วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ขอพูดเรื่องความใจกว้าง

พอความคิดนี้แว่บขึ้นมาในใจปุ๊บ คำพูดของพี่รุ่นใหญ่อีกคนก็ผุดขึ้นมาปั๊บ...

ฉันได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับการบล้อกคนในเฟซบุคของเพื่อนคนหนึ่ง ในใจก็พยายามเข้าใจทั้งสองฝ่ายและพยายามเข้าใจความเป็นจริงของโลก ไม่ได้ออกตัวว่าฉลาดหรือรู้ดีกว่าคนอื่นหรอก แค่มองทุกฝ่ายในแง่ดีเพื่อที่จะลดเรื่องที่ขัดแย้งกัน ให้ทุกฝ่ายยอมรับกันและกันอย่างที่แต่ละฝ่ายเป็น หากได้ชี้แจงใช้เหตุผลของตนแล้ว เพราะหากไม่ยอมรับก็แสดงว่าเห็นเหตุผลของตนเป็นใหญ่ เหตุผลที่คนอื่นอ้างสู้เรื่องของตัวไม่ได้ แน่นอนว่าเมื่อเจอคนไม่ยอมรับความคิดเห็นของเราแรงๆ อยากจะเถียง อยากจะโต้ตอบ เมื่อไหร่ที่ฉันต้องพบเจอเรื่องแบบนี้ ฉันจะเงียบไปเลย เงียบให้แน่ใจว่าไม่ได้ตอบด้วยอารมณ์แม้ว่าน้ำเสียงและหน้าตาที่แสดงออกจะใส่อารมณ์จนทุกคนรู้สึกได้ ฉันเป็นพวกประหลาด คนส่วนใหญ่ไม่ได้ฟังที่คนพูด ดูที่อากัปกิริยา ส่วนฉันคิดอย่างที่พูด แต่ท่าทางมันเป็นอย่างนั้นเอง ฉันอาจจะโกรธและอิน แต่ฉันหมายความตามที่พูดจริงๆ

หลายๆ ครั้งฉันนั่งวิเคราะห์ เมื่อฉันมาอ่านสิ่งที่ตัวเองเขียน มันก็ตีความได้หลายอย่างนี่นา ก็เลยเข้าใจ ฉันอ่านเองยังคิดได้หลายอย่าง แล้วทำไมคนอื่นจะมองต่างไปจากมุมที่ฉันมองล่ะ

ปัญหาคือ ฉันไม่สามารถไปอธิบายให้คนอื่นเข้าใจ ส่วนที่จะไปปรับเปลี่ยนความเป็นตัวตน ฉันบอกตัวเองว่า ฉันจะเลิกทำแล้ว ไข่อีกาที่อยู่ในเล้าไก่ ให้อีกาที่ฝักเป็นตัวพยายามยังไงก็ไม่มีทางเป็นไก่ไปได้ เมื่อคิดได้อย่างนี้ฉันก็มีความสุข

กลับมาที่เรื่องในเฟซบุค ฉันเข้าใจเพื่อนคนนั้นอย่างถ่องแท้ทันทีที่ฉันลองเข้าไปดู Wall ของเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งอันที่จริง ปกติฉันก็ไม่ทำอย่างนั้นหรอกนะ แล้วก็ให้ได้เข้าใจว่าการบล้อกไม่ให้ดูและแสดงความเห็นบน Wall แต่ยังเป็นเพื่อนอยู่เป็นอย่างไร แล้วก็บอกตัวเองเอาว่าคงเป็นเพราะสาเหตุที่ฉันไปขอบคุณพร้อมกับแนะนำหนังสือใน Wall ของผู้นั้นละมัง มันก็มีโอกาสที่ฉันจะคิดผิด แต่ฉันยังนึกเหตุอื่นไม่ออก อาจเป็นเพราะฉันแสดงความระคายเคืองให้เขามากจนถึงจุดมั้ง ก็โอเค เขาไม่ต้องการความเห็นฉันก็ไม่เป็นไร แต่ฉันเสียดาย เพราะฉันยังอยากเห็นความคิดเห็นของเขาอยู่

แล้วเรื่องที่ผุดออกมาคือ โทรศัพท์ที่พี่รุ่นใหญ่โทรมาจากภูเก็ต บอกว่า ฉันเป็นคนตรงไปตรงมาและใจกว้าง ฉันเลือกแฟนที่ดี เหมาะสมแล้ว และหน้าตาของทั้งสองเหมือนกัน

จะว่าไปเรื่องที่ผุดขึ้นมาไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องด๊อกเตอร์ชาวเกาหลีที่โทรกลับมาหาฉันทันทีที่เครื่องลงจอดที่สนามบินในกรุงโซล บอกขอโทษฉันและเขารู้ว่าฉันรู้อยู่แล้วว่าเรื่องอะไร ฉันก็เลยไม่ว่าอะไร เพราะฉันก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องนั้นคือเรื่องที่เขาเกาฝ่ามือฉันตอนที่เช็คแฮนด์ และฉันก็ดีใจที่ฉันเลือกปฏิบัติอย่างถูกต้อง ไม่เกิดความหมางเมิน ไม่ทำให้เขาเสียหน้า และเขาก็ขอโทษ ฉันได้สิ่งเหล่านี้มาโดยไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยกับสิ่งนั้นที่เขาทำ ปฏิบัติต่อเขาอย่างให้เกียรติทุกอย่าง แล้วฉันก็ได้รับการปฏิบัติอย่างให้เกียรติจากเขาตลอดมา

กลับมาเรื่องพี่รุ่นใหญ่ ฉันก็ใช้วิธีเดียวกัน เราได้มีโอกาสพูดคุย ร่วมงานและทำงานร่วมกันบางเรื่อง มันเป็นช่วงที่ต่างฝ่ายต่างเรียนรู้ว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร เขาเป็นคนช่างสังเกตขนาดถามว่าฉันใส่คอนแทคเลนส์ใช่มั้ยตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน ฉันได้มีโอกาสแชร์เรื่องราวบางเรื่องกับเขาพร้อมๆ กับแสดงความอ่อนไหวด้วยน้ำตา วันรุ่งขึ้นเขาโทรมาให้กำลังใจและเสนอทางออกของปัญหา ความสัมพันธ์น่าจะดีนับจากนั้นเป็นต้นมา แล้วเราก็ได้พบกันเมื่อต้องร่วมทริปไปต่างจังหวัด คราวนี้เขาเห็นคนข้างๆ ฉันที่รุ่นพอๆ กันกับพี่รุ่นใหญ่ แต่อยู่ในเวอร์ชั่นผมยาวมัดผม ภาพลักษณ์ของศิลปินที่คนเลือกจะมองโดยไม่ต้องรู้จักพูดคุย ฉันโฆษณาหนังสืออย่างโจ่งแจ้งทุกครั้งที่มีโอกาสเช่นเดิม การโฆษณา ขอให้ได้สร้างความประทับใจ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ ชอบก็ตามอ่าน ไม่ชอบก็ตามอ่านเพื่อจับผิด ฉันคิดอย่างนั้น...

แล้วก็ได้มีโอกาสร่วมงานกันในต่างบทบาท ในบทบาทที่ฉันทำเพื่อเป็นประโยชน์กับหนังสือของฉัน และฉันทำเพื่อประโยชน์ของงานที่ฉันไปร่วม ฉันอนุมานเอาเองว่า เขาคงคิดว่าฉันทำเพื่ออยากเด่น เบี่ยงเบนความสนใจ เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตน ฉันก็เข้าใจ ปกติคนก็คิดอย่างนั้น ใครไม่คิดอย่างนั้นสิจะเป็นคนที่ฉันสนใจ คนที่ฉันเหลียวมองและให้ความสำคัญ แล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป เพราะเรื่องแบบนี้ไปอธิบายก็ร้อนตัว ต้องให้เขาตัดสินด้วยตัวเอง เอาเป็นว่าแม้เขาจะยังไม่เข้าใจ แต่มีคนมาถามถึงหนังสือที่ฉันใช้เป็นตัวอย่างประกอบการถามคำถามให้การโฆษณาไม่น่าเกลียดจนเกินไป

และเหตุการณ์ที่ทำให้เขาโทรมาหาฉันจากภูเก็ตก็น่าจะเป็นเหตุการณ์นี้ เขายินดีให้ฉันใช้เวทีนี้เพื่อประโยชน์ของหนังสือของฉัน ส่วนฉันก็คิดอยู่ว่า ฉันจะเล่นบทอะไรเพื่อประโยชน์ของผู้ที่มานั่งฟัง พร้อมๆ กับที่ฉันก็ได้โฆษณาหนังสือในอีกรูปแบบที่แตกต่างไปด้วย ฉันกลายเป็นพิธีกรที่ป้ำๆ เป๋อๆ ทำหน้าที่ได้ห่วยแตก ทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ฉันยินดีที่จะเล่นบทเป็นพิธีกรอ่อนหัด เล่นบท role play ผลัดกันแสดงให้ดูว่าการเป็นพิธีกรมีเคล็ดลับ มีจุดที่ต้องใส่ใจอย่างไรบ้าง ฉันเล่นเป็นพิธีกรห่วยแตกขนาดที่ต้องหันไปถามเขาแล้วเขาถึงกับตอบเบาๆ กลัวว่าคนจะมองว่าฉันมาเป็นพิธีกรเรื่องนี้ได้ยังไง แล้วฉันก็คิดว่าเขาเริ่มเข้าใจแล้วว่า เวลาฉันทำอะไรฉันทำสุดตัว

ตบท้ายด้วยปัดแก้วทำน้ำหก อันนี้ยกผลประโยชน์ให้ตัวเองว่าเป็นการซุ่มซ่ามแบบตั้งใจ แล้วก็น่าจะทำให้คนที่ไม่กล้าเป็นพิธีกรเห็นใจ และคิดว่าป้ำๆ เป๋อๆ อย่างฉันยังเป็นได้เลย ทำไมเขาจะเป็นไม่ได้ ตอนท้ายประชาสัมพันธ์หนังสือและคอร์สฝึกอบรม ฉันก็พูดออกมาจากใจว่า ฉันต้องรีบสมัครไปเรียนก่อนเลย ลงมาจากเวที เขายิ้มด้วยสายตาอ่อนโยนถามว่าฉันแกล้งรึเปล่า ฉันไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธแต่ฉันบอกว่า ฉันคิดว่าฉันควรจะเล่นบทนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่มาฟังมากที่สุด

แล้วชีวิตก็ดำเนินต่อไปแม้จะไม่ได้อ่าน Wall ของเพื่อนลดไปหนึ่งคน

ไม่มีความคิดเห็น: