วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

ดีใจ...กระเป๋าตังค์หาย

แน่นอนว่า ใครๆ ก็คงไม่ดีใจถ้ากระเป๋าตังค์หาย เพราะกระเป๋าตังค์ของใครๆ ก็คงจะมีธนบัตร เหรียญ บัตรเครดิต บัตรประชาชน และอะไรก็ตามที่เรามักจะพกติดตัวทุกๆ วัน...

วันนี้ฉันไปขนหนังสือกลับจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ได้แรงงานไวท์คอลลาร์สองคนและคุณสมัครคนขับรถ/ตัดหญ้ากิตติมศักดิ์ของพระมารดาอีกหนึ่ง ก่อนออกเดินทาง ฉันได้คุณติ๋วมาช่วยจัดเรียงหนังสือและรีดผ้าที่กองพะเนิน ซักแล้วแต่ยังไม่มีอารมณ์รีดสักที

แล้วคุณสมัครกับฉันก็ปุเลงๆ ไปศูนย์ประชุมฯ เริ่มงานแบบสบายๆ สี่โมงกว่าๆ หลังจากอดทนกระดึ๊บๆ ไปจนได้ที่จอดรถสุดเจ๋งตรงบริเวณขนถ่ายหนังสือ บริเวณที่ฉันสรุปว่าดีที่สุดแล้ว วันแรกๆ ฉันตื่นเต้นดีใจกับที่จอดรถของผู้มีบัตรเซเรเนดของเอไอเอส ดีจังที่เค้ากันที่จอดรถเอาไว้ให้ ทำให้วันแรกที่ขนหนังสือฉันไม่ต้องวุ่นวายมากมายนักกับที่จอดรถ แต่ก็ต้องขนหนังสือขึ้นบันได ลงบันได เล่นเอาพี่ผู้ใจดีมาช่วยงานตะคริวกินเป็นวันๆ

ความโง่มาก่อนความฉลาดอย่างที่ใครๆ เขาว่า ในที่สุดฉันก็เอารถส่วนตัว (ที่ก็เป็นรถสำนักพิมพ์นั่นแหละ) จอดที่ขนถ่ายหนังสือเป็นประจำ (ใครจะทำไม ฉันก็ขนหนังสือเหมือนกันนินา) แล้วก็เข็นรถขนหนังสือคู่ใจที่เพิ่งซื้อมาใหม่เอี่ยมเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ขึ้นทางลาดส่งหนังสือบูธที่อยู่ชั้นบน เข็นลงทางไปยังบูธที่ตั้งอยู่ด้านล่างที่เรียกกันว่าโซนซี

ชีวิตฉันง่ายขึ้นเรื่อยๆ แม้ฉันจะชอบบอกกับตัวเองว่า เวลาขนหนังสือยกของขึ้นลงจนเหงื่อออก นั่นก็คือการออกกำลังกายแบบฉันๆ ที่ภูมิใจเสนอ หากต้องไปเต้นแอโรบิคหรือวิ่งบนสายพาน ฉันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า เป็นการใช้แรงงานโดยเปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้น การขนหนังสือด้วยตัวเองจึงเป็นอะไรที่ลงตัวที่สู๊ด

ภาพแรกที่เห็นเป็นภาพหนังสือที่ฉันซื้อมาสดๆ ร้อนๆ ฉันอั้นกลั้นใจอยู่เกือบสองสัปดาห์ สองสัปดาห์ที่ต้องขนหนังสือผ่านสารพัดบูธ สองสัปดาห์ที่ชำเลืองเมียงมองแล้วก็มองผ่านเลย ที่ผ่านมาทั้งสองสัปดาห์ฉันซื้อหนังสือเพียงเล่มเดียว The Catcher in Text Colorthe Rye ฉบับแปลเป็นภาษาไทยโดย ปราบดา หยุ่น ชื่อภาษาไทยยาวตามเทรนสุดฮิตว่า จะเป็นผู้คอยรับไว้ ไม่ให้ใครร่วงหล่น

แล้วพอถึงวันสุดท้ายของงานสัปดาห์หนังสือ ทำนบแตกได้หนังสือมา 20 เล่ม รวดเร็วกว่ากามนิตหนุ่ม จากหลายแบงค์พันในกระเป๋าสตางค์สีดำสนิทที่ใช้มาหลายปี เหลือใบแดง 5 ใบ ไม่ขาดไม่เกิน

รับหนังสือคืน รับตังค์เข้าสำนักพิมพ์ แล้วฉันก็เมียงๆ มองๆ หนังสือตามบูธที่เดินผ่านกระตุกเข้ากระตุกออก กระเป๋าโน้น กระเป๋านี้ ปุเลงๆ ไปเรื่อย ลืมรูดซิบ ลืบปิดกระเป๋า แล้วก็ให้ฉงนเมื่อพบว่า กระเป๋าสตางค์สีดำหายไปแล้ว!!!

เสียดาย ฉันไม่ได้ถ่ายรูปไว้ แต่กระเป๋าสีดำที่หายไปก็เป็นกระเป๋าสตางค์ของผู้หญิงแบบเรียบๆ ยี่ห้อของคนไทย ใช้ดี มีดีไซน์แบบเรียบหรู(ด้วยนะ ในสายตาของฉัน)

ฉันดีใจทันทีที่กระเป๋าหาย...

เพราะฉันแปรเงินเป็นหนังสือจนเกือบจะไม่มีเงินให้แปรเป็นอย่างอื่น สิ่งที่เสียไปคือ เงินประมาณ 500 บาท เช็คสองหมื่นกว่าบาทหนึ่งใบ เดชะบุญที่ขีดคร่อม a/c payee only บัตรเครดิต 6 ใบ บัตรประชาชน ใบขับขี่ นามบัตรอีกร่วมสิบ แล้วก็บัตรลดสนพ.จากบูธล่าสุดที่ซื้อหนังสือจำพวก Lean Organization รูปแบบการทำงานในฝันของฉันนั่นเอง

ฉันเดินย้อนกลับไปยังสองสามที่สุดท้ายที่ฉันหยิบกระเป๋าขึ้นมา รู้อยู่แล้วว่าไม่เจอแน่ๆ ฉันบอกตัวเองว่าเราต้องมองโลกในแง่ดี คิดอย่างไรได้อย่างนั้น แปลกที่คราวนี้ ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรนักหนา เพราะฉันรู้สึกอยู่แล้วว่าโชคดี...โชคดีที่กระเป๋าที่หายเป็นสีดำไม่ใช่ "สีน้ำเงิน"!!!

เพราะอะไรนะรึ ก็เพราะว่ากระเป๋าสีน้ำเงินที่ฉันคล้องกับเข็มขัดสอดสายรอบเอวกางเกงยีนส์มันเป็นกระเป๋าที่ฉันเก็บเงินที่ได้จากการขายหนังสือนะสิ!

เธอลองคิดดูถ้าสลับกัน กระเป๋าที่หายเป็นกระเป๋าสีน้ำเงินและเงินของฉันยังอยู่ดีมีสุข ฉันไม่ทุรนทุรายอยากโดดน้ำตายละหรือ!!

เงินห้าร้อยที่ฟาดเคราะห์ไปคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม ไม่แค่นั้นนะ ข้อดียังมีมากหลาย ฉันตั้งใจจะเปลี่ยนชื่อในบัตรเครดิตให้เป็นชื่อปัจจุบันมาพักใหญ่แล้ว แต่ยังไม่ได้ฤกษ์ทำเสียที เงินห้าร้อยบาทนี้เป็นเหมือนตัวเร่งให้ฉันทำสิ่งที่ควรจะทำ ได้เปลี่ยนลายเซ็นหลังบัตรสมใจเสียที แถมยังได้หยิบกระเป๋าตังค์ลายสก็อตสุดหรู (ไม่ใช่ลายที่เห็นกันดาษดื่นนะยะ) มาใช้ประจำเสียที ดูแล้วก็เข้ากับกระเป๋าสะพายที่ฉันใช้อยู่ตอนนี้ได้ดีทีเดียว

แค่พลิกวิธีคิด ชีวิตก็เปลี่ยน

โชคจะดีหรือร้ายน่ะอยู่ที่ใครมองนะ

...ไม่เคยสุขใจจากเหตุร้ายเท่าวันนี้มาก่อนเลยล่ะเธอ

ไม่มีความคิดเห็น: