วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

ความคิดที่(ไม่)เป็นระบบ

ฉันนี่ช่างไม่มีระบบในเรื่องการใช้เวลาจริงๆ...

เมื่อคืนจำไม่ได้ว่านอนกี่โมง อย่างน้อยๆ ก็ต้องประมาณตีสี่ล่ะ หลังจากดูหนังรอบดึกและกินมื้อดึกคือ ชาบูชาบู เหมือนคืนนี้เช่นกัน คราวนี้นอนยาวเกิน 12 ชั่วโมงอีกครั้ง ตื่นมากินชาบู ชาบู แบบที่ไม่ใช่ตัวฉัน ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า side effect ของยาตัวใหม่คือทำให้ฉันอยากกินอาหารน้อยลง อาหารจำพวกแป้งลดไปเยอะมาก หน้าท้องฉันเลยคล้ายจะกลับมางามเหมือนเดิม

แม้ตื่นมาแล้วก็จะได้คิดเรื่องที่ผ่านไปแล้วอีกครั้ง ฉันก็ยังยืนยันว่าตัดสินใจดีแล้ว ไม่เช่นนั้นถ้าปล่อยให้ผลสรุปออกมาในรูปแบบอื่น ฉันเองจะรู้สึกไม่ดี หลายๆ เรื่องที่บอกตัวเองอย่างเข้าใจ ตอนนี้อารมณ์กับเหตุผลน่าจะไปในทางเดียวกัน เท่าทันกันแล้วล่ะเธอ

ตายแล้ว นี่ฉันเพิ่งนึกได้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมง ฉันต้องเอาหนังสือไปถวายพระเทพฯ นี่ลืมไปซะสนิทเลย แล้วยังนัดเจอพี่ที่แสนดี ที่ให้ความช่วยเหลือสารพัดมาเกือบปี ดีจริงๆ ที่นึกได้ไม่งั้นก็หมดโอกาสดีๆ อีกตามเคย แถมยังต้องเอาโบรชัวร์ไปฝากให้บูทของพี่เค้าแจกให้บรรณารักษ์เพื่อเพิ่มจากยอดขายปลีกอีกด้วย

ช่วงนี้ริเริ่มงานที่ไม่เคยทำ ให้กำลังใจตัวเองว่าทำได้ ทำเมื่อไหร่ หยุดทำเมื่อไหร่ก็ไม่กระทบกระเทือนใครๆ ให้แน่ใจว่าจะไม่แย่ไปกว่าเดิม คนเราไม่ค่อยรู้ตัวหรอก เมื่อก่อนไม่มีคนข้างๆ ตอนนี้มีคนรับรู้และให้ข้อมูลว่าฉันในระยะต่างๆ เป็นอย่างไร ฉันก็เพิ่งสังเกตุตัวเอง ว่าจากที่คิดช้า ขับรถช้า เป็นคิดเร็วขึ้น ขับรถเร็วขึ้นจริงๆ ฉันปล่อยให้สารในสมองกระตุ้นให้ฉันทำอะไรต่ออะไรไปตามฤทธิ์ของมัน เคยถามว่าพวกคนที่กินยาอี ดมโค้ก อาการมันเป็นยังไง ได้ความว่าตอนแรกๆ จะรู้สึกทุรนทุราย เมื่อผ่านจุดนั้นไปแล้วก็จะรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ฉันก็ถามต่อว่า แล้วถ้ากินไปแล้วพยายามใช้สติบังคับไม่ให้ฤทธิ์ของยามีผลใดๆ กับการกระทำล่ะ คนที่ใช้ยาจะสามารถบังคับตัวเองได้หรือไม่ ได้คำตอบว่าไม่ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า การเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในร่างกายของคนที่ระดับสารเคมีไม่สมดุลก็ยากที่จะฝืนตัวเองเช่นกันสิ (พยายามหาเหตุผลให้ตัวเองดูดีจริงๆ เรา)

เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่า การอยู่คนเดียวสบายใจที่สุด ไม่ต้องหวังอะไรที่จะไม่สมหวังเพราะเราสามารถกำหนดอะไรต่อมิอะไรได้ด้วยตัวของเราเอง แต่พอในยามเจ็บไข้ (ที่บางครั้งก็ไม่รู้ว่าไม่เหมือนคนอื่นๆ หรือทำอะไรไม่ถูกไม่ต้องอย่างไร) มีคนดูแล มีคนใส่ใจ รับผิดชอบเรื่องราวที่ปกติฉันต้องทำคนเดียว แล้วเขาคนนั้นก็ทำได้ดี ครัวของฉันเป็นระเบียบเรียบร้อย ต้นไม้ได้น้ำเขียวขจี มีคนให้คุยให้ปรึกษา กินอาหารได้หลายชนิดและอร่อยกว่าเดิม (เพราะเขาทำกับข้าวเก่ง) ความอบอุ่นจากอ้อมกอดที่ไม่บ่นว่าเมื่อยแขน สองมือประสานจูงกันเดินไปไหนต่อไหน ใครสักคนที่พยายามเข้าใจ ใส่ใจในความคิดและรูปแบบการกระทำที่แตกต่างจากคนอื่นของฉัน มีบทสนทนาที่คุยกันได้ยืดยาว และที่สำคัญเขาไม่บ่นปวดหัวกับถ้อยคำที่ไหลพรั่งพรูจนคอแห้งกระหายน้ำคั่นจังหวะเป็นพักๆ คนฟังที่บอกให้ฉันกินน้ำเพื่อดับกระหายแบบรู้ใจ คนที่ใส่ใจให้ฉันเปลี่ยนชุดเมื่อกลับบ้านเป็นชุดที่ใส่แบบสบายๆ ทั้งๆ ที่ตัวฉันเองยังไม่ได้ตระหนักหรือห่วงใยความรู้สึกตัวเองขนาดนั้น คนที่ฉันพูดคุยสารพัดเรื่องได้อย่างสบายใจ ไม่เห็นต้องมีอะไรปิดบัง คนเราโตๆ กันแล้วผ่านเรื่องราวมรสุมชีวิตมามากมาย มองโลกมองปัญหาอย่างคนที่เข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่ง มีล้มก็ต้องมีลุกในจังหวะเวลาที่เหมาะสม รอบคอบกับการกระทำในยามที่เวลาสุขงอม ถนอมความรู้สึกกันและกันให้มากขึ้น ไม่ดื้อดึงตามใจตัวเอง(จนเกินควร)

ฉันไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องการคาดหวัง ไม่อยากกะเกณฑ์อะไรให้อึดอัด อยู่ไปดูอารมณ์อย่าให้เกินทนนัก เพราะใครต่อใครก็มีลิมิตกันทั้งนั้น แล้วที่สำคัญเมื่อติดจะอยู่เป็นคู่แล้ว หากต้องจากกันไปไม่ว่าจะด้วยรูปแบบใดๆ ก็ยังต้องสามารถใช้ชีวิตเดี่ยวได้ดีเหมือนเคย

ฉันไม่แน่ใจว่างานการที่ปล่อยให้คนอื่นดูแลจะทำให้เขาเหล่านั้นลำบากมากเพียงไหน หรืออันที่จริงก็ควรจะตัดสินใจเช่นนี้ก่อนที่จะสายเกินไป เกินที่จะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้ได้ ความเห็นแตกต่างที่ไม่คิดว่าจะปรับจูนให้ไปในทางเดียวกันในที่สุด ก็จะได้ไม่ก่อให้เกิดความร้าวฉานกลายเป็นมองหน้ากันไม่ติด ขาดมิตรไปอีกกลุ่ม ฉันไม่ต้องการชิงดีชิงเด่นกับใคร ใครจะทำเหมือนเหยียบฉันไปเพื่อความเจริญก้าวหน้าฉันก็ไม่ขัดข้อง ฉันมีที่อยู่ที่ไปต่างจากหลายๆ คน ใครจะเห็นฉันโง่หรือเห็นฉันไร้ประสิทธิภาพ ฉันจะไปคิดให้มันหนักหัวทำไม เราไม่ควรไปให้ความสำคัญกับคนที่ไม่ได้คิดดีหรือต่อต้านความคิดของเรา ไม่มีใครที่หาคนแทนที่ไม่ได้

พอรุ่งเช้าจะจัดเวลาไปทำบุญให้คุณแม่ของคนข้างๆ ผู้ล่วงลับไปแล้ว ไปศูนย์สิริกิติ์จัดการเรื่องถวายหนังสือ พูดคุยกับพี่คนดี จัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ และแวะไปเจอพี่คนสนิทในท้ายที่สุด อาจจะหาทางปรับความเข้าใจกับรุ่นใหญ่อารมณ์แรงอีกครั้ง ทำอะไรไม่ต้องใจร้อนนัก บางครั้งเวลาที่ทอดยาวออกไปก็ทำให้อะไรๆ ดีขึ้นด้วยตัวของมันเอง

ไม่มีความคิดเห็น: