วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552

อย่างงี้เรียกโดน!!

ในช่วงอาทิตย์สองอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้เจอะเจอทั้งตัวจริงเสียงจริงและตัวปลอมตามสายตามเว็บของเพื่อนนักเรียน รวมไปถึงพี่ๆ น้องๆ ร่วมสถาบันมากมายหลายสิบ รำลึกความหลังเหมือนคนแก่บ้าง ดูรูปสมัยยังไม่เป็นสาวดีก็ด้วย เห็นความเปลี่ยนแปลง ดูความเคลื่อนไหว เป็นไปของเพื่อนๆ ที่วัยนี้ก็มีแต่เรื่องลูกในหัวใจ ชีวิตเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันส่วนใหญ่ ยังไงผู้หญิงก็ไม่พ้นความเป็นผู้หญิง ลูกมาอันดับหนึ่ง บางคนอาจจะมีธุรกิจส่วนตัวที่เกี่ยวเนื่องกับเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนอนุบาล สถานเสริมทักษะด้านต่างๆ ของเด็ก ทำเสื้อผ้าเด็กขาย หรือไม่ก็ทำงานแบบเวิร์คกิ้งวูแมนแล้วก็บ่นๆ ๆ เรื่องลูกน้อง ลูกค้าไปโน่น คนที่ไม่มีลูกก็บ่นเรื่องซะมีที่รู้สึกจะแตกแถวเป็นครั้งคราว คนที่บ่นก็มักจะมาจากการตัดสินใจเริ่มแรกที่ว่า ฉันรักเธอ เธอรักฉัน เรารักกัน ฉันยอมได้ แล้วฉันก็ยอมสละชีวิตชาวกรุง ชีวิตผู้หญิงทำงาน เพื่อไปอยู่กับเธอ (ตอนนี้มันคุ้นๆ ยังไงพิกล)

ถ้าฉันเลือกทางเดินเส้นเดิม ฉันก็คงจะเจริญรอยตามเพื่อนๆ เลี้ยงลูกแล้วก็วุ่นวายอยู่กับโรงเรียนอนุบาลหรือไม่ก็ห้องสมุดเด็กที่ฝันไว้ ใกล้ทะเลต่างจังหวัด อันเนื่องมาจาก ฉันตัดสินใจแบบ ฉันรักเธอ ฯ ข้างต้น

แล้วฉันก็เปลี่ยนใจ...

กลับมาเริ่มต้นใหม่กับคนที่คิดว่าใช่ ซึ่งฉันก็น่าจะได้มีชีวิตแต่งงานไปเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ แล้ว ทีนี้ไอ้คนปัญหามากอย่างฉันก็ดันเกิดอาการ "มันไม่ใช่อะ" อีกแล้ว อาการที่ใครๆ ก็ระอา "แล้วมันจะอยู่กับใครได้" หรือไม่ก็ "ใครจะทนอยู่กับมันได้" จากที่จะได้เป็นแม่บ้านเต็มตัว ลุกขึ้นมาทำงานประจำอีก แล้วหลังจากโดนมรสุม ถามตัวเองอีกครั้งว่า

"เราต้องการอะไรกันแน่ในชีวิต"

ฉันอยากมีอิสระ นั่นคือ คำตอบสุดท้าย

ล้มๆ ลุกๆ อยู่เป็นปี จับผลัดจับผลูมาเจอคู่บุญหรือคู่กรรม (อันนี้ไม่รู้จะให้ใครตัดสิน ฮ่า ฮ่า) ได้มาเปิดบริษัท ทำอะไรแบบลิงค์ที่ใส่ไว้ด้านล่างนี่แหละ

อ่านแล้วก็ให้โดนใจเป็นที่สุด

วันนี้เพื่อนเก่า(แก่) ถามขึ้นมาอีกว่า "ทำเพื่ออะไร" คล้ายๆ กับน้องที่มาช่วยงานก็ถามคำถามทำนองนี้เช่นกัน ฉันก็ตอบแบ่งรับแบ่งสู้ไปว่า "ก็ต้องทำให้อยู่ได้" ส่วนที่ว่าอยู่ได้ยังไงนั้น ฉันก็ทำเหมือนบทความที่ว่านั่นแหละ

ยิ่งใครเคยทำงานระดับบริหารในองค์กรขนาดใหญ่ หรือแม้แต่องค์กรเล็กๆ ก็คงจะยิ่งประหลาดใจว่าทำไมได้ค่าแรงน้อยขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าฉันจะรู้แล้วหรอกนะว่าผลตอบแทนต่อเดือนน่ะเท่าไหร่ บอกตรงๆ ว่าไม่กล้าคิด คิดแต่ว่า จะลด/ประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างไร อะไรทำได้เองก็ทำ ขนาดจะให้มอเตอร์ไซด์ไปส่งจดหมายให้ ถ้าเป็นฉบับเดียวก็จะเริ่มคิดแล้วว่า ฉันควรจะไปส่งเองแล้วก็หาเรื่องทำธุระซะทีเดียวเลยดีมั้ย จะได้ไม่ต้องเสีย 50 บาทซึ่งแพงเกินไป ไม่ควรเป็นต้นทุนของการส่งหนังสือให้ลูกค้าเพิ่มเติม

แต่พอดีวันนี้ นอกจากส่งหนังสือให้ลูกค้าแล้ว ฉันก็ต้องส่งหนังสือให้บรรณาธิการเทียบกับต้นฉบับภาษาต่างประเทศด้วย เฮ้อ! ค่อยยังชั่ว ค่อยคุ้มค่าจ้าง แต่ก็ยังไม่วาย นั่งคิดว่าถ้าฉันต้องจ่ายเงินให้มอเตอร์ไซด์ไปส่งจดหมายให้ฉันทุกวัน เทียบเท่าเงิน 1500 บาท

มันก็โอเคนิหว่า

ถ้าจ้างคนทำงานประจำมันเยอะกว่านั้นเยอะ จ้างเป็นงานๆ ไป เหมาะที่สุด อิสระทั้งเราและผู้ร่วมงาน

ว่าแล้วก็ออกจากบ้านอย่างสบายใจไปหาซื้อชั้นวางหนังสือเหล็กด้วยคูปองแทนเงินสด 3500 บาทที่อยู่ดีๆ ก็ได้มาเหมือนฟ้าประทาน เงินทองอยู่ติดตัวนานไม่ได้ ต้องทำให้หายไป

ข้อมูลอะไรที่หาไว้แล้วล่วงหน้า ไม่สนใจทั้งนั้น เพราะถ้าซื้อที่อื่น ฉันต้องจ่ายเงินสด แต่นี่ ไม่ต้อง เหมือนได้ฟรี(เพิ่มเงินอีกนิด ใช้กึ๋นปรับให้เข้ากับการใช้งานอีกหน่อย) ค่าแรงคนประกอบก็ไม่ต้องเสีย เพราะฉันประกอบเอง หญิงเหล็กเจ้าค่า(ก็ประกอบชั้นเหล็กนิ)

ขนหนังสือเอง ประกอบชั้นวางหนังสือเอง เก็บเงินเอง หาพันธมิตรเอง รวย(จน)เอง

เสียแค่เหงื่อกับเวลา แถมไม่ปวดหัวเรื่องคน เรื่องความผิดพลาดที่เราควบคุมไม่ได้

ก็ทำให้สำนักพิมพ์ไอ้ตัวเล็กนี่อยู่ได้ละน่า

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000030565

ไม่มีความคิดเห็น: