วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2552

ชีวิตง่ายขึ้น?

ตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบตีห้าแล้ว ฉันยังงมเรื่องการโอนเงินผ่านอินเตอร์เน็ตของบริษัทอยู่เลย ปัญหาแรกที่ฉันพบก็คือ ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่หน ฉันไม่เคยจำรหัสลับได้เลย แม้จะจดแบบบอกใบ้ให้ตัวเองจำได้คนเดียวแต่ก็จำผิดทุกที ทีนี้ระบบรักษาความปลอดภัยของธนาคารก็ดีเยี่ยม ห้ามใส่รหัสผิดเกิน 3 ครั้ง มิฉะนั้นจะต้องให้ผู้ดูแลระบบตั้งรหัสให้ใหม่ คราวนี้เมื่อเข้าไปแล้วก็ต้องไปเปลี่ยนรหัสลับทันที

การทำรายการโอนเงินไม่ง่ายเหมือนการโอนเงินผ่านอินเตอร์เน็ตของบุคคลธรรมดา ฉันใช้บัญชีส่วนตัวโอนเงินมาเป็นปี ไม่มีปัญหา แต่พอมาเป็นของบริษัท นอกจากจะต้องคิดเรื่องภาษี ณ ที่จ่าย ยุบยับ ต้องเลือกรหัสสาขาให้ถูกต้อง ต้องทำตามขั้นตอนการทำรายการที่โปรแกรมกำหนดเป๊ะ แถมยังทำเบ็ดเสร็จคนเดียวก็ไม่ได้ด้วย มันก็เนื่องมาจากระบบการควบคุมภายในนั่นแหละ ที่ต้องมีการเช็คสอบระหว่างผู้ทำรายการและผู้อนุมัติรายการ ไหนจะต้องอนุมัติข้อมูลผู้รับโอนเงิน แล้วถึงจะให้ผู้ทำรายการสร้างรายการโอนเงินเพื่อส่งต่อให้ผู้อนุมัติรับรองรายการอีก จากเดิมที่โอนเงินเบ็ดเสร็จแค่ไม่เกินนาที หนนี้ฉันงมอยู่เป็นชั่วโมง

ไม่แค่นั้นนะ ไม่ได้โอนเงินทันทีหรอก ถ้าเลือกแบบทันที ค่าใช้จ่ายบานตะไท ต้องทำรายการล่วงหน้า 1-2 วัน ถึงจะเสียค่าใช้จ่ายต่ำกว่าแบบบุคคลธรรมดา

ฉันได้แต่หวังว่า เมื่อฉันทำรายการคล่องขึ้นแล้ว ชีวิตจะง่ายขึ้นจริงๆ อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องลุกขึ้นมาแต่งตัว ไปเข้าคิวทำรายการที่ธนาคารพร้อมกับห้ามลืมตราประทับของบริษัท

ตอนที่พนักงานธนาคารมาสอนวิธีใช้งานฉัน เนื่องด้วยเคยเรียนอะไรทำนองนี้มา ฉันก็เข้าใจหัวอกน้องๆ ที่มาสาธิตให้ดูเลยทีเดียว คนเขียนโปรแกรมก็เขียนเลียนแบบการทำงานแบบเดิม ไม่ได้คิดว่าจะทำให้การผนวกใช้คอมพิวเตอร์ทำให้การทำงานเร็วและง่ายขึ้น คนที่ต้องใช้งานก็มีงานกองอยู่ท่วมหัว ไม่มีเวลาจะไปนั่งอธิบายให้คนเขียนโปรแกรมเข้าใจโครงสร้างการทำงาน ปัญหาที่พบ หรือลองทดสอบโปรแกรมเพื่อให้ข้อเสนอแนะสำหรับการปรับปรุง ผลก็คือ คนทำงานต้องใช้โปรแกรมที่ออกจะพิการบ๊องๆ เล็กน้อย แล้วไอ้การที่จะแก้โปรแกรมให้ใช้งานง่ายขึ้นก็ต้องเสียค่าแรงที่เรียกกันว่า man hour แพงหูฉี่ จากนั้นฉันก็พูดอย่างเห็นใจน้องๆ เสร็จสรรพว่า แล้วก็ไม่ถึงคิวที่จะแก้โปรแกรมสักที เพราะปัญหาของส่วนงานอื่นหนักกว่า สำคัญและจำเป็นมากกว่า ในขณะที่งบประมาณมีจำกัด เพราะฉะนั้นก็ต้องอยู่กับโปรแกรมต๊องๆ นี้ต่อไป

น้องบอกว่า โห เหมือนพี่มานั่งทำงานที่แผนกด้วยเลยนะเนี่ย

อ๋อ แน่ล่ะ มันก็ปัญหาพื้นๆ ของการทำงานออฟฟิศเนี่ยแหละ แต่ฉันก็แนะทางแก้ให้น้องนะ เผื่อจะมีความหวังบ้างนิดหน่อย ฉันบอกให้น้องรวบรวมสถิติลูกค้าที่ถามเกี่ยวกับปัญหาการใช้งานว่ามีมากน้อยเพียงใด แล้วแปลงความไม่พอใจของลูกค้าเป็นตัวเลข แปลงระยะเวลาที่ต้องตอบปัญหาลูกค้าและแก้ไขข้อผิดพลาดของระบบเป็นจำนวนชั่วโมงเพื่อคูณเป็นค่าจ้างพนักงานกี่คน แล้วนำเสนอผู้ใหญ่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อธนาคารทั้งในแง่ความพอใจในบริการและการจ้างพนักงานเพื่อดูแลปัญหาต่างๆ สรุปออกมาเป็นเงินจำนวนหนึ่ง คุ้มแล้วหรือไม่ที่ยังไม่แก้ปัญหาสักที ข้อมูลเหล่านี้อย่างน้อยก็อาจเพิ่มลำดับความสำคัญของปัญหาได้บ้าง จะได้ต่อคิวสั้นหน่อย

แต่อย่างว่าล่ะ งบประมาณของรัฐบาลยังแย่งกันแทบแย่ ทำรายงานนำเสนอ หาเหตุผลสารพัด ถ้าไม่กินนอกกินในกินตรงกลางทะลุทั้งหน้าหลัง ประเทศก็คงพัฒนาไปถึงไหนแล้ว

ในบริษัทก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก ฝ่ายที่เคยได้เงินเยอะ ก็ไม่ยอมลดงบประมาณของตนเพื่อปัญหาของฝ่ายอื่นๆ หรอก ไม่ว่าใครก็ทำเพื่อตัวเองเพื่อพวกพ้องทั้งนั้น คนที่ทำเพื่อส่วนรวมแล้วตัวเองเดือดร้อน ถูกหาว่า โง่ ซื่อ เป็นไอ้งั่ง

บางคนยิ่งฉลาดเท่าไหร่ รู้เท่าทันเกมส์ แต่เป็นคนดีทำเพื่อส่วนรวม ยิ่งรู้สึกว่าถูกมองว่าโง่มากขึ้นเท่านั้น จริงๆ แล้ว บางทีฉันคิดว่า ยิ่งโง่เท่าไหร่ ชีวิตยิ่งง่ายขึ้นเท่านั้น

หรือเธอว่าไงล่ะ

ไม่มีความคิดเห็น: