วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คำอธิบายจากสาวคาวเกิร์ลเมื่อคืน


"เมารึเปล่าน่ะเมื่อคืน เอารูปออกไปซะ"...

นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ประมาณว่า ฉันเจอหน้าเพื่อนคนนี้ทีไรก็เป็นต้องอบรมความประพฤติ โดยเฉพาะการโพสต์รูปในเฟสบุคซะทุกครั้งไป ด้วยเข้าใจในเจตนาดีของเพื่อนที่คบกันมา 20 ปีพอดิบพอดี ฉันเลยเปลี่ยนรูปโพรไฟล์พิคเจอร์เป็นรูปที่ถ่ายคู่กับพี่เคนไปซะงั้น แหม มันก็น่าอยู่หรอกนะ ก็ฉันเล่นโพสต์สารพัดท่า เหมือนๆ กับตอนอายุ 15 ที่โพสต์ให้พ่อถ่ายนั่นแหละ

ไม่รู้เป็นไง เวลาฉันนึกสนุกขึ้นมาทีไร เป็นเรื่องทุกกกกกกก ที

ครั้งนี้น่ะเป็นปาร์ตี้แบบคาวบอยคาวเกิร์ลฉันก็คว้าเสื้อลายสก๊อตมาใส่กับเกาะอกสีดำ กระโปรงมินิยีนส์ และรองเท้าบูทจากเพื่อนผู้อารี ส่วนหมวกก็ไปไถเอาในงาน กะว่าจะไม่คืน แต่แล้วพนักงานที่ร้านก็มาขอไป แถมบอกว่า "ไม่ใช่สองบาทหนิิ" จ๋อยไป

ปาร์ตี้ครั้งนี้คนน้อยมากกกกก แต่ก็ตามหน้าที่ ฉันก็เลยต้องเต้นแร้งเต้นกา โดดเข้าโดดออก ไปร่วมสนุกกินเหล้า 5 ช็อตกับเค้าด้วย มองในแง่ที่คนชอบมองก็ทำตัวเด่น เฟลิร์ต ซ่า เซี้ยว

แต่ถ้ามองอย่างที่ฉันเป็นก็คือ ไหนๆ คนน้อย เราก็ต้องช่วยๆ กันทำให้มันสนุก เปิดแอร์ก็น้อยเลยถอดเสื้อเชิร์ตออก เหลือเกาะอกพร้อมเนินขาวๆ ก็ ว้าว อีกตามเคย ช่วงนี้ฉันผอมลงขาก็ยิ่งเรียวขึ้น โพสต์ท่าถ่ายรูปให้มันสุดๆ ไปเลย แถมเจออีตาแขกอินเดียที่หน้าเหมือนแอฟริกันมาวอแว ไอ้ครั้นจะทำสะบัดสะบิ้งก็จะทำให้งานกร่อย ฉันก็จัดการเต้นหมุนไปหมุนมา หมุนออก ดึงคนอื่นมาหมุนด้วย แล้วก็ชิ่ง ไอ้พอเราทำแบบเนียนๆ มันเหมือนเล่มเกมส์ เลยมาอีกหลายหน

เพื่อนฉันอดรนทนไม่ได้ต้องไปกระซิบกับเพื่อนคนจัดงานแบบที่แปลเป็นภาษาไทยว่า "เพื่อนฉันไม่ใช่ easy catch นะยะ เขามาจากครอบครัวดีมีระดับ"

แถมวันรุ่งขึ้นเพื่อนคนจัดงานโทรไปหาอีตานั่นประมาณอบรมบ่มนิสัยว่าที่ทำเมื่อคืนดีนะที่ฉันไม่ถือ แต่ได้โปรดกรุณางดเว้นการกระทำดังกล่าวด้วยเทอญ

แหม ถ้าได้ดูภาพประกอบจะเห็นว่าฉันเบี่ยงตัวออกทุกครั้งที่เขาเข้ามาถ่ายรูปด้วย จะพันได้ก็แค่แขนฉันเท่านั้นแหละ หน้าหลังรับรองป้องกันไม่ได้แตะอยู่แล้วจ้า

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Gossip Girl แสบใส ไฮโซ (โหมโรง)

เนื่องด้วยมีหลายคนเป็นห่วงฉันขนาดหนัก ฉันเลยต้องห่วงตัวเองขนาดหนักไปด้วย อะไรที่จะทำให้ฉันคิดมากปวดหัว ตัดทิ้ง ช่วงนี้จะเป็นช่วงพักผ่อน ผ่อนคลาย ห้ามรู้สึกผิดหากไม่ได้ทำงานทำการอะไรทั้งสิ้น แต่ออกจะทำงานหนักมากโดยการดู Gossip Girl ทั้งสอง season ภายใน 3 วันไม่ขาดไม่เกิน...

ฉันไปซื้อซีรีส์เรื่องนี้้โดยที่ไม่ได้ตังใจมาก่อนแถมยังไม่เคยรู้เคยเห็นเคยได้ยินอะไรใดๆ อีกด้วย แต่ประมาณว่าหลงคารมคนขาย พร้อมๆ กับที่คนขายจะดูตำแหน่งหนังสือของสำนักพิมพ์ให้เป็นพิเศษ แล้วฉันก็ใจง่ายทันที

คิดซะว่าจะได้มีคนโชว์หน้าปกหนังสือของเราเพิ่มขึ้นละกัน แต่แล้วก็อดดีใจไม่ได้ที่คนขายเองก็บอกว่าซื้อหนังสือของเราเล่มหนึ่งด้วย อิอิ

กลับมาที่ Gossip Girl หรือชื่อภาษาไทยว่า แสบใส ไฮโซ ซีรีส์นี้ฉายที่ True Vision ตั้งแต่ปีที่แล้ว ก็อย่างว่าแหละ ฉันยกเลิกเคเบิลทีวีมานานมากแล้ว เลยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเค้าด้วย แต่พอดูเรื่องนี้แล้วก็ทำให้ฉันฉุกคิด ตะหงิด ตะหงิด เกี่ยวกับเรื่องของตัวเองตามเคย

ใครอยากรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร เนื้อหาความเป็นมาอย่างไร ก็เสิร์จคำว่า   gossip girl เอานะจ้ะ มีทั้งข้อมูลภาษาไทยและอังกฤษ ฉันจะพล่ามเฉพาะส่วนทีโดนใจฉันแหละ

เซรีน่า สาวไฮโซครบเครื่อง เป็นแฟนกับ แดน หนุ่มอีกชนชั้นจากบรูคลิน เซรีน่ามีเพื่อนสนิทเป็นคุณนายเชิดหยิ่งอย่าง แบลร์ มีน้องชายที่ชอบผู้ชายและเคยคิดฆ่าตัวตายอย่าง เอริค แม่ของเธอเป็นแฟนเก่าพ่อของแดน หนุ่มหน้าหวานสุดหล่อ เนท เป็นแฟนกับแบลร์ตั้งแต่อ้อนแต่ออก และมีเพือนสนิทที่สปอยล์สุดๆ อย่างชัค แดนมีน้องสาวที่รักการตัดเย็บเสื้อผ้าอย่างที่สุดชื่อ เจนนี่ พร้อมๆ กับที่มีเพื่่อนสาวคนสนิทและเป็นรักแรกอย่าง วาเนสซ่า

ตัวละครเด่นๆ น่าจะครบแล้วแหละ แล้วเวลาที่ดูแต่ละตอนก็มีอันต้องทำให้ฉันสะดุดกึกเป็นพักๆ เช่น

แดนไม่ถูกกับแบลร์เพื่อนซีของเซรีน่านางในฝันและแฟนในความเป็นจริงหลังจากหลงรักมานาน ฉันเองก็ไม่ชอบเพื่อนของคนที่ฉันชอบสักคน สำหรับฉันแล้ว เพื่อนของเค้า ปากเสียอย่างแรง แบ่งชนชั้น กัดชาวบ้านไปทั่ว เห็นแต่ประโยชน์ของตัวเอง และหนึ่งในนั้นเคยใช้สายตาเย้ยหยันมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า 

เฮ้อ! อะไรจะเหมือนกันขนาดนั้น

แค่นี้ก่อนละกันนะจ้ะ ไว้มาเล่าตอนต่อไป

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

รถไฟฟ้า (ขบวนสุดท้าย) มาหา (แล้ว) นะเธอ

นั่งดู trailer หลายรอบ อดรนทนไม่ได้ เข้าโรงดูหนังที่นำมาซึ่งรอยยิ้มและความสุขเรื่องนี้ 2 รอบ...

ตอนนี้ฉันนั่งอยู่ในบ้านที่ไม่คุ้นเคยแต่อยู่ในคอนโดชั้น 6 เหมือนกัน ขนาดประมาณ 160 ตารางเมตร หนึ่งห้องนอน สองห้องน้ำ ส่วนรับแรกและครัวฝรังโอ่โถง ตกแต่งต่อเติมมาหลายปีแล้ว แต่เฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาลดำแลขาวก็ยังทันสมัยอยู่เสมอ

ฉันอยู่ที่นี่เป็นคืนที่สอง คืนแรกนอนในห้องนอนกับคุณป้าพี่สาวคนโปรดของแม่ เมื่อคืนนี้ฉันสมัครใจนอนโซฟาหน้าทีวี ซึ่งคุณป้าก็ว่าไงว่ากัน ตกดึกตื่นมา คุณป้าหายไป รีบโผล่ไปดู นอนอยู่ในห้อง ค่อยโล่งใจ กลับมานอนห่มผ้าหน้าจอตามเดิม

ก่อนนอนเมื่อคืนเป็นวันที่อยู่กับผู้ใหญ่ สี่สาวไปทำผม ทานอาหารเที่ยง ชอปปิ้ง ดูหนัง จะว่าไปก็เหมือนสาวรุ่นทั่วๆ ไป สองสาวเกินแปดสิบ อีกหนึ่งห้าสิบกว่าแล้ว ส่วนฉันก็อย่างที่รู้ ใกล้สี่สิบอยู่รอมร่อ

หนังที่ว่าจะเป็นเรื่องอื่นไปไม่ได้ ปู๊นๆ นั่นเอง

ปู๊นครั้งที่สองได้เก็บรายละเอียดที่ตกหล่นจากการดูครั้งที่หนึ่ง ทำไมนางเอกตาตี่ เบอะๆ คนนี้น่ารักนักวะ นี่ฉันเป็นผู้หญิงยังอดชมไม่ได้ แล้วผู้ชายล่ะ เห็นติดใจไปตามๆ กัน

ผู้หญิงก็มักจะเลือกเข้าไปดูพี่เคนสุดหล่อแสนดี และนั่นก็เป็นแคเร็กเตอร์ที่ผู้เขียนบทวางไว้ให้

คนบ้าอะไรวะ แว่นเรย์แบนแตก กระจกหน้ารถหล่นใส่ รูปตัวกับแฟนเก่าว่อนเน็ต กล้องถ่ายรูปพังซะอีก ไม่เห็นโกรธ โวยวายแต่อย่างใด ในโลกแห่งความเป็นจริงจะมีมั้ยหนอ

นางเอกที่เกิดมาไม่เคยมีแฟน จนอายุ 30 เพิ่งรู้ว่าแม่ไม่ได้เห็นว่าการจีบผู้ชายเป็นเรื่องน่าเกลียด ก็พยายามหาทางเข้าใกล้พระเอกสุดหล่อคนดีอย่างที่สุด ดูแล้วน่าเห็นใจเพศหญิงเช่นฉันจริงๆ จะมีใจให้ใครแสดงออกมากก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะกลายเป็นอ่อยจนเกินงาม

ทำยังไงมันจะพอดีละนั่น จีบแต่พองามน่ะ

และแล้วก็มีคำถามสำคัญถามไถ่

คนเราถ้าเป็นแฟนกันแต่ไม่ได้กินข้าวด้วยกัน ไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน จะมีแฟนไปทำไม

แฟนไม่จำเป็นต้องตัวติดกัน เรามีแฟนเพื่อให้รู้ว่ามีคนที่รักเราต่างหาก

อะไรประมาณนั้นแหละ

และแล้ว ความรักแม้จะไม่สมหวังก็ทำให้เราปรับตัวเข้าหาอีกคนโดยที่ไม่ได้โดนเรียกร้อง โดนบังคับ บางครั้งเราก็ปรับ เราก็เปลี่ยนเพราะการกระทำนั้นทำให้เรารู้สึกว่าใกล้กับใครคนนั้นมากขึ้นต่างหาก



http://www.youtube.com/watch?v=ZSMUF8izOJM

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2552

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่

หลังจากรากงอกมานาน ถึงเวลาแล้วสำหรับการเปลี่ยนแปลง...

ไม่ได้หมายความว่า สิ่งเดิมจะต้องไม่ดี เป็นการลองเปลี่ยนเพื่อดูผลกระทบ หากฉันไม่ได้มาประกาศ ณ ที่นี้ ฉันอาจไม่จริงใจในการกระทำให้บรรลุตามที่ตั้งใจไว้ 

ฉันจะหยุดไปร้านประจำ เวลาค่ำคืนของฉันจะเป็นเวลานอน ทำกิจกรรมอยู่ที่บ้าน หรืออีกทีก็ไปแวะเวียน เปิดหูเปิดตาที่อื่นๆ แทน

ใครได้ผ่านมาอ่านเข้า อาจจะคิดว่า อะไรมันจะใหญ่โตนักหนา กะอิแค่ไม่ไปนั่งผับประจำ มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับฉันสิ เพราะร้านที่ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันมากว่าสิบปี เมื่อถอนเวลาที่ให้กับสถานที่นี้ออกไปก็ย่อมก่อให้เกิดที่ว่างขนาดใหญ่ในกระบอกชีวิตแก้วของฉัน คล้ายดั่งเอาก้อนหินก้อนใหญ่ออกไป มีที่เหลือเฟือให้ใส่หินก้อนใหญ่เล็ก รวมไปถึงกรวด ดิน ทรายเพื่อเติมเต็มจนครบเครื่อง

ฉันไม่ขอพูดพล่ามทำเพลงมากมาย ขอแค่สัญญากับตัวเองโดยจารึกเป็นหลักฐานในโลกไซเบอร์เท่านั้นแหละ คอยดูสิ ฉันจะหักดิบเลยเชียว คำนินทาทั้งหลายที่จะถาโถมมาที่ฉันจะได้เข้าถึงฉันยากขึ้นอีกนิด ถึงเวลารับศึกที่ีใหญ่ที่สุด 

ศึกปากคน!

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วันที่ไหลเรื่อย

หลังจากพักผ่อนมาหลายเพลา เอาให้แน่ใจว่าไม่ได้เพลียเพราะนอนไม่พอ วันนี้ก็ไม่ได้ตื่นก่อนพระอาทิตย์ส่องหัวสักเท่าไหร่ เสียงโทรศัพท์เข้ามาเป็นระยะๆ ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ว่า ถึงเวลาที่ต้องออกจากบ้านแล้ว...

ขับดิ่งไปจอดรถหน้าร้านเสื้อเพื่อรับชุดราตรีสั้น 3 ชุด แต่สอบผ่านแค่ชุดสีน้ำเงินแป๋นชุดเดียว ชุดสายเด่ียวสีดำคัตติ้งยังไม่เนียบและดูจะไม่เซ็กซี่พอ (อิอิ) ชุดเกาะอกสีม่วงอ่อน ใส่แล้วไหงหุ่นฉันแย่ลงหว่า ก็ไม่เอานะสิ ช่วงนี้เป็นช่วงสะสมทุกสิ่งอันสีม่วง พรุ่งนี้ก็ด้วยทั้งข้างนอกและข้างใน ด้วยสีของสำนักพิมพ์และนางสาวไทยก็สีม่วงเหมือนกัน สบายฉันไปเลย

รับเสื้อเสร็จก็นึกได้ว่า ควรจะไปหาหมอเพื่อแผ่นหลังสวยเนียนเสียที ผิดนัดคราวที่แล้ว ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าอีกต่างหาก ไปถึงคิวเต็ม หม่ำๆ ก่อนดีกว่า แล้วก็สวาปามฮามาชิ มากูโระ หอยเชลล์ดิบและสเต๊กเนื้อ พร้อมน้ำแตงโมปั่น ฉันก็ได้รับสารอาหารครบถ้วนทุกหมู่เหล่า เอาไงดี ทำไงต่อ ไปนวดดีกว่า ถือว่าเป็นวันผ่อนคลาย นวดมันสองชั่วโมง ระหว่างนวดก็นึกได้ว่า กว่าจะนวดเสร็จก็พอดีหมอว่าง ไม่เลวจะได้ทำมันซะรวดเดียวไปเลย

เวลานวดกดจุดนี่ฉันเจ็บจี๊ดเป็นจุดๆ ด้วยเหมือนกัน ก็พอจะรู้อยู่หรอก เพราะก็มีปัญหาอยู่เช่่นนั้นจริงๆ 

ฉันมีความจำเป็นที่จะต้องอธิบายให้คนอื่นๆ เข้าใจว่า ตกลงแล้ว ฉันเป็นอะไร ฟังแล้วดูคล้ายคนขี้เกียจธรรมดาที่ไม่ตื่นเช้าเพื่อทำการทำงาน แต่เมื่อคุณอาหมอบอกว่า ไม่ต้องรู้สึกผิด ร่างกายเราเซย์โนแล้วมันไม่ยอมให้ฝืนจะทำไงได้ ไอ้คนอยู่เฉยๆ ไม่ได้อย่างฉันจึงสวมวิญญาณนักวิจัย หาโรคให้ตัวเองเสร็จสรรพ

ฉันว่า ฉันเข้าข่ายเป็น Kleine-Levin Syndrome 

อันว่าคำอธิบายทั้งหลายก็ไปกูเกิ้ลหาดูละกัน สรุปสั้นๆ ว่า ผู้ป่วยจะนอนติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ เช่น 18 ชัวโมง หรือบางคนเป็นอาทิตย์ก็มี จะตื่นเพื่อเข้าห้องน้ำหรือยัดอะไรเข้าปากกันหิวแค่นั้น เมื่อตื่นก็จะงงและสับสนตัวเอง บังคับการตื่่นไม่ได้ทำให้พลาดวัน เวลาที่สำคัญไปอย่างที่ไม่น่าเกิดขึ้น อาการก็จะไม่แน่นอนด้วยนะ เป็นครั้งละกี่วัน เป็นบ่อยแค่ไหน ไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน เป็นโรคที่หาคนเป็นยาก พร้อมๆ กับที่ไม่รู้สาเหตุ ไม่มีวิธีรักษาเป็นเรื่องเป็นราว ได้แต่ยืมยาตระกูลโน้นนี้มาใช้แก้ขัด ที่สำคัญ ไอ้การที่คนเป็นโรคนี้น้อย คนที่เป็นจึงมักได้รับการวินิจฉัยผิดไปก่อน ด้วยโรคนี้มิได้วินิจฉััยจากการที่มีอาการตามที่กำหนด แต่วินิจฉัยด้วยการตัดโรคอื่นที่ไม่ตรงออกไปก่อน 

อาการนอนไม่หลับ  หลับมากไป ก็คล้ายๆ กับอาการปวดศีรษะ ที่เราๆ ก็รู้กันดีว่าเป็นอาการของแทบจะทุกโรคที่มีด้วยซ้ำไปละมั้ง

แล้วฉันก็อธิบายแบบง่ายๆ ว่า ไม่รู้จะตื่่นกี่โมง ไม่อยากให้ดูภาพของหน่วยงานไม่ดี แต่เมื่อยังต้องการให้ฉันปฏิบัติหน้าที่ ก็ดูแลฉันดีๆ แล้วไม่ต้องคาดหวังมากนักละกัน พรุ่งนี้ไปไหวกี่โมงก็ไปตอนนั้น สบายใจทั้งสองฝ่าย

กลับบ้านดูทีวี กินถั่วอิหร่านพร้อมนึกหน้าคนให้รางๆ แล้วก็นั่งอัพบล้อก บอกบุญสร้างโรงอาหารให้เด็กนี่แหละ

รดน้ำต้นไม้อีกนิด ใกล้ปิดทีวี นอนรอให้ถึงเวลาต้องรับใช้ชาติ 

ว่าแต่ เอ วันนี้ทำไมยังไม่ง่วง ยายังไม่ออกฤทธิ์หรือไร ถ้าอาบน้ำแล้วยังตาสว่างก็ดูหนังไปจนหลับละกัน เมื่อคืน Gosford Park ซึมไปในสายเลือดแล้วแหละ เปิดดูสองรอบ นั่งอ่านคำวิจารณ์และเรื่องย่อ ทวนคำคม คำเด็ด หนังเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ดูแต่ละครั้งก็ได้มุมมองที่แตกต่าง รวมทั้งรายละเอียดปลีกย่อยก็แสดงนัยถึงหลายสิ่งหลายอย่าง เก็บเอาไปคิดได้อีกเป็นกระบุง

good night my blog++

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552

IL Postino (The Postman) สื่อรักลำนำสวรรค์

เมื่อคืนฉันดูหนัง               และได้ฟังเพลงไพเราะ
คำกลอนทำนองเสนาะ   ช่างเหมาะเจาะกับอารมณ์
"สื่อรักลำนำสวรรค์"       ชื่อเรื่องนั้นฉันได้ชม
ทั้งเรื่องล้วนคำคม           ของ Pablo Neruda
ชาวเรือยากจนแสน        The Postman เขาใฝ่หา
เมื่อจดหมายส่งมา          รีบเร็วจี๊ขี่จักรยาน

ทั้งหมดจ่าหน้าถึง            ผู้ดื้อดึงคนอาจหาญ
จากชิลีมานาน                 แต่คำหวานสะท้านใจ
จดหมายจากสาวสาว      ทำคนเขลากระเถิบใกล้
กวีเอกเก่งกว่าใคร          แถมยังได้เมียสุดงาม
จากห่างเริ่มใกล้ชิด         ได้สนิทแทบทุกยาม
มีหลากหลายคำถาม       ได้สว่างกระจ่างใจ

วันหนึ่่งหนุ่มได้พบ           ได้สบตาหญิงหน้าใส
เมือเจอแทบเป็นใบ้          ตะลึงไงใจระทวย
อดรนทนไม่ได้                ต้องรีบไปคล้ายขอหวย
ทำไรได้คนสวย               ขอกวีช่วยรวยคารม
ได้กลอนแสนเพราะพริ้ง  สาวฟังนิ่งความรักบ่ม
และแล้วได้สุขสม             หมดโศกตรมเลิกขมใจ

ถึงคราวได้กลับบ้าน        กวีหาญจากเกลอใหม่
ทิ้งของไม่เป็นไร              ไปรษณีย์ให้ใจดูแล
ข่าวคราวไม่มีถึง             ชาวเกาะจึงไม่แยแส
อย่างไรมีหนึ่งแล             และถึงแม้ไร้เสียงมา
อุดมการณ์ล้ำเลิศ            เพาะบ่มเกิดก่อนจากลา
คอมมิวนิสต์แรงกล้า       พาให้เขาเข้าเมืองไป

สองวันก่อนลูกคลอด      ชีวิตจอดลูกขาดไร้
ซึ่งพ่อที่รอให้                  กวีไซร้ได้กลับมา
เด็กโตจนเดินได้             กวีใหญ่ได้มาหา
ฟังเรื่องไม่พูดจา             ติดตรึงตาคราเคยเยือน
พ่อเด็กบันทึกเสียง         สรรพสำเนียงเพียงเพื่อเพื่อน
ฟังแล้วช่างย้ำเตือน        มิลืมเลือนเหมือนเมื่อวาน

เดินเลาะริมหน้าผา         เสียงลมซ่าข้าจดจาร
เสียงอื่นเขาลนลาน        เสียงขับขานอันงดงาม
ทุกเสียงทีบันทึก            ละเอียดลึกจิตล้นหลาม
หมดแล้วซึ่งคำถาม        เพื่อนใจงามจำจากจร



เลื่อนลอย วิ่งวน ค้นหา

เคว้งคว้างเลื่อนลอยเลาะริมธารน้ำ        มีคำถามมากมายกายอ่อนล้า
แต่ยังล่องลอยไปในนาวา                      คล้ายดังว่าดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
บางครั้งเหมือนหมดแรงแสงความคิด   รู้สึกผิดไม่วายคล้ายเมินเฉย
แต่ไม่เหมือนทุกครั้งที่เคยเคย               อยากเปรียบเปรยแต่ไม่รู้คู่อะไร

แสงแดดส่องสอดผ่านม่านแมกไม้        ผ่านต้นสายปลายรากจากกิ่งไหว
แต่อย่างไรก็ไม่แจ้งถ้อยความใด           อันว่าใจเหมือนนิ่งแต่วิ่งวน
นั่งมองดูเหมือนจิตอยู่แต่ครวญคิด        ย้ำไม่ผิดแต่หลงป่าหาถนน
เหมือนเวียนวนไม่รู้อีกกี่หน                   ถอนใจจนไม่รู้บ่นไปทำไม

มองฟ้ามืดเสียงลมล้อต้นไม้                  เสียงจากใจยังคร่ำครวญกว่าคืนใด
รู้หรือไม่ไร้อารมณ์ตรมจะตาย              อยากปีนป่ายขึ้นจากโคลนโยนทิ้งไป
ถอนหายใจอีกแล้วเป็นแนวคลื่น           ไม่อยากตื่นไม่อยากนอนจะได้ไหม
ฉันจะแก้ปัญหาของฉันอย่างไร             แล้วก็รู้ว่าไม่มีคำตอบปลอบใจตน




วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สบายใจแระ

วันอาทิตย์ที่ฉันบ่นไปแล้วว่ามีอะไรต้องทำหลากหลาย สรุปว่า ฉันไม่ได้ทำเลย...

กลับบ้านตีสี่หลังจากเสร็จสารพัดงานและธุระโดยมิได้แตะต้อง L ก ฮ แม้สักหยด

ฉันนอนลืมตาฟังเสียงโทรศัพท์เจ้านายดังหลายครั้ง แล้วนึกย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่วันก่อนที่มีคนโทรหาทั้งวัน พอตกภาคกลางคืน นายโทรหาทุกชั่วโมงจนถึงห้าทุ่ม พร้อมความรู้สึกผิดที่ติดตัวมาอย่างยาวนาน 

ฉันเป็นอะไร ทำไมฉันถึงขาดความรับผิดชอบขนาดนี้ อะไรคือต้นเหตุของปัญหากันแน่

ฉันต้องการความช่วยเหลือในการวิเคราะห์ปัญหาอย่างมีเหตุผล ปรึกษาใครดีละทีนี้ คุณอาที่รับฟังปัญหาฉันมาแต่อ้อนแต่ออกท่าจะดีที่สุด

เล่าเหตุการณ์ปัญหาเรื่องราว ได้ความว่า ฉันเป็นโรคพักผ่อนไม่เพียงพอเรื้อรัง ซึ่งในความเห็นของคุณอา อันตรายมาก

การที่เราไปรับผิดชอบสิ่งต่างๆ มากมายโดยที่ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อต้าน จึงเป็นที่มาของการไม่ยอมตื่นในหลายๆ วัน

ฉันนึกย้อนกลับ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ปัญหาส่วนใหญ่ในชีวิตมักจะมาจากเรื่องนี้ การไม่รู้จักประมาณตน ไม่รู้จักปฏิเสธ อย่างที่ฉันชอบบอกตัวเองอยู่เรื่อยว่า ความหมายของคำเปรียบเปรยที่พี่คนหนึ่งให้ไว้คือ เป็นสินค้าที่ฉลากไม่ตรงกับของข้างใน 

ท่าทางเวิร์คกิ้งวูแมนของฉันมักจะทำให้คนเข้าใจผิดว่าฉันสามารถทำงานหนักเป็นบัฟฟาโล ด้วยความสามารถอาจจะทำได้ แต่ความอึด ทนทาน ความบึกบึนของร่างกายและจิตใจไม่เป็นอย่่างนั้น แล้วก็ทำให้ฉันย้อนนึกไปถึง คำพูดของคนที่ดูลักษณะมือ คนที่บอกฉันว่า พอรู้จักฉันเป็นครั้งแรก ก็คิดว่าพูดจาเหมือนคุยกับผู้ชายได้ ประมาณว่า ไม่ต้องถนอมดังเป็นผู้หญิงที่ละเอียดอ่อน แต่พอมาดูลักษณะมือและกระดูกของฉันแล้วก็พบว่า รูปมือเป็นมือของผู้ชาย แต่กระดูกเป็นแบบผู้หญิง แปลได้ว่า ข้างนอกดูเหมือนผู้ชาย ดูแรง แต่จริงๆ แล้วคือผู้หญิงที่ต้องการการทะนุถนอมดีๆๆ นี่เอง

จะมีใครมองลึกลงไปเห็นความละเอียดอ่อน ความเป็นผู้หญิง ในเปลือกแข็งแต่เปราะนี้มั้ยหนอ 

แต่นั่นคือ การมองในรูปแบบความสัมพันธ์ ส่วนเรื่องงาน มีแต่จะก่อให้เกิดความผิดหวัง เข้าใจผิด อะไรประมาณนั้น

ได้พูด ได้มีข้ออ้างให้ตัวเองก็ทำให้รู้สึกสบายใจแล้วล่ะเธอ

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ยุ่งเหยิง สับสน วุ่นวาย

อันที่จริง ชีวิตของฉันก็ไม่น่าจะซับซ้อนอะไรนักหนา ไม่ได้เป็นมนุษย์ออฟฟิศอย่างชาวบ้านทั่วๆ ไปสักกะหน่อย แต่กลายเป็นว่าทั้งงานราษฎร งานหลวง สับสนปนเปกันให้ยุ่งยากใจยิ่ง...

เฮ้อ!! ขอถอนหายใจก่อนจะบ่น บ่น บ่น และบ่น คนเราถ้าไม่ต้องทำหลายๆ สิ่งพร้อมๆ กัน จะเรียกว่า ยุ่งได้ยังไง ญาติผู้ใหญ่ ผู้มีพระคุณช่วยให้ฉันได้คำนำหนังสือเจ้าชายน้อยจากท่านทูตฝรั่งเศส แถมฉันยังเรียนเชิญท่านไปงานช้าเกินควร แม้ท่านจะเข้าใจแต่ฉันก็รู้ว่า ฉันทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรอีกแล้ว ตอนนี้ท่านจากไป บุญคุณยังไม่ได้ทดแทน ได้แต่ฝากแม่ที่คอยดูแล ทำให้รู้สึกผิดน้อยลง งานศพมีติดต่อกันในช่วงที่วุ่นวายทั้งงานราษฎร งานหลวง แถมผู้ใหญ่ที่ให้ความเมตตา ช่วยเหลือสารพัดเรื่อง หลายยยยยยท่านก็แวะเวียนให้รับรองอยู่เป็นนิจ แถมยังมีผู้ใหญ่ของผู้ใหญ่ที่ดูแลตกทอดกันมาอีกเป็นสายๆ ถ้าวาดเป็นรูปก็แตกแขนงเป็นสาแหรกกิ่งก้านสาขาบานตะไท

แล้วแทนที่ฉันจะได้กลับบ้านนอนเพื่อทำงานภาคกลางวัน ก็เป็นอันเหลือเวลาเพียงสองสามชั่วโมง ไอ้การที่ธรรมชาติของฉันต้องนอนกินบ้านกินเมืองไม่งั้นสมองไม่ทำงาน ทำให้ไปทำงานภาคกลางวันสายบ้าง ไปประชุมช้า ไม่ได้ไปมันทั้งงานเลยก็มี วันที่ 15 นี้เป็นวันที่ทุกอย่างประเดประดังกันเข้ามา ทั้งการประกวดรอบผิวพรรณ งานแถลงข่าว งานศพ วันแรกของงานสัปดาห์หนังสือ นี่ยังไม่ได้นับภาคกลางคืนที่ต้องมีการประชุมต่อเนื่อง และเลยรวมไปถึงรับรองผู้ใหญ่ เอ็นเตอร์เทนผู้มีพระคุณ อันเป็นหน้าที่ประจำด้วยนะ

แม้แต่วันอาทิตย์นี้ ไปดูแลการคัดตัวผู้เข้าประกวดนางสาวไทย ผู้ใหญ่ขอร้องให้แว๊บไปงานทอดกฐิน กลับมาดูเรื่องกองประกวดต่อ เย็นไปงานสวดศพ และกลับมาประชุมทีมงานกองประกวด คืนนี้ก็ใช่ว่าฉันจะได้กลับบ้านแต่วัน มีการส่งงานตามผับตามบาร์จนฉันเรียกสถานที่นั้นว่าเป็น ออฟฟิศ มาพักใหญ่แล้ว นี่ฉันก็ยังนั่งทำงานและอัพบล้อกโดยใช้คอมพิวเตอร์ในร้านขายข้าวซอยของน้องที่คุ้นเคยกัน

แล้วสิ่งที่ฉันทำได้ก็คือ ไม่เครียด ไม่รู้สึกผิด (มากอย่างเคยๆ ) แม้จะเป็นสารพัดสายตาที่เป็นจริงและที่จินตนาการได้ ปลงๆ ปล่อยๆ บางครั้งอาจทำให้คนรอบตัวตั้งใจทำงานและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมากกว่าที่ฉันมานั่งเคี่ยวเข็ญใช้พระเดชให้เมื่อยอารมณ์ เซ็งกล้ามเนื้อซะอีก

โอเค ได้บ่นพองาม แล้ว ก็ถึงเวลาปฏิบัติงานภาคกลางคืน ด้วยชุดทำงานเดิม สลัดแจ๊คเก็ตออก เหลือเกาะอกปักเลื่อมเล็กน้อย เข้ากับคอนเซปท์วันเกิดน้องที่ร้านประจำเลย แล้วก็ต้องเทคแคร์ประชาชีควบคู่ไปด้วย

แล้วจะมีใครเทคแคร์ฉันมั้ยหนออออออออ

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Beauty Sleep, Beauty Marketing Strategy


ฉันเพิ่งตื่นได้ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนอนนานนนนนนนนับแต่เมื่อเช้าตรู่วันเสาร์ที่่ผ่านมา นับไปนับมาได้ประมาณ 30 ชั่วโมง...

มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันละเนี่ย พี่ที่เข้าใจบอกว่า มันคงเป็นกลไกของธรรมชาติที่ปรับสมดุลให้กับร่างกาย ดีเท่าไหร่แล้วที่นอนหลับ ไม่ต้องทนทรมานเหมือนหลายๆ คน ที่อยากหลับแล้วหลับไม่ลง

งานที่เพิ่งเริ่มใหม่ ทวีความสนุกสนานและซับซ้อนเป็นลำดับ ฉันออกจะเป็นคล้ายคนกลางแม้จะไม่กลางด้วยหน้าที่ ยังไงฉันก็ถือว่าฉันมองจากอัฒจรรย์ เห็นใจทั้งสองฝ่าย การที่เราจะปรับจูนให้ลงตัวต้องยืดหยุ่นซะเหลือเกิน มีโอกาส ทางเลือกเข้ามามากมาย ทั้งส่วนตัวและเรื่องงาน เป็นช่วงเวลาที่มีอะไรน่าสนใจเข้ามาในชีวิตอีกช่วงหนึ่ง

อาทิตย์หน้าก็จะเริ่มยุ่งจริงๆ จังๆ แล้ว ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าร่างกายจะรับไหวรึเปล่า แต่ก็พยายามพักผ่อนให้มากขึ้น มีคำสัญญาจากคนที่ให้ความสำคัญกับคำพูดอย่างสูงอยู่สองคน หนึ่งจะหาคนเช่าพื้นที่ให้ฉัน และให้ฉันเป็นพิธีกรทีวีช่องใหม่ อีกหนึ่งจะช่วยให้ขายหนังสือได้มากสมความตั้งใจ

ปีหน้าจะเป็นปีรุ่งโรจน์ของฉันตามคำทำนายของคนที่มีญาณพิเศษ 2 คนที่ฉันไม่ได้สืบเสาะค้นหา แค่่ปีนี้มันก็ดีแล้วนา เพื่อนฝูง ใครเจอหน้าก็บอกว่าเห็นฉันออกสื่ออยู่เป็นระยะ โอม เพี้ยง ขอให้ฉันขายหนังสือได้โดยไม่ต้องจ้างดาราเป็นพรีเซนเตอร์ทีเถอะ ในเมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ขนาดเข้าไปเชิญให้มางานเปิดตัวหนังสือด้วยตัวเองแล้ว ยังไม่ยอมมาทำข่าวให้ ด้วยว่าบก.ให้เหตุผลว่าจะทำข่าวเฉพาะหนังสือที่ดาราเขียนหรือแปล 

ให้มันรู้ไปซิว่า ฉันจะทำตัวให้เด่นแบบไม่เป็นภัย เป็นคุณต่อการขายหนังสือไม่ได้ !!!