วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

พร้อมรับสิ่งใหม่ๆ ที่ใกล้จะเกิดขึ้น

วันนี้ฉันสมัครเป็นกรรมการควบคุมดูแลการบริหารงานของนิติบุคคล เข้าใจว่าฉันคงได้แน่ๆ เพราะตอนนี้มีอยู่ 2 หน่อ!

ปีที่แล้ว คนสมัครกันร่วมสิบ แต่ตอนนั้นฉันยังกล้าๆ กลัวๆ จะหาเรื่องใส่ตัวรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่หลังจากการเลือกตั้งครั้งนั้น ฉันก็โผล่พรวดสมัครเป็นผู้จัดการนิติบุคคลซะนี่ แต่ก็แอบดีใจที่ไม่ได้ เพราะดูแล้วถ้าบริษัทที่รับบริหารงานอยู่แล้วรับหน้าที่เป็นผู้จัดการนิติบุคคลด้วยโดยไม่เรียกร้องผลประโยชน์เพิ่มเติม ฉันก็ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงคุกตารางให้ยุ่งยาก ช่วงนั้นน่ะ ฉันนั่งอ่านพรบ.อาคารชุดอย่างขะมักเขม้นเชียวล่ะ

การเป็นเพียงกรรมการควบคุม ทำให้ทราบเรื่องราวการทำงานของนิติบุคคล ปีที่ผ่านมา ห้องฉันไม่มีปัญหาให้ต้องซ่อมต้องดูแล มีเพียงปัญหาส่วนรวมที่ฉันก็เห็นว่าคนทำงานก็แก้ไปตามหน้าที่ภายในระยะเวลาที่เหมาะสม คราวนี้ ฉันคงมาดูเรื่องค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นหรือพิจารณาวิธีหารายได้เพิ่ม ตลอดจนให้เจ้าของร่วมได้มีโอกาสใช้ทรัพยากรที่มีได้อย่างคุ้มค่า

แต่ฉันก็อดหวั่นใจไม่หาย... เรื่องที่ฉันจะเรียกร้องเป็นเรื่องที่ฉันจะได้ประโยชน์โดยตรง ซึ่งคนปกติเขาไม่ทำกัน ประมาณว่า น่าเกลียด ต้องให้คนอื่นเอ่ยปาก 

เฮ้อ ฉันล่ะรำคาญเสียเหลือเกิน ไอ้การที่ต้องมาทำเป็นไม่อยากรู้ ไม่อยากดัง ไม่อยากร้อง ไม่อยากอวด เพื่อให้ขั้นตอนมันยาวขึ้น ดูไม่น่าเกลียด!!

เมื่อมีคนสมัครเป็นกรรมการแค่สองหน่อ จากที่ต้องมีอย่างน้อยสักเจ็ดคน ฉันก็เสนอความเห็นว่า ก็คงต้องมีเบี้ยประชุมให้กรรมการ ค่าเสียเวลาซักนิด ไม่ใช่ว่าใครเสียสละเพื่อส่วนรวม คนอื่นๆ จะไม่แม้เพียงแสดงออกสักเล็กน้อยว่าขอบคุณที่มาดูแล "บ้าน" แทนเขาเหล่านั้น ซึ่งถ้าฉันเป็นคนพูด...ก็จะน่าเกลียด

แต่นั่นคือหน้าที่ใหม่...

ส่วนอาชีพใหม่ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับบุญวาสนาของฉัน ว่าจะได้เป็นคุณนายกินค่าเช่า หรือออกทุนให้เปิดร้านอาหาร เหนื่อยพร้อมๆ ไปกับการลุ้นว่าจะคุ้มดอกเบี้ยที่นำมาลงทุนรึเปล่า เดือนสองเดือนนี้เป็นอันรู้กัน

ที่แน่ๆ ตอนนี้ฉันขู่คนดูแล ซ่อมแซมปรับปรุงพื้นที่ห้องเรียบร้อยแล้ว เขาเองก็เคยจัดการปัญหาพิสดารพันลึกของห้องน้ำฉันไปครั้งหนึ่งแล้ว คราวนี้คุณนายละเอียดจะจ่ายเงิน รับรอง ถ้าฉาบปูนไม่เรียบ ปูกระเบื้องไม่เสมอ ได้โดนทำใหม่ทั้งห้องและสัญญาแน่นอน ส่วนเงินมัดจำอย่าได้คิดว่าจะริบเงินฉันได้นะ ถ้ามันเป็นความบกพร่องของฝั่งผู้ขาย 

ว่าแล้วก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังบ้าอำนาจแล้วเหมือนกันเนี่ย

ฉันเริ่มหาผู้ช่วยได้บ้างแล้ว กำลังจะคุยกันในรายละเอียด ถ้างานเป็นไปอย่างที่คาด ฉันคงได้เกี่ยวข้องกับคนอีกหลายคนทีเดียว ช่วงที่เศรษฐกิจกำลังตกต่ำเป็นช่วงที่ฉันได้เรียนรู้และลงทุนอย่างที่คิดว่าควรจะเป็นจริงๆ 

ชีวิตดูน่าจะตื่นเต้นกว่าตอนเศรษฐกิจดีด้วยซ้ำไป

ก็บอกแล้วไง...ฉันน่ะโชคดีในเรื่องที่ใครๆ ว่าร้าย!

ดาวในภพมรณะทั้งสองดวงมาตกภพปุตตะของฉันไง ปุตตะก็คือเรื่องใหม่ สิ่งใหม่ๆ ดาวบอกว่าฉันจะได้ใช้สติปัญญาทำเรื่องเกี่ยวกับต่างแดน เรื่องขีดเขียน สื่อสาร หรือของมีตำหนิให้เกิดงานใหม่ๆ และอีกไม่นาน ดาวสารพัดดวงก็จะมากระจุกตัวอยู่ในภพปุตตะของฉันเนี่ยแหละ 

เอาให้มันวุ่นไปเลยเนอะ!



วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

ขำกลาย

วันนี้มีเรื่องให้ฉันขำเพียบเลย...

งานอดิเรกที่เกือบจะกลายเป็นงานหลักของฉันนั่นแหละเป็นหนึ่งแหล่งที่ทำให้ฉันหัวเราะ ช่วงนี้ใน facebook มักมีแบบทดสอบอีเดียดมาให้ทำอยู่มากหลาย บ้างก็ว่า คุณเป็นใครในเรื่องบ้านทรายทอง หรือคุณเหมือนนางเอกละครเรื่่องไหน บททดสอบที่ทำให้ฉันขำมากที่สุด เห็นจะเป็นผลของเพื่อนที่ทำแบบทดสอบเรื่องเวลาหลับคุณฝันถึงอะไร แล้วผลก็คือ ฝันถึงกิ้งก่าอัฟริกัน ฉันถึงกับระเบิดหัวเราะแล้วคลิกไปทำแบบทดสอบบ้าง แต่ไหงกลับออกมาเป็น ฉันหลับสนิทไม่ฝันซะนี่!

นอกจากขำผลของเพื่อนแล้ว บทสนทนาโต้ตอบระหว่างเพื่อนน้องสาวของฉันก็เรียกเสียงหัวเราะได้อีกพักใหญ่ เรื่องบ้านทรายทองยอดฮิตที่ไม่ว่าใครก็รู้จัก พจมาน ชายน้อย ชายกลาง หญิงเล็ก มีแคเร็คเตอร์ที่ชัดเจน หรือในเรื่องปริศนา ยัยรตี พริสจะไปหาท่านชาย อะไรประมาณนั้น แต่มีเรื่องสาปภูษาเนี่ยแหละ ที่น้องที่อยู่ฮ่องกงไม่รู้จักเจ้าสีเกด ไอ้ฉันก็ยุ่งไม่เข้าเรื่อง เข้าไปอธิบายความ ไม่รู้เหมือนกันว่าได้เคาะ enter รึเปล่า แต่เกือบจะเล่าจนจบเรื่องละนะ

อีกเรื่องขำที่ทำให้ฉันแปลกใจมากก็คือ ฉันขำเรื่องที่ฉันแต่งเป็นเรื่องแรกในชีวิต หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต ถ้าอ่านเรื่องที่ตัวเองแต่งแล้วขำนี่ จะถือว่าฉันแต่งเรื่องได้โอเคมั้ยน้า 

ที่แน่ๆ ไม่ว่าอะดรีนาลีนหลั่งเพราะสุขสมหรือหัวเราะ ก็ทำให้เจ้าตัวเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นอยู่แล้ว ฉันจึงยินดีที่มีวันแห่งความสุข วันที่ได้รำลึกความหลัง เหตุการณ์ในอดีต ได้ทบทวนความรู้สึก คำพูด ความคิด แล้วก็ได้ย้อนกลับไปอ่านข้อมูล บทความที่เคยผ่านตามาแล้วอีกครั้ง 

++ ถ้าเราคิดถึงคนที่รักน้อยลง เราจะเข้าใจเขามากขึ้้น 

มันคงเหมือนๆ กับที่เราออกจากสนามมายืนบนอัฒจรรย์มองดูเหตุการณ์ ความเป็นไป จากมุมสูงย่อมเห็นอะไรได้มากกว่าเวลาที่เราอยู่ในสนาม

++ ถ้าความรู้สึกใดที่มันยืนยงผ่านกาลเวลาโดยปราศจากการหล่อเลี้ยงดูแล นั่นคือความจริง มิตรภาพ ความชื่นชม ไม่ใช่ความหลง โง่งมงาย

ฉันมาถึงจุดที่ได้ตัดสินใจว่าจะเล่นกับไฟ จะใช้มีด จะให้โอกาส จะมองต่างมุม จะมุ่งค้นหา พูดจาเปิดอก ยกเรื่องที่สนใจตรงกัน เรื่องที่เกื้อหนุนจุนเจือ เผื่อว่าจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน 

ชีวิตถ้ามัวแต่กลัว แล้วจะคุ้มที่ได้เกิดมาได้ยังไง...

อย่างมากก็แค่เสีย...  อาจจะเสียอะไรหลายๆ อย่าง แต่ก็ไม่ถึงกับเสียชีวิตหรอกนะ

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552

Stone Head...Head Stone...หัวหินไม่ใช่หัวใจ (2)

เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ถึงขั้้นตอนการเตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ ของขบเคี้ยว

เลือกชัยภูมิที่เหมาะสม...

ฉันไม่ค่อยอยากจะให้ไปปาร์ตี้กันบนคอนโดของญาติผู้พี่ที่ให้ยืมที่พัก จะอย่างไรเราก็ต้องเกรงใจเพราะไม่ได้เป็นของเราเอง แต่เมื่อทุกๆ คนเห็นพ้อง ก็เคลื่อนย้ายวัสดุอุปกรณ์ขึ้นชั้นบน นั่งนอน เอกเขนกบนโซฟา เปิดประตูหน้าต่างรับลม ตึกคอนโดหลังนี้ก็ออกแบบให้ลมเข้าออกทุกห้องได้เต็มที่ แทบไม่ต้องเปิดแอร์เลยด้วยซ้ำ หน้าต่างบานใหญ่ยักษ์ด้านซ้ายของห้องเป็นบานหน้าต่างที่ยาวลงมาจนถึงระดับหัวเข่า หากมีใครเมาหัวทิ่มก็อาจจะพลัดตกห้องไปได้ง่ายๆ ฉันไม่ค่อยอยากจะเดินไปแถวนั้นเท่าไหร่ แม้จะไม่ได้เป็นพวกกลัวความสูงก็เถอะ

เราเลือกเล่นไพ่ป๊อกแบบง่ายๆ ไม่ว่าใครก็ร่วมวงได้ แต่ใจฉันน่ะอยากจะเล่นรัมมี่ต่างหาก แพ้โหวตเลยต้องทำตามเสียงส่วนใหญ่ น้องแม่ลูกอ่อนดวงแข็งชะมัด เป็นเจ้ามือทีไร ป๊อกเด้งทุกที กินตังค์เพื่อนๆ ไปไม่น้อย ระหว่างนั้นน้องสาวแสนดี คอยแจกจ่ายอาหารและเครื่องดื่ม จะว่าไปแล้ว เธอเสิร์ฟรายการใหม่ๆ ทุกๆ 5 นาที ช่างทำให้ขาไพ่ใช้สมองได้อย่างเต็มที่ดีแท้

เล่นไปซักพักใหญ่ก็เปลี่่ยนไปเล่นเกมส์อื่น ฉันยังเสนอรัมมี่เหมือนเคยแต่ก็ตกไปตามระเบีียบ ได้เล่น ตีแตก ซึ่งก็ทำให้ทุกคนสนุกสนานกันไปจนสว่างคาตา 

ฟ้าสาง ล้มวงไพ่ หนุ่มน้อยสาวมากลงน้้ำทะเลพอเป็นพิธีแล้วต่างคนก็แยกย้ายเข้านอน ก่อนนอนมีเรื่องน่าลุ้นเกี่ยวกับ Thumb Drive ที่พี่คนนึงติดมาทำงานด้วย ตอนเล่นน้ำทะเลห่วงแต่ไฟแช็คเอาวางไว้ที่เสื่อก่อนลงทะเล ลืมเครื่องมือหากินติดกระเป๋าไปเล่นน้ำกับเจ้าของอยู่พักใหญ่ ขึ้นห้องแล้วถึงได้รู้ตัวว่า ห่วงผิด แต่ก็โชคดีที่ข้อมูลไม่หาย แต่กว่าจะรู้ก็โน่นกลับไปกรุงเทพแล้ว ตอนนั้นก็ได้แต่ปลอบว่างานที่ทำอยู่มีก๊อปปี้ไว้ที่เครื่องแล้วไม่หายแน่ ของเก่าก็อาจจะต้องไปตามหาไฟล์ตามเครืองหรือในอีเมลเอา

มื้อสุดท้ายก่อนจากหัวหินก็เหมือนกับมื้อแรกที่ไปถึงนั่นแหละ เราไปที่ร้านอร่อยก่อนเพื่อพบว่าอาหารขายหมดแล้ว เพื่อนพ้องที่เหลือก็ตกลงกันพักใหญ่ว่าจะไปฝากท้องที่ไหนแทน งานนี้ง่าย ฉันรอผู้พิถีพิถันเลือกให้เสร็จสรรพ พาไปไหนฉันก็กินได้อยู่แล้ว ไม่เรื่องมากจนเริ่มคิดว่าควรจะเรื่องมากบ้างแล้วมั้งเนี่ย

ได้สัมผัส รับรู้เรื่องราวของเพื่อนร่วมทริปมากขึ้น ก็แน่ล่ะ เวลาอยู่ร้านประจำเราก็ได้แต่ตะโกนร้องเพลง ดื่มกิน เต้นรำ พูดมากๆ ก็เสียงแหบ แถมพูดผิดไม่เข้าหูใครก็เป็นเรื่องเอาง่ายๆ 

บางคนที่ฉันมองคล้ายเป็นเทพบุตรก็ได้เห็นเงาของคนๆ นั้น น่าแปลกที่ฉันมักจะเห็นด้านดีของคนที่คนส่วนใหญ่เจอด้านลบ คิดไปคิดมาแล้ว ท่าทางฉันจะโชคดีในสิ่งที่ควรจะโชคร้าย

แล้วก็คงไม่แคล้วโชคร้ายในส่ิงที่ใครๆ ก็โชคดี...

ใครอาจจะได้ความสนุกกับความเหนื่อย แต่ฉันได้เรื่องให้คิดตามประสาคนคิดเยอะเหมือนเคย มีอะไรน่าแปลกในความธรรมดาหลายเรื่องทีเดียว หลังจากทริปนี้ เรื่องบางอย่างก็ตกตะกอนให้ฉันเป็นพักๆ 

ฉันไม่โกรธน้องที่ดูจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความเป็นผู้ใหญ่ผู้น้อย แต่ฉันก็ยอมๆ ไปซะไม่ให้เกิดเรื่อง แล้วก็ไม่ได้ถือโกรธใดๆ พอน้องโทรมาหาวันนี้ก็นึกขึ้นได้ว่า การที่ฉันไม่โกรธใดๆ เขาคงต้องรู้สึกอะไรบ้างเหมือนกัน แต่แล้วฉันก็เข้าใจทีมาที่ไป ผลสืบเนื่องและเหตุที่ทำให้น้องเป็นอย่างนั้น สรุปแล้ว น่าสงสารมากกว่าที่จะน่าโกรธ แล้ววันนี้เราก็คุยกันตามปกติ อาการเบ่งบางประการที่ขัดใจฉันอยู่ในที ฉันก็ไม่ถือสาหาความอะไรนัก ด้วยยังจำคำพูดของเพื่อนแม่ที่ไปเที่ยวด้วยกันได้ว่า อายุมากแล้วต้องไม่โกรธ

ฉันคงแก่ขึ้นอีกนิด อารมณ์ถึงได้เย็นขึ้นอย่างนี้แหละนะ 

หัวหิน ก็ปล่อยให้มันแข็งไป แต่หัวใจน่ะ เอาชนะได้ด้วยความรักและความอ่อนโยน ไม่ใช่หรือ... 

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

Stone Head...Head Stone...หัวหินไม่ใช่หัวใจ (1)

ไป...จนกลับมาแล้ว ฉันก็ยังจำไม่ได้ว่า ครั้งล่าสุดที่ไปหัวหินน่ะ เมื่อไหร่...

ทริปไม่ได้คาดฝันนี้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่ก็ไม่ได้รวดเร็วฉับไวเหมือนหลายๆ คนที่ฉันได้รับฟังมา ไม่ว่าจะชวนกันไปกินข้าวต้มที่มาเก๊าแล้วก็บินกลับกรุงเทพ หรือเที่ยวเสร็จในคืนหนึ่งก็ขับรถจากกรุงเทพไปหัวหินถึงตอนรุ่งสาง 

ด้วยว่าน้องคนหนึ่งต้องไปทำธุระที่ประจวบฯ คนอื่นๆ เลยหาเรื่องไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง เราตกลงกันได้ว่าจะไปหัวหินจริงๆ ก่อนการเดินทางไม่เกิน 2 ชั่วโมง 

บางครั้งอะไรๆ ก็ไม่ต้องไปวางแผนล่วงหน้านักหรอก 

ที่จะต้องวางแผน เห็นจะเป็น ถามหาคนดูแลหมาแสนรักของพี่คนหนึ่งที่กำลังป่วย(การเมือง)รึเปล่าไม่แน่ใจ 

ส่วนฉันน่ะ อิสระเสรีจะไปไหนไม่มีปัญหา ปัญหาคือมีคนไปด้วยรึเปล่า ฉันขอเอาไว้เรื่องนึงล่ะที่จะต้องหาคนไปด้วย ไม่เช่นนั้นแล้ว ฉันจะไม่มีข้ออ้างใดๆ ให้มีคู่หรือเพื่อนเลย 

บางคนติดงาน บางคนติดหนุ่ม บางคนหนุ่มงอน แล้วก็รวบรวมได้ 10 คนพอดิบพอดี

นั่งรถ 4 คัน คันแรกไปทำธุระแต่หัววัน คันที่สองมาแบบครอบครัว พ่อ-แม่-ลูก-พี่เลี้ยง คันของฉัน 3 คน 3 เพศ คันสุดท้าย หนึ่งเดียวคนนี้ไม่ต้องมีใครมาเป็นเพื่อน

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันไปเที่ยวต่างจังหวัดค้างคืนกับเพื่อนที่สังสรรค์กันในยามค่ำคืน มีลูกพี่ลูกน้องอยู่คนที่ด้วยความเป็นญาติเราเคยไปไหนมาไหนด้วยกันมาก่อนแล้ว น้องที่มีลูกอ่อนก็เคยไปเที่ยวกันหนนึง เหมือนนั่งเรือไวกิ้งทั้งตามตัวอักษรและตามนัย

หัวหินถิ่นเดิมๆ แต่เหมือนการผจญภัยครั้งเล็กๆ 

คนเราต่างใจต่างที่มา เรื่องละเอียดอ่อนอย่างอาหารการกิน จะอร่อยถูกปากทุกคนก็ยากเหมือนๆ กับความเห็นเวลาออกแบบปกหนังสือยังไงอย่างงั้น ใครที่เป็นต้นคิดมักจะมีแต่แย่หรือเสมอตัว ถ้าอาหารอร่อย บริการเป็นเลิศ ราคาโอเค (ซึ่งมาตรฐานของแต่ละคนก็ต่างกันอีกนั่นแหละ) ก็เสมอตัว ยิ่งเดินทางกว่าจะรวมตัว ทยอยสั่ง มีเด็กอยู่ด้วย อาหารได้ช้า ไม่ถูกปาก ราคาแพง คนแนะก็โดนซะ 

นึกแล้วก็สงสาร ฉันเพิ่งถึงบังอ๋อว่าทำไม น้องคนแนะนำร้านอาหารถึงได้ลังเลเวลาแนะนำที่พัก ฉันเองรอดตัวไปเพราะราคาแพงกว่าที่เพื่อนคนอื่นหาได้

นอกจากเรื่องมาตรฐานเรื่องรสชาดแล้ว ราคาและความมากน้อยในการกินก็เป็นปัจจัยที่ทำให้คนทะเลาะกันได้ง่ายๆ เขียนๆ อยู่นี่ก็นึกถึงเรื่องติดฉลากที่น้ำส้มกล่องในตู้เย็น สมัยที่น้องของฉันพักร่วมกันอยู่กับเพื่อน การที่น้องฉันชอบกินน้ำส้มมาก กินเกินโควต้าจนเพื่อนๆ ติดฉลากไว้กันไม่ให้กินเกิน จะว่าน้องฉันผิดก็ผิด หรือจะว่าเพื่อนของน้องเรื่องมากไม่ยืดหยุ่นก็ว่าได้ 

ว่าแล้วมันก็เรื่องของคน เมื่อใดที่คนมาอยู่รวมกันก็มักจะเป็นเช่นนี้ 

สรุปว่าร้านอาหารร้านแรกที่เรานัดเพื่อนๆ แต่ละคันมาเจอกันเป็นร้านที่นำความซวยมาให้ผู้แนะนำเป็นอย่างมาก จากนั้นเราก็ไปเจอกับเพื่อนคันแรกที่เสร็จธุระแล้วก็มากินข้าวรอบสอง สำหรับผู้ตกค้างยังไม่ได้ทานข้าวเย็น เราจึงเริ่มเคลื่อนย้ายขบวนจากชะอำผ่านเวทีคอนเสิร์ตริมทะเลร่วมบรรเลงโดยนานาศิลปินแต่คนเดียวที่จำได้คือ เจนนิเฟอร์ คิ้ม ราคาค่าตั๋วสองพันห้าที่ทำให้ชาวกรุงกลุ่มนี้ตัดใจอย่างไม่เสียดาย แล้วก็อย่างที่เห็นๆ คนโหรงเหรง ขาดทุนเป็นแน่แท้  จะขับเข้าหัวหินก็ต้องขับตามกันเป็นขบวน โทรหากันทุกระยะ แตกแถวเป็นไม่ได้เชียว โอ้! สงสัยฉันจะเป็นพวกศิลปินเดี่ยวมานาน พอจะขอแซงแก้เมื่อยขาหน่อยเป็นต้องมีมือยื่นมาจากหน้าต่างรถคันหน้าให้เบาลง พร้อมกับโทรมากำชับว่า อย่าแซง

ด้วยว่าเคลื่อนย้ายไปเป็นขบวน อาหารก็อยากกินร้านอร่อย ไปถึงร้านที่ตั้งใจก็ปิดหรือไม่อาหารก็ขายหมดซะแล้ว แต่ท้ายที่สุดไปจบที่แสงชัยซีฟู้ด ร้านใหญ่ริมทะเล ขอให้สั่งมีทุกอย่าง อารามหิว ทุกคนสั่งอาหารเหมือนไม่ได้กินมาแล้วหนึ่งรอบ ปลาสามตัวที่มาหลังสุดจึงต้องห่อกลับบ้านไปตามระเบียบ อันได้แก่ ปลากระพงทอดน้ำปลา ปลากระพงแป๊ะซะ และปลากระพงทำอะไรอีกสักอย่างเนี่ยแหละ 

แวะซื้อกะปิหวานสำหรับจิ้มมะม่วงจากร้านดังในตลาดฉัตรชัย ไอ้ฉันก็ไม่รู้ว่าหน้าตามันเป็นยังไง ขอตามไปด้วย แล้วเพื่อนกลุ่มนี้ก็ชื้อกะปิกันคนละ 5 กระปุก 7 กระปุก ขอแถมนั่นนิดนี่หน่อย มะม่วงแรดสามถุง น้ำจิ้มกระปุกเล็กรวบหมดเท่าที่เห็น ซื้อกันจนเจ้าของร้านที่ถ่ายรูปคู่กับท่านนายกฯติดหราหน้ารถเข็นยิ้มรอยตีนกาเป็นเส้นๆ ร่องรอยตามแก้มเห็นเป็นวงเล็บ

จากนั้นก็ถึงเวลาตกลงว่าเราจะใช้ชีวิตในราตรีนี้อย่างไร ร้องเพลง เต้นรำ นั่งกินกันเองแบบชิวๆ 

คราวนี้พวกเราขอเปลี่ยนรูปแบบการสังสรรค์ให้เข้ากับสถานที่ เลือกเป็นนั่งกันเองแบบส่วนตัวที่คอนโดริมทะเล...


วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

วันนี้มีความสุข



จริงๆ แล้วฉันก็มีความสุขตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ 

การได้ไปค้นอัลบั้มรูปเก่าๆ ทั้งรูปตัวเอง ครอบครัวและเพื่อนๆ ก็ทำให้ย้อนนึกไปถึงความทรงจำแห่งความสุข ฉันยิ้ม หัวเราะ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วง ช่างเป็นความสุขที่ไม่ต้องไปลงทุนลงแรงหรือไขว่คว้าหามาจากไหน 

คนที่อยู่ในรูปถ่าย รวมถึงเพื่อนๆ ของคนเหล่านั้น หรือแม้กระทั่งเพื่อนๆ ของฉันที่ไม่ได้เจอะเจอกันมานาน แต่ติดตามความเคลื่อนไหวของฉันผ่านชุมชนออนไลน์ ก็แสดงความคิดเห็น แสดงความรู้สึกให้ฉันรับรู้ได้ว่า เขาเหล่านั้นก็รู้สึกดีที่ได้เห็นภาพความทรงจำเก่าๆ 

เปิดอีเมลมาที ต้องคอยเช็ครายการความคิดเห็นที่เพื่อนๆ แสดงผ่านชุมชนออนไลน์ จนดูไป คล้ายๆว่าของเล่นจะกลายเป็นงานหลัก แล้วงานหลักจะกลายเป็นงานอดิเรกซะนั่น ไม่แค่นั้นโลกยังใจดีส่งผู้ช่วยมาให้ฉันดั่งสวรรค์สั่งมา เรื่องนี้ไว้เล่าตอนท้ายตามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นละกันเนอะ

งานที่ลิสต์ไว้ว่าจะทำวันนี้ สำเร็จเสร็จสิ้นขาดอยู่หนึ่งเรืื่องจากสองแหล่งที่คงต้องขอความเห็นจากหุ้นส่วนเพิ่มเติม แต่ขอเวลาคิดให้ตกผลึกก่อนอีกสักนิด

งานที่ค้างคา คนที่ช่วยงานอยู่ก็คงยังไม่ทิ้ง แต่ฉันก็ไม่หวังอะไรนักหนา ดีจัง ที่เมื่อไม่หวังก็ไม่เครียด เสียอารมณ์

วันนี้ได้ฤกษ์คุยกับเพื่่อนเก่าอีกครั้ง ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ แทบไม่น่าเชื่อว่าไม่ได้พบกันมา  20 ปีไม่ขาดไม่เกิน คนเราถ้าความเป็นเพื่อนยังคงอยู่ เราก็ยังต่อกันติดเสมอ ดูๆ ไปแล้ว คนที่จะอยู่กับเราไปจนแก่ ไปไหนมาไหนกับเรา ก็คงจะเป็นเพื่อนที่แสนดีนั่นเอง 

กลับมาเจอแบบทดสอบเกี่ยวกับสถานที่เรียนเก่าๆ ทำให้้ย้อนเวลาไปเป็นช่วงๆ สมัยเด็กๆ ฉันชอบกินลาบปลาหมึกมาก ประมาณว่าต้องซื้อกินทุกวันก่อนกลับบ้าน เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเป็นของโปรดของเพื่อนอีกหลายๆ คน ใครๆ เขามักจะพูดว่า คนแก่ชอบรำลึกความหลัง ไม่เห็นจะเป็นไร ถ้านึกถึงแล้วมีความสุข หนังจะเหี่ยว ตาจะยาว พุงจะย้อย จะต้องไปแคร์อะไร

ยังมีสายโทรศัพท์จากน้องสุดเลิฟ โทรมาหาหลายรอบ ในขณะที่ฉันรับสายคนใกล้ชิดที่กลายมาเป็นคนช่วยงาน ทั้งสองสายโทรมาด้วยความรู้สึกดีๆ  ที่มีให้กับฉัน อะไรที่ฉันจะช่วยได้ ฉันก็ช่วย ส่วนใครจะมาร่วมเฮฮามีเวลาแห่งความสุขด้วยกันก็ยินดี คิดๆ แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าฉันมีเพื่อนดีๆ เพื่อนน่ารักน่าคบไม่น้อยเลย นั่นอาจเป็นเพราะว่า เพื่อนของฉันเมื่อผ่านด่านคนแปลกหน้าเข้ามาแล้ว ทุกคนคือเพื่อนที่ฉันจะดีใจที่ได้เจอ เราอาจจะไม่ได้มีอะไรเหมือนกัน แต่เรามีความรู้สึกดีๆ ให้แก่กัน เรานึกถึงกันในยามมีปัญหา เราพึ่งพาอาศัยกันในยามยาก และเราก็อุ่นใจได้ว่า เราจะมีกันและกัน ไม่ว่าเราจะห่างหายไม่ได้พบหน้ากันมานานกี่สิบปีก็ตาม

บทสนทนาสุดท้าย ดั่งเทวดามาโปรด ไม่ใช่คุณชายเทวดาที่ฉันกำลังคลั่งหรอกนะ แต่เป็นนางฟ้าชื่อน้องใหญ่ ที่ตั้งใจจะมาช่วยงาน ดูๆ ไปแล้ว น้องคงจะมายกภูเขาออกจากอกของฉันได้อย่างแน่นอน ในขณะเดียวกัน น้องก็จะได้มีเวลาใกล้ชิดกับลูกมากขึ้น เพราะงานของฉันไม่ต้องเข้าออฟฟิศ แหม แค่นี้ฉันก็แฮปปี้จนนอนไม่หลับแล้ว แต่ก่อนหน้าที่จะคุยกับน้องใหญ่ ไปทำบททดสอบเรื่องส่วนตั๊วส่วนตัวได้ผลลัพธ์มาว่าฉันเป็น 

an amazing kisser

ประมาณว่า  เธอจูบฉัน รอยจูบนั้นย่อมติดจนตาย จะลบรอยจูบอย่างไรไม่หาย อย่าลืม อย่าลืม

อุ้ย เขิน 555

สงสัยละซิ  ของแบบนี้ไม่ลองไม่รู้ครับท่าน!!!

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2552

อะไรที่มากกว่ารูปลักษณ์

เมื่อเริ่มตกหลุมรัก ฉันก็เริ่มศึกษาว่า "หนุ่มน้อยคนนี้มีอะไรให้ฉันปลื้มอีก" แต่ก็แน่ล่ะ นอกจากมีเรื่องให้ปลื้มก็มีเรื่องที่ฉันเรียกว่า "อันนี้ไม่ไหวนา"

พ่อหนุ่มเป้รักแฟนสาว ก้อย-รัชวิน แต่ก็พูดถึงความเป็นตัวของตัวเองของก้อย ก้อยชอบใส่เกาะอก กระโปรงสั้น แต่ก็ไม่ว่ากัน ไว้มีคนแอบถ่ายแล้วคงเข็ดเอง เพราะก้อยก็ไม่ค่อยระวังสักเท่าไหร่

++ ให้มันได้อย่างงี้สิ แหม ฉันก็ชอบอะไรคล้ายๆ ก้อยนา 

เป้ขลิบลิ้น เพราะอยากพูดให้ชัด เวลาคนถามว่าเป็นมือกีต้าร์ วงสเลอแล้วเมื่อไหร่จะร้องเพลง เขาตอบว่า แค่พูดยังไม่ชัดเลย จะร้องเพลงได้ไง

++ โอ อันนี้ไม่ได้แปลว่าชอบ แปลว่า คล้ายฉัน แต่ถึงแม้ว่าลิ้นจะมีส่วนทำให้ฉันพูดไม่ชัด ฉันไม่ยักกะหยุดร้องเพลงแฮะ

พ่อหนุ่มเป้ มือยาวแบบมือศิลปิน แขนขายาว สูง 187 ซม. ซีกหน้าด้านขวาเวลาทำหน้าเฉยๆ โอ้ย หัวใจจะละลาย ผมต้องเซอร์ได้ระดับด้วยนะ ไดร์ตรงอย่างในหนัง รัก สาม เศร้า บางตอนแล้วไม่สวย

++ แค่นี้ก็สุดยอดแล้วล่ะ

ฉากจูบเป็นฉากที่ยาก เพราะผมไม่เคยจูบเพื่อการแสดง ไม่เคยจูบคนที่ไม่ใช่คนรัก

++ โอ พ่อเทพบุตรของฉัน

สาวก้อยทำช่อดอกไม้โทนสีม่วงให้เป้วันวาเลนไทน์ ส่วนเป้ทำช่อดอกไม้สีขาวที่มีดอกลิลลี่ดอกไม้โปรดของก้อย สื่อความว่า เป็นรักที่บริสุทธิ์ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน

++ ฉันว่าสาวไหนได้ดอกไม้ที่แสดงนัยอย่างนี้แล้วไม่ซึ้งก็ให้มันรู้ไป ส่วนสาวก้อยก็ชอบโทนสีเหมือนฉันแฮะ

หนุ่มเป้เป็นผู้นำแฟชั่นใหม่ เสื้อรักแร้ขาด

เป้ของแท้ต้องเซอร์และโส ไม่อาบน้ำแต่ฉีดน้ำหอมแทนนี่ ทำตัวยังกะเป็นชาวฝรั่งเศสเลยนา ถ้ากลิ่นตัวไม่แรงก็พอว่านะ แต่ไงก็...

++ อันนี้ไม่ไหวนา...





หลงรักคุณชายเทวดาเข้าให้แล้ว...


ละครแจ๋วใจร้ายกับคุณชายเทวดาเป็นหนึ่งในหนังที่ฉันจัดประเภทว่าไร้สาระ แต่ตามดูเพราะตกหลุมรักคุณชายมาดเซอร์ 

จริงๆ ไม่ว่าเรื่องไหนมันก็มีสาระทั้งนั้นแหละ อยู่ที่ว่าจะมองในมุมไหน

ในสายตาของนมแจ่ม คนเก่าแก่ที่เลี่้ยงดูคุณชายและเข้าใจเขายิ่งกว่าใคร คุณชายเป็นคนที่น่าสงสาร คุณชายไม่มีใครอีกแล้ว นอกจากนมแจ่ม และนมแจ่มก็เป็นคนที่ขอร้องให้หลานสาว แจ๋ว มาดูแลคุณชายช่วงที่นมแจ่มป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล

ทั้งเรื่องแจ๋วจะอ้างว่าถ้าคุณชายไม่ทำอย่างที่เธอบอก คุณชายก็จะไม่ได้พบกับนมแจ่ม คล้ายกับว่านมแจ่มเป็นคนเดียวที่มีความสำคัญในชีวิตของเขา เพื่อนมแจ่ม คุณชายทำได้ทุกอย่าง เพื่อแก้แค้นพระบิดา คุณชายพร้อมจะทำตรงกันข้ามกับที่พ่อต้องการ

ดูๆ ไปก็ โอ อะไรพ่อคุณชายของฉันจะหลงกลแม่ใหม่กับลูกชายตัวร้ายขนาดนี้ คุณแม่ใจร้ายก็รู้แกว เมื่อใดที่ต้องการให้คุณชายทำอะไร เจ้าหล่อน (แสดงโดยสรารัตน์ หรุ่งเรืองวงศ์ ที่ยังสวยเด้งอยู่อย่างไม่น่าเชื่อ) ก็จะพูดในทางตรงกันข้าม

วันนี้ดูรายการเบื้องหลังแวดวงบันเทิง พ่อสุดหล่อของฉันตัดผมแล้วอะ  ตัดแล้วไม่หล่อโดนใจเหมือนเก่าแล้วนะ แถมฮอร์โมนหนุ่มยังทำให้สิวผุดออกมาประปรายบริเวณแก้ม

ฉันนั่งหาเหตุผลอยู่ว่า ฉันชอบเขาเพราะอะไร เพราะหน้าตาจริงๆ เหรอ ก็คงงั้นแหละ บวกกับรูปร่างเก้ๆ กังๆ ตามสเปค และท่าทางสุดเก๊กเพราะบุคลิกเป็นอย่างนั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจจะทำหยิ่งให้ใครๆ ไม่ชอบหรอก ตรงกันข้ามซะอีก ไหนๆ ก็โดนแกล้งไม่ได้รับความยุติธรรมตั้งแต่เด็กแล้ว เขาก็เลยประชดมันทุกอย่างในชีวิตไปเลย

แจ๋วในเรื่องนี้ฉันก็ชอบ ขอบเพราะเป็นภาพของอั้มที่ไม่ได้เป็นสาวเปรี้ยว ออกจะไปทางวาบหวามยั่วยวน เป็นเซ็กซ์ซิมโบลอย่างที่มักจะเห็นๆ กัน มีพี่ๆ บอกฉันว่า คนเราต้องแต่งตัวสวยอยู่เสมอ เพราะเมื่อใดที่โทรม ภาพจะติดตา แต่ฉันว่า ฉันชอบแจ๋วในบทบาทนี้นา นักแสดงจะให้เล่นอยู่บทเดียวก็น่าเบื่อแย่ดิ 

ฉันนั่งนึกอยู่ในใจว่า เอ ถ้าคุณชายตัดผมแล้ว ฉันจะยังหลงรักอยู่มั้ยหนอ...



วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

อวยพรให้โง่

ฉันกำลังเข้าไปอยู่ในโลกใบใหม่...

โลกของแมค...

มีอะไรให้เรียนรู้มากมาย ในขณะเดียวกันมันก็คล้ายๆ กับวินโดว์เจ้าเก่า คงเป็นอย่างที่หลายๆ คนว่ากัน ว่าแมคเน้นเรื่องกราฟฟิค ความงาม ความปราณีต แค่เวลาปิดหน้าต่างเว็บแล้วมีออปชั่นให้เลือกเหมือนกระดาษค่อยๆ บิดลงไปอยู่ด้านล่างของหน้าจอ ฉันก็หลงรักแมคเข้าให้แล้ว

น่าแปลก ที่ฉันสัมผัสได้กับความงาม ความละเอียดอ่อน แต่ฉันกลับไม่รู้สึกเวลาคนกัด จิกฉัน เพราะฉันถือคติว่า ถ้าไม่ได้รับการพิสูจน์แบบคาหนังคาเขา ฉันจะไม่คิดว่าใครจะกัดฉัน จะคิดกับฉันในแง่ร้าย คิดๆ ไปแล้วฉันก็นึกถึงเรื่องพิธีการในชั้นศาล การตัดสินคดี เราถือว่า ผู้ต้องหาถูกจนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ว่าผิด 

ฉันมองทุกคนในแง่ดี เหมือนๆ กับว่า จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ว่า เลวจริงๆ แต่จนบัดนี้ ฉันก็ยังไม่เจอคนประเภทนั้น เพราะอะไรเหรอ เพราะคนเหล่านั้นน่าสงสารมากกว่าจะน่ารังเกียจหรือหลีกหนีให้ห่าง 

คนเพิ่งบอกว่าสงสารฉันไม่นานนี้เอง 

ได้แต่หวังว่า เขาจะมองคนในแง่บวก ไม่ใช่พูดเพื่อเอาดีเข้าตัว อย่างที่พี่คนนึงเคยสรุปให้ฉันฟัง

หลังๆ มานี้ ฉันได้ยินข่าวซุบซิบเกี่ยวกับหลายๆ คนที่รู้จัก วันนั้นพี่ที่นั่งตรงข้ามหน้าตามู่ทู่ยังไงพิกล ทั้งๆ ที่ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรกับใครเค้าหรอก ว่ามีคนเริ่มไม่พอใจฉัน โกรธฉัน โมโหฉัน นั่นก็เพราะว่า ถ้ามีใครมาทำกับฉันอย่างที่ฉันได้ทำให้คนเหล่านั้น ฉันจะไม่โกรธ ไม่โมโห  รู้สึกเฉยๆ จะไม่รู้สึกว่ามีใครมากระตุ้นต่อม กระตุ้นแผล

นั่นล่ะ ที่ทำให้ฉันสงสารและเห็นใจคนที่เดือดเนื้อร้อนใจ เวลาที่ฉันพูดอะไรไปด้วยจะสื่อความหมายนัยตรง ไม่ใช่นัยยอดนิยมอย่างที่คนเค้าชอบทำกัน

พาลให้นึกถึงละครที่ดูเมื่อวันก่อน แม่ของนางเอกเห็นและมองออกว่าเพื่่อนของลูกกำลังจะแย่งคู่หมั้นของลูกสาวตัวเอง ลูกสาวกำลังขนต้นไม้ไปแต่งเรือนหอ แม่จึงได้ทีเอ่ยขึ้นว่า "อุ้ย เอาต้นไม้ไปปลูกเยอะๆ รกแล้วเดี๋ยวงูเงี้ยวจะมากัดเอานะ" แล้วฉันก็เห็นภาพนางอิจฉามองมาที่แม่ของนางเอก 

ฉันนั่่งคิดอยู่นานเลยล่ะ ว่าแม่นางเอกตั้งใจแขวะ (รึเปล่าวะ) 

เธอเอ๊ย ถ้าฉันเป็นนางอิจฉา รับรอง ฉันไม่รู้สึกรู้สาอะไรด้วยหรอก เพราะฉันไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรใดๆ ด้วย คนที่ชอบกัด จิกชาวบ้าน เวลาได้ยินใครพูดอะไรเข้าหู ก็จะกลายเป็นหูหาเรื่อง คอยรับความทุกข์เข้าตัวอยู่ร่่ำไป

อีกอย่างที่น่าแปลก มีคนสารภาพว่าเกลี่ียดฉัน  เขาใช้คำว่าเกลี่ยดฉันเลยล่ะ แต่ก็แน่ละนะเธอ ว่าเขาพูดเช่นนั้นหลังจากที่ได้รู้จักฉันมากขึ้นแล้ว และพบว่า ฉันไม่ได้เป็นแม้เพียงเศษเสี้ยวของสิ่งที่เขาคิด 

ภาษากายก็สำคัญอย่างนี้แหละ จริงๆ แล้ว ใจของเราคิดอะไร ไม่มีใครรู้หรอก ถ้าไม่แสดงออก แล้วคนที่รู้ก็คือเจ้าตัวเพียงคนเดียว เราต่างหากที่จะเลือกรับรู้ เลือกมองไปในแง่ใด ในแง่ที่ดีหรือร้ายต่อตัวเราเอง 

คนโง่ถึงมีความสุขไงเธอ ฉันพยายามจะโง่และซื่อให้มากขึ้นทุกๆ วัน 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าใครก็อยากมีความสุข 

เอ แล้วถ้าฉันขอให้ใครมีความสุข เขาจะหาว่าฉันอวยพรให้เขาโง่มั้ยละนั่น


วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552

เมื่อความคิดแตกแขนง...

ข้อความประโยคเดียว ฉันเห็นแล้วอึ้ง ไม่คาดคิด งงๆ ปนสงสัย ตกใจและตื่นตูมอยู่ภายใน...

ไฉนเลยจะดับความสงสัยได้หากไม่ถาม แต่ถามก็ไม่ได้ จะกลายเป็นคิดฟุ้งซ่าน ได้แต่รวบรวมสติอารมณ์ จดจ่อกับงานบ้านและอ่านหนังสือ สองสิ่งที่ฉันทำได้เป็นอย่างดี มีสมาธิ ฉันจะหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง โลกที่เวลาหยุด ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง และเคลื่อนคล้อยไปยังจุดหนึ่งอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันรู้สึก 

หนังสือเล่มที่อ่านจบวันนี้คือ พูดอย่างไร ไม่ให้พัง (Crucial Conversation) ฉันว่าฉันเคยอ่านหนังสือชื่อเหมือนกันนี้มาแล้วนะ แต่จำไม่ได้ว่ามีอะไรที่เหมือนหรือแตกต่างกัน เล่มนี้ก็เหมือนๆ กับเล่ม พลังจิตใต้สำนึก นั่นแหละ หนังสือประเภทนี้ ต้องอ่านย้ำซ้ำไปซ้ำมาให้ประทับอยู่ในใจ และพลังจากตัวอักษรจะสะท้อนออกมาเป็นเสียงจากภายในให้ทำอะไรสักอย่าง 

ฉันทำอะไรตามที่พลังข้างในบอกมาตั้งแต่วันแรกที่อ่านหนังสือ พลังจิตใต้สำนึก ฉันทำสิ่งที่ปกติฉันไม่ทำ มันต้องอาศัยความกล้ามากทีเดียว ที่จะเผชิญกับความจริง ที่จะเป็นฝ่ายรุก เลิกนิ่งเงียบเมื่อประสบกับเหตุการณ์สำคัญ เรื่องที่กระทบความรู้สึก 

ฉันเพิ่งรู้สึกว่า ความกล้าบ้าบิ่นที่ฉันมีในหลายๆ เรื่อง ไม่ได้เป็นการกล้าในเรื่องที่ควรสักเท่าใด ฉันเองก็เหมือนๆ กับคนที่หลีกหนีความจริง เลือกที่จะนิ่งเงียบเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา หรือบางครั้งก็เฉไฉ แสดงออกในทางก้าวร้าว ตรงตามหนังสือเป๊ะ 

ความเงียบเป็นส่วนที่อยู่นอกสุดของรูปแบบที่แสดงลักษณะของปัญหา ความเงียบเป็นศัตรูตัวฉกาจ เรามักจะใช้วิธีนี้เป็นทางออกของปัญหาที่กระทบกระเทือนความรู้สึก แล้วเมื่อเราเงียบกับทุกเรื่องราว ปัญหาที่ทับถมก็ระเบิดออกในวันหนึ่ง เหมือนไฟใต้น้ำ ฉันนึกถึงชีวิตครอบครัวที่ล่มสลายเพราะความเงียบตัวร้ายกาจตัวนี้

เมื่อเช้านี้ สาวจากบริษัทให้บริการเคเบิลทีวีโทรมา แจ้งว่าการติดตั้งอุปกรณ์ที่ฉันแจ้งไว้ไม่มีปัญหา แต่จะต้องมีการเคลียร์ปัญหาจากบ้านที่ฉันเคยอยู่ซึ่งยังไม่ได้มีการคืนอุปกรณ์รับส่งสัญญาณ 

เรื่องมันนาน นานจนฉันลืมว่า ณ เวลานั้น ฉันแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ฉันได้แต่บอกว่า ให้เจ้าหน้าที่ติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ในพื้นที่นั้นๆ ตามที่อยู่และรายละเอียดที่มี 

วางสายไปไม่นาน โทรกลับมา ต้องการทราบเหตุผลทำไมฉันถึงเป็นตัวกลางจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อยไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าจะอดกลั้นไปทำไม ใส่อารมณ์ไปว่า

คือว่า เคยแต่งงานแล้วเขาไล่ดิฉันออกจากบ้านนะค่ะ

คนโทรมา ขอโทษเป็นพัลวัน แน่นอนว่าคงไม่มารบกวนฉันด้วยเรื่องนี้อีก ฉันกลับมาคิดอีกนิดว่า ที่ฉันทำไป เหมาะควรหรือไม่ อย่างไร 

กรณีที่ฉันมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์แบบ ฉันคงจะอธิบายด้วยประโยคเดิมแต่ไม่ใส่อารมณ์ หรือไม่ก็อาจจะเพียงพูดว่า บ้านที่ติดเคเบิลทีวีหลังนั้นเป็นบ้านของสามีเก่า หวังว่าน้องคงจะเข้าใจนะคะ

แต่ ณ เวลานั้น ฉันยังหลับตาพูดอยู่เลย แค่กวนเวลาฉันหลับด้วยเรื่องทางเทคนิคแบบนี้ฉันก็ฉุนอยู่แล้ว แถมยังต้องให้อธิบายชี้แจงให้กระจ่างอีก คราวนี้เลยกระจ่างจนกระเจิงไปนั่น 

หลังจากพบว่า ความเงียบ เป็นพิษร้ายฝังลึก ฉันก็เริ่มพ่นพิษมดตัวจิ๋วทันที 

คนเค้าว่า ไปสุดทั้งสองขั้วแล้วก็คงปรับจนกลับมาอยู่ตรงกลาง แตกต่างกันตรงที่ของคนอื่นๆ แค่กระดิกซ้ายขวานิดเดียวก็พบจุดสมดุล ไอ้ฉันน่ะ มันต้องแกว่งแรงเหมือนเรือไวกิ้งให้คนที่นั่งก้นยกขึ้นตามแรงผลักนั่นแหละ ถึงจะรู้สึก 

เอ จะว่าไปแล้ว ไม่น่าจะเรียกว่าเป็นคนสัมผัสไวเลยนะ ดูแล้วเหมือนสัมผัสฝืดซะมากกว่า

กลับมาที่หนังสือเล่มที่อ่านจบวันนี้ ฉันคงได้ข้อสรุปสำหรับตัวเองสั้นๆ ว่า

ห้ามเงียบ ห้ามระเบิด แสดงความรู้สึกอย่างเหมาะสม 

เธอรู้มั้ยว่าอะไร ยากที่สุด 

เหมาะสมไง

ความเหมาะสมเป็นเรื่องที่เลื่อนลอยอย่างที่สุดในความรู้สึกของฉัน เหมาะทั้งจังหวะ เวลา อารมณ์ สถานที่ คำพูด รูปแบบคำถาม คำอธิบาย 

เค้าถึงเรียกเรื่องพวกนี้ว่า ศิลปะ ไง 

ทุกอย่างฝึกฝนได้ หากฉันตั้งใจจริงๆ แม้จะเกิดข้อผิดพลาด ฉันเชื่อมั่นว่า ฉันจะแก้ไขได้ในที่สุด 

ขออาศัยพลังจิตใต้สำนึก คิดดีอย่างมีศรัทธา แล้วฉันก็จะเป็นอย่างที่เชื่อมั่น

ฉันก็อยากให้เธอได้อะไรดีๆ เหมือนฉันด้วยนะ ...

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2552

เสียงเรียกร้องจากภายใน

มีหนังสือดีหลายเล่มที่ฉันได้อ่านตั้งแต่เด็กจนโต แต่หนังสือ "พลังจิตใต้สำนึก" เป็นหนังสือที่ฉันอ่านแล้วเห็นผลทันที...

ฉันเคยสงสัยมาหลายปี เหตุใดเวลาเมาอาการของแต่ละคนจึงแตกต่างกันมากมายนัก นั่นขึ้นอยู่กับว่า ในเวลาปกติที่จิตสำนึกทำงาน เราได้ทำตามความรู้สึกมากน้อยเพียงใด ยิ่งเก็บกดอารมณ์ความรู้สึกมากเท่าใด ความแตกต่างเวลาเมากับไม่เมาก็มากขึ้นเท่านั้น

ทำไมเราจึงต้องมาใส่ใจกับจิตใต้สำนึก...

หนังสือบอกว่าจิตใต้สำนึกมีพลังมากมายมหาศาล มากถึง 90% ของพลังทั้งหมด จิตสำนึกที่มีเหตุผลมีผลแค่ 10% เท่านั้น

เราจะปรับจิตใต้สำนึกให้เป็นไปอย่างที่เราต้องการได้อย่างไร...

การสวดอ้อนวอน มีศรัทธาในสิ่งที่เชื่ออย่างแรงกล้า การพูดตอกย้ำ้ซ้ำในสิ่งที่ต้องการบ่อยๆ ก็จะทำให้สิ่งเหล่านั้นประทับอยู่ในจิตใต้สำนึก ผลโดยตรงคือ เราจะปฏิบัติในรูปแบบที่ทำให้เราได้อย่างที่ต้องการ และเมื่อเราเปลี่ยนแปลงตัวเอง ความเปลี่ยนแปลงนั้นก็จะกระทบสิ่งต่างๆ รอบตัวให้เป็นไปในทางที่เราต้องการดั่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์

ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้ไปได้ไม่กี่หน้า ความคิดหนึ่งก็แว่วเข้ามาทันใด แล้วความรู้สึกในตอนนั้นก็จูงใจให้ฉันเขียนอีเมลถึงคนที่อยู่ในใจฉันตลอดมา ฉันส่งบทความเรื่องการตอกย้ำความคิดบวกในจิตใจที่จะยังผลให้ผู้นั้นมีความสุข ด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจที่อยากให้คนๆ นั้นมีความสุข 

ความสุขของใครคนนั้นจะมีฉันอยู่หรือไม่นั้น ไม่สำคัญเท่ากับว่า ฉันขอให้เขามีความสุขจากการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ชีวิต ถ้าฉันเป็นใครคนนั้น คงอดไม่ได้ที่ฉันจะดีใจ แต่อย่างไร เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามา การปฏิสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเขาก็ดีขึ้นอย่างนึกไม่ถึง 

ฉันสรุปเอาเองว่า อะไรไม่ดีที่เกิดขึ้นกับฉันนั่นเป็นเพราะฉันคิดว่าสิ่งไม่ดีเหล่านั้นจะเกิดขึ้น มันคงมีผลทำให้หน้าตาของฉันบูดบึ้ง ดุ คนจึงไม่กล้าเข้าใกล้ แต่เมื่อฉันรู้สึกดีภายในแล้ว ความสุข ความเอิบอิ่มก็จะฉายฉานปรากฏออกมาให้ใครๆ เห็น

ฉันเลิกรู้สึกกระอักกระอ่วน ทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่ต่อหน้าใครๆ ด้วยรู้สึกเอาเองตลอดเวลาว่าจะมีคนวิพากษ์วิจารณ์ ฉันจะปฏิบัติตนไม่สมควรซ้ำแล้วซ้ำอีก 

ฉันกลับมานั่งที่ร้านประจำคนเดียวได้แล้ว หลังจากที่ขาดความมั่นใจมาแรมปี 

ฉันปรารภกับพี่คนหนึ่งว่า ฉันไม่เข้าใจ ทำไมปฏิกิริยาที่ใครๆ มีต่อฉันจึงไม่ค่อยน่าพิสมัยนัก ญาติผู้พี่ของฉันเคยบอกว่า ฉันเป็นคนจำพวก Aloof  น้องอีกคนก็บอกว่าฉันมีโลกส่วนตัว แปลกแยกจากผู้อื่นวันคุย บางวันไม่คุย คนเลยไม่รู้ว่าวันนี้ฉันอารมณ์ไหน 

ฉันอยากขอบคุณในทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำให้ฉันรู้สึกดี มีความสุข ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

ขอบคุณที่เขาสนใจน้องแอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์เครืองใหม่ของฉัน เครื่องที่ฉันบอกกับตัวเองก่อนซื้อว่า เราไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลทุกอย่างก็ได้นะ เราแค่ซื้อของที่เราชอบแต่มันก็มีคุณภาพและเห็นได้ถึงความใส่ใจของคนออกแบบ 

ขอฉันพรรณนาถึงความใส่ใจในการผลิตอุปกรณ์อิเลคโทรนิคชิ้นนี้หน่อยเถอะนะ

ตัวต่อที่ชาร์จไฟเข้าเครื่องทำด้วยแม่เหล็กทำให้ตัวต่อยึดติดกับเครื่องได้ง่าย ที่สายไฟมีตัวเกาะกับขอบโน้ตบุคเพื่อให้สายไฟเลียบไปตามขอบเครือง สายไฟไม่เกะกะรุงรัง ตัวปลั๊กสองขาสำหรับเสียบเต้าไฟฟ้าสามารถพับเก็บได้ ตรงขอบอีกสองมุมสามารถดึงขึ้นมาสำหรับพันสายไฟด้วยวัตถุประสงค์เดียวกับตัวเกาะสายไฟกับขอบโน้ตบุค 

แม้จะเป็นคอมพิวเตอร์ที่จอขนาดเล็ก 13.3" แต่เราก็สามารถขยายขนาดตัวอักษรที่หน้าจอได้อย่างง่ายดายด้วยสองนิ้วสัมผัส เพียงสัมผัสนิ้วทั้งสองที่แผ่นเมาส์แล้วลากนิ้วออกจากกัน โน้ตบุคอัจฉริยะก็ปรับขนาดตัวอักษรให้ใหญ่ขึ้นทันที 

แป้นพิมพ์ที่ใหญ่เทียบเท่าโน้ตบุคขนาดปกติเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับฉัน หากแมคบุค แอร์เครื่องนี้น้ำหนักเบาเพียงอย่างเดียว แต่ขนาดของแป้นพิมพ์เล็ก ฉันก็คงไม่เลือกแน่นอน งานส่วนใหญ่เป็นการพิมพ์ ฉันเคยใช้โน้ตบุคจิ๋วของนายเก่า สวยแต่ใช้งานลำบาก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จใช้เวลานานมาก นานจนอารมณ์คนพิมพ์แปรปรวน

เมื่อพูดถึงน้ำหนักก็ต้องยกเรื่องความบางของเครื่องที่มีผลให้นำ้หนักของเครื่องน้อยเทียบเท่าโน้ตบุคขนาดเล็กจอ 10" เมื่อบวกกับดีไซน์ คุณสมบัติไม่ติดไวรัส ความเสถียรของเครื่อง ฉันก็ยอมแพ้กับราคาที่สูงกว่าโน้ตบุคอื่นที่มีขนาดเดียวกันประมาณ 3-5 เท่า

ขอบคุณที่เขาคุยกับฉันโดยไม่แคร์สายตาของผู้ที่อาจจะนินทา วิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวในอดีตระหว่างเรา เขาทักฉัน พูดคุยกับฉันเหมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในกลุ่ม กลุ่มที่ฉันรู้สึกมานานว่า ฉันเป็นส่วนเกิน

ขอบคุณที่เขาใส่ใจ ติดตามเรื่องราวของฉันในชุมชนออนไลน์อย่าง facebook เขาเคยบอกฉันชัดเจนว่า อีเมลใดที่ฉันส่งให้ เขาทิ้งลง Trash หมด เว้นก็เสียแต่บทความเกี่ยวกับหนังสือเล่มแรกของฉันที่ลงในผู้จัดการออนไลน์ และนั่นเป็นที่มาของหัวข้ออีเมลที่ฉันส่งถึงเขา ด้วยหวังว่าอีเมลแห่งความปรารถนาดีฉบับนั้นจะไม่โดนทิ้งลง Trash เหมือนฉบับอื่นๆ  เขาพูดคุยกับฉันเกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นไปของฉันที่ปรากฏอยู่ใน facebook ฉันไม่มีทางรู้หรอกว่า เขาอ่านหรือผ่านตาข้อมูล เรื่องราวใดของฉันบ้าง สิ่งที่ฉันรู้ก็คือ ฉันเข้าไปดูเรื่องราวของเขาเสมอมา อาจจะจำไม่ได้ทุกสิ่งอัน ฉันถือเสมือนว่าที่นี่ โลกเสมือน เป็นอีกที่หนึ่งนอกจากร้านประจำที่ฉันกับเขาจะได้รับทราบความเป็นมาเป็นไปของกันและกัน โดยไม่ทำให้เราทั้งสองคนเป็นขี้ปากชาวบ้านอีกครั้ง เรื่องราวที่กระทบกระเทือนความรู้สึกของเขาอย่างมากมาย เขาผู้ที่ต้องรักษาความดี ความเป็นสุภาพบุรุษต่อคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับใครอีกคนหนึ่ง

ขอบคุณสำหรับบทสนทนาเมื่อวานหลายๆ ช่วงที่ทำให้ฉันรู้ว่า ความสุขจากการไม่ได้ครอบครองเป็นอย่างไร มีน้องที่เข้าใจ เห็น ความรู้สึกระหว่างเราที่ไม่อาจเปิดเผย แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ความรู้สึกนี้ก็ยืนยาวมาหลายปี น้องถามเขาว่า ฉันสวยมั้ย ฉันรู้ว่ามันเป็นคำถามที่จะทำให้เขากระอักกระอ่วนใจ ฉันจึงเฉไฉไปว่า น้องขายกาแฟเหรอ ด้วยว่าชอบชงเหลือเกิน แล้วมันก็ทำให้ฉันนึกถึงตอนที่น้องคนเดียวกันเห็นสายตาที่ฉันมองเขา (และที่เขามองฉันรึเปล่าก็ไม่แน่ใจว่าน้องรู้หรือไม่) เมื่อถึงตอนที่ฉันและเขาใกล้จะเดินสวนกัน น้องกล่าวขึ้นมาว่า ฉันถามเขาในเรื่องใดสักอย่าง เรื่องกาแฟช่วยยืดเวลาให้เขาคิดก่อนจะตอบพร้อมกับก้มหน้ามองพื้นว่า "สวยจากข้างใน" จากนั้นเสียงที่ดังที่สุดคือความเงียบ

ขอบคุณที่เขาคิดอยากมีลูก อยู่ดีๆ เขาก็พูดลอยๆ ขึ้นมา มันทำให้ฉันแปลกใจอย่างแน่นอน เพราะเรื่องหนึ่งที่ทำให้เขาเลิกศึกษาฉัน เพราะเขาไม่ต้องการมีลูก เพราะเขาอายุมากแล้ว และครั้งนี้ก็เช่นกัน แม้ว่าเขาจะเริ่มรู้สึกอยากมีลูก แต่ก็ยังไม่วายกังวลเรื่องอายุที่มากขึ้นทุกที ลูกเพื่อนๆ โตจนทำงานทำการกันหมดแล้วด้วยซ้ำ ฉันไม่แน่ใจว่าตอนที่เขาพูด เขามีสีหน้าอย่างไร เพราะเขายืนอยู่ข้างหลังฉัน เหมือนพูดให้ฉันฟังที่ข้างหู ฉันดูปฏิกิริยาจากพี่อีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม  เมื่อพี่คนที่นั่งตรงข้ามพูดขึ้นว่า มันไม่เกี่ยวว่าผู้ชายอายุเท่าไหร่ มันเกี่ยวกับคนที่ตั้งท้อง ผู้ชายมีหน้าที่ "ทำ" แล้วก็อีกครั้งที่ฉันเฉไฉเหมือนจะเปลี่ยนคนที่ถูกพูดถึงว่า ถึงทำไม่ได้ ไม่ได้ทำมานานก็ท้องได้ ประมาณว่าแค่มีน้ำเชื้อก็เอามาผสมเทียมได้แล้ว พี่คนที่ฉันพาดพิงสะดุ้งเล็กน้อย เขาคงสงสัย เพราะนั่นเป็นบทสนทนาที่เขาเคยพูดเมื่อนานมาแล้ว 

ฉันคงอดไม่ได้หรอก ที่จะคิดว่า คนที่เขาคิดจะสร้างครอบครัวด้วยคือ ฉัน แล้วฉันก็รีบพูดกับตัวเองทันที ฉันขอให้เขามีความสุข เขาจะเป็นผู้เลือกเองว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา

ขอบคุณที่เขาทำให้บรรยากาศบนโต๊ะคืนนั้นดำเนินไปอย่างไม่ขัดเขิน พวกเราสนุก หัวเราะไปกับเรื่องราวต่างๆ ที่สรรหามาเล่า ฉันได้เป็นส่วนหนึ่งไม่ใช่ส่วนเกินอย่างที่แล้วๆ มา

ขอบคุณที่ดูแลด้วยสายตา รอและดูให้ฉันกลับจากร้านพร้อมๆ กับเขา

ฉันขอบคุณเขาด้วย sms ...condo ka. don't get drunk yet.

มันอาจจะไม่หวาน แค่บอกข้อเท็จจริง 

แต่นั่นคือ วิธีการที่เขาเคยบอกฉัน บอกความรู้สึก บอกใครสักคนว่าถึงบ้านแล้ว คนที่กำลังห่วงจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง...






วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2552

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร...รัฐบาลทำได้ในที่สุด


สามสี่วันมานี้ ไม่มีใครรู้ว่าประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ แต่ไม่ว่าอย่างไร ท่านนายกฯ สุดหล่อพร้อมสมองและคุณธรรมเป็นเลิศก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การแก้ปัญหาด้วยความสุขุมทำให้ภาวะความรุนแรงทางการเมืองใกล้จะกลับเข้าสู่ปกติในไม่ช้า 

หลายๆ คนรู้สึกว่า รัฐบาลชุดนี้ทำงานไม่ทันใจ อ่อนเกินไป การใช้กำลังขอรัฐบาลที่มีกำลังทหารและอาวุธครบครัน ทำได้ง่ายดายเหลือเกิน การที่รัฐบาลไม่ใช้กำลังในการสลายม็อบครั้งนี้ทำให้เกิดข้อกังขาว่ารัฐบาลสามารถควบคุมกำลังทหารและตำรวจได้จริงหรือ ตำรวจและทหารจะรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับรัฐบาลหรือถูกซื้อและแปรพักตรไปอยู่กับฝ่ายเสื้อแดงแล้วรึเปล่า 

นายกฯ รู้ว่าควรจะพูดอะไร และทำได้ตามนั้น เมื่อรู้ว่าคนไทยเกิดข้อกังขา ก็เสนอภาพจากการประชุมกับฝ่ายต่างๆ เพื่อเป็นหลักประกันให้ประชาชนแน่ใจได้ว่า ทุกฝ่ายยังร่วมทำงานกันเพื่อแก้ไขปัญหาทางการเมืองโดยไม่ใช้ความรุนแรง 

ทุกคนมีความรู้สึกมีอารมณ์ หากให้ทหารและตำรวจมีอาวุธคู่กาย ไฉนเลยจะไม่นำสิ่งที่ตนมีอยู่มาใช้เพื่อป้องกันตัวเอง การทำตามหลักการก่อให้เกิดความเสี่ยงและยากกว่าการจัดการปัญหาโดยใช้กำลังอย่างเหลือเกิน 

รัฐบาลไม่ได้ทำให้กลุ่มผู้ประท้วงอยู่ในภาวะ "หมาจนตรอก" เสนอทางเลือกให้กลับต่างจังหวัดและเปลี่ยนเสื้อแดงเป็นสีอื่น 

ฉันมีความรู้สึกว่าความขัดแย้งของรัฐบาลกับกลุ่มผู้ประท้วงเปรียบเหมือนการทะเลาะ ลองดีของเด็กเกเรกับผู้ใหญ่ เด็กเกเรพยายามก่อกวน ปั่นป่วน เหมือนประชดตัวเองว่าไม่มีความสำคัญ ทำอะไรก็ได้เพื่อยืนยันและพิสูจน์ว่าตนมีค่า มีความหมายนะ เด็กเกเรเสื้อแดงนี้ เป็นเด็กฉลาด เลือกที่จะแกล้งผู้ใหญ่ที่จุดอ่อน ก่อความเดือดร้อนร้ายแรง ทำให้การสัญจรไปมาเป็นอัมพาต ก่อกวนกลุ่มประชาชนที่การศึกษาน้อยหรือมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำ หากเปรียบเป็นการทำร้ายร่างกายก็อาจจะสาดแป้งเข้าตา ขัดขาให้ล้ม แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ผู้ใหญ่คนนี้ก็ไม่โกรธ เข้าใจ ใช้จิตวิทยาจนเสื้อแดงรู้สึกละอายใจ กลับมาทบทวนในสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป ไม่ว่าจะโดยน้ำเงินที่ีมีคนจ้าง หรือการถูกหลอกใช้ 

ผู้ใหญ่เอาโทษเด็กเกเรตามหลักเหตุผล หลักกฏหมาย มิใช่ด้วยอารมณ์

ในขณะเดียวกัน ผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่เข้าร่วมการประชุมในพัทยา ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าผู้ใหญ่คนอื่นๆ มีวุฒิภาวะเพียงพอ พวกเขาก็จะรู้ว่า ในยามที่ผู้ใหญ่คนนี้ต้องจัดการปัญหากับเด็กฉลาดแต่เกเรอย่างที่สุดรายนี้ ต้องทำให้ผู้ใหญ่เสียเวลาในการจัดการธุระปะปัง และเมื่อปัญหานี้ได้รับการแก้ไข ก็เป็นเครื่องแสดงว่า การมอบหมายให้ผู้ใหญ่คนนี้จัดประชุมครั้งใหม่เป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาด 

เสียเวลา งานเสร็จล่าช้า แต่ได้ระงับเวรด้วยการไม่จองเวร 

คนไทยไม่ได้จัดการปัญหาอย่างคนไร้การศึกษา อย่างคนป่าเถื่อน ไม่ว่าจะเกิดความขัดแย้งทางการเมืองอย่างไร คู่กรณีก็สามารถจัดการปัญหาได้เอง 

ไม่ใช่ต้องคอยให้ "พระ" มาคอยแก้ปัญหาอย่างที่แล้วๆ มา...

วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2552

น้องแอร์กับน้องนี

ม็อบเสื้อแดงทำให้ฉันต้องอยู่บ้าน...

โชคดีหรือโชคร้ายไม่รู้ที่ม็อบเคลื่อนขบวนมาปิดถนนที่อนุสาวรีย์ชัยฯและแยกวิภาวดี-สุทธิสารในวันถัดจากที่ฉันช็อปกระเป๋ากระจุย

ฉันตั้งใจจะยกน้องฟ้า โน๊ตบุ้คตัวเก่งที่ฉันซื้อจากเงินที่เล่นหุ้นได้เมื่อตอนที่ใครเล่นหุ้นไม่เป็นก็กำไรเมื่อหลายปีก่อน (นับไปนับมาก็ประมาณ 7 ปีล่วงมาแล้ว) ให้ลูกพี่ลูกน้องเพื่อใช้เขียนบทวิจารณ์หนัง ด้วยฉันเห็นพี่ใช้วิธีเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างที่สุด เขียนด้วยดินสอลงกระดาษ ลบ ขีดฆ่า แล้วก็แฟกซ์บทวิจารณ์นั้น

ฉันนั่งเคลียร์ข้อมูลหลังจากที่ไปกระตุกโมบายดิสก์เพื่อแบคอัพข้อมูลทั้งโน้ตบุคและพีซีที่นับวันจะแฮงค์บ่อยเหมือนกลัวจะคิดถึง 

ฉันไม่ได้ไปฟอร์จูนพร้อมความรู้แน่นเกี่ยวกับโน้ตบุ๊คเครื่องใหม่ที่จะซื้อ ด้วยตั้งใจจะสอยเครื่องขนาดหน้าจอ 10 นิ้วที่หนักประมาณ 1 กิโลกรัมและแป้นพิมพ์ใหญ่ 

นั่นคือวัตถุประสงค์หลักในการพิจารณาซื้อคอมเครื่องใหม่

แต่แล้วเมื่อชีวิตได้เจอสิ่งที่ดีกว่า ใจที่ฮึกเหิมบวกกับความดีใจจากยอดขายหนังสือในงานสัปดาห์หนังสือที่เพิ่งสิ้นสุดลง เอาเลย ซื้อมันทั้งแมค มินิ (น้องนี) และแมคบุ้ค แอร์ (น้องแอร์) ว่าแล้วก็ขอตั้งชื่อลูกและเจ้านายผู้บันดาลทั้งเงินทองและความสุขเฉกเช่นเดียวกับมาดามที่มีน้องปอมม์ และน้องอื่นๆ สารพัด

ฉันคงต้องดูแลน้องสองเครื่องนี้อย่างดี คล้ายกับรถสีขาวไข่มุกที่เป็นรถมื่อแรกในชีวิต ตัวฉันเองไม่มีประกัน แต่น้องทั้งสองและรถคู่ใจมีประกันชั้นหนึ่ง เคลมได้ทุกอย่าง

ดวงฉันอาจจะได้ใช้แมคอยู่แล้วกระมัง เริ่มต้นด้วยไอพอตนาโน ที่่โดนขอร้องแกมบังคับซื้อ แล้วก็ต้องมาหาคอมใหม่เพราะความไม่เสถียรของเครื่องเดิมและสารพัดไวรัส โทรจัน ฮอสที่มาวนเวียนวุ่นวายทำให้ฉันต้องตื่นผวาหาที่พึ่งใหม่อย่างที่เพิ่งตัดสินใจไป
เบอร์ห้าบ้าเห่อ 

ฉันจัดการโยกย้ายเครื่่องคอมพิวเตอร์และพริ้นเตอร์ ทำความสะอาดโต๊ะทำงานทั้งชุด เลือกตำแหน่งวางแมค มินิ กล่องน่ารักดีไซน์โดนสุดๆ บนโต๊ะ แม้แต่ตัวหม้อแปลงที่อยู่ในกล่องสีขาวแสนสวย ฉันยังต้องเอามาวางโชว์ไว้ข้างหน้า คอมอะไรจะสวย กระทัดรัด แถมประสิทธิภาพสุดยอด ของดีก็อย่างนี้แหละ ราคาไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่อยากนึกถึงว่า หลวมตัวซื้อมาได้อย่างไร

ครั้งแรกที่เปิดเครื่องทำงาน ต่อหน้าจอ คีย์บอร์ด เมาส์ เครื่องพิมพ์ น้องนีฉลาดเหลือเกิน ฉันไม่ต้องไปหาไดร์เวอร์มาใส่เหมือนตอนที่ใช้พีซี (ซึ่งไม่น่ารักพอจะตั้งชื่อ) ใช้งานก็ง่าย ภาพออกมาสวย ไอคอนมีสไตล์ ดีทุกอย่าง ยกเว้นอะไร ทุกคนก็รู้ดี

ฉันน่ะ ตั้งใจจะซื้อโน้ตบุ้คไม่ได้ตั้งใจจะไปไกลขนาดเปลี่ยนพีซี แต่น้องนีก็เหมาะเจาะกับความต้องการของฉันเหลือเกิน กล่องสีเหลี่ยมจัตุรัสขอบมนขนาด 6*6 นิ้ว ด้านบนมีรูปแอปเปิ้ลโดนกัดทางขวา คล้ายโฆษณาหมากฝรั่งของน้องอั้มซะจริงๆ 

จบการลองใช้งานน้องนี ต่อด้วยน้องแอร์ที่ผอมเพรียว 

น้องแอร์บางถูกใจจริงๆ หนัก 13 ขีด แม้จะใหญ่กว่าโน้ตบุ้คหน้าจอ 10 นิ้้วไปหน่อย (หน้าจอน้องแอร์ขนาด 13.3 นิ้ว) แต่ทุกอย่างตรงตามวัตถุประสงค์หลักของฉันที่จะขาดซะไม่ได้ แป้นพิมพ์ใหญ่และน้ำหนักเบา ว่าแล้วก็ให้สงสัยว่าชาวแอปเปิ้ลเขาพัฒนาโน้ตบุ้คให้จิ๋วแต่แจ๋วเด็ดสะระตี่อย่างนี้ได้ยังไง สวยอีกแล้ว สวยจริงๆ แล้วคุณสมบัติอื่นก็ไม่ต้องพูดถึง 

หลังจากจัดการทำความคุ้นเคยกับเครื่องทั้งสองหนึ่งคืน ฉันก็เริ่มชินใช้งานได้เหมือนเป็นของเคยมือ ปัญหาเมล์แก้ไขเรียบร้อย ข้อมูลในเครื่องพีซีและน้องฟ้าเก็บไว้ในโมบายดิสก์อันเล็ก เบา คุณภาพเยี่ยมครบถ้วน คืนถัดมา จัดแจงดูมุมถ่ายรูปของเล่นชิ้นใหม่ที่คงจะเห่อไปอีกนาน เพื่อให้ความสุขใจที่ได้ใช้ของดีเติมเต็ม คุ้มค่าทุกเม็็ดเงินที่เสียไป 

เธอคงเห็นด้วยกับฉันใช่มั้ยจ้ะ

วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

ดีใจ...กระเป๋าตังค์หาย

แน่นอนว่า ใครๆ ก็คงไม่ดีใจถ้ากระเป๋าตังค์หาย เพราะกระเป๋าตังค์ของใครๆ ก็คงจะมีธนบัตร เหรียญ บัตรเครดิต บัตรประชาชน และอะไรก็ตามที่เรามักจะพกติดตัวทุกๆ วัน...

วันนี้ฉันไปขนหนังสือกลับจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ได้แรงงานไวท์คอลลาร์สองคนและคุณสมัครคนขับรถ/ตัดหญ้ากิตติมศักดิ์ของพระมารดาอีกหนึ่ง ก่อนออกเดินทาง ฉันได้คุณติ๋วมาช่วยจัดเรียงหนังสือและรีดผ้าที่กองพะเนิน ซักแล้วแต่ยังไม่มีอารมณ์รีดสักที

แล้วคุณสมัครกับฉันก็ปุเลงๆ ไปศูนย์ประชุมฯ เริ่มงานแบบสบายๆ สี่โมงกว่าๆ หลังจากอดทนกระดึ๊บๆ ไปจนได้ที่จอดรถสุดเจ๋งตรงบริเวณขนถ่ายหนังสือ บริเวณที่ฉันสรุปว่าดีที่สุดแล้ว วันแรกๆ ฉันตื่นเต้นดีใจกับที่จอดรถของผู้มีบัตรเซเรเนดของเอไอเอส ดีจังที่เค้ากันที่จอดรถเอาไว้ให้ ทำให้วันแรกที่ขนหนังสือฉันไม่ต้องวุ่นวายมากมายนักกับที่จอดรถ แต่ก็ต้องขนหนังสือขึ้นบันได ลงบันได เล่นเอาพี่ผู้ใจดีมาช่วยงานตะคริวกินเป็นวันๆ

ความโง่มาก่อนความฉลาดอย่างที่ใครๆ เขาว่า ในที่สุดฉันก็เอารถส่วนตัว (ที่ก็เป็นรถสำนักพิมพ์นั่นแหละ) จอดที่ขนถ่ายหนังสือเป็นประจำ (ใครจะทำไม ฉันก็ขนหนังสือเหมือนกันนินา) แล้วก็เข็นรถขนหนังสือคู่ใจที่เพิ่งซื้อมาใหม่เอี่ยมเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ขึ้นทางลาดส่งหนังสือบูธที่อยู่ชั้นบน เข็นลงทางไปยังบูธที่ตั้งอยู่ด้านล่างที่เรียกกันว่าโซนซี

ชีวิตฉันง่ายขึ้นเรื่อยๆ แม้ฉันจะชอบบอกกับตัวเองว่า เวลาขนหนังสือยกของขึ้นลงจนเหงื่อออก นั่นก็คือการออกกำลังกายแบบฉันๆ ที่ภูมิใจเสนอ หากต้องไปเต้นแอโรบิคหรือวิ่งบนสายพาน ฉันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า เป็นการใช้แรงงานโดยเปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้น การขนหนังสือด้วยตัวเองจึงเป็นอะไรที่ลงตัวที่สู๊ด

ภาพแรกที่เห็นเป็นภาพหนังสือที่ฉันซื้อมาสดๆ ร้อนๆ ฉันอั้นกลั้นใจอยู่เกือบสองสัปดาห์ สองสัปดาห์ที่ต้องขนหนังสือผ่านสารพัดบูธ สองสัปดาห์ที่ชำเลืองเมียงมองแล้วก็มองผ่านเลย ที่ผ่านมาทั้งสองสัปดาห์ฉันซื้อหนังสือเพียงเล่มเดียว The Catcher in Text Colorthe Rye ฉบับแปลเป็นภาษาไทยโดย ปราบดา หยุ่น ชื่อภาษาไทยยาวตามเทรนสุดฮิตว่า จะเป็นผู้คอยรับไว้ ไม่ให้ใครร่วงหล่น

แล้วพอถึงวันสุดท้ายของงานสัปดาห์หนังสือ ทำนบแตกได้หนังสือมา 20 เล่ม รวดเร็วกว่ากามนิตหนุ่ม จากหลายแบงค์พันในกระเป๋าสตางค์สีดำสนิทที่ใช้มาหลายปี เหลือใบแดง 5 ใบ ไม่ขาดไม่เกิน

รับหนังสือคืน รับตังค์เข้าสำนักพิมพ์ แล้วฉันก็เมียงๆ มองๆ หนังสือตามบูธที่เดินผ่านกระตุกเข้ากระตุกออก กระเป๋าโน้น กระเป๋านี้ ปุเลงๆ ไปเรื่อย ลืมรูดซิบ ลืบปิดกระเป๋า แล้วก็ให้ฉงนเมื่อพบว่า กระเป๋าสตางค์สีดำหายไปแล้ว!!!

เสียดาย ฉันไม่ได้ถ่ายรูปไว้ แต่กระเป๋าสีดำที่หายไปก็เป็นกระเป๋าสตางค์ของผู้หญิงแบบเรียบๆ ยี่ห้อของคนไทย ใช้ดี มีดีไซน์แบบเรียบหรู(ด้วยนะ ในสายตาของฉัน)

ฉันดีใจทันทีที่กระเป๋าหาย...

เพราะฉันแปรเงินเป็นหนังสือจนเกือบจะไม่มีเงินให้แปรเป็นอย่างอื่น สิ่งที่เสียไปคือ เงินประมาณ 500 บาท เช็คสองหมื่นกว่าบาทหนึ่งใบ เดชะบุญที่ขีดคร่อม a/c payee only บัตรเครดิต 6 ใบ บัตรประชาชน ใบขับขี่ นามบัตรอีกร่วมสิบ แล้วก็บัตรลดสนพ.จากบูธล่าสุดที่ซื้อหนังสือจำพวก Lean Organization รูปแบบการทำงานในฝันของฉันนั่นเอง

ฉันเดินย้อนกลับไปยังสองสามที่สุดท้ายที่ฉันหยิบกระเป๋าขึ้นมา รู้อยู่แล้วว่าไม่เจอแน่ๆ ฉันบอกตัวเองว่าเราต้องมองโลกในแง่ดี คิดอย่างไรได้อย่างนั้น แปลกที่คราวนี้ ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรนักหนา เพราะฉันรู้สึกอยู่แล้วว่าโชคดี...โชคดีที่กระเป๋าที่หายเป็นสีดำไม่ใช่ "สีน้ำเงิน"!!!

เพราะอะไรนะรึ ก็เพราะว่ากระเป๋าสีน้ำเงินที่ฉันคล้องกับเข็มขัดสอดสายรอบเอวกางเกงยีนส์มันเป็นกระเป๋าที่ฉันเก็บเงินที่ได้จากการขายหนังสือนะสิ!

เธอลองคิดดูถ้าสลับกัน กระเป๋าที่หายเป็นกระเป๋าสีน้ำเงินและเงินของฉันยังอยู่ดีมีสุข ฉันไม่ทุรนทุรายอยากโดดน้ำตายละหรือ!!

เงินห้าร้อยที่ฟาดเคราะห์ไปคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม ไม่แค่นั้นนะ ข้อดียังมีมากหลาย ฉันตั้งใจจะเปลี่ยนชื่อในบัตรเครดิตให้เป็นชื่อปัจจุบันมาพักใหญ่แล้ว แต่ยังไม่ได้ฤกษ์ทำเสียที เงินห้าร้อยบาทนี้เป็นเหมือนตัวเร่งให้ฉันทำสิ่งที่ควรจะทำ ได้เปลี่ยนลายเซ็นหลังบัตรสมใจเสียที แถมยังได้หยิบกระเป๋าตังค์ลายสก็อตสุดหรู (ไม่ใช่ลายที่เห็นกันดาษดื่นนะยะ) มาใช้ประจำเสียที ดูแล้วก็เข้ากับกระเป๋าสะพายที่ฉันใช้อยู่ตอนนี้ได้ดีทีเดียว

แค่พลิกวิธีคิด ชีวิตก็เปลี่ยน

โชคจะดีหรือร้ายน่ะอยู่ที่ใครมองนะ

...ไม่เคยสุขใจจากเหตุร้ายเท่าวันนี้มาก่อนเลยล่ะเธอ