วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

ชีวิตและงาน...หักเลี้ยว

วันนี้ฉันสวย อิอิ...

น่าจะไม่ได้แต่งหน้ามาเกือบเดือน วันนี้ละเลงซะสวยพริ้งตามความคิดของฉัน หยิบเสื้อสีม่วงสายเล็กๆ ที่โยงจากช่วงหน้าอกไปพันไขว้กันด้านหลัง โชว์ทั้งหัวไหล่และแผ่นหลังที่ไม่กระด่างกระดำนักหลังจากที่ตัดใจเสียเงินหมื่นเป็นค่าทำเลเซอร์หลัง จริงๆ ทายาเอาก็ได้แต่นานหน่อย จริงๆ ก็เคยแล้วแต่มันไม่สะดวก ยาบางตัวเป็นกรดอ่อนๆ ก็จะทำให้เสื้อผ้าที่ใส่เป็นรอยด่าง เอาวะ ความใฝ่ฝันของฉันคือใส่เสื้อเปิดหลังสุดเซ็กซี่นี่นา

พี่ที่แสนดีบอกว่า "ดีแล้วไปงานรื่นเริง ไว้เจอกันวันหลังก็ได้ แต่ยังไงต้องไปเป็นพิธีกรให้พี่วันที่ 3 นี้นะ ห้ามเบี้ยวเด็ดขาด" ฉันก็กะประมาณเวลาว่าถึงวันนั้นน่าจะแอคทีฟกำลังเหมาะพอดี น่าจะรับปากและไม่ผิดนัดหรอกหน่า ยังไงวันที่ 26 ก็ตั้งใจจะเอาหนังสือเจ้าชายน้อยเลขกำกับ 0001 และ 0002 ถวายท่านอยู่แล้ว และเอาโบรชัวร์กำมะหยี่ไปฝากพี่ที่โคตะระดีแจกให้บรรณารักษ์ เห็นบอกว่า คนของพี่ดูแล้วรู้ว่าใครเป็นบรรณารักษ์ ก็ต้องเชื่อเค้าล่ะ

วันนี้ไปดูแฟชั่นโชว์ของพี่ที่โคตะระดีอีกคน เข้าใจคนและไม่มองคนในแง่ร้าย ฉันเกือบซวยไปทีนึงแล้วที่ไปคุยฉอเลาะกับแฟนที่เค้ามากเกินมาตรฐานคนทั่วไป แต่พอพี่รู้ว่าเรื่องที่คุยกันอย่างสนิทสนมก็คือเรื่องของพี่คนดีนั่นแหละก็เป็นอันเข้าใจว่าเราไม่ได้คิดจะไปแย่งของๆ ใคร น่ารักสมเป็นพีอาร์จริงๆ

ไหนๆ สวยแล้วต้องไปเฉิดฉายไฉไลที่ร้านประจำซะหน่อย เพราะเมื่อวานแวะไปกะจะเคลียร์บิลเซอสุดๆ กะว่าจะร้องเพลง คนข้างๆ นึกขึ้นได้ว่าสัญญาจะไปฟังเพื่อนเล่นดนตรี จึงจากลาโดยพลัน ไปถึงอีกที่ก็มาผิดอาทิตย์ สรุปแล้วเลยโชว์สวยได้แป๊ปเดียวเพราะตรงกลับบ้านเลย ก็เล่นหาวหวอดๆ เป็นสิบครั้งด้วยฤทธิ์ไวน์ขาวจากงานแฟชั่นโชว์ คานาเป้ก็อร่อยและมีดีไซน์ ฉันชอบปลาโอที่พันเป็นรูปวงกลมบนขนมปังวงกลมสีแดง หยอดด้วยมายองเนสและไข่ปลาแซลมอน ยังตับห่านและหอยเชลล์ที่ทำเป็นชิ้นเล็กๆ น่ารักและอร่อยสมบูรณ์แบบ ถึงกับต้องถามว่าเป็นอาหารจากที่ไหน แล้วก็ไม่แปลกใจเพราะสั่งมาจากโรงแรมโอเรียนเต็ล

อิ่มพอควรแต่พอกลับบ้านแล้วก็เริ่มหิว คนข้างๆ เลยจัดสลัดร็อกเก็ตกับปลาทูน่าให้ ดูแลฉันเหมือนเด็กๆ เลย เอามาให้แล้วก็บอกว่า "กินซะก่อนตอนมันเย็นๆ" ฉันก็ไม่ทำตามหรอก นั่งสาธยายความในแบบกระจ่างแจ้ง(รู้สึกว่าจะเกินไปด้วยมั้งนั่นน่ะ) พอดื้อได้ที่แล้วฉันก็นั่งคลุกปลาทูน่ากับผักสลัด คลุกได้สักพัก มีเสียงเข้าหูว่า "ไปเอาสเตย์ออกก่อนดีมั้ยจะได้กินสบายๆ " ไม่ปฏิบัติตาม แล้วต่อด้วย "นั่นยังไม่ได้นำ้สลัดเลยนะ" ฉันก็ว่า "เออ จริง" กินจนหมดแล้วก็บ่นๆ ว่า "หมู่นี้ไม่ค่อยอยากกินอะไร สงสัยจะเป็นผลข้างเคียงของยา" ซึ่งก็ดีไปน้ำหนักจะได้ลดลงเป็นสาวสะโอดสะองเช่นเคย ใส่กางเกงไม่ได้แล้วมันเปลือง เสื้อผ้าเมื่อยี่สิบปีบางตัวที่เก็บไว้จะได้หยิบมาใส่ได้ แฟชั่นมันก็เวียนไปเวียนมาแบบนี้แหละ วันนี้ฉันยังเอากระเป๋าสีม่วงมรดกตกทอดจากคุณป้ายี่ห้อเดียวกับแบรนด์ที่ไปดูแฟชั่นโชว์วันนี้มาใช้เลย ดูดีจะตาย เหมือนเป็นลูกค้ารุ่นแรกที่แรกรุ่นไปไม่นานนัก แค่เมื่อยี่สิบปีที่แล้วเอง!

เสียงของคนข้างๆ บอกให้หัดเขียนเพลง ได้เงินเร็วดี เขียนวันละเพลงก็พอ ฉันก็เอะ มันจะได้ขนาดนั้นเลยเหรอ แค่เขียนเพลงสมัยที่โดนหักอกครั้งกระโน้นเพลงเดียวจะเขียนได้เหรอนั่น จะเขียนนิยายก็ยังหาพล็อตไม่เจอ เขียนบล้อกให้มันถี่ๆ ขึ้นละกัน เดี๋ยวมันก็คงออกมาเอง เรื่องบริษัทสารพัดอย่างที่จะตั้งก็มีอันต้องล้มไปเมื่อศึกษาข้อมูลอย่างถี่ถ้วน บ้างก็รอให้เป็นรูปเป็นร่างก่อนแล้วค่อยตั้ง ก็คงต้องเป็นงั้นล่ะ ฉันเกี่ยวเฉพาะเรื่องเพลงที่จะทำเพื่อขายไปพร้อมหนังสือนั่นแหละ ส่วนคอนเสิร์ตนี่ก็ไม่ใช่หน้าที่ของฉันเหมือนกัน คนทำก็ไปคุยมา ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ทิ้งโอกาสไปซะ เดี๋ยวอะไรใหม่ๆ ก็เข้ามาเอง

คนข้างๆ นี่ใส่ใจฉัน "ทุกเม็ด" ไปเจอลูกก็พูดเรื่องรองเท้าให้ซักบ่อยๆ เรื่องนี้สำคัญนะ แถมยังไปบอกให้นักดนตรีในวงของลูกซ้อมเยอะๆ ฉันอดรนทนไม่ไหวได้ทีใส่ว่า "คอมเมนต์เตเตอร์" หลังกินสลัดฉันก็พูดให้ฟังเพราะเขาอยากเข้าใจ ฉันน่ะอายุกึ่งกลางระหว่างพ่อกับลูกพอดี น่าจะมีส่วนช่วยลดเจนเนอเรชั่นแกบได้สักนิดหน่า ฉันยกตัวอย่างฉันเอง แถมเปรียบเทียบเสร็จสรรพว่าเขาเหมือนทั้งผู้ให้กำเนิดชายหญิงของฉัน ให้เขาลองไปคิดดูว่า นานๆ เจอกันทีก็ติสารพัด เหมือนกรณีของฉัน พอเจอหน้าหรือได้คุยกันฉันก็รู้ได้โดยอัตโนมัติว่ากำลังจะโดนวิพากษ์วิจารณ์ ยิ่งกรอบเล็กยิ่งอึดอัด น่าจะพูดเฉพาะเรื่องใหญ่ๆ ไม่ต้อง "ทุกเม็ด" เพราะฉันก็ได้ยินอยู่บ่อยๆ เวลาโทรหาก็ถามเรื่องงานว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว ให้รีบให้เร่ง เมื่อวานตอนที่ไปฟังลูกเล่นดนตรีก็บอกว่า พัฒนาไปอีกหลายขั้นเพียงแค่การซ้อมเดือนเดียว สมาชิกในวงเข้ากันดีมีแววรุ่งอย่างเห็นได้ชัด ทำความรู้จักเพื่อนลูกคุยลงรายละเอียด คิดสรุปได้อย่างไรก็บอกฉันแต่ไม่บอกลูก กลัวจะเหลิง ฉันก็ว่า ใครชมลูกก็ไม่ดีใจเท่าคำชมที่ออกจากปากของพ่อแม่หรอก แต่ไม่ว่าเขาจะเชื่อฉันหรือไม่ ฉันก็จัดการให้ตัวเองไปเฉลยความในเรียบร้อยโรงเรียนเซนต์โยแหละ

อันที่จริงการที่ไปฟังลูกเล่นดนตรีบ่อยๆ มันก็เหมือนสมัยที่แม่ฉันไปเยี่ยมฉันที่ทำงานนั่นแหละ คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็อยากรู้ว่าลูกทุกข์สุขอย่างไร มีอะไรที่จะบอกจะเตือนได้บ้าง ถึงยังไงก็ยังมองว่าลูกตัวเล็กๆ อยู่เสมอ แต่กรณีของคนข้างๆ พอมีเหตุผลพิเศษเพราะพี่แกเป็นคนหูทิพย์ บอกได้ว่าเล่นดีร้องดีต้องปรับปรุงอะไร ไอ้ฉันก็ไม่รู้ว่า ฟังยังไงวะนั่น ตรูอยู่ด้วยไม่เห็นรู้เรื่องเลย รู้แค่ว่าเสียงร้องเปลี่ยนไป แต่พี่แกบอกเลยว่าทิ้งความเป็นร็อคที่ลูกชื่นชอบเสียสิ้นมาออกแนวแจ๊สแล้ว และเล่นได้แน่นมากสำหรับระยะเวลาการซ้อมแค่นี้ ให้มือเบสที่เช็ดของรักทั้งก่อนและหลังเล่นดนตรีไปเน้นซ้อมเรื่องจังหวะเพราะยังไม่ค่อยเข้ากับกลอง จับคำพูดและวิเคราะห์เสร็จสรรพว่าฉลาดยังไม่เลือกค่ายจนกว่าจะชัวร์ แถมท้ายถามเรื่องกีต้าร์ราคาเกือบแสนของหนุ่มหัวธุรกิจว่าเป็นของจริงรึเปล่า

ไม่แค่นั้นนะ ฉันยังยื่นกล้อง iphone ให้ไปถ่ายรูปสมาชิกทั้งวงด้วย เดี๋ยวลูกก็คงได้บอกเพื่อนๆ ว่า พ่อเคยเป็นทั้งช่างภาพมือโปรและเป็นโปรดิวเซอร์ให้ศิลปินใหญ่ที่เรียกได้ว่าสร้างผลงานอมตะมาแล้ว ทีนี้บทบาทพ่อคงจะได้ทดแทนด้วยภาพของโค้ชและผู้ดูแลศิลปินแทน มือกลองรู้สึกว่าจะรู้มาก่อนว่าพ่อนักร้องเป็นใคร ก่อนบรรเลงก็เช็คเครื่องเสียง ปรับจูนให้พอใจเป็นที่เรียบร้อย อย่าคิดนะว่าจะพ้นสายตาชื่นชมของ "คุณพ่อทุกเม็ด"

ระหว่างอยู่ในรถฉันก็เอ่ยถามเรื่องที่สงสัยว่าทนฉันได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เป็นคนหูทิพย์ขนาดนั้น คนอีคิวดีก็บอกว่า เวลาอารมณ์ไม่ดีก็ไม่ต้องไปฟังมัน อาศัยเดินหนี โอเคมั้ยล่ะ แต่ตอนอารมณ์ดีก็จับน้ำเสียงได้นะ ฉันคงจะต้องหัดทิ้งๆ คำพูด น้ำเสียงที่ไม่ดีอย่างเขาบ้างล่ะ ไม่ใช่เก็บมานึกทุกครั้งที่ดาวน์ จะว่าไปแล้ว เราก็เตือนกันอยู่เรื่อยนะ เมื่อวานเขาโมโหรุ่นใหญ่อารมณ์รุนแรงอย่างแรง เดินหนีแล้ว เดินฉับๆ มาตามฉันกลับด้วยสีหน้ามู่ตู้ กลับแล้วก็ยังยั้วะไม่หาย พูดถึงแต่เรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก ฉันก็ได้แต่บอกว่า จะพูดจะนึกมันทำไมนักหนา ไหนว่าไม่ให้ความสำคัญเขาไง ทำไมให้คำพูดครั้งเดียวตอกย้ำเหมือนพูดสักร้อยครั้งอย่างนี้ล่ะ

ดูเราจะเป็นคู่ที่ช่วยดูแลกันและกันดีนะ เธอว่ามั้ย

ที่ยังกลุ้มใจไม่หายก็เรื่องการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ต้องบอกให้คนสำคัญทราบในที่สุดเนี่ยแหละ เวลาอัพก็ดูดีซะจนสร้างความหวังให้เขาไปแล้ว เวลาลงดิ่งฉันเองยังใจหาย เขาก็ต้องใจหายกว่าฉันเป็นสิบเท่า เวลาฉันจะขึ้นจะลง ฉันก็เครียดตรงที่แคร์ความรู้สึกของเขาเนี่ยแหละ วันนี้โทรมาห่วงว่าอย่าออกไปไหนถ้าไม่จำเป็น การประท้วงจะยืดเยื้อทวีความรุนแรงและครอบคลุมบริเวณใดบ้างก็ไม่รู้ แค่ขบวนประชาชนผ่านถนนใหญ่ใกล้บ้านฉันก็รู้แล้วว่าเขาต้องเป็นห่วง แปลกเหมือนกันที่เขาเล่าว่าตอนนี้หัวเข่าไม่ค่อยดี เดินเหินไม่คล่องตัว ฉันเลยได้ที บ่นซะหน่อย อายุก็ขนาดนี้แล้วจะแอคทีฟไปถึงไหน กำลังจะใส่ว่าต้องรู้จักประมาณตนก็สะดุดเล็กน้อยว่า ไม่เหมาะมั้ง หนนี้จึงเป็นการโทรคุยกันแบบสันติ ฉันยังไม่ได้โพสต์ให้เช่าบ้านที่พัทยา เขาก็ไม่หงุดหงิดแต่อย่างใด พูดด้วยน้ำเสียงปกติออกจะปนๆ ดีใจด้วยซ้ำว่าโพสต์หน่อยเถอะ เห็นเค้าว่ามันหาคนเช่าได้ง่าย แล้วก็ตบท้ายด้วยส่งหนังสือให้พี่อีกคนที่เป็นเหมือนฉันอ่านนะ พี่เค้าอยากอ่าน

จบบทสนทนาที่ยิ่งย้ำเตือนเรื่องสำคัญที่ฉันขบคิดอยู่ ฉันก็ยังคิดไม่ออกว่าจะเริ่มต้นยังไง แต่แน่ๆ ต้องบอกข่าวดี คุยให้ฟุ้งไปก่อนแล้วค่อยๆ บอกว่าอะไรที่ทำอยู่มันยุ่งยาก ปัญหาเยอะ โบ้ยโน่นโบ้ยนี่ให้รู้สึกว่า ที่ตัดสินใจอย่างนี้เพราะมันหนักเกินไปสำหรับฉันและยังมีทางสว่างพื้นคอนกรีตอย่างดีรอฉันอยู่หากหักเลี้ยว...อีกครั้ง

พรุ่งนี้จะไปเอาสต็อกหนังสือที่ฝากไว้กับรุ่นใหญ่อารมณ์รุนแรงและยังต้องตามไปเก็บที่ฝากขายฝากไว้ ณ ที่ต่างๆ คงจะเป็นโอกาสให้เคลียร์ปัญหาค้างคาอันเนื่องมาจากความรัก ความหวังดีที่เขามีให้ ดูท่าฉันจะเป็นคนที่โดนหลอกง่ายเหลือเกิน มีคนเป็นห่วงโกรธแค้นแทนหลายคนจัง น่าภูมิใจรึเปล่าเนี่ย

ไม่มีความคิดเห็น: