วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552

ชาเย็น


วันนี้มีเรื่องชาเย็นเข้ามากระทบโสตประสาทของฉัน 2 ครั้ง แต่มีนัยยะเหมือนกันเป๊ะ เพียงแต่ครั้งแรก เจ้าตัวปัญหาเป็นคนพูด ครั้งที่สอง ยัยอรอินทร์ในละครฮิตตลอดกาลเป็นผู้พูด

เรื่องแรกน่าเบื่อ เล่าเรื่องที่สองดีกว่า

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ดู เมียหลวง เวอร์ชั่นนี้เป็นครั้งแรก เห็นข่าวโปรโมทและหนังโฆษณาผ่านตามาหลายหน เหตุที่ทำให้สนใจล่าสุดคือ มีคนตั้งข้อสังเกตว่า ดร.วิกานดาใช้กระเป๋าแอร์เมสรุ่นเบอร์กิ้น รุ่นที่มีตังค์อย่างเดียวเป็นเจ้าของไม่ได้นะ (ต้องโง่ด้วย...เฮ้ย ไม่ใช่) ต้องสั่งจองล่วงหน้า รอกันเป็นปีๆ ไม่ใช่แพงธรรมดานะเธอ แพงเข้าขั้นเทพเลย หกเจ็ดหลักโน่น (พอดีฉันไม่มี เลยไม่อยากระบุชัดเจน เท่าที่ได้ยินมาก็ห้าแสนขึ้นนะแหละ) ส่วนอรอินทร์ใช้แชลแนล คนที่ตั้งข้อสังเกต สงสัยว่า ในละครใช้กระเป๋าจริงรึเปล่า แชลแนลน่ะ น่าจะเป็นไปได้ แต่เบอร์กิ้นนางเอกของเรื่องจะมีใช้ในชีวิตจริงละหรือ

พอฉันดูก็จับตามองที่กระเป๋าของตัวเอกทั้งสองทันที เบอร์กิ้นของดร. วิกานดา สีออกเหลืองทอง เป็นสีที่ฉันมองว่า ใช้ได้กับทุกโอกาส แล้วก็ไม่ธรรมดาเกินไปแบบสีดำ ส่วนอรอินทร์ ใช้กระเป๋าสีดำตลอด แต่ชุดเสื้อผ้าเซ็กซี่ ฉูดฉาด ทั้งสองแต่งตัวตรงกันข้าม ใช้กระเป๋าแบรนด์เนมเหมือนกันแต่เฉดสีตรงข้าม

เขียนๆ ไป ฉันก็นึกถึงละครที่พระเอกเจ้าชู้สุดๆ อีกหนึ่งเรื่อง สาปภูษา ผู้หญิงของพระเอกสองคนปักผ้าคนละผืน คนนึงผ้าสีสันฉูดฉาด บาดตา มองแล้วสดใส ส่วนอีกผืน งานละเอียดแม้จะดูธรรมดา แต่ก็ไม่อาจละสายตาได้ นั่นคือความเห็นของผู้ชายที่เห็นผู้หญิงคนไหนสวยไปหมด ตามแบบฉบับของผู้ชายโรแมนติกที่ถ้าใครชอบผู้ชายประเภทนี้ก็ต้องรับข้อเสียที่เขาไม่สามารถมีผู้หญิงเพียงคนเดียวได้ เว้นแต่ว่า ผู้หญิงคนนั้นจะทำตัวเป็นผู้หญิงออลอินวัน เป็นทั้งหลวงทั้งน้อยในคนๆ เดียว

กลับมาเรื่องเมียหลวงดีกว่า ตอนที่ฉันดูนี้เป็นช่วงที่ปัญหาสุกงอมจนจะเน่าคาต้นอยู่แล้ว ดร.วิกานดาเอือมระอากับความเจ้าชู้ของสามีตลอด 10 ปีที่อยู่กินกันมา อีกทั้งอรอินทร์ยังแสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของแบบออกนอกหน้า มาระรานและเล่นสงครามเย็นที่บ้านของดร. วิกานดาอีกต่างหาก ผู้หญิงที่วนเวียนอยู่ในชีวิตของดร. อนิรุธ ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น มีสาวซื่อใสชื่อนุดี และยังสาวใช้หน้าตาดีเกินควรที่บ้านดร. วิกานดาด้วย

อรอินทร์น่ะ นางร้ายของแท้ แบบฉบับดั้งเดิม นุดีหลงรักดร.อนิรุธพร้อมๆ กับรู้สึกผิดที่ทรยศต่อนายแสนดีอย่างดร.วิกานดา ส่วนสาวใช้ที่ฉันไม่ทันสังเกตว่าชื่ออะไร รักดร.ทั้งสองและออกจะหึงหวงแทนนายที่แสนจะเป็นผู้ดีของหล่อน

ดร.วิกานดาถึงขีดสุดแล้ว หล่อนไม่อยากอยู่ต่อไปจนเกลียดดร.อนิรุธ เพราะถึงอย่างไร เขาก็ยังเป็นพ่อของลูกทั้งสองของหล่อนอยู่ดี ฉันว่าหล่อนเล่นดีนะ เล่นแบบผู้หญิงที่ทนท้นทน แบบ สีทนได้ มาแรมปี ทนจนมันเอ่อท้นอย่างที่หล่อนใช้คำว่า ทนจนสำลักความเกลียด แล้วก็ยื่นคำขาดว่าเขาหรือหล่อนจะต้องเป็นฝ่ายที่ออกไปจากบ้าน
ดร.อนิรุธไม่คิดว่าหล่อนจะจริงจัง พูดด้วยอารมณ์แล้วก็คงหายไปเพราะเขาก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว ผู้ชายเจ้าชู้เป็นเรื่องธรรมดา (อันนี้เมื่อไหร่คนไทยจะเปลี่ยนความคิดอุบาทว์นี้เสียที) แต่แล้วคืนถัดมาหล่อนก็ถามซ้ำย้ำคำเดิม เมื่องอนง้อไม่ได้ผลก็ประชดซะเลย

"ใช่สิ ผมมันไม่มีความหมาย คุณน่ะฉลาด เก่ง จัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้เรียบร้อย"

"ผู้หญิงยังไงก็เป็นผู้หญิงวันยังคำ นอกเสียจากว่าผู้นำจะมีความบกพร่องอย่างร้ายแรง"

เธอดูภาษาที่ดร. เขาทะเลาะกันสิ คนการศึกษาสูงเขาทะเลาะกันแบบนี้ แต่รูปแบบของปัญหาไม่ได้แตกต่างกับชาวบ้านร้านตลาด มันก็ไม่พ้นเรื่องใต้สะดือนั่นแหละ

แม้จะเถียงจนดร.อนิรุธอึ้ง ทรุดนั่งลงกับเก้าอี้ แต่ดร.วิกานดาก็แอบมาร้องไห้อยู่ในห้อง (ก็หล่อนเป็นผู้หญิงนิ) รำลึกความหลังสมัยรักยังหวานชื่น ความรู้สึกสับสนปนเป หนึ่งก็คำอบรมจากผู้ใหญ่ตอนแต่งงานว่า เราเป็นผู้หญิงอย่าถือตัวว่า เก่ง ฉลาด อีกหนึ่งก็คำพูดของดร.อนิรุธที่บอกว่า ทั้งเก่งทั้งฉลาดอย่างหล่อน ทำให้เขาภูมิใจ ไม่มีทางที่เขาจะหมดรักหล่อน

ฉันชอบที่ละครฉายภาพความหลังแทนที่จะมาพูดใส่หรือสรุปให้คนดูเสร็จสรรพ เป็นละครน้ำเน่าแบบใส่ออกซิเจนเข้าไปบ้างแล้ว และเมื่อใครๆ ก็ชอบค่อนขอดว่าดีนัก ทุกฉากที่อรอินทร์คิดหาหนทางที่จะแย่งสามีชาวบ้าน จะมีพี่คอยเตือนทุกครั้งไป ทีมงานที่จัดละครเรื่องนี้คงมีความรับผิดชอบต่อสังคมละมัง
เมืองไทยเราปล่อยปละละเลย เด็กตัวกะเปี๊ยกก็ดูละครรอบดึกได้แต่ไม่มีผู้ปกครองนั่งดูเป็นเพื่อนหรือดูแล บอกกล่าวว่าสิ่งใดที่เห็นไม่ควรปฏิบัติ ไม่ควรกระทำ หรือถึงทำ ฉันก็จำได้ว่า รำคาญ โตจนป่านนี้แล้วยังจะมาพูดมาสอนเหมือนตัวเล็กๆ ฉันก็มองในฐานะลูก ส่วนคนที่เป็นพ่อแม่ เขาเคยเป็นลูกมาก่อนย่อมต้องเข้าใจความรู้สึก แต่ก็อีก เขาก็ต้องการให้เราเข้าใจหัวอกของคนที่เป็นพ่อแม่ ที่ไม่ว่าเราจะโตแค่ไหน อายุเท่าไหร่ เราก็ยังเป็นเด็กในความรู้สึกของเขาเสมอ

อากัปกิริยาของดร.วิกานดา เมื่อมีข่าวคาวหรือปัญหาใดๆ ที่มาจากสามีตัวดี หล่อนรับทราบและตอบโต้อย่างสงบ อย่างนิ่งๆ หากต้องมีการปรามคนที่ซอกแซกเกินเหตุก็เพียงแค่ปรายสายตามอง หรือถ้าใครบางคนไม่เป็นผู้ดีพอ ทำแค่นั้นก็ยังไม่หยุด หล่อนก็ตอกกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ อันเป็นที่มาของอาการ "ชาเย็น" ศัพท์ระดับเทพของคำว่า "เย็นชา"

แล้ววิธีนี้จะได้ผลมั้ย

ละครยังแทรกค่านิยมของคนในสังคม เมื่อทุกข์ร้อนก็พึ่งวัด เสี่ยงเซียมซี ดูดวง แล้วละครก็บอกใบ้ว่า แม้ตอนนี้หล่อนจะเหมือนอยู่ในฤดูใบไม้ร่วง แต่ฤดูใบไม้ผลิก็จะมาถึงในไม่ช้า ถึงตอนที่หล่อนทวนคำ "ฤดูใบไม้ผลิ" ทำนบก็แตก หล่อนร้องไห้อย่างไม่อายชายญี่ปุ่นที่มาหาด้วยความเป็นห่วง

เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง ไม่นานก็จะเข้าสู่ฤดูหนาวอันเย็นเยือก หากผ่านพ้น ก็จะได้พบกับแสงสว่างสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาใหม่ หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามกลไกธรรมชาติ มีเกิดแล้วก็ดับแล้วก็เกิดต่อไปไม่จบสิ้น แล้วเราจะไปยึดถืออะไรมากมาย ชีวิตมันก็แค่นี้

วันนี้เป็น "ชาเย็น" พรุ่งนี้อาจจะเป็นน้ำผึ้งผสมมะนาว หรือไม่ก็แรงแบบว็อดก้าหรือเตกิล่าก็ไม่แปลก

หรือว่าเธออยากเป็นน้ำเปล่า ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี แต่ต้องดื่มทุกวันล่ะ




ไม่มีความคิดเห็น: