วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

ฟ้าเริ่มใส...ไฟส่องทาง

วันนี้เป็นวันแรกที่ฉันรู้สึกว่ากลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม...ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดา...

แม้จะตื่นนอนตั้งแต่ตีสองคุยเรื่องราวนัดหมายเสียงดังตามสไตล์ แล้วก็นั่งดูข่าวติดตามข่าวสารบ้านเมืองแบบที่ปกติก็ไม่เคยจะไปสนใจอะไรนัก แวะเข้าไปดูข้อมูลของคนโปรดฉันตามเว็บต่างๆ มาสะดุดที่หนังเรื่องโปรดของท่านนายกฯ สองเรื่องคือ แบทแมนภาคแรก กับเอ็ดเวิร์ดซีเซอร์แฮนด์ ไปจนถึงความหมายคำว่า mob psychology แล้วก็คิดเป็นตุเป็นตะไปเรื่อย วิเคราะห์วาดภาพแล้วก็สรุปเอาเอง(เพราะไม่ได้คุยกับใคร)

ฉันละอยากพูดเก่ง สุขุม นิ่งแบบท่านนายกฯ จริงๆ คนอะไรทำอะไรก็ดูดีดูมีกึ๋นไปหมด เฮ้อ!

จากเรื่องการเมือง มาเรื่องปากเรื่องท้องกันบ้าง วันนี้ตั้งใจไปซื้อผักเพราะของสดยังแช่แข็งเต็มตู้เย็น น่าแปลกที่วันนี้ฉันอยากกินของหวาน เลยซื้อมาทั้งฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด เม็ดขนุน ปลาหมึกแผ่นอบกรอบและสตอเบอร์รี่อีกนิดหน่อย เพิ่มเติมจากผักและเครื่องปรุงต่างๆ กินได้อีกเป็นอาทิตย์ล่ะคราวนี้

ฉันตั้งใจเอารถไปล้างแต่ลืมเอามือถือไป ส่วนลดพิเศษจากบริการเอไอเอสเลยอดไป ใช้วิธีขัดสีรถไปเลยละกัน ขัดได้ฟรีอีก 4 ครั้ง เพราะเหตุนี้จึงใช้เวลาถึงชั่วโมงครึ่งแต่ฉันกับคนข้างๆ ซื้อของกันเสร็จเพียงชั่วโมงเดียวเลยมานั่งดูโน่นดูนี่อยู่หน้าร้านบู้ท ดูพนักงานเก็บเศษกล่องและกระดาษ ดูคนเดินผ่านไปมา ดูโครงสร้างของอาคาร และสารพัดจะดูตามแต่จะมีอะไรผ่านมาให้ดู หรือสายตาชอนไชเข้าไปเห็น มุมมองของคนมันก็ต่างกันไปตามสิ่งที่สนใจ คนข้างๆ ก็วิจารณ์การแต่งตัวของพนักงานเสิร์ฟร้านอาหารใกล้ๆ แล้วก็ร่ายยาวไปจนถึงประวัติของเจ้าของร้าน ความเป็นมาซึ่งสะท้อนออกมาเป็นรูปร่างและเครื่องแบบของพนักงานเสิร์ฟเลยนั่น

ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันจะมีอะไรให้พูดกันตลอดแบบนี้ ไม่เคยต้องใช้เวลาอยู่กับใครมากมายจนคล้ายว่าตัวจะติดกัน ฉันแปลกใจจริงๆ ที่ฉันไม่ได้รำคาญหรือเบื่อจนทนไม่ไหว ฉันนั่งทำคอมไป เขาก็นั่งดูทีวี หรือไม่ก็ทำกับข้าว ล้างจาน

เขาคงต้องทำกับข้าวไปตลอดนั่นแหละ เพราะนอกจากลาซานญ่าที่เขาติดใจจนกินหมดกล่องวันนี้แล้ว ก๋วยเตี๋ยวผัดที่ฉันทำ เขาก็กล้ำกลืนกินได้มื้อเดียว ฉันเองยังกินได้พอเป็นพิธีเหมือนกัน เฮ้อ! ฝีมือตกไปมากเลยเนี่ย สมัยเรียนปริญญาโท ฉันทำกับข้าวให้เพื่อนๆ กินกันทุกวัน เขาก็กินกันได้นี่นา

กลับเข้าบ้านได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นนิมิตหมายที่ดีว่าคราวนี้ต้องลุย จะต้องเจอเรื่องจุกจิก เรื่องเอกสารต่างๆ ที่ต้องแก้ต้องปรับ แล้วเสาร์อาทิตย์ก็เป็นเรื่องงานที่ออกสู่สายตาสาธารณชน ต้นอาทิตย์หน้าเป็นเรื่องตกแต่งต่อเติมและสะสางเรื่องบัญชี ตัวเลข เอกสารให้เรียบร้อย พร้อมกับเริ่มขายโครงการยกสอง ขอร้องอย่าดาวน์โดยไม่ทันได้ตั้งตัวอีกนะ

แปลหนังสือจบในที่สุด จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ได้นะ งานละเอียดยิบ ตรวจคำผิด สรรพนามที่ใช้ ใส่ลงตามช่องแต่พอเสร็จแล้วก็ชื่นใจ มีลูกคนที่สี่ คงพอแล้วล่ะ ฉันคงไม่เหมาะกับการแปลเท่าไหร่ แต่ถ้าให้ร่ายเองหรือหาข้อมูลดูจะถนัดกว่านา

วันดีๆ เริ่มกลับคืนมาแล้ว ฉันจะพยายามจับมันไว้ให้มั่น หรือถ้าอะไรมาพรากจากไปก็จะยื้อยุดฉุดแย่งสู้กันสักตั้งล่ะทีนี้!!

ยังปรับเวลาอยู่

ก็อย่างที่หัวข้อบอกนั่นแหละเธอ...ฉันยังปรับเวลาอยู่...

หมู่นี้รู้สึกจะอินเรื่องการเมืองเป็นพิเศษ ฟังข้อมูลข้างเดียวมาหลายวัน วันนี้เป็นวันแรกที่ฝ่ายรัฐบาลออกมาพูดจาอะไรบ้าง การประท้วงครั้งนี้ก็เหมือนกับการประท้วงครั้งอื่นๆ ในประเทศไทย ที่ต้องสาปแช่งด่าทอขุดเรื่องจุดอ่อนต่างๆ ใช้อารมณ์อย่างที่นายกฯ พูดจริงๆ ว่าการประท้วงในประเทศตะวันตกไม่ได้เป็นการประท้วงด้วยอารมณ์เหมือนในประเทศไทย

ฉันออกจะมองว่าฝ่ายรัฐบาลได้เปรียบอย่างใสๆ ได้มีโอกาสชี้แจงอย่างคนที่มีหลักการ นิ่ง สุขุม สงบสยบความเคลื่อนไหวอย่างแท้จริง แม้แต่ตอนที่ฉายภาพนายกฯ ออกอากาศช่วงเช้าก่อนที่ช่างกล้องจะส่งสัญญาณว่าเริ่มเดินกล้องแล้ว นายกฯ ก็เตรียมพูดด้วยความสุขุม ไม่หลุกหลิก ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือท่าทาง

พี่ที่แสนดียังน่ารักอยู่เช่นเคย โทรกลับหาฉันตอนตีสองกว่าๆ หลังจากที่ฉันส่งข้อความไปบอกว่า ที่ฉันไม่ได้รับโทรศัพท์ที่พี่โทรมาเมื่อช่วงบ่ายก็เพราะฉันหลับอยู่ในห้องแต่วางโทรศัพท์ไว้้ข้างนอก พี่โทรมาด้วยความห่วงใย เสนอให้ความช่วยเหลือสารพัดวิธี ฉันก็เช่นเดียวกัน หวังว่าจะได้มีโอกาสได้ตอบแทนพระคุณที่ให้โอกาส และช่วยเหลือเป็นที่พึ่งอย่างคนที่มีอะไรเหมือนกันหลายๆ อย่าง หลายๆ โอกาสที่ฉันได้รับในปัจจุบันและโครงการต่อเนื่องในอนาคต คนที่ไม่ชอบง้อและเอาใจคนอย่างฉันจะได้มาง่ายๆ หรือ ไม่มีทางหรอก ก็เพราะความเมตตาของพี่คนนี้เนี่ยแหละที่ฉันถึงได้ทำได้มีได้เป็นส่วนร่วมในเรื่องหลากหลาย

วันนี้ฉันจะปรับเวลาอีกครั้งคงนอนแต่หัววัน น่าจะได้ตื่นแต่เช้า พร้อมไปฟังสัมมนาที่ศูนย์สิริกิติ์และนัดแนะเรื่องงานที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เพียงแต่กล่าวถึงในที่นี้ไม่ได้ ต้องทำให้เนียนเพราะการโฆษณาแบบโจ่งแจ้งหลายๆ ครั้งที่ฉันทำ ไม่ใคร่จะถูกใจใครๆ โดยเฉพาะคนที่ฉันจะไปเป็นพิธีกรให้ในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ ก็คิดหามุขกันไป วันอาทิตย์หน้าก็ได้อีกหนึ่งโอกาสต้องหามุขอีกเช่นเคย ทำอย่างไรที่จะ win-win

ไปซักผ้าดีก่า จะสว่างแระ

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

วันอันยาวนาน

วันนี้ก็ยังนอนอึดทึดอยู่เหมือนเดิม...

แต่จะดูมีเหตุผลให้อ้างนิดว่า คืนวันพฤหัส ตื่นตอนเที่ยงคืนและไม่หลับตาจนถึงประมาณตีสามคืนวันศุกร์ แปลว่าไม่ได้นอนเกิน 1 วันเต็มๆ ที่ทำแบบนี้เพราะรู้ว่า หากนอนแล้วจะไม่ได้ตื่นไปศูนย์สิริกิติ์ทันเวลาอย่างที่คิดไว้ ติดต่อพี่ที่แสนดีไม่ได้ตั้งแต่ก่อนเที่ยง ทำไงดี ไปจัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ นานเกินควรเพราะพบปัญหาที่ไม่ได้คาดไว้ เลยไปถึงศูนย์สิริกิติ์เกือบสามโมง ยังแอบหวังอยู่เล็กๆ ว่า น่าจะมีโอกาสเข้าเฝ้าเพื่อถวายหนังสือเสียที จอดรถแล้วเข้าไปในศูนย์เจออุปสรรคอีกเช่นเคย เห็นคนที่รู้จักอยู่ในห้องรอรับเสด็จแล้วเลยรู้ว่าคงติดต่อไม่ได้ คนทั่วไปจะเข้าได้ก็ต่อเมื่อเสด็จกลับแล้ว สรุปว่าไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าอย่างที่ตั้งใจไว้ ก็คงต้องรอโอกาสต่อไป ของไม่เน่าไม่เสีย ไม่เป็นไร

ทีนี้ไปไหนดี ตัดสินใจไปใช้บัตรลดราคาและเหล้าฟรีที่ pan pacific ดีกว่า เกิือบจะเปลี่ยนไปกินอาหารเกาหลีแล้ว เพราะเป็นช่วงเทศกาลอาหารแคลิฟอร์เนียพอดี ต้องกินเมนูพิเศษที่จัดไว้เท่านั้น แต่บริกรสาวช่างเก่งจริงๆ เอาใจทุกอย่างไม่ยอมให้ออกจากร้านอาหาร ได้กิน tapas 7 อย่างอร่อยสมใจแบบครึ่งราคา เสียแค่หกร้อยกว่าๆ ได้นั่งกินแบบ chill chill พร้อม Black ผสมน้ำจนถึงห้าโมงเย็น

เนื่องด้วยอากาศกรุงเทพวิปริตผิดธรรมชาติ เย็นจนต้องตัดสินใจซื้อผ้าคลุมมิฉะนั้นอาจไม่สบายตอนไปฟังลูกคนข้างๆ ร้องเพลงคืนนี้ไม่ได้ คนข้างๆ พาเดินทะลุพัฒน์พงศ์แบบผู้เชี่ยวชาญแวะซื้อผ้าสีน้ำเงินเข้มถูกใจเข้ากับชุดสีม่วง(อีกตามเคย)ของฉันได้เป็นอย่างดี คนข้างๆ ก็ตั้งใจซื้อเสื้อเชิ้ตสักตัว ที่ไหนได้ซื้อมัน 5 ตัวเลย ก็ราคาตัวละร้อยกว่าบาทมันอดซื้อไม่ได้หนิ

ได้เสื้อแล้วก็ยังไม่ถึงเวลาเล่นดนตรี คราวนี้เลยเลือกไปดูหนัง ด้วยความที่วันก่อนไปดู up in the air เสียเงินแค่ 90 บาทได้นั่งที่ดีที่สุด วันนี้ต้องมาจ่ายคนละ 200 ที่เอ็มโพเรียมเลยคิดถึงค่าของเงินขึ้นมา และให้รู้สึกดีกับเงินที่จ่ายค่าอาหารโรงแรม เพราะรวมค่าตั๋วหนัง ป๊อปคอร์นและน้ำแล้วเกือบจะเท่ากับที่เพิ่งจ่ายมาเลย

เลือกดูหนัง Green Zone ตามใจคนข้างๆ บ้าง แล้วฉันก็ต้องทนจริงๆ หนังสงครามในอิรักเนื้อหาดีแต่รูปแบบการถ่ายทำเป็นการที่เดินถือกล้องตามไปถ่ายเหตุการณ์แทบจะตลอดเรื่อง ฉันปวดหัวถึงกับต้องหันไปมองข้างจอบ้าง หลับตาบ้างเป็นพักๆ ออกมาจากโรง คนข้างๆ ก็บอกว่าปวดตาเหมือนกันต้องหันไปมองทางอื่นเช่นกัน

กะเวลาได้เหมาะเจาะไปถึง Bamblu ดูลูกคนข้างๆ ร้องเพลงทันพอดี คุณลูกชายมาในมาดเท่เสื้อแจ๊กเก็ตแบบมีฮู้ดด้วย มานั่งคุยกันอยู่พักนึงก่อนขึ้นเวที ฉันรู้ว่าลูกคือสุดที่รักของคนข้างๆ เป็นความผูกพันที่ปลื้มใจ เมื่อเห็นพัฒนาการร้องเพลงของลูก การประสานเข้ากันได้อย่างเหมาะเจาะกับทั้งวงเก่าวงใหม่ทำให้พ่ออดยิ้มและปรบมือให้ไม่ได้ทั้งๆ ที่ปกติแล้วก็กลัวลูกจะเหลิง วันนี้เล่นได้ดีมาก แน่นมาก และลูกคนข้างๆ ก็น่ารักพอที่จะนัดแนะกับเพื่อนพ้องในวงให้เล่นโชว์เหมือนที่เราเห็นกันในคอนเสิร์ตน่ะเธอ เจ๋งจริงๆ อนาคตรุ่งแน่นอน ทำงานได้เงินแล้วก็สนุกไปด้วย เล่นดนตรีกันเสร็จแล้วคุณพ่อคอมเมนท์เตเตอร์ก็เริ่มร่ายอีกตามเคย หัวหน้าวงที่เป็นคนตีกลองมาพูดคุยด้วย

แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้เพราะนักร้องนำกำลังจะต้องจากไปเพื่ออนาคตสดใสที่รออยู่ข้างหน้า มันก็น่าท้อใจเหมือนกันเพราะแม้จะตีดีแต่วงดนตรีก็ต้องขายที่ตัวนักร้องนั่นแหละ โลกเราก็แบบนี้ วงนี้ไปออดิชั่นเรื่องฝีมือก็เหนือกว่าเค้าไปทั่วแต่ผับบาร์นั้นๆ ก็ไม่รู้จะเอาวงเก่าออกยังไง ก่อนจากก็แฮปปี้เบิร์ดเดย์ลูกชายซะหน่อย นั่นเป็นสาเหตุหลักที่ต้องไปฟังเพลงคืนนั้น

แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ฉันยังต้องถ่างตาและหาวต่อไป พี่อีกคนซื้อของมาฝากจากเกาหลีและพี่อีกคนก็ถามหาด้วยความคิดถึง ฉันจึงต้องไปจบที่ที่ประจำอย่างเคย ได้เล่นมุขให้แฟนหอมแก้มกันด้วย แกล้งคนอื่นน่ะของชอบฉันเลย อันที่จริงแล้วเค้าก็อยากจะหอมกันแหละ แต่จะให้ผู้หญิงเริ่มก่อนก็ไม่น่ารัก ไอ้ผู้ชายก็ไม่รู้ไม่กล้ารึเปล่า ฉันก็จัดการชงว่า ผู้หญิงเค้าชอบนะแต่ก็พูดไม่ได้ เชียร์กันไปกันมา หนุ่มหล่อที่ฉันชอบมองก็โน้มตัวลงไปหอมเบาๆ ที่ขมับ แล้วเราก็เฮเป็นที่สนุกสนาน

เพื่อนสนิทพี่สุดหล่อไม่ยอมน้อยหน้า ฉันมาก่อนฉันเป็นเมียหลวง ว่าแล้วก็คว้าตัวมาหอมแก้มดังฟอด เมียน้อยถ่ายรูปได้ทันพอดี ฉันบอกโพสต์ขึ้นเฟซบุคเลย ภาพเด็ดมาก เห็นท่าเวลาหันและสีหน้าเวลาโดนหอมแก้มได้อารมณ์ดีแท้

มีพี่ๆ น้องๆ ที่น่ารักอีกตั้งหลายคน แทนที่จะไปจดจ่ออยู่แต่กับคนที่มองฉันไม่ดี คนข้างๆ ก็บอกเหมือนกันว่า มีคนเข้าใจฉันผิดเยอะ แต่มันก็ดีนะ จะได้รู้ว่าใครดีกับเราจริงๆ ส่วนคนที่เข้าใจผิด พอรู้ว่าฉันเป็นยังไงเดี๋ยวก็รู้สึกผิดไปเองนั่นแหละ แหม แต่ถ้าเขาเข้าใจผิดไปตลอด ฉันมิแย่ไปเลยเหรอนั่น คุ้มกันมั้ยเนี่ย

เมื่อคืนโดนไปหลายขนานทั้งแบล็ค เบียร์โฮการ์เด้นสุดมัน กลับมาที่แบล็คอีกครั้ง แล้วตบท้ายด้วยเบียร์สิงห์และไฮเนเก้นฟ้าประทาน ฉันขึ้นไปสุดสวิงริงโก้บนเวทีอีกเช่นเคย โชคดีที่นักฟังตัวพ่อบอกฉันว่ามันไม่เพี้ยนเป็นอันใช้ได้ หวังว่าเขาคงไม่ได้บอกไปอย่างนั้นเพื่อไม่ให้ฉันเสียใจนะ

ลงจากเวทีฉันก็ยืนฟังกันนิ่งๆ กับคนข้างๆ แบบไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ใดนอกจากทักทายกับคนรู้จักตามธรรมเนียม เห็นคู่อื่นกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันนัวเนีย อ้อ ลืมเล่าเรื่องเด่น น้ำชา ขึ้นไปร้องรักแท้...ยังไง ของตัวเองตอนนักดนตรีเปิดคาราโอเกะเพลงนี้ด้วย น่ารักและเซ็กซี่เหมือนเคย ไม่แค่นั้นยังไหว้ฉันแบบงามๆ น่าชื่นชมดีแท้ แฟนหนุ่มสุดหล่อของน้ำชาก็มา คุยกับคนข้างๆ สนิทสนมกันดี ด้วยคำแนะนำที่เคยมีให้เป็นคำแนะนำที่ใช้ประโยชน์ได้จริงๆ แล้วเราก็คงจะได้เห็นนักร้องคุณภาพอีกคนในไม่ช้า

มีสายตาหนึ่งมองฉันด้วยความสงสัย ฉันเคยเห็นสายตานี้จากเพื่อนสนิทของเขาไปแล้ว ทั้งยังนึกถึงบทสนทนาอ่อนโยนจากคนที่เคยมองฉันด้วยสายตาเหยียดหยามตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาคนมันบอกอะไรได้มากมายเหลือเกิน หวังว่าคราวนี้เขาจะสงสัยจนใช้เหตุผลวิเคราะห์และทำความเข้าใจ ฉลาดขนาดฉันแคร์เขามาตั้งนานแล้วน่าจะเข้าใจฉันซะทีนะคราวนี้

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

ความคิดที่(ไม่)เป็นระบบ

ฉันนี่ช่างไม่มีระบบในเรื่องการใช้เวลาจริงๆ...

เมื่อคืนจำไม่ได้ว่านอนกี่โมง อย่างน้อยๆ ก็ต้องประมาณตีสี่ล่ะ หลังจากดูหนังรอบดึกและกินมื้อดึกคือ ชาบูชาบู เหมือนคืนนี้เช่นกัน คราวนี้นอนยาวเกิน 12 ชั่วโมงอีกครั้ง ตื่นมากินชาบู ชาบู แบบที่ไม่ใช่ตัวฉัน ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า side effect ของยาตัวใหม่คือทำให้ฉันอยากกินอาหารน้อยลง อาหารจำพวกแป้งลดไปเยอะมาก หน้าท้องฉันเลยคล้ายจะกลับมางามเหมือนเดิม

แม้ตื่นมาแล้วก็จะได้คิดเรื่องที่ผ่านไปแล้วอีกครั้ง ฉันก็ยังยืนยันว่าตัดสินใจดีแล้ว ไม่เช่นนั้นถ้าปล่อยให้ผลสรุปออกมาในรูปแบบอื่น ฉันเองจะรู้สึกไม่ดี หลายๆ เรื่องที่บอกตัวเองอย่างเข้าใจ ตอนนี้อารมณ์กับเหตุผลน่าจะไปในทางเดียวกัน เท่าทันกันแล้วล่ะเธอ

ตายแล้ว นี่ฉันเพิ่งนึกได้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมง ฉันต้องเอาหนังสือไปถวายพระเทพฯ นี่ลืมไปซะสนิทเลย แล้วยังนัดเจอพี่ที่แสนดี ที่ให้ความช่วยเหลือสารพัดมาเกือบปี ดีจริงๆ ที่นึกได้ไม่งั้นก็หมดโอกาสดีๆ อีกตามเคย แถมยังต้องเอาโบรชัวร์ไปฝากให้บูทของพี่เค้าแจกให้บรรณารักษ์เพื่อเพิ่มจากยอดขายปลีกอีกด้วย

ช่วงนี้ริเริ่มงานที่ไม่เคยทำ ให้กำลังใจตัวเองว่าทำได้ ทำเมื่อไหร่ หยุดทำเมื่อไหร่ก็ไม่กระทบกระเทือนใครๆ ให้แน่ใจว่าจะไม่แย่ไปกว่าเดิม คนเราไม่ค่อยรู้ตัวหรอก เมื่อก่อนไม่มีคนข้างๆ ตอนนี้มีคนรับรู้และให้ข้อมูลว่าฉันในระยะต่างๆ เป็นอย่างไร ฉันก็เพิ่งสังเกตุตัวเอง ว่าจากที่คิดช้า ขับรถช้า เป็นคิดเร็วขึ้น ขับรถเร็วขึ้นจริงๆ ฉันปล่อยให้สารในสมองกระตุ้นให้ฉันทำอะไรต่ออะไรไปตามฤทธิ์ของมัน เคยถามว่าพวกคนที่กินยาอี ดมโค้ก อาการมันเป็นยังไง ได้ความว่าตอนแรกๆ จะรู้สึกทุรนทุราย เมื่อผ่านจุดนั้นไปแล้วก็จะรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ฉันก็ถามต่อว่า แล้วถ้ากินไปแล้วพยายามใช้สติบังคับไม่ให้ฤทธิ์ของยามีผลใดๆ กับการกระทำล่ะ คนที่ใช้ยาจะสามารถบังคับตัวเองได้หรือไม่ ได้คำตอบว่าไม่ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า การเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในร่างกายของคนที่ระดับสารเคมีไม่สมดุลก็ยากที่จะฝืนตัวเองเช่นกันสิ (พยายามหาเหตุผลให้ตัวเองดูดีจริงๆ เรา)

เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่า การอยู่คนเดียวสบายใจที่สุด ไม่ต้องหวังอะไรที่จะไม่สมหวังเพราะเราสามารถกำหนดอะไรต่อมิอะไรได้ด้วยตัวของเราเอง แต่พอในยามเจ็บไข้ (ที่บางครั้งก็ไม่รู้ว่าไม่เหมือนคนอื่นๆ หรือทำอะไรไม่ถูกไม่ต้องอย่างไร) มีคนดูแล มีคนใส่ใจ รับผิดชอบเรื่องราวที่ปกติฉันต้องทำคนเดียว แล้วเขาคนนั้นก็ทำได้ดี ครัวของฉันเป็นระเบียบเรียบร้อย ต้นไม้ได้น้ำเขียวขจี มีคนให้คุยให้ปรึกษา กินอาหารได้หลายชนิดและอร่อยกว่าเดิม (เพราะเขาทำกับข้าวเก่ง) ความอบอุ่นจากอ้อมกอดที่ไม่บ่นว่าเมื่อยแขน สองมือประสานจูงกันเดินไปไหนต่อไหน ใครสักคนที่พยายามเข้าใจ ใส่ใจในความคิดและรูปแบบการกระทำที่แตกต่างจากคนอื่นของฉัน มีบทสนทนาที่คุยกันได้ยืดยาว และที่สำคัญเขาไม่บ่นปวดหัวกับถ้อยคำที่ไหลพรั่งพรูจนคอแห้งกระหายน้ำคั่นจังหวะเป็นพักๆ คนฟังที่บอกให้ฉันกินน้ำเพื่อดับกระหายแบบรู้ใจ คนที่ใส่ใจให้ฉันเปลี่ยนชุดเมื่อกลับบ้านเป็นชุดที่ใส่แบบสบายๆ ทั้งๆ ที่ตัวฉันเองยังไม่ได้ตระหนักหรือห่วงใยความรู้สึกตัวเองขนาดนั้น คนที่ฉันพูดคุยสารพัดเรื่องได้อย่างสบายใจ ไม่เห็นต้องมีอะไรปิดบัง คนเราโตๆ กันแล้วผ่านเรื่องราวมรสุมชีวิตมามากมาย มองโลกมองปัญหาอย่างคนที่เข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่ง มีล้มก็ต้องมีลุกในจังหวะเวลาที่เหมาะสม รอบคอบกับการกระทำในยามที่เวลาสุขงอม ถนอมความรู้สึกกันและกันให้มากขึ้น ไม่ดื้อดึงตามใจตัวเอง(จนเกินควร)

ฉันไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องการคาดหวัง ไม่อยากกะเกณฑ์อะไรให้อึดอัด อยู่ไปดูอารมณ์อย่าให้เกินทนนัก เพราะใครต่อใครก็มีลิมิตกันทั้งนั้น แล้วที่สำคัญเมื่อติดจะอยู่เป็นคู่แล้ว หากต้องจากกันไปไม่ว่าจะด้วยรูปแบบใดๆ ก็ยังต้องสามารถใช้ชีวิตเดี่ยวได้ดีเหมือนเคย

ฉันไม่แน่ใจว่างานการที่ปล่อยให้คนอื่นดูแลจะทำให้เขาเหล่านั้นลำบากมากเพียงไหน หรืออันที่จริงก็ควรจะตัดสินใจเช่นนี้ก่อนที่จะสายเกินไป เกินที่จะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้ได้ ความเห็นแตกต่างที่ไม่คิดว่าจะปรับจูนให้ไปในทางเดียวกันในที่สุด ก็จะได้ไม่ก่อให้เกิดความร้าวฉานกลายเป็นมองหน้ากันไม่ติด ขาดมิตรไปอีกกลุ่ม ฉันไม่ต้องการชิงดีชิงเด่นกับใคร ใครจะทำเหมือนเหยียบฉันไปเพื่อความเจริญก้าวหน้าฉันก็ไม่ขัดข้อง ฉันมีที่อยู่ที่ไปต่างจากหลายๆ คน ใครจะเห็นฉันโง่หรือเห็นฉันไร้ประสิทธิภาพ ฉันจะไปคิดให้มันหนักหัวทำไม เราไม่ควรไปให้ความสำคัญกับคนที่ไม่ได้คิดดีหรือต่อต้านความคิดของเรา ไม่มีใครที่หาคนแทนที่ไม่ได้

พอรุ่งเช้าจะจัดเวลาไปทำบุญให้คุณแม่ของคนข้างๆ ผู้ล่วงลับไปแล้ว ไปศูนย์สิริกิติ์จัดการเรื่องถวายหนังสือ พูดคุยกับพี่คนดี จัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ และแวะไปเจอพี่คนสนิทในท้ายที่สุด อาจจะหาทางปรับความเข้าใจกับรุ่นใหญ่อารมณ์แรงอีกครั้ง ทำอะไรไม่ต้องใจร้อนนัก บางครั้งเวลาที่ทอดยาวออกไปก็ทำให้อะไรๆ ดีขึ้นด้วยตัวของมันเอง

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

จังหวะเวลา

กาละเทศะเป็นเรื่องที่เข้าใจยากสำหรับฉันจริงๆ...

ในหนัง up in the air ที่เพิ่งดูน้องนาตาลีที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยเด่นดังคิดระบบการไล่คนออกทางคอมพิวเตอร์แบบออนไลน์แทนที่จะบินไปยังบริษัทต่างๆ เพื่อจัดการกับเรื่องที่เซ้นซิทีฟมากๆ แบบตัวต่อตัว เวลาลาออกจากงานก็ส่ง sms ไปแทนที่จะส่งจดหมายลาออกด้วยตัวเอง พอๆ กับที่แฟนของน้องหนูก็บอกเลิกด้วย sms เช่นกัน

ตัวฉันเองก็ชอบส่งสารผ่าน sms เช่นกัน เจอคนที่เป็นเหมือนกันส่ง sms กันคราวเดียวร่วมร้อย เหตุผลของเขาคือ สามารถเอามาอ่านได้อีกครั้ง บางที่เข้าใจคลาดเคลื่อน ใจความตกหล่น เหมือนกับหลายๆ ครั้งที่อ่านหนังสือ เมื่ออ่านรอบที่สอง รอบที่สามก็จะเข้าใจเนื้อความได้ลึกซึ้งและถูกต้องมากขึ้น สำหรับฉันแล้ว การส่ง sms เป็นทางเลือกที่ฉันมักเลือกเวลามีเรื่องสำคัญและเซ้นซิทีฟ หรือถ้ากระทบความรู้สึกมากก็ไม่ส่ง sms ไม่รับโทรศัพท์มันซะเลย แต่ต่อมาก็พบว่า ปิดเครื่องดูจะดีที่สุด เพราะแปลว่าติดต่อไม่ได้ ไม่ใช่ติดต่อได้แต่ไม่ปรารถนาที่จะคุยด้วย

วันนี้ฉันส่ง sms ไปหาผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ฉันเบี้ยวนัดและไม่โทรกลับสองสามครั้ง ถามว่ายังโกรธฉันอยู่รึเปล่า และบอกเหตุที่ฉันไม่ได้ติดต่อกลับ ท่านตอบกลับด้วย emoticon รูปยิ้ม เรียบร้อยไปหนึ่งราย เดี๋ยวก็ค่อยๆ โทรกลับหรือ sms เจ้าอื่นๆ ต่อไป

หลายครั้งที่การสื่อสารของฉันทำให้คนเข้าใจผิดและโกรธอยู่พักใหญ่ บางกรณีที่เซ้นซิทีฟมากๆ อย่างรุ่นใหญ่อารมณ์แรง ฉันก็ได้แต่คอยให้เวลาผ่านไปสักระยะ เพื่อให้ความโกรธทุเลาเบาบางลงบ้าง เจอกันเมื่อวันก่อนทักทายตามปกติและกอดไปหนึ่งทีอย่างอ่อนโยน ยังไม่หายโกรธ วันนี้โทรไปหา ไม่รับ กำลังคิดว่าจะส่ง sms ไปดีหรือโทรไปวันพรุ่งนี้

คนที่เคยเห็นฉันเป็นคนพิเศษฉันก็ตัดสัมพันธ์ด้วยการไม่รับ ไม่โทรกลับ หนึ่งอาทิตย์เต็มๆ แล้วความเงียบก็เป็นคำตอบสุดท้าย แล้วเมื่อเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ อารมณ์ยังคุกรุ่นอยู่ กล่าวคำที่ดูถูกแบบดูฉันผิด แต่ฉันก็ไม่โกรธเพราะถือหลักว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น หรือถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ไม่ต้องโกรธเพราะเขาพูดถูก แล้วก็ไม่ได้เจอกันอีกนานนนน เจออีกครั้งก็หลังจากติดต่อธุระทางโทรศัพท์ เหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติคุยเรื่องงานและเรื่องหมอดูที่เขาแอบพาสาวไปพบ ได้ความว่าสาวคนนั้นมีดาวได้ตำแหน่งเป็นคุณกับเขา ฉันก็เชียร์เต็มที่ หวังแต่ว่าเขาคงเห็นแววตาใสๆ ของฉันที่ไม่ได้มีความรู้สึกขัดเคืองแต่อย่างใด

มีใครอีกล่ะที่ฉันมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร กับคนที่รักฉันมากที่สุดก็พัฒนาขึ้นเป็นลำดับ นานๆ เจอทีก็เลยสรรหาแต่เรื่องดีๆ มาคุยกัน ไม่ได้บ่นเหมือนจับผิดเหมือนเคย ส่วนคนที่ตั้งใจเอาชนะคนสำคัญคนนั้น ฉันยังไม่ได้ทำตามคำแนะนำของพี่ผู้หวังดีเสียที ยังผัดผ่อนไปเรื่อยๆ เหมือนจะรอจังหวะที่เหมาะที่สุด กรณีนี้ต้องดูกาละเทศะอย่างที่สุด

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

รวมเรื่องโฆษณาหนังสือ

ตีสี่แล้วก็ยังไม่นอน...

เปิดเฟซบุคแล้วก็เจอความสุขโดยไม่ได้คาดคิด พี่จี๊ดทำสไลด์โฆษณาหนังสือของพี่และลูกๆ มีแต่ก็มีหนังสือกำมะหยี่ติดไปด้วยหนึ่งเล่ม

"ไม่ได้แปล แต่ขอเชียร์" คำอธิบายประกอบภาพพี่จี๊ดใส่เสื้อเจ้าชายน้อยฉบับดั้งเดิมพร้อมชูหนังสือเจ้าชายน้อยฉบับการ์ตูน ภาพถ่ายในวันเปิดตัวหนังสือเจ้าชายน้อยเมื่อกว่าครึ่งปีที่ผ่านมา

ดีใจอะ ดีใจ!!

วันนี้บรรณาธิการนิตยสาร Grazia ก็บอกว่าลงให้แล้วนะ หนังสือที่เคยฝากไปน่ะ ฉันยังจำคำที่ผึ้งพูดได้ว่า หน้าแนะนำหนังสือของ Grazia น่ะ คนเขียนจะต้องอ่านจนจบเล่มแล้วเห็นว่าควรค่าแก่การแนะนำถึงจะลงให้นะ อย่าคิดว่าฝากไปแล้วจะลงให้ ประมาณว่าไม่ดีจริงก็เสียใจด้วย เป็นไงล่ะ ดีจริงใช่ม้า 555

ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าการที่หนังสือได้รับการแนะนำในนิตยสารมีผลต่อยอดขายอย่างไร เพิ่งเห็นว่า Grazia เป็นสปอนเซอร์ให้การประกวดมิสไทยแลนด์ยูนิเวอร์สหยกๆ ประจวบเหมาะพอดีได้เจอบรรณาธิการพอดี ไม่แน่ใจว่าส่งหนังสือเล่มไหนให้เขา น่าจะเป็น ปารีส/พำนัก/คน/รัก/หนังสือ นะ ให้ไปตอนสิ้นเดือนมกราคมตอนงานเลี้ยงรุ่นเซนต์โยที่ฉันเอาหนังสือของกำมะหยี่ไปวางที่เคาน์เตอร์ลงทะเบียนพร้อมกับที่คั่นหนังสือเกย์วินชีโค้ดนั่นแหละ แถมขอประชาสัมพันธ์ท้ายงานแบบเลิกอายแล้ว

ยังนึกถึงตอนงานเลี้ยง ก 5 บัญชี จุฬาที่หนังสือเย็บถากปากร้ายเพิ่งออก ฉันขนหนังสือใส่รถเพื่อนไปงานด้วย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่กล้าพูดมาก แค่บอกว่าทำสำนักพิมพ์ แสดงว่ามีพัฒนาการบ้างพอควร พอๆ กับในงานเปิดตัว ด้วยรักจากใจจร ของพี่จี๊ด ที่พี่ที่น่ารักพูดถึงเจ้าชายน้อยด้วย จำไม่ได้เหมือนกันว่าพี่เค้าโยงเข้าหนังสือให้กำมะหยี่ยังไงเนี่ย จะว่าไปแล้วคงเป็นโชคดีที่ฉันติดโบรชัวร์หนังสือกำมะหยี่ไปด้วย เอาไปให้พี่จี๊ดเป็นที่ระลึกเพราะพี่สะสมของที่ระลึกและอื่นๆ ของเจ้าชายน้อย ฉันไม่คิดเหมือนกันว่าตอนที่พี่จี๊ดพูดถึงหนังสือเจ้าชายน้อยฉบับการ์ตูน ฉันจะขโมยซีนยืนขึ้นโชว์โบรชัวร์หน้าเจ้าชายน้อยที่ตั้งใจตั้งแต่ตอนวางเลย์เอาท์ให้เด่นเป็นสง่าแต่เพียงเล่มเดียว

เขียนไปเขียนมา ฉันเลยนึกได้ว่ายังไม่ได้ส่งหนังสือให้ผูุ้ใหญ่อีกหนึ่งท่านที่จัดรายการวิทยุแนะนำหนังสือและถ่ายทอดข้อมูลภาคภาษาอังกฤษของ BBC อะไรเนี่ยแหละ พรุ่งนี้ต้องเริ่มจัดการเรื่องนี้แล้วล่ะ

นี่ฉันกะจะเขียนอะไรเนี่ย ตีสี่ครึ่งแล้ว ไปนอนดีกว่า...ด้วยความอิ่มเอิบใจ

ชีวิตและงาน...หักเลี้ยว

วันนี้ฉันสวย อิอิ...

น่าจะไม่ได้แต่งหน้ามาเกือบเดือน วันนี้ละเลงซะสวยพริ้งตามความคิดของฉัน หยิบเสื้อสีม่วงสายเล็กๆ ที่โยงจากช่วงหน้าอกไปพันไขว้กันด้านหลัง โชว์ทั้งหัวไหล่และแผ่นหลังที่ไม่กระด่างกระดำนักหลังจากที่ตัดใจเสียเงินหมื่นเป็นค่าทำเลเซอร์หลัง จริงๆ ทายาเอาก็ได้แต่นานหน่อย จริงๆ ก็เคยแล้วแต่มันไม่สะดวก ยาบางตัวเป็นกรดอ่อนๆ ก็จะทำให้เสื้อผ้าที่ใส่เป็นรอยด่าง เอาวะ ความใฝ่ฝันของฉันคือใส่เสื้อเปิดหลังสุดเซ็กซี่นี่นา

พี่ที่แสนดีบอกว่า "ดีแล้วไปงานรื่นเริง ไว้เจอกันวันหลังก็ได้ แต่ยังไงต้องไปเป็นพิธีกรให้พี่วันที่ 3 นี้นะ ห้ามเบี้ยวเด็ดขาด" ฉันก็กะประมาณเวลาว่าถึงวันนั้นน่าจะแอคทีฟกำลังเหมาะพอดี น่าจะรับปากและไม่ผิดนัดหรอกหน่า ยังไงวันที่ 26 ก็ตั้งใจจะเอาหนังสือเจ้าชายน้อยเลขกำกับ 0001 และ 0002 ถวายท่านอยู่แล้ว และเอาโบรชัวร์กำมะหยี่ไปฝากพี่ที่โคตะระดีแจกให้บรรณารักษ์ เห็นบอกว่า คนของพี่ดูแล้วรู้ว่าใครเป็นบรรณารักษ์ ก็ต้องเชื่อเค้าล่ะ

วันนี้ไปดูแฟชั่นโชว์ของพี่ที่โคตะระดีอีกคน เข้าใจคนและไม่มองคนในแง่ร้าย ฉันเกือบซวยไปทีนึงแล้วที่ไปคุยฉอเลาะกับแฟนที่เค้ามากเกินมาตรฐานคนทั่วไป แต่พอพี่รู้ว่าเรื่องที่คุยกันอย่างสนิทสนมก็คือเรื่องของพี่คนดีนั่นแหละก็เป็นอันเข้าใจว่าเราไม่ได้คิดจะไปแย่งของๆ ใคร น่ารักสมเป็นพีอาร์จริงๆ

ไหนๆ สวยแล้วต้องไปเฉิดฉายไฉไลที่ร้านประจำซะหน่อย เพราะเมื่อวานแวะไปกะจะเคลียร์บิลเซอสุดๆ กะว่าจะร้องเพลง คนข้างๆ นึกขึ้นได้ว่าสัญญาจะไปฟังเพื่อนเล่นดนตรี จึงจากลาโดยพลัน ไปถึงอีกที่ก็มาผิดอาทิตย์ สรุปแล้วเลยโชว์สวยได้แป๊ปเดียวเพราะตรงกลับบ้านเลย ก็เล่นหาวหวอดๆ เป็นสิบครั้งด้วยฤทธิ์ไวน์ขาวจากงานแฟชั่นโชว์ คานาเป้ก็อร่อยและมีดีไซน์ ฉันชอบปลาโอที่พันเป็นรูปวงกลมบนขนมปังวงกลมสีแดง หยอดด้วยมายองเนสและไข่ปลาแซลมอน ยังตับห่านและหอยเชลล์ที่ทำเป็นชิ้นเล็กๆ น่ารักและอร่อยสมบูรณ์แบบ ถึงกับต้องถามว่าเป็นอาหารจากที่ไหน แล้วก็ไม่แปลกใจเพราะสั่งมาจากโรงแรมโอเรียนเต็ล

อิ่มพอควรแต่พอกลับบ้านแล้วก็เริ่มหิว คนข้างๆ เลยจัดสลัดร็อกเก็ตกับปลาทูน่าให้ ดูแลฉันเหมือนเด็กๆ เลย เอามาให้แล้วก็บอกว่า "กินซะก่อนตอนมันเย็นๆ" ฉันก็ไม่ทำตามหรอก นั่งสาธยายความในแบบกระจ่างแจ้ง(รู้สึกว่าจะเกินไปด้วยมั้งนั่นน่ะ) พอดื้อได้ที่แล้วฉันก็นั่งคลุกปลาทูน่ากับผักสลัด คลุกได้สักพัก มีเสียงเข้าหูว่า "ไปเอาสเตย์ออกก่อนดีมั้ยจะได้กินสบายๆ " ไม่ปฏิบัติตาม แล้วต่อด้วย "นั่นยังไม่ได้นำ้สลัดเลยนะ" ฉันก็ว่า "เออ จริง" กินจนหมดแล้วก็บ่นๆ ว่า "หมู่นี้ไม่ค่อยอยากกินอะไร สงสัยจะเป็นผลข้างเคียงของยา" ซึ่งก็ดีไปน้ำหนักจะได้ลดลงเป็นสาวสะโอดสะองเช่นเคย ใส่กางเกงไม่ได้แล้วมันเปลือง เสื้อผ้าเมื่อยี่สิบปีบางตัวที่เก็บไว้จะได้หยิบมาใส่ได้ แฟชั่นมันก็เวียนไปเวียนมาแบบนี้แหละ วันนี้ฉันยังเอากระเป๋าสีม่วงมรดกตกทอดจากคุณป้ายี่ห้อเดียวกับแบรนด์ที่ไปดูแฟชั่นโชว์วันนี้มาใช้เลย ดูดีจะตาย เหมือนเป็นลูกค้ารุ่นแรกที่แรกรุ่นไปไม่นานนัก แค่เมื่อยี่สิบปีที่แล้วเอง!

เสียงของคนข้างๆ บอกให้หัดเขียนเพลง ได้เงินเร็วดี เขียนวันละเพลงก็พอ ฉันก็เอะ มันจะได้ขนาดนั้นเลยเหรอ แค่เขียนเพลงสมัยที่โดนหักอกครั้งกระโน้นเพลงเดียวจะเขียนได้เหรอนั่น จะเขียนนิยายก็ยังหาพล็อตไม่เจอ เขียนบล้อกให้มันถี่ๆ ขึ้นละกัน เดี๋ยวมันก็คงออกมาเอง เรื่องบริษัทสารพัดอย่างที่จะตั้งก็มีอันต้องล้มไปเมื่อศึกษาข้อมูลอย่างถี่ถ้วน บ้างก็รอให้เป็นรูปเป็นร่างก่อนแล้วค่อยตั้ง ก็คงต้องเป็นงั้นล่ะ ฉันเกี่ยวเฉพาะเรื่องเพลงที่จะทำเพื่อขายไปพร้อมหนังสือนั่นแหละ ส่วนคอนเสิร์ตนี่ก็ไม่ใช่หน้าที่ของฉันเหมือนกัน คนทำก็ไปคุยมา ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ทิ้งโอกาสไปซะ เดี๋ยวอะไรใหม่ๆ ก็เข้ามาเอง

คนข้างๆ นี่ใส่ใจฉัน "ทุกเม็ด" ไปเจอลูกก็พูดเรื่องรองเท้าให้ซักบ่อยๆ เรื่องนี้สำคัญนะ แถมยังไปบอกให้นักดนตรีในวงของลูกซ้อมเยอะๆ ฉันอดรนทนไม่ไหวได้ทีใส่ว่า "คอมเมนต์เตเตอร์" หลังกินสลัดฉันก็พูดให้ฟังเพราะเขาอยากเข้าใจ ฉันน่ะอายุกึ่งกลางระหว่างพ่อกับลูกพอดี น่าจะมีส่วนช่วยลดเจนเนอเรชั่นแกบได้สักนิดหน่า ฉันยกตัวอย่างฉันเอง แถมเปรียบเทียบเสร็จสรรพว่าเขาเหมือนทั้งผู้ให้กำเนิดชายหญิงของฉัน ให้เขาลองไปคิดดูว่า นานๆ เจอกันทีก็ติสารพัด เหมือนกรณีของฉัน พอเจอหน้าหรือได้คุยกันฉันก็รู้ได้โดยอัตโนมัติว่ากำลังจะโดนวิพากษ์วิจารณ์ ยิ่งกรอบเล็กยิ่งอึดอัด น่าจะพูดเฉพาะเรื่องใหญ่ๆ ไม่ต้อง "ทุกเม็ด" เพราะฉันก็ได้ยินอยู่บ่อยๆ เวลาโทรหาก็ถามเรื่องงานว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว ให้รีบให้เร่ง เมื่อวานตอนที่ไปฟังลูกเล่นดนตรีก็บอกว่า พัฒนาไปอีกหลายขั้นเพียงแค่การซ้อมเดือนเดียว สมาชิกในวงเข้ากันดีมีแววรุ่งอย่างเห็นได้ชัด ทำความรู้จักเพื่อนลูกคุยลงรายละเอียด คิดสรุปได้อย่างไรก็บอกฉันแต่ไม่บอกลูก กลัวจะเหลิง ฉันก็ว่า ใครชมลูกก็ไม่ดีใจเท่าคำชมที่ออกจากปากของพ่อแม่หรอก แต่ไม่ว่าเขาจะเชื่อฉันหรือไม่ ฉันก็จัดการให้ตัวเองไปเฉลยความในเรียบร้อยโรงเรียนเซนต์โยแหละ

อันที่จริงการที่ไปฟังลูกเล่นดนตรีบ่อยๆ มันก็เหมือนสมัยที่แม่ฉันไปเยี่ยมฉันที่ทำงานนั่นแหละ คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็อยากรู้ว่าลูกทุกข์สุขอย่างไร มีอะไรที่จะบอกจะเตือนได้บ้าง ถึงยังไงก็ยังมองว่าลูกตัวเล็กๆ อยู่เสมอ แต่กรณีของคนข้างๆ พอมีเหตุผลพิเศษเพราะพี่แกเป็นคนหูทิพย์ บอกได้ว่าเล่นดีร้องดีต้องปรับปรุงอะไร ไอ้ฉันก็ไม่รู้ว่า ฟังยังไงวะนั่น ตรูอยู่ด้วยไม่เห็นรู้เรื่องเลย รู้แค่ว่าเสียงร้องเปลี่ยนไป แต่พี่แกบอกเลยว่าทิ้งความเป็นร็อคที่ลูกชื่นชอบเสียสิ้นมาออกแนวแจ๊สแล้ว และเล่นได้แน่นมากสำหรับระยะเวลาการซ้อมแค่นี้ ให้มือเบสที่เช็ดของรักทั้งก่อนและหลังเล่นดนตรีไปเน้นซ้อมเรื่องจังหวะเพราะยังไม่ค่อยเข้ากับกลอง จับคำพูดและวิเคราะห์เสร็จสรรพว่าฉลาดยังไม่เลือกค่ายจนกว่าจะชัวร์ แถมท้ายถามเรื่องกีต้าร์ราคาเกือบแสนของหนุ่มหัวธุรกิจว่าเป็นของจริงรึเปล่า

ไม่แค่นั้นนะ ฉันยังยื่นกล้อง iphone ให้ไปถ่ายรูปสมาชิกทั้งวงด้วย เดี๋ยวลูกก็คงได้บอกเพื่อนๆ ว่า พ่อเคยเป็นทั้งช่างภาพมือโปรและเป็นโปรดิวเซอร์ให้ศิลปินใหญ่ที่เรียกได้ว่าสร้างผลงานอมตะมาแล้ว ทีนี้บทบาทพ่อคงจะได้ทดแทนด้วยภาพของโค้ชและผู้ดูแลศิลปินแทน มือกลองรู้สึกว่าจะรู้มาก่อนว่าพ่อนักร้องเป็นใคร ก่อนบรรเลงก็เช็คเครื่องเสียง ปรับจูนให้พอใจเป็นที่เรียบร้อย อย่าคิดนะว่าจะพ้นสายตาชื่นชมของ "คุณพ่อทุกเม็ด"

ระหว่างอยู่ในรถฉันก็เอ่ยถามเรื่องที่สงสัยว่าทนฉันได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เป็นคนหูทิพย์ขนาดนั้น คนอีคิวดีก็บอกว่า เวลาอารมณ์ไม่ดีก็ไม่ต้องไปฟังมัน อาศัยเดินหนี โอเคมั้ยล่ะ แต่ตอนอารมณ์ดีก็จับน้ำเสียงได้นะ ฉันคงจะต้องหัดทิ้งๆ คำพูด น้ำเสียงที่ไม่ดีอย่างเขาบ้างล่ะ ไม่ใช่เก็บมานึกทุกครั้งที่ดาวน์ จะว่าไปแล้ว เราก็เตือนกันอยู่เรื่อยนะ เมื่อวานเขาโมโหรุ่นใหญ่อารมณ์รุนแรงอย่างแรง เดินหนีแล้ว เดินฉับๆ มาตามฉันกลับด้วยสีหน้ามู่ตู้ กลับแล้วก็ยังยั้วะไม่หาย พูดถึงแต่เรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก ฉันก็ได้แต่บอกว่า จะพูดจะนึกมันทำไมนักหนา ไหนว่าไม่ให้ความสำคัญเขาไง ทำไมให้คำพูดครั้งเดียวตอกย้ำเหมือนพูดสักร้อยครั้งอย่างนี้ล่ะ

ดูเราจะเป็นคู่ที่ช่วยดูแลกันและกันดีนะ เธอว่ามั้ย

ที่ยังกลุ้มใจไม่หายก็เรื่องการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ต้องบอกให้คนสำคัญทราบในที่สุดเนี่ยแหละ เวลาอัพก็ดูดีซะจนสร้างความหวังให้เขาไปแล้ว เวลาลงดิ่งฉันเองยังใจหาย เขาก็ต้องใจหายกว่าฉันเป็นสิบเท่า เวลาฉันจะขึ้นจะลง ฉันก็เครียดตรงที่แคร์ความรู้สึกของเขาเนี่ยแหละ วันนี้โทรมาห่วงว่าอย่าออกไปไหนถ้าไม่จำเป็น การประท้วงจะยืดเยื้อทวีความรุนแรงและครอบคลุมบริเวณใดบ้างก็ไม่รู้ แค่ขบวนประชาชนผ่านถนนใหญ่ใกล้บ้านฉันก็รู้แล้วว่าเขาต้องเป็นห่วง แปลกเหมือนกันที่เขาเล่าว่าตอนนี้หัวเข่าไม่ค่อยดี เดินเหินไม่คล่องตัว ฉันเลยได้ที บ่นซะหน่อย อายุก็ขนาดนี้แล้วจะแอคทีฟไปถึงไหน กำลังจะใส่ว่าต้องรู้จักประมาณตนก็สะดุดเล็กน้อยว่า ไม่เหมาะมั้ง หนนี้จึงเป็นการโทรคุยกันแบบสันติ ฉันยังไม่ได้โพสต์ให้เช่าบ้านที่พัทยา เขาก็ไม่หงุดหงิดแต่อย่างใด พูดด้วยน้ำเสียงปกติออกจะปนๆ ดีใจด้วยซ้ำว่าโพสต์หน่อยเถอะ เห็นเค้าว่ามันหาคนเช่าได้ง่าย แล้วก็ตบท้ายด้วยส่งหนังสือให้พี่อีกคนที่เป็นเหมือนฉันอ่านนะ พี่เค้าอยากอ่าน

จบบทสนทนาที่ยิ่งย้ำเตือนเรื่องสำคัญที่ฉันขบคิดอยู่ ฉันก็ยังคิดไม่ออกว่าจะเริ่มต้นยังไง แต่แน่ๆ ต้องบอกข่าวดี คุยให้ฟุ้งไปก่อนแล้วค่อยๆ บอกว่าอะไรที่ทำอยู่มันยุ่งยาก ปัญหาเยอะ โบ้ยโน่นโบ้ยนี่ให้รู้สึกว่า ที่ตัดสินใจอย่างนี้เพราะมันหนักเกินไปสำหรับฉันและยังมีทางสว่างพื้นคอนกรีตอย่างดีรอฉันอยู่หากหักเลี้ยว...อีกครั้ง

พรุ่งนี้จะไปเอาสต็อกหนังสือที่ฝากไว้กับรุ่นใหญ่อารมณ์รุนแรงและยังต้องตามไปเก็บที่ฝากขายฝากไว้ ณ ที่ต่างๆ คงจะเป็นโอกาสให้เคลียร์ปัญหาค้างคาอันเนื่องมาจากความรัก ความหวังดีที่เขามีให้ ดูท่าฉันจะเป็นคนที่โดนหลอกง่ายเหลือเกิน มีคนเป็นห่วงโกรธแค้นแทนหลายคนจัง น่าภูมิใจรึเปล่าเนี่ย

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

ออกจากรัง

วันนี้เป็นวันที่ฉันออกไปหาสิ่งเพลิดเพลินใจนอกบ้านหลังจากอุดอู้มาสองสามอาทิตย์ พบเรื่องราวที่เหมือนเป็นแบบทดสอบว่าฉัน "พร้อม" เผชิญโลกแล้วหรือยัง...

เร่ิมต้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไปดูหนังตลก "ตลกไว้ก่อน พ่อสอนไว้" แต่น้ำตาไหลสะอึกสะอื้นเป็นทางมาถึงเนินอก ด้วยเกรงคนข้างๆ จะรู้เลยรอจนต้องสั่งน้ำมูก ค่อยแอบสอดกระดาษทิชชูเช็ดน้ำตาและระเรื่อยมาจนหยดสุดท้ายที่คอเสื้อ

หนังเรื่องนี้มีทั้งเรื่องตลกและเรื่องกินใจ แถมพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-ลูกอีกต่างหาก ภาพความทรงจำตอนที่ฉันกับน้องชายนั่งที่ชิงช้าสีครีมหน้าตัวบ้านรอรับแม่และน้องสาวคนเล็กที่เพิ่งคลอดกลับบ้าน พ่อเป็นคนขับรถไปรับ ฉันไม่รู้ว่าทำไมภาพนี้ถึงได้อยู่ในความทรงจำ มันต้องมีอะไรที่ประทับใจเป็นพิเศษแน่ๆ ฉันจำภาพนั้นได้ ภาพที่พ่อเดินตามหลังแม่ที่อุ้มน้องสาวคนเล็ก พ่อไม่ได้ยิ้ม ดูเหมือนพ่อแบกภาระอะไรสักอย่าง ความรับผิดชอบของพ่อต่อลูกสามคนละมัง

ฉันเคยเห็นน้ำตาของพ่อครั้งนึง ร้องไห้แบบสะอึกสะอื้นภายใต้แว่นกันแดดยืนอยู่หน้าป้ายบอกเวลาขึ้นลงเที่ยวบินต่างๆ ที่สนามบิน พ่อหายไป ฉันเป็นคนไปตาม จึงเป็นคนเดียวที่เห็นภาพๆ นั้น ฉันเดาเอาเองว่าคงเป็นเพราะพ่อสงสารฉันที่ไปรักคนที่ไม่ควรรัก สายตาผู้ชายคงมองกันออกมั้ง

หลังจากฉันอกหักครั้งนั้น ฉันนั่งอ่านการ์ตูนสองกล่องใหญ่แล้วโทรทางไกลต่างประเทศหาพ่อที่โรงพยาบาล พ่อมารับสายแล้วบอกว่ากำลังตรวจคนไข้อยู่ ฉันไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรจึงวางหูไป แล้วฉันก็กลับมาทำ Thesis จนจบปริญญาโท

ดูหนังและกินข้าวเย็นเสร็จ คนข้างๆ ฉันอยากไปดูลูกร้องเพลงกับวงใหม่ที่เพิ่งรวมตัวกันแค่เดือนเดียว อะ ไปก็ไป วันจันทร์คนไม่เยอะจะว่าไปแล้วมีแต่คนฟังที่เป็นญาติหรือไม่ก็แฟนของนักร้อง วงนี้หน้าตาดีแฮะ เล่นเก่งเข้าท่า เวลาดังน่าจะแบ่งกันดังประมาณแบบวงนูโว

ย้อนกลับมาระหว่างกินข้าว ฉันนั่งทบทวนการกระทำและแอบเหม่อลอยเป็นครั้งคราว คนที่กินข้าวด้วยก็ถามเป็นครั้งคราวเช่นกัน ฉันยังยืนยันว่าทางที่ฉันเลือกเป็นทางที่ดีที่สุดในสายตาของฉัน ฉันเตรียมพร้อมสำหรับทางเลือกนี้มาตั้งแต่ต้น รู้ว่าวันนี้จะต้องมาถึงในที่สุดเพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ฉันทำงานไม่เกิน 3 ปี ที่ผ่านมา ไม่ฉันลาออกเองเพราะเลือกทางเดินใหม่ สุขภาพไม่อำนวย ก็มีอันต้องเปลี่ยนงานเพราะบริษัทถูกปิด นายลาออก ได้งานใหม่ที่ดีกว่า หนนี้มาแบบสายฟ้าแลบ ฉันไม่คาดคิดและไม่ประมาณตนเอง ฉันไม่อยากให้ใครลำบากเพราะความแปรปรวนของฉันอีก เพราะนั่นเป็นความเครียดและรู้สึกผิดที่ฉันไม่สามารถบอกตัวเองให้ไม่จริงจังกับมันได้

จบเรื่องงาน กลับมาเผชิญหน้ากับเสียงนินทาที่หนาหูกว่าเคย มันมากซะจนพี่คนดีถึงกับต้องมาเล่าให้ฟังว่าคนเค้าพูดอย่างไร กลิ่นเหม็นเน่าฟุ้งไปทั่วถ้ามีเครื่องแปลงคำนินทาเป็นกลิ่นเน่าเสีย ฉันพอใจตัวเองในการจัดการเรื่องนี้ ฉันไม่โกรธใคร เพราะแม้ไม่ได้ยินกับหูก็รู้ว่าคนเข้าใจเรื่องของฉันอย่างไร ฉันยังไหว้และเข้าไปกอดคนสำคัญเช่นเคย ห่วงก็แต่คนข้างตัวที่เหมือนจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ทั้งๆ ที่เขาผ่านพายุอารมณ์ระลอกใหญ่จากฉัน แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ตัวพอที่จะกลับก่อน อย่างน้อยไม่ได้เห็นหน้าก็ทำให้อารมณ์ที่คุกรุ่นเจือจางลงบ้าง ฉันลงไปด้วยแล้วกลับขึ้นมาเคลียร์บิล หวังเล็กน้อยว่าจะได้เคลียร์เรื่องอื่นด้วย แต่ก็ไม่ได้โอกาสเหมาะกลายเป็นพี่คนดีบอกกล่าวด้วยความเป็นห่วง สักพักคนที่เพิ่งลงไปข้างล่างกับฉันก็เดินขึงขังขึ้นมา เอาล่ะ ถึงเวลาที่ฉันต้องจากไปเสียที

ความคิดเรื่องนายกับลูกน้องแว่บเข้ามาระหว่างทางกลับบ้าน ฉันจำได้ว่านายที่เรียกได้ว่าทำให้ฉันชอกช้ำใจที่สุด คือ นายที่ทำให้ฉันพัฒนาตัวเองที่สุดเช่นกัน ฉันใช้เวลานานหลายปีกว่าจะคิดได้เรื่องนี้ และฉันก็ได้แต่หวังว่า ลูกน้องทั้งหมดที่ฉันเคยมีจะมีประสบการณ์เช่นฉันเหมือนกัน ฉันเป็นนายประเภทที่โยนงานให้ลูกน้องทั้งหมด จะว่าไปก็ปล่อยให้ลงสระว่ายน้ำแล้วหาทางรอดเอาเอง เหมือนๆ กับที่ฉันเคยโดนมา ยังผลให้ผูกใจเจ็บ เก็บกดจนถึงวันระเบิด ฉันไม่ให้โอกาสนายคนนั้นเลยหลังจากฟางเส้นสุดท้ายก็ไม่เหลือแล้ว หรือจะเรียกว่าเผาสะพานก็ว่าได้ ฉันหายไปเฉยๆ ไม่พูดไม่จา เจอหน้าในงานสังคมก็ไหว้ตามปกติ นายเคยไม่รับไหว้บ้าง รับบ้าง พูดคุยกันบ้าง ชวนไปเจอบ้าง แต่ฉันก็ยังไม่เคยสร้างโอกาสที่จะบอกเธอคนนั้นว่า ฉันขอบคุณที่สอนงานฉันด้วยวิธีนี้ ฉันได้เรียนรู้อะไรมากมาย และฉันก็เลือกที่จะสอนงานลูกน้องทุกคนด้วยวิธีนี้ วิธีที่ฉันเห็นว่าดีที่สุด ฉันรู้ว่าลูกน้องของฉันเก่งขึ้นพร้อมๆ กับความรู้สึกด้านลบรุนแรงที่มีกับฉัน ทั้งๆ ที่รู้ แต่ฉันก็ต้องทำใจเวลาได้รับปฏิกิริยาตอบกลับที่ไม่พึงประสงค์ ฉันยังเชื่อเสมอว่า ฉันทำส่ิงที่ควรจะทำแล้ว

พรุ่งนี้ฉันจะออกงานสังคมอีกครั้งแปลงร่างจากสาวเซอใส่แว่นเป็นสาวเปรี้ยวออกงาน ไปเผชิญหน้ากับสารพัดข่าวอีกครั้ง ให้รู้กันทั่วว่า ฉันเป็นแบบนี้แหละ การแต่งตัวก็เป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้นเอง

วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553

อ่านแล้วน่าสนใจ เผื่อมีใครได้ประโยชน์: บันทึกของคนซึมเศร้า

วันนี้ฉันเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ไม่ได้ดูทั้งจามอง สูตรเสน่หา หรือหนังละครเรื่องใดๆ เว็บไซต์แรกที่ฉันเข้าไปคือ www.gmail.com เหมือนกับที่เป็นกิจกรรมประจำวันของฉันเวลาปกติ(รึเปล่า) ตัวตนที่แท้จริงของฉันคือเวลาไหนกันแน่ ฉันยังไม่รู้เลยว่าตอนแอคทีฟคือตัวฉัน หรือตอนที่อยากอยู่คนเดียวคือตัวฉัน เพราะเผอิญเวลาต้องอยู่ในบทบาทไหนฉันก็ทำได้เนียนทั้งนั้น ตู้เสื้อผ้าของฉันเต็มไปด้วยเสื้อผ้าหลากแบบ ต่างดีไซน์ หลายเฉดสี สำหรับการออกงานทุกประเภทที่มีในโลกนี้ หรือเวลาที่ไม่อยากออกจากบ้านไปไหน อะไรฉันก็ใส่ได้ ไม่ว่ามันจะเข้ากัน สีตก เป้าขาด ขอให้มัน "ใส่" ได้ ฉันก็ใส่

กลับมาที่กิจวัตรประจำเดิมที่กลับมาทำอีกครั้งดีกว่า...(คงไม่เป็นไรที่วันนี้ฉันย้ายประโยคที่ลงท้ายด้วย "..." มาอยู่ย่อหน้าที่สอง) เอาเป็นว่ากลับมา "เขียน" ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการสื่อสาร น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีหลังจากที่หมอปรับยาให้ฉันใหม่ อีกอย่างละครึ่งเม็ด พร้อมกับยาใหม่ล่าสุดที่ไม่เคยกิน เห็นหมอว่า ยาตัวนี้จับสารเซโรโตนินได้ดีกว่า Zoloft ยาเดิมที่กินเพื่อต้านอาการซึมเศร้า ผลข้างเคียงทำให้หิวน้ำมาก กินเท่าไหร่ก็คอแห้ง และอื่นๆ ซึ่งถ้าอยากรู้ควรไปอ่านเอกสารกำกับยา เพราะมันยาวมาก

ยาใหม่ที่ว่า ชื่อ Lexapro เม็ดละ 40 กว่าบาทแพงกว่า Zoloft บาทกว่าๆ วันนี้กินเป็นวันแรกก็ทำให้ฉันมานั่งเขียนบล้อก ท่าทางมันคงไม่เลว นี่้ถ้ามันทำฉันแอคทีฟเหมือน Zoloft คงต้องหยุดให้ทัน เพราะถ้าฉันนัดคุยงาน 5 นัดในวันเดียวอีก เวลาขาลง มันคงจะลงแบบนี้หรือมากกว่าละมัง

ฉันนั่งนับเวลาตอนที่เตรียมเล่าข้อมูลให้หมอฟัง (เมื่อเธออ่านบทความข้างล่างแล้วจะรู้ว่า ฉันเก่งนะ ที่ยอมไปหาหมอเพราะนั่นคือคนส่วนน้อยที่มีอาการแบบนี้จะทำ อิอิ) ปีที่แล้ว ฉันก็เบี้ยวไปที ให้ตายสิ มันตรงกับช่วงสัปดาห์หนังสือทั้งสองครั้งเลย ไม่แค่นั้น หลังจากที่รับปากจะทำอีกงานหนึ่ง ก็เบี้ยวมันทั้งสองงานเลย ทั้งๆ ที่มันไม่เห็นจะมีอะไรยากหรือต้องใช้ความสามารถสักกะอย่าง ของง่ายๆ ปอกกล้วยเข้าปากฉันทั้งนั้น

วันนี้ฉันเข้า gmail เช็คทั้งสามอีเมลและเพิ่มเพื่อนใน facebook ตามที่มีคนขอมา (ดีแฮะ ใครหนอ อยากเป็นเพื่อนฉัน บางคนมี mutual friend กับฉันตั้งหลายคน แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นใคร แรกๆ ฉันก็มีปฏิเสธนะ แต่หลังๆ ฉันใช้ facebook เป็นเครื่องมือในการโฆษณาหนังสือของสำนักพิมพ์กำมะหยี่นี่นา ฉันต้องรับทุกคนเป็นเพื่อนสิ ฉันต้องมองว่าเป็นพรีเซนเตอร์คนหนึ่งถึงจะถูก ก็ฉันคิดได้แล้วนี่นาว่า ถ้าทำตัวให้ดัง เดี๋ยวก็ขายหนังสือได้เอง ดูมันไม่มีอุดมการณ์ยังไงชอบกล แต่มันเป็นเรื่องจิตวิทยา คนอาจจะเข้ามาสนใจเพราะอยากรู้อยากอ่านหนังสือที่ฉันจัดการให้เกิดขึ้น ถ้าของมันดีอยู่แล้ว มันก็ต้องขายได้ในระยะยาว เหตุที่คนสนใจหรือเหตุที่คนซื้อหามาอ่านไม่สำคัญเท่าความรู้สึกที่ได้รับหลังจากที่อ่านไปแล้ว ฉันอยากให้คนที่อ่านหนังสือรู้สึกว่า อ่านของคนดังแล้วมันดีจริงๆ น่ะ)

ก่อนจะเล่าต่อและให้ความเห็นเกี่ยวกับบทความที่ฉันเอามาฝากเธอในวันนี้ ฉันอยากจะเล่าเหตุการณ์ให้ฟังสองเหตุการณ์ ถือเป็นการเกริ่นให้เธอเข้าใจอาการของคนที่มีอาการซึมเศร้า คนที่กินยาชนิดเดียวกันกับฉันไม่ใช่แค่คนที่มีอาการซึมเศร้าอย่างเดียว ยานี้มีผลสำหรับคนที่มีอาการย้ำคิดย้ำทำ กลัวสังคม ฯลฯ (อยากรู้ไปอ่านเอกสารกำกับยา Lexapro เอาเองนะ) ดังนั้น มันน่าจะเป็นประโยชน์ให้คนรอบตัวผู้ป่วยเข้าใจผู้ป่วยมากขึ้นและฉันเองก็จะทำตามที่บทความนี้บอกดูสิว่า มันจะทำให้ฉันรู้สึกอย่างไร

เหตุการณ์แรกคือ ตอนที่ฉันกินยา Seroquel 100 mg กับ Lamictal 50 mg ก่อนนอนเพื่อให้สมองหยุดคิด ฉันจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ตื่นมาอารมณ์ก็จะดี มีแรงทำอะไรต่ออะไรในวันรุ่งขึ้น ฉันนอนบนเตียงดิ้นทุรนทุราย อึดอัด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ดิ้นสักพัก (ไม่รู้ใหญ่หรือเล็ก ไม่เคยจับเวลา (ยัง ยังไม่ละนิสัยกวนตีนแม้ในยามซึมเศร้า)) จนคนที่อยู่ข้างๆ บอกว่าให้สวดมนต์ (ตอนนั้นฉันแอบคิดไปเหมือนกันว่ามีใครทำคุณไสยกับฉันรึเปล่านะ ก็มันมีคนพูดว่าฉันโดนทำมาหนิ แล้วสักพักฉันก็นอนหลับไป คนข้างๆ บอกว่าน่ากลัว (บอกตอนนั่งดูทีวี) คงคิดว่าฉันผีเข้าอยู่เหมือนกัน โชคดีที่ฉันไปหาหมอแล้วถามเรื่องนี้ เพราะเหตุการณ์ทำนองนี้เคยเกิดขึ้น 2-3 ครั้ง ฉันไม่คิดว่าจะหาคำตอบได้จากอินเตอร์เน็ต น่าแปลกที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉันไม่คิดหาข้อมูลด้วยตัวเอง ใช้วิธีถามหมอเอา แล้วก็โชคดีที่หมอบอกว่า อาการนี้เป็นอาการของการที่ยาออกฤทธิ์ไม่เพียงพอ อะไรก็ตามที่อยู่ใต้จิตสำนึกจะแสดงออกมา ถ้ายาได้ขนาดพอดี ฉันควรจะหลับปุ๋ยภายในครึ่งชั่วโมง

เหตุการณ์ที่สอง ฉันกำลังนอนดูซีรีส์เกาหลีเพื่อให้เวลาผ่านไปเช่นเคย ยาที่กินก่อนนอนเริ่มออกฤทธิ์ฉันง่วงและอาจจะเผลอหลับไปแต่ยังหลับไม่ลึก คนที่อยู่ด้วยปลุกให้ไปนอนในห้อง ฉันเปรยขึ้นคล้ายจะรู้ว่า ถ้าฉันไม่หลับคราวนี้เป็นความผิดของคนปลุก แล้วมันก็ไม่หลับจริงๆ ฉันนอนกระสับกระส่ายเช่นเดิม แล้วก็ไปเข้าห้องน้ำ ความโมโหถึงขีดสุด พุ่งปรี๊ดเมื่อนั่งลงไปแล้วไม่เจอที่รองนั่งแต่ก้นฉันดันไปสัมผัสกับเซรามิคเย็นๆ เข้าเต็มเปา ฉันดึงฝาที่นั่งลงมาหวังจะให้ดังที่สุดเท่าที่ทำได้ ระบายความรู้สึกอัดอั้นที่อยู่ดีๆ ก็พุ่งปรี๊ดแบบที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มานาน นานมากๆ ถ้าจะให้ฉันเปรียบเทียบก็คงเป็นตอนนี้อดีตสามีว่าฉันเรื่องใช้จ่ายฟุ่มเฟือยทั้งที่ฉันซื้อของให้แม่ของเขาด้วย และฉันมีปมอยู่แล้วว่าเลือกเป็นแม่บ้านไม่ได้หารายได้ต้องแบมือของเงินเขา ตอนนั้นฉันไม่รู้จะทำอะไร ฉันเข้าไปร้องกรี๊ดในห้องน้ำเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต นับแต่นั้นมา ฉันก็เข้าใจอารมณ์ของตัวอิจฉาในละครที่ร้องกรี๊ดๆ (ฉันจะต้องเป็นตัวอิจฉาในชีวิตจริงตลอดชีวิตเลยใช่มั้ยเนี่ย) แต่อารมณ์พุ่งปรี๊ดที่ว่าไม่ได้ทำให้ฉันร้องกรี๊ด คล้ายว่า ฉันจะรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง ตกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงได้เกิดความรู้สึกรุนแรงขนาดนั้น แล้วก็ย้อนนึกไปถึงคำอธิบายของคุณหมอที่ว่า เป็นเพราะการออกฤทธิ์ของยาไม่สามารถควบคุมปัญหาที่ฝังรากลึกในจิตใจฉันได้ แต่แล้วไม่นาน หลังจากที่ดิ้นไปมาฉันก็หลับไป คราวนี้หลับและไม่อยากตื่นแม้กระทั่งมีละครจามองมาล่อ การนอนเป็นความสุขสุดยอดแล้วในช่วงนี้ แล้วก็มีคนปลุกมากินข้าว ทำกับข้าวล้างจานให้เช่นเดิม หลังจากอิ่มข้าว ดูหนังไปสักพัก คนที่บริการฉันทุกอย่างก็ถามถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ฉันก็ว่า "จะฟื้นฝอยทำไม" แล้วก็เล่าว่าโมโหเรื่องที่รองนั่งในห้องน้ำ ใช่สิ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะโมโหขนาดนั้น อย่างเก่งก็น่าจะบ่นเท่านั้นเอง ใช่ว่าฉันจะไม่รู้ เมื่อเขาบอกว่ามันไม่มีเหตุผล ฉันจึงตอบทันควัน "ถ้ามันปกติก็ไม่ต้องกินยาอย่างนี้หรอก" ...เงียบคือคำตอบ เห็นมั้ย ถ้าใครมาพูดอะไรแล้วฉันเงียบอย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไงนะ หลายครั้งหลายหนที่ฉันรู้และคำตอบมันปรากฏอยู่ในใจประมาณว่ามาเป็นสคริป แต่ฉันก็รู้ว่าถ้าฉันพูดออกไป รับรองมีแต่อึ้งกันทั้งนั้น บ้างก็แทงตัวฉันเอง บ้างก็ไปจี้ใจดำใครๆ รับรองมีเหตุผลแต่ตรงจนเกินรับไหวทุกครั้งแหละ

ไอ้คำพูดที่มันทิ่มใจฉันน่ะ มันไม่ทำให้ฉันตายหรอก เพราะฉันยอมรับความจริงในส่ิงที่ฉันพูดเอง แต่ที่คนส่วนใหญ่รับไม่ได้เพราะคนเรามักจะไม่รับความจริงไง ถ้าฉันพูดให้อ้อมให้ลดให้เลี้ยว ให้น้ำเสียงอ่อนลงสักเล็กน้อย ฉันก็คงไม่ได้เป็นผู้หญิงซาดิสม์ในสายตาของใครๆ ละมัง

เข้าเรื่องสักที ท่าทางฉันจะเปลี่ยนจากอารมณ์เบื่อมาเป็นโมโหแล้ว พัฒนาการไปอีกระดับหนึ่งคงใกล้เป็นปกติชั่วคราวแล้วล่ะ ดูสิว่าบทความนี้จะช่วยฉันได้มากน้อยแค่ไหน เพราะฉันเตรียมที่จะตอบคำถามในบทความนี้แล้ว คำถามที่ว่า จะทำให้ผู้ที่มีอาการซึมเศร้ารู้สึกดีขึ้น ฉันจะใส่ความเห็นของฉันเป็นสีม่วงละกันนะ

+++

ป้องกันฆ่าตัวตายจากโรคซึมเศร้า
ที่มา/ผู้ประกาศ : ผศ.นพ.พนม เกตุมาน


คอลัมน์สายตรงสุขภาพกับศิริราช
โดย...ผศ.นพ.พนม เกตุมานจิตแพทย์

การฆ่าตัวตาย เกิดจากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุใหญ่ที่ทำให้คนฆ่าตัวตาย เกิดจากโรคซึมเศร้า คนที่เป็นโรคซึมเศร้า จะมีความรู้สึกเบื่อรุนแรงแทบทุกอย่างในชีวิต เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ความเศร้าที่รุนแรงมาก ๆ อาจทำให้คิดว่าตนเองผิด ไร้ค่า และคิดอยากตาย

--ฉันได้ยินได้อ่านได้รับรู้จุดจบของคนที่มีอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรงอยู่เนืองๆ ว่าจะฆ่่าตัวตาย ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องที่กระทำการดังกล่าวไม่สำเร็จ หรือคนมีชื่อเสียงที่ทำสำเร็จอย่างเลสลี่จาง เวอร์จิเนีย วูลฟ์ (ฉันเขียนให้เธออ่านคงไม่เป็นไร ถ้าฉันจะบอกว่าฉันเองมีความรู้สึกว่ามีอะไรเหมือนเธอคนนี้ทั้งเรื่องดีและไม่ดี) ตั้งแต่ฉันมีอาการซึมเศร้ามา...เท่าที่จำได้อะนะ...ไม่เคยรู้สึกถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย เคยแต่ทำให้ฝันร้าย ประมาณว่า แม้แต่คนขายข้าวขาหมูก็พูดกับฉันไม่ดี ฉันยังไม่เคยเบื่อรุนแรงขนาดเบื่อกินอาหาร ชาบูชาบูยังเป็นอาหารอร่อยสุดโปรดของฉันอยู่ มีคนทำอาหารให้กินก็ยังกินอยู่ แต่ถ้าต้องทำเองก็ไม่แน่ จริงๆแล้ว เป็นสักพักก็ดี ฉันออกจะตกใจที่ชั่งน้ำหนักตอนไปหาหมอ ฉันหนักเกินพิกัด หนักตั้ง 55.8 กิโล ฉันเชื่อว่า ช่วงก่อนซึมเศร้านิดหน่อย ฉันอาจจะเฉียด 60 กิโลโน่นแน่ะ มีคนบอกว่า ฉันเผละ ตัวเป็นปล้องๆ ตอนใส่ชุดรัดรูป ฉันเองมองร่างเปลือยเปล่าในกระจกก็เห็นห่วงยางที่ค่อยๆ พองลมขึ้นเรื่อยๆ ด้วยฉันไม่ออกกำลังกายใดๆ ไม่ได้ดูแลหุ่นเหมือนที่สาวๆ ทั่วไปเค้าทำกัน ฉันเชื่อว่า ถ้าฉันไม่สามารถบรรจุการออกกำลังกายอันไม่ใช่นิสัยของฉันแต่อย่างใดเข้าเป็นกิจวัตรประจำอย่างแน่แท้ ฉันจะต้องปรับให้มันเป็นการทำงานที่ใช้กำลังแทน เหมือนกับคนอายุยืนเป็นร้อยปี ที่อายุยืนเพราะต้องขึ้นเขาทุกเช้าเพื่อไปตักน้ำนั่นแหละ ฉันจึงนิยมทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แล้วช่วงแอคทีฟของฉันก็เผาผลาญพลังงานฉันได้ดีนักแล

กลับมาที่เนื้อหาของบทความ ฉันเบื่อจริงๆ ยกเว้นอาหารกับการนอน เพราะละครก็ดูไปอย่างนั้น (แต่ก็คิดตาม ได้อะไรเหมือนกันนะ) ฉันรู้สึกผิด อันนี้จริง เพราะการไม่รับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายและงานที่ไปรับปากว่าจะทำทั้งหลายมันก็ต้องผิดอยู่แล้ว ฉันไร้ค่ามั้ย ฉันว่าฉันมีค่านะ แต่เหมือนมันไม่มีอะไรที่มีค่าสำหรับฉันจริงๆ หรอก (แล้วอันนี้มันแปลว่าอะไรหว่า) ฉันอยากตาย (ยัง ยัง เรื่องนี้ฉันปฏิเสธเด็ดขาด แม้จะเหมือนไม่มีจุดหมายในชีวิต ฉันถามตัวเองว่าจริงๆ แล้วอยากทำอะไรกันแน่ ก็พบว่า ไม่มีสิ่งใดที่ขาดแล้วจะตาย ฉันดูจะขาดกิเลสในเรื่องนี้ ขาดความทะยานอยากที่จะได้จะเป็นอะไร ยิ่งการแข่งขันยิ่งแล้วใหญ่ ฉันไม่ชอบการแก่งแย่งชิงดีอะไรกับใคร แม้ว่าหลายต่อหลายครั้งคนจะเข้าใจว่าฉันต้องเป็นที่หนึ่ง ต้องชนะ ฉันแค่ตั้งใจทำส่ิ่งที่ทำอยู่เท่านั้นจริงๆ นะ ใครช่วยเชื่อฉันที)--

การตายจึงเป็นเหมือนทางออกของปัญหาในระยะสั้น ไม่ต้องเผชิญปัญหาต่อไป
ความคิดของคนจะฆ่าตัวตาย มักไม่เห็นหนทางแก้ไขปัญหา ชีวิตมืดมน และหมดหวัง ทั้ง ๆ ที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น

--ฉันก็รู้อยู่ว่าฉันน่ะจัดอยู่ในจำพวกอภิสิทธิชน สามารถเลือกประกอบอาชีพที่ไม่ต้องคำนึงถึงรายได้เป็นเรื่องหลัก อันที่จริงฉันไม่ต้องแก้ปัญหา ไม่ต้องสร้างงานเลยยังได้ ฉันดันมีแม่ที่ประเสริฐมาก แม่ที่เตรียมพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง มีหลักประกันที่ฉันจะดำเนินชีวิตอยู่ได้อย่างสบายแม้ไม่หาเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง (และแม่ที่แสนดีก็ไม่อยากให้ลูกเครียดจากเรื่องใดๆ) ฉันเองต่างหากที่หาเรื่องเครียดให้ตัวเอง ฉันคิดสารพัดโปรเจ็คท์ เห็นอะไรน่าสนุกก็อยากลอง แต่โครงการต่างๆ มันไม่ได้ทำกันง่ายๆ บางเรื่องศึกษาลงไปลึกๆ ก็ให้พบปัญหาข้อติดขัด หรือคิดไปคิดมาแล้วไม่คุ้มเหนื่อย อันนี้ก็แล้วแต่มุมที่คนจะมอง มองว่าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่พยายามให้เต็มที่ก็ได้ หรือจะมองตามความเป็นจริงที่ไม่ควรทำ แต่ฉันไม่เห็นด้วยหรอกนะ ที่ว่าการตายเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น ถ้าตายแล้วมันก็จบทิ้งปัญหาไว้ให้คนอื่นจัดการต่อต่างหาก อาจจะจบตรงที่จัดการศพ กิจการงาน หนี้ที่ก่อ(ถ้ามี) เรื่องที่ว่า คนที่จะฆ่าตัวตายจะไม่เห็นหนทางแก้ปัญหา เผอิญฉันเห็นเลยยังไม่คิดอย่างนั้นละมัง--

น่าเสียดายที่คนฆ่าตัวตายคิดเช่นนั้น เพราะถ้าเขารักษาโรคซึมเศร้าอย่างถูกต้อง เขาจะกลับมาคิดใหม่ได้ แก้ปัญหาได้ บางคนหายแล้วสงสัยว่าตัวเองคิดมากถึงกับอยากตายตอนนั้นได้อย่างไร

--แม้ฉันจะไม่คิดฆ่าตัวตายแต่ฉันก็เคยรู้สึกว่าทำไมถึงคิดมากจนเบื่อและทำให้ชีวิตดำเนินไปอย่างติดขัดในตอนนั้นได้อย่างไร น่าแปลกจังที่สารเคมีบางตัวในสมองไปกำหนดความคิดให้คนซึมเศร้าคิดแต่เรื่องไม่ดี ไม่อยากทำอะไร อย่างนี้้ถ้าเราอยากได้คนขยันก็ให้กินยานี้ไปสิ กระตุ้นให้ทำ ทำ ทำ เอ หรือ ยาที่ฉันกินก็มีส่วนผสมใกล้เคียงกับยาม้า ยาบ้า มีคนบอกว่าเวลาฉันเมาแล้วเหมือนอัพยามา ความผิดปกติของฉันคงจะทำปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์จนเกิดปฏิกิริยาคล้ายคลึงกันละมัง เรื่องนี้ฉันสงสัยมานานแล้วล่ะ รู้สึกว่าจะทำปฏิกิริยามากๆ เลยกับยาที่ฉันกินด้วยซ้ำ เพราะครั้งแรกที่รู้ว่ามีอาการเมาที่แปลกผิดมนุษย์มนาก็ตอนที่กินยาและกินเหล้าเนี่ยแหละ จริงๆ หมอก็บอกอยู่แล้วว่า การกินเหล้ามันไปทำลายฤทธิ์ยา ฉันก็ไม่ควรกินอยู่แล้วนั่นแหละ แต่ก็เหมือนคนอื่นๆ บุหรี่ เหล้า เขาก็กินกันทั้งเมือง ถ้าฉันไปเจอคนแล้วไม่กิน ฉันก็นั่งตัวแข็งเป็นรูปปั้น ไม่มีใครอยากคุยด้วย แล้วก็มีหลายๆ คนชอบเวลาฉันเมา ร้องเพลงก็เป็นธรรมชาติและเพราะกว่าปกติด้วยนะ--

การฆ่าตัวตายมักเป็นอาการหนึ่งของโรคซึมเศร้า เมื่อรักษาโรคซึมเศร้าหาย ก็ไม่คิดอยากตาย

การป้องกันการฆ่าตัวตาย ทำได้ ถ้าเข้าใจเรื่องโรคซึมเศร้า และค้นหาให้ได้ว่าใครเริ่มเป็นโรคนี้ อาการเริ่มต้นของโรคซึมเศร้า คือ
* อารมณ์ไม่สนุกสนาน ไม่ร่าเริงเหมือนเดิม ไม่มีความสุข เบื่อ ท้อแท้ เครียด หงุดหงิด และเศร้า
* หมดความสนใจในสิ่งต่างๆ เบื่อสิ่งที่เคยทำแล้วสนุก มีความสุข ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากเจอใคร
* เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงมาก (หรือบางคนกินมากเพื่อให้หายเครียด น้ำหนักเพิ่มขึ้น)
* นอนไม่หลับ หลับๆตื่นๆ หรือตื่นเร็วกว่าเดิม 2-3 ชั่วโมงแล้วนอนต่อไปไม่ได้ (แต่บางคนนอนมากขึ้นเนื่องจากไม่อยากทำอะไร นอนแต่ก็ไม่หลับ)
* เหนื่อยหน่าย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ไม่อยากทำอะไร
* ความคิดช้า การเคลื่อนไหวช้า
* สมาธิความจำเสีย ตั้งใจทำงานไม่ได้ ลังเลตัดสินใจลำบาก
* คิดว่าตัวเองไร้ค่า ทำผิด ทำไม่ดี คิดต่อตัวเองไม่ดี
* อยากตายและฆ่าตัวตาย


อาการของโรคมักเริ่มจากเป็นน้อยๆ มากขึ้นช้าๆ หรือรวดเร็ว อาจมีหรือไม่มีสาเหตุจากการสูญเสียหรือความเครียดทางจิตใจ ถ้ามีสาเหตุทางจิตใจ มักเป็นความเครียดในชีวิต เช่น ปัญหาการเรียน การทำงาน หรือความสูญเสียในชีวิต เช่น สอบตก อกหัก คนรักเสียชีวิต หย่าร้าง ตกงาน เป็นต้น

--เนี่ยแหละที่เป็นปัญหา ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ นับย้อนไปตั้งแต่ที่เบี้ยวไม่ไปเรียน ถ้านั่นถือว่าเป็นอาการของโรค และเมื่อพบปัญหาในชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันก็ไม่ได้จัดการมันอย่างถูกวิธี เข้าตำราอีคิวต่ำเป๊ะเลย อะไรๆ ฉันก็เอามาเป็นปัญหาได้หมด เรื่องเล็กก็เป็นเรื่องใหญ่อย่างที่มีคนเคยว่าไว้จริงๆ ไม่ต่างจากปัญหาของพี่ที่ฉันรู้จักว่าเหตุที่เขาจะฆ่าตัวตายเป็นเพราะเขาคบผู้หญิงสองคนพร้อมๆ กันแล้วทำให้ผู้หญิงทั้งสองโกรธกันจนไม่พูดกันอีกเลย ฉันฟังเรื่องนี้แล้วก็คิดว่าแค่รู้สึกเศร้าก็พอแล้ว มันไม่ได้ร้ายแรงขนาดจะฆ่าตัวตายสักกะหน่อย แล้วปัญหาของฉันคราวนี้และคราวที่แล้วล่ะ มันไม่ได้มีอะไรที่เกินรับไหวสักกะหน่อย ออกจะมีอะไรที่น่าตื่นเต้น น่าทำรอฉันอยู่ด้วยซ้ำ ฉันยังไม่ตื่นไปทำเลยทั้งๆ ที่ก่อนนอนฉันเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องคอมพิวเตอร์ อีกทั้งยกพร้ินเตอร์ใส่รถเรียบร้อย ทำไมหนอ ภูมิต้านทานฉันถึงได้ต่ำนัก ฉันอยากรู้จังว่ามันมีวิธีวัดระดับเซโรโตนินให้เป็นตัวเลขอย่างชัดเจนมั้ย จะได้รู้ว่าคุณยายที่ต่อสู้เรื่องที่ตัวเองร่วม 30 ปีเค้ามีสารเคมีตัวนี้มากกว่าฉันแค่ไหน--

คนที่เป็นโรคซึมเศร้า มักไม่รู้ตัวว่าเป็น ไม่มาพบแพทย์ บางคนกลัวว่าการมาพบจิตแพทย์แสดงว่าเป็นโรคจิตโรคประสาท ทำให้ขาดการช่วยเหลือ จากการสำรวจพบว่า คนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า 100 คน มีเพียง 10 คนเท่านั้นที่พบแพทย์และได้รับการรักษาด้วยยาอย่างถูกต้อง

--ฮ่า ฮ่า ฉันรู้ตัวว่าเป็น แต่ก็ไม่ง่ายหรอกที่จะไปหาหมอ อย่างน้อยฉันก็ฝ่าด่านเป็น 10 ใน 100 ที่เลือกวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องละน่า ที่เหลือก็หวังว่ายาจะทำให้ฉันกระตือรือร้นอีกครั้ง แล้วก็ไปแก้ไขเรื่องต่างๆ อันเป็นผลจากความไม่รับผิดชอบของฉันนั่นแหละ--

โรคซึมเศร้ารักษาไม่ยาก เนื่องจากโรคนี้เกิดจากการแปรปรวนของสารสื่อนำประสาท ที่สามารถแก้ไขได้ด้วยยารักษาโรคซึมเศร้า ร้อยละ 80 หายได้เมื่อได้รับยาร่วมกับการรักษาทางจิตใจ เวลาหายจะเป็นปกติเหมือนคนเดิม โรคนี้มิใช่โรคจิต โรคประสาท เป็นโรคทางอารมณ์ ที่รักษาหายได้เหมือนเดิม

--โรคนี้รักษาหายได้ก็ดูจะดี แต่ก็ได้ยินเหมือนกันว่าต้องกินยาตลอดชีวิต และฉันก็รู้จักหลายๆ คนที่ต้องกินยาตลอดชีวิต ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป บางคนออกจะแอคทีฟเป็นคนอีกประเภทเลยทีเดียว ไม่น่าเชื่อจริงๆ แม้กระทั่งตัวของฉันเอง จะเชื่อดวงมั้ยล่ะ คนที่ใกล้ชิดฉันแล้วมีพฤติกรรมประมาณนี้ มฤตยูหรือดาวเกตุกุมลัคนาทั้งนั้นแหละ คำพูดของหลวงพ่อท่านหนึ่งยังติดอยู่ในใจฉันเสมอ "ฉันจะเจอแต่คนแปลกๆ" ฉันคิดนะ ไม่ใช่ไม่คิด ฉันจะทำอย่างไรกับชีวิตหลังจากนี้ ฉันจะทำให้มันดีขึ้นได้หรือ มันไม่มีอะไรทำให้ฉันกระตือรือร้นได้นักหนาจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนเอกหรือพิธีกร อะไรๆ ฉันก็ทำไปอย่างงั้นแหละ เผอิญเรื่องต่างๆ มันไม่ยาก ถ้ายากหรือไม่คุ้มฉันก็ไม่ทำ หรือถ้าเคยทำแล้วก็ผลักภาระไปให้คนอื่น เป็นไงล่ะ นิสัยเสียของฉัน!--

โรคนี้พบได้บ่อย ๆ ในสังคม อาจเกิดกับตัวเองหรือคนใกล้ชิดก็ได้ ถ้าพบว่าใครมีอาการหลายๆข้อของโรคซึมเศร้าข้างต้น นานหลายวันติดต่อกัน หรืออาการมากขึ้น ควรปรึกษาจิตแพทย์ที่ใกล้ที่สุด

--ถ้าใครหลงกลอ่านมาถึงบรรทัดนี้ ไม่เป็นเองก็คงต้องคนใกล้ชิดแหละ ไม่งั้นคงไม่ตามอ่านมาขนาดนี้ ฉันก็หวังว่ามันจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นอย่างน้อยสักคนเดียวก็ถือว่าได้รักษาชีวิตของคนที่เป็นมากกว่าฉันละนะ--

ถ้าสงสัยว่าคนใกล้ชิดมีอาการคล้ายโรคซึมเศร้า เช่น ซึมเฉย เงียบ ไม่พูดไม่จา เฉื่อยชา ช้า ทำอะไรผิดไปจากเดิมมากๆ การเรียนหรือการทำงานเสียไป การห่วงใยสอบถามเขาถึงอาการของโรคซึมเศร้า จะเป็นการช่วยเหลือเบื้องต้นที่ดี คนที่ซึมเศร้าจะรู้สึกมีเพื่อน มีที่พึ่ง อาการซึมเศร้าจะดีขึ้น และไม่ค่อยฆ่าตัวตาย

--ฉันก็ว่า ใครๆ คงอยากให้คนสนใจอยู่แล้วแหละ แต่บางทีมันก็เหมือนเป็นการเรียกร้องความสนใจเหมือนกันนะ เหมือนเด็กเลี้ยงแกะอะ บางทีคนที่ดูแลอาจจะเซ็งจนบางครั้งแอบคิดว่า ตายจริงๆ ก็ดี เพราะระอาเหลือทน ขอบันทึกไว้หน่อย ความคิดนี้แว่บมาพอดี มีคนที่อ่านบทความของฉันแล้วก็บอกว่า ถ้าเป็นคนอื่นอ่านก็จะหาว่าเพ้อเจ้อ แต่จริงๆ แล้วมันก็แค่เป็นความรู้สึกตอนนั้นเท่านั้นเอง หลังจากฟังความคิดเห็น ฉันก็ให้ประหลาดใจว่าทำไมเข้าใจเหมือนอ่านใจฉันเลย แล้วก็เพิ่งมาอ๋อตอนนี้ ก็เขาเป็นโรคเดียวกับฉัน แล้วจะไม่เข้าใจกันได้ยังไง มิน่าล่ะ อะไรๆ อีกหลายๆ เรื่อง เขาถึงได้รู้จังหวะเหมาะ และเข้ากับฉันได้อย่างดีจนคนเอาไปนินทา (เห็นมั้ย ปัญหามาอีกแล้ว)--

ถ้าเขามิได้เป็นโรคซึมเศร้าจริง การแสดงความห่วงใยถามถึงอาการเป็นการประคับประคองจิตใจที่ดี ไม่มีผลเสียใดๆน่ากลัว

เมื่อพบว่าใครเป็นโรคซึมเศร้า ในตอนท้ายควรแนะนำให้เขามาปรึกษาจิตแพทย์โดยเร็ว การรักษาอย่างรวดเร็วได้ผลดีกว่ารักษาช้า โดยเฉพาะผู้ที่มีความคิดอยากตาย หรือคิดฆ่าตัวตาย การแนะนำให้รักษาจะเป็นการช่วยชีวิตเขาทีเดียว

คนที่กำลังคิดฆ่าตัวตายนั้น บางทีแสดงออกเป็นพฤติกรรมให้รู้ได้ เช่น
* บางคนเปรยๆให้คนใกล้ชิดฟัง เช่น “รู้สึกเบื่อจัง ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม”
* บางคนพูดเป็นเชิงฝากฝัง สั่งเสีย เช่น “ฝากดูแลลูกด้วยนะ”
* บางคนดำเนินการบางอย่าง เช่น ทำพินัยกรรม โอนทรัพย์สมบัติให้ลูกหลาน

--อ่านบรรทัดนี้แล้วนึกถึงอีเมลตัวเองว่ะ นึกถึงจดหมายก่อนตายของนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ เวอร์จิเนีย วูลฟ์กับสุวรรณี สุคนธาด้วย 555--

ถ้าสงสัยว่าคิดฆ่าตัวตายหรือไม่ ควรถาม การถามเรื่องการฆ่าตัวตายนี้สำคัญมาก ทำได้ ควรทำอย่างยิ่ง เพราะช่วยรักษาชีวิตเขาไว้ได้

การถามเรื่องฆ่าตัวตาย ทำได้โดยใช้ชุดคำถามขั้นบันไดดังนี้
1. เมื่อพบว่ามีอารมณ์ซึมเศร้า ให้ถามต่อไปว่า “ความเศร้านั้นมากจนทำให้เบื่อชีวิต หรือไม่”

--เบื่อแต่ยังไม่อยากตาย ยังรอที่จะเจออะไรที่สามารถทำให้เลือดสูบฉีด--

2. ถ้าตอบรับ ให้ถามต่อไปว่า “คิดอยากตาย หรือไม่”

--คิดครึ่งเดียว แล้วก็ยังไม่อยากตาย แต่อยากตอบข้ออื่นด้วย เป็นไรมั้ย--

3. ถ้าตอบรับ ให้ถามต่อไปว่า “คิดจะทำหรือไม่”

--อยากนอน ดูหนัง ดูทีวี หาข้อมูลในเน็ต ไม่อยากทำงาน ไม่อยากเจอคน ได้ยินคำนินทา (แต่ก็รู้เรียบร้อยว่ามีคนไปปล่อยสารพัดข่าว)--

4. ถ้าตอบรับ ให้ถามต่อไปว่า “คิดจะทำอย่างไร”

--ไม่เคยคิด แต่ถ้าคิดเมื่อไหร่ คงต้องให้ตายแน่ๆ แล้วไม่ต้องทรมานไปแล้วไปเลย นึกอยู่เหมือนกันว่าเกิดในอนาคตเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ คงไม่อยู่ให้คนในครอบครัวเสียค่าใช้จ่ายและดูแล ไม่อยากเป็นภาระของใคร--

5. ถ้าตอบรับ ให้ถามต่อไปว่า “เคยทำหรือไม่”

--ไม่เคยค่ะ--

6. ถ้าตอบรับ ให้ถามต่อไปว่า “เคยทำอย่างไร”
7. สุดท้าย ให้ถามต่อไปว่า “มีอะไรยับยั้งใจ จนทำให้ไม่ได้ทำ หรือหยุดความคิดนี้ได้”
คำถามสุดท้าย ไม่ว่าตอบอย่างไร จะเป็นปัจจัยป้องกัน ช่วยให้เขายั้งคิด ไม่ทำในครั้งต่อไป

--นั่นนะสิ ถ้าคิดจะทำสงสัยไม่มีอะไรยับยั้งมั้งเนี่ย แค่รู้อยู่ว่าทำแล้วไม่ดี คนอื่นแย่กว่าเราตั้งเยอะยังผ่านวิกฤติต่างๆ ได้เลย ความคิดที่ว่าถ้าทำแล้วไม่สำเร็จต้องพิการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ (แม้กระทั่งฆ่าตัวตายอีกครั้ง) คงจะทำให้ไม่ทำมั้ง แต่เอ ถ้ากระดิกตัวไม่ได้ก็ยังกลั้นลมหายใจตัวเองได้นี่นา แต่ท่าทางมันคงทรมานน่าดูกว่าจะตาย นี่สงสัยฉันต้องไปหยิบหนังสือวิธีฆ่าตัวตายของคุณนพดลมาอ่านแล้วมั้งเนี่ย 555)--

บางคนมีความเชื่อเก่าที่ไม่ถูกต้องว่า การถามเรื่องการฆ่าตัวตาย จะไปกระตุ้นคนที่ยังไม่คิดให้ไปคิดฆ่าตัวตาย หรือคนที่คิดอยากตายอยู่แล้วการถามเป็นการกระตุ้นให้ทำจริงๆ ความเชื่อเหล่านี้ไม่เป็นความจริง

ความจริงคือ การถามไม่ได้ชักจูงหรือกระตุ้นให้คิด หรือทำ แต่สำหรับคนที่คิดจะทำอยู่แล้ว จะรู้สึกดีขึ้นจนไม่ทำ

สรุปคือเราทุกคนมีส่วนร่วมในการป้องกันการฆ่าตัวตายได้ ดังนี้
* สนใจ ใส่ใจ สังเกตตนเอง เพื่อนๆ และคนใกล้ชิด ว่ามีอาการของโรคซึมเศร้าหรือไม่ ถ้ามี ให้ถามว่ามีความคิดอยากฆ่าตัวตายหรือไม่
* ถ้าตนเองเกิดโรคซึมเศร้า ให้ปรึกษาทีมสุขภาพจิตโดยเร็ว
* แนะนำผู้ที่ซึมเศร้า มาพบทีมสุขภาพจิต
--ไปพบแล้วค่ะแม้ว่าจะไม่คิดฆ่าตัวตาย รออยู่ว่ายาออกฤทธิ์ให้กลับไปใช้ชีวิตปกติเมื่อไหร่ จะได้ไปเก็บกวาด ดูแลความเสียหายที่ก่อเอาไว้ โอกาสต่างๆ ที่เสียไปก็คงทำอะไรไม่ได้ตามประสาคนที่ไม่ชอบยื้อ กะว่าจะรับผิดชอบอะไรๆ ให้เหมาะกับความสามารถทางใจของตัวเอง คิดอยู่ว่า ถ้าเริ่มเบื่ออีกครั้งฉันจะรีบไปหาหมอมั้ย หรือว่าจะเลือกใส่เสื้อกันหนาวตั้งแต่หน้าร้อนมันไปซะเลยจะได้สิ้นเรื่อง--


วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

ระบาย

ทำไมฉันรู้สึกดาวน์เร็วอย่างนี้...

น่าแปลกที่เมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนมีคนว่าฉันหน้าหมองๆ เหมือนโดนของ ที่แปลกเพราะฝ่ายนี้ว่าน่าจะเป็นเพราะฝ่ายนั้นทำของใส่ มีคนกลางอยู่เหมือนกันที่บอกว่าดูหมองๆ เอาเป็นว่า เรื่องหมองหรือท่าทางคิดมากคงจะเป็นจริงจากหลายๆ ฝ่ายที่มองเห็น แต่ที่ว่าใครเป็นคนทำของอันนี้ไม่ทราบได้ ด้วยต่างฝ่ายต่างโทษกัน แต่สรุปตรงกันว่าฉันโดนของ เข้าใจว่าคนนึงสวดให้ อีกคนเอาน้ำมนต์ให้กิน เห็นว่าหน้าตาฉันดีขึ้นแล้ว คงจะหลุดแล้วละมัง

ถ้าถามฉันคนที่ถูกกระทำ ฉันว่าเป็นเพราะระดับสารเคมีในร่างกายเปลี่ยนแปลงมากกว่า ก่อตัวให้เกิดความรู้สึกรุนแรงอยู่หลายวัน แล้วก็ก่อให้เกิดการกระทำ ทำร้ายความรู้สึกของใครอีกคนร่วมอาทิตย์ เมื่ออดรนทนไม่ไหวก็ระบายออกมา ทั้งถามและหาคำตอบเพราะฉันไม่พูดไม่จา พอพูดออกมาก็รุนแรงตามความรู้สึกที่ไม่สามารถแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา แล้วก็ยังไม่ตอบตรงคำถามอยู่ดี

รอจนวันรุ่งขึ้น เอาหนังสือไปให้นักข่าว เสร็จกิจที่ต้องทำแล้วฉันก็นอนมันทั้งวัน ในขณะที่หาคำตอบไม่ได้ก็ทำอะไรไปตามที่ควรจะทำไปก่อน วิธีหาความสุขที่ง่ายที่สุดคือ การกิน โอนเงินทางอินเตอร์เน็ตเดินท่องตลาดแล้วก็เลือกร้านที่มีไข่ปลาเรียวเซียว สั่งสารพัดอาหารราคารวมสักสองพันบาทเห็นจะได้ เดินกินโน่นนี่ไปเรื่อย จนถึงเวลาเดินทางกลับ ถึงจุดหมายถึงเวลาที่จะพูดอะไรตรงๆ ได้แล้ว จัดการพูดทั้งปัญหาเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว มันก็น่าจะเป็นการตัดสัมพันธ์ให้ขาดแบบต่อไม่ติด ที่ไหนได้ จะเป็นโรคไม่กล้าจริง หรืออะไรสักอย่าง ความอึมครึมยังก่อตัวอยู่อีกหลายวัน คนนึงก็ทนท้นทน อีกคนก็เลยไม่รู้จะทำยังไง

ความเกรงใจก็คงต้องมีบ้้าง ด้วยอายุที่ต่างมากมาย แล้วความดี ความใจเย็น ความอดทน พยายามเข้าใจทุกอย่างก็ทำให้พายุลูกที่ทำความเสียหายมิใช่น้อยจากไป อะไรที่มันพังไปแล้วก็คงพังไป แต่ก็ยังพออยู่ต่อได้ แต่ก็อีก พอเรื่องหนึ่งคลี่่คลาย ปัญหาใหญ่ก็กลับเข้ามาเหมือนเคย ไม่รับโทรศัพท์ ไม่ไปตามนัด ไม่ชี้แจง ปิดเครื่อง แล้วยังพรุ่งนี้ล่ะ รับอาสาจะเป็นพรีเซนเตอร์ให้ อย่างน้อยก็ควรจะไปร่วมงาน หรือว่าถ้าจะไป ไปแบบงอๆ ทั้งปวดท้องและปวดอารมณ​​์ เพิ่มยาหรือนอนไม่รับรู้อะไรไปเลยดี

เล่นเกมส์อยู่หลายวัน ดาวน์โหลดสารพัดโปรแกรม นั่งเล่นไพ่ เอ๊ะ ใครที่ดูแลใครกันแน่

เพิ่งฟังมดดำกัับกฤษฎ์จัดรายการวิทยุผ่านช่องกรีนแชนแนลเป็นครั้งแรก คนเราเป็นดีเจนี่ก็ดีนะ พูดมันไปเรื่อยๆ เงินก็ได้ด้วยแฮะ

ไปนอนดีมั้ย อะไรลบๆ ที่เข้าหัวจังก็ลืมๆ มัน เล่นเกมส์ให้มันปวดหัวเหมือนเมื่อคืน ความรับผิดชอบใดๆ ไม่ต้องไปคิดถึงมัน

วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

อาชีพที่มีคนว่าเป็นได้

เมื่อสองคืนก่อนเพิ่งได้คุยกับผู้ให้เกียรติอ่านนิยายไร้พล็อตของฉัน คล้ายจะไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อท่านให้ความเห็นว่า งานของฉันถ้าจะให้เปรียบก็คล้ายๆ สุวรรณี สุคนธา

โอ้ แม่เจ้า!! ฉันมีสิทธิ์เป็นนักเขียนอาชีพกับเค้าด้วย! ข่าวดีนี้มาหลังจากฉันไปแรลลี่นักเขียนเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่เคยคิดเลยว่างานฉันจะเข้าขั้น แถมมีเสียงให้กำลังใจว่า อาจได้รางวัลซีไรต์ก็ได้นะ คนที่ได้ส่วนใหญ่ก็เขียนเป็นเรื่องแรกทั้งนั้น!

วันนี้รู้สึกว่าจะตกใจ (!) มากเกินจำเป็น!

คุณณรงค์บอกว่าเป็นนักเขียนแนวหน้าได้ (ในอนาคต) คุณนิเวศน์บอกว่าเป็นพิธีกรได้ (พูดเร็วไปหน่อย) แต่ตอนนี้ฉันว่า ฉันอยากได้อะไรที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ ก่อให้เกิดรายได้มากกว่า รายจ่ายเข้ามาเยอะแต่ก็เป็นรายจ่ายฝ่ายทุน เตรียมรับช่วงเวลาสูงสุดของชีวิตที่มีคนทำนายไว้ (ขอให้จริงเถอะ ซ้าทุ)

ฉันต้องเริ่มบรรเลงเรื่องต่อไปแล้วละสิเนี่ย :)