อวานที่พี่ที่รู้จักกันชวนกินข้าวเย็น ไอ้ฉันก็เห็นว่าสไตล์พูดขวานผ่าซากของพี่คนนี้คงไม่เหมาะที่จะมีคนติดสอยห้อยตามไปด้วย แล้วผู้หญิงก็จะได้จุ๊กจิ๊กคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างสบายใจ เขาก็ยังโทรมาถามว่าจะกินข้าวบ้านรึเปล่าอยู่ดี ก็ฉันเล่นหายไปกินข้าวตั้ง 4 ชั่วโมงนี่นา

กลับเข้าคอนโด ไม่ใช่จะตื่นตูมหรอกนะเธอ แต่การอยู่คอนโดคงต้องเตรียมพร้อมมากหน่อย น้ำไฟสำรองอยู่ได้กี่วัน บันไดหนีไฟเปิดออกได้ทุกชั้นรึเปล่า แต่ถ้าเกิดมีใครจุดไฟเผาก็ไม่ต้องตื่นเต้น ขอให้รถดับเพลิงมาเถอะ แม่ฉันเลือกไว้แล้วว่าให้อยู่ชั้น 6 รถดับเพลิงปีนขึ้นไปถึง

เข้า 7-11 เตรียมซื้อถ่านสำหรับวิทยุและไฟฉาย เกิดไฟดับขึ้นมาจะได้รู้ความเป็นไปของชาวโลก โน๊ตบุ้คของฉันมีแอร์การ์ดก็ติดต่อกับโลกภายนอกได้จนแบตเตอรี่หมด หรือถ้ามันแย่จริงๆ ฉันก็ชาร์ตแบตผ่านรถยนต์ได้เหมือนกัน

มาม่า อาหารกระป๋อง อาหารสด ผักผลไม้เต็มตู้เย็น ขาดแต่เตาปิกนิคนั่นแหละ ถอนเงินมาเก็บไว้กับตัว เผื่อ ATM ฝั่งตรงข้ามคอนโดจะโดนประทุษร้ายเหมือนบริเวณอื่นๆ

เอาเป็นว่าฉันเตรียมพร้อมเต็มสตีมแล้วล่ะ คนข้างๆ ถามหลายทีเรื่องน้ำมันรถ ยังไงมันก็พอที่จะขับออกนอกเมืองไปบ้านริมน้ำของแม่แหละ แถวนั้นถ้าทำอะไรไม่ได้ก็ตกปลา ก่อกองไฟ หุงข้าว ทอดปลาต่อชีวิตได้หลายเดือนอยู่

นี่ฉันท่าจะเวอร์ไปเรื่อยๆ แล้วละเนี่ย

งานการทีต้องสะสางก็ลำบากเพราะราชการก็ปิดกันหมด เป็นข้ออ้างที่ดีในการไม่ทำงานดีจัง อิอิ

ไปอัพเดทและแต่งเพลงต่อดีกว่า คิดไม่ออกก็ดูหนังให้ตามันบวมไปเลย!

วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ฉันไม่เคยคิดว่าความรู้สึกนี้จะเกิดขึ้นกับฉัน

ฉันไม่เคยหวังว่าฉันจะได้อะไรดีๆ จากชีวิตคู่...

ฉันเจอคนที่พูดกันรู้เรื่อง คนที่สนใจถามว่าการกระทำของฉันทำไปเพราะอะไร เขาต้องการเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการกระทำแบบที่ไม่เคยมีใครถามมาก่อน แล้วเขาก็เข้าใจว่าฉันเป็นคนที่เข้าใจยาก ในขณะเดียวกันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นถึงไม่เข้าใจ...

แค่นี้แหละ แต่มีความหมายเหลือเกินสำหรับฉัน

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วันพบปะกับคน

วันนี้ได้ฤกษ์ออกมาเจอใครๆ ในสังคม...

วันนี้เหล่าญาติๆ ที่เล่นแชร์ด้วยกันมากินแชร์แบบไม่เสียดอกเบี้ย เพียงแค่หักเงินที่ได้แต่ละครั้งเป็นค่าอาหารจำนวนหนึ่ง แล้วคนเล่นแชร์และแขกก็จ่ายค่าอาหารน้อยลง เจอกันทีก็เหมือนนกกระจอกแตกรัง เราไม่ได้กินแชร์กันนานเพราะบางคนก็เพิ่งคลอดลูก ลูกยังเล็กบ้าง แล้วยังมาเจอม๊อบมาราธอน ญาติๆ บางคนอยู่ในพื้นที่เฝ้าระวังของม๊อบ จะผ่านไปไหนมาไหนก็ต้องผ่านด่าน บ้างก็ต้องจำยอมเปิดกระโปรงหลังของรถให้ตรวจระเบิดตามคำอ้างบ้าง วันนี้ฉันก็ผ่านบริเวณนั้นเช่นกัน ดีที่เขาตรวจเฉพาะรถแท็กซี่ วันนี้เลยปล่อยให้ฉันผ่านเข้ามาอย่างง่ายดาย ทั้งๆ ที่ฉันก็กะจะโวยขับผ่านไปเลยเหมือนกัน

ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบแล้วต่างคนก็ชื่นชมเล่นกับหลานๆ น้องทิกเกอร์คนล่าสุดน่ารักมากกกก อายุ 6 เดือนแต่หนัก 10 กิโลเข้าไปแล้ว วันนี้ไม่ค่อยสบายแต่ชอบเล่นแรงๆ แล้วก็หัวเราะเอิกอ้าก พร้อมๆ กับที่ไอคอกแคก หลานแท้ๆ คนเดียวของฉัน น้องนีน อายุขวบกับสี่เดือน แต่ตัวเล็กกว่าทิกเกอร์มาก แต่ก็ใช่ว่าจะผอมเกินขนาด และฉลาดเหมือนเดิม แอบเห็นน้องนีนแกล้งทิกเกอร์แล้วรีบเดินถอยหลังหนีเหมือนปกปิดความผิด แล้วกรรมก็ตามสนองทันตาเห็น เดินหงายหลังล้มหัวทิ่ม น้องนีนทำท่าจะร้องไห้ ฉันก็พูดทันทีเลยว่า เป็นไงล่ะ กรรมตามทันไวทันใจจริงๆ แล้วน้องนีนทำท่าเบะกำลังจะร้องไห้ก็หยุดทันที ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของฉันหรือเพราะไม่ได้เจ็บแค่ตกใจเท่านั้นเอง

คนข้างๆ ช่างรู้จักคนหลายวงการเหลือเกิน วันนี้วันพบญาติ ญาติของฉันแต่เขาดูจะรู้จักคนในแวดวงของญาติฉันมากมายเหลือเกิน มีน้องและหลานที่ทำงานในธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบเต็มๆ occupancy rate ลดลงเหลือ 25% ห้องอาหารจีนและญี่ปุ่นปิด sunday brunch ปิดไม่มีกำหนด โรงแรมให้เลือกระหว่างพักร้อนหรือ leave without pay น่าแปลกที่หลานของฉันเลือกอย่างหลัง ด้วยอยากได้วันสำหรับลาไปเที่ยวมากขึ้น เชื่อเค้าเลย!

ส่วนน้องที่ดูโรงแรมในเครือที่อยู่ต่างจังหวะได้รับผลกระทบทันทีที่ทูตแต่ละประเทศประกาศเตือนการเดินทางมายังประเทศไทย บางประเทศสั่งไม่ให้มาเลยด้วยซ้ำไป

ไปเยี่ยมร้านประจำ ได้ทราบข่าวคราวเพิ่มเติมของคนเคยใกล้ชิด ตอนนี้ไล่เพื่อนร่วมบ้านออกไปแล้วและไม่ได้เหยียบย่างมาที่ประจำอีกเลย น้องที่โดนไล่ออกบอกกับฉันว่า ดีแล้วที่เลิกคบกันไป ฉันอธิบายว่า ฉันไม่เคยโกรธ ฉันเข้าใจเขา ได้แต่สงสาร ส่วนเรื่องที่เขาไปพูดร้ายเกี่ยวกับฉัน ใครฟังแล้วเข้าใจตามนั้นก็หูเบาเองช่วยไม่ได้ ฉันรู้เสมอว่าฉันเป็นอย่างไร และการที่ใครเข้าใจฉันผิด มองฉันในแง่ร้ายมันก็ไม่ได้ทำให้ฉันแย่ไปตามที่เขาว่า เหมือนๆ กับ แบงค์สิบบาทไม่ว่าจะใส่กรอบวางอยู่บนหิ้งหรือแบงค์สิบบาทที่โดนใครเหยียบย่ำ มันก็มีค่าสิบบาทเหมือนกัน ซื้อสินค้าได้ของมูลค่าเท่ากัน หากมันยับยู่ยี่จนไม่มีใครอยากเก็บไว้ ก็เอาไปแลกใหม่ได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่เท่านั้นหากแบงค์ใบนี้ขาดวิ่น เหลือเพียงครึ่ง ธนาคารก็มีหลักปฏิบัติอยู่แล้วว่าธนบัตรที่ชำรุดจะสามารถแลกเงินได้เต็มมูลค่าหรือไม่

ส่งเพลงให้นักดนตรีประจำร้านลองเอาไปใส่ทำนอง ส่งให้หลายคนแล้วยังไม่ได้รับคำตอบ ฉันได้แต่คิดเข้าข้างตัวเองเหมือนหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ คุยกับหลายสำนักพิมพ์กว่าจะเจอเจ้าที่เห็นคุณค่า แล้วในที่สุดก็เป็นหนังสือขายดีที่สุด ถ้าจำไม่ผิดก็เป็นรองเฉพาะคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้น

พรุ่งนี้ต้องไปธุระกับแม่ ยังไม่รู้จะเจอมรสุมลูกใหญ่หรือเล็ก ที่แน่ๆ วันนี้คนข้างๆ บอกว่าฉันเหมือนแม่เปี๊ยบ...

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วุ่นวายหลายเรื่อง

ก่อนเขียนวันนี้ฉันกลับไปอ่านเรื่องล่าสุด แล้วก็เขียนเหมือนจะเป็นห่วงแฟนประจำที่ไม่มีอะไรให้อ่านมานานจะหายไป...

วันนี้ตื่นมาเพราะต้องโทรบอกพี่ว่าให้พาหลานไปเทสต์หน้ากล้องถ่ายภาพนิ่งบ่ายวันพรุ่งนี้ ตากล้องก็เป็นคนที่ทั้งฉันและคนข้างๆ รู้จัก แล้วหลานสุดเท่ของฉันคุณสมบัติพร้อมขนาดนี้จะไม่ได้งานได้อย่างไร

คุยกับพี่แล้วก็นึกภูมิใจตัวเองว่า แม้เรื่องของตัวเองจะไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ได้ช่วยเพื่อนฝูงพี่น้องก็โอเคแหละ ใครจะไม่เห็นค่า คิดว่าสิ่งที่ฉันทำไปไม่ได้เรื่อง ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดบ้างล่ะ แต่ทำไงได้ คนที่พูดก็คนที่มีพระคุณกับฉันที่สุดนั่นแหละ

หาเรื่องบันเทิงใจประจำวัน ดูพระจันทร์ลายพยัคฆ์ ละครเรื่องเดียวที่ฉันติดตามทุกตอน บางตอนหากตื่นไม่ทันดูก็เข้าเว็บเอ็มไทยดูย้อนหลัง การดูทีวีเริ่มจะเป็นปัญหาเล็กน้อย เพราะคนข้างๆ ไม่ยอมหยุดนิ่ง ดูมันทุกช่องเวลาโฆษณา บางทีเลยหมุนกลับมาไม่ทัน ฉันก็ขี้เกียจจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ก็หงุดหงิดในใจแล้วก็ไว้ไปตามดูเอง

เริ่มโอนค่าใช้จ่ายในการทำหนังสือให้คนที่เกี่ยวข้อง บางก้อนเอาไปฝากธนาคารให้ดูจะดีกว่า พรุ่งนี้ก็กะจะเข้าแบงค์ที่บิ๊กซีแล้วก็ไปดูหลานเทสต์หน้ากล้อง

วันนี้ดูละครไปก็แต่งเพลงไป ได้ส่งเพลงให้นักร้องชื่อดังคนโปรดของฉันด้วยล่ะ หวังว่าเขาจะชอบมันมากพอที่จะเอาไปใส่ทำนองและเลือกเป็นเพลงในอัลบั้มใหม่ของเขา ตอนแต่งเพลงๆ นี้ ฉันพยายามนึกหน้าเขาในใจ นึกเรื่องราวของเขาจากที่คนข้างๆ เล่าให้ฟัง จากที่ฉันรับรู้ในฐานะแฟนเพลงธรรมดาคนหนึ่งและที่ฉันได้มีโอกาสสัมผัสด้วยตัวเองครั้งสองครั้ง

ถ้าฉันแต่งเพลงได้ตังค์ ฉันคงจะเป็นที่ยอมรับในสายตาของพ่อแม่บ้างมั้ง...

คนข้างๆ ดูแลฉันเป็นอย่างดี ทำกับข้าว ล้างจานให้กินอย่างเคย เมื่อคืนไปดูลูกชายเขาร้องเพลงที่ร้านประจำ ฉันน่ะกึ่มๆ ตั้งแต่ก่อนออกจากบ้าน พอไปเจอเบียร์มันๆ เจ้าโปรดก็นั่งขยับขา ทำท่าตีกลองเลียนแบบมือกลองประจำวง เพิ่งรู้สึกว่าตีกลองมันมันส์ก็คราวนี้นี่เอง

แล้วก็แฮปปี้ไปตามประสา ระหว่างทางไปต่อร้านประจำ เจอด่านเสื้อแดง คนกำลังอารมณ์ขึ้นๆ ก็รู้อยู่ ฉันเอาตัวโผล่ไปนอกหน้าต่างแล้วก็ด่าๆๆๆๆๆๆ ด้วยความหงุดหงิดและรำคาญใจเป็นเดือน มีอะไรมั้ย ฉันมันก็ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึง แต่อยากมามากนัก บ้านเมืองมีขื่อมีแป ทำไมต้องมาตรวจรถ มาดูมีอาวุธรึเปล่า สิ่งที่พวกตัวเองทำมันเหมาะสมแล้วเหรอ หมอต้องย้ายคนไข้ออกนอกตึก เอาไม้ไผ่ ยางรถยนต์มาทำเป็นกำแพงขวางไม่ให้รถเข้าออก เข้าออกได้เฉพาะที่ไอ้พวกถือว่าพวกมากกำหนดเท่านั้น โรงเรียนจะเปิดเทอมก็ทำไม่ได้ คนล้มละลายไปไม่รู้เท่าไหร่ มันจะยุบสภาช้าลงสองสามเดือนจะอะไรกันนักหนา ปล่อยให้อยู่ครบเทอมไป ไม่ต้องเปลืองงบไปจัดการเลือกตั้งดีกว่ามั้ง ทำอย่างงี้มันเสียหายซ้ำซ้อน ทั้งเศรษฐกิจพัง คนเดือดร้อน แล้วก็เสียงบจัดการเลือกตั้ง ยิ่งเปลืองเท่าไหร่ เดี๋ยวนักการเมืองก็ต้องมาเอาทุนคืนจากเงินภาษีอีก วนเป็นวงจรอุบาศว์อยู่อย่างนั้น

พูดแล้วเซ็ง ไม่เอาดีกว่า เฮ้อ!

ที่ฉันปรับขนาดยาเอาเองก็ดูท่าจะดีขึ้น ได้ซื้อหนังสือออนไลน์เกี่ยวกับ Da Vinci Types ก็ทำให้รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น เพิ่งเริ่มอ่านไปนิดๆ เอง แต่แค่นี้ก็ทำให้มีความสุขแล้ว ใครจะไม่เข้าใจก็ช่าง ฉันเข้าใจตัวเอง และคนข้างๆ ก็คงพอรับฉันไหว(มั้ง)