วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ได้เวลาแล้ว!!!

ดาวศุกร์ย้ายเข้าธนูมาสองวันแล้ว ฉันพร้อมจะเจอกับเรื่องดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น :) ...

ฉันมั่นใจว่างานที่มองไว้จะได้ เพราะฉันเชื่อมั่นในผู้ร่วมงาน จากที่ดูข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต และแน่นอนที่งานใหม่ต้องเกื้อหนุนงานเดิม ถ้าปี 2552 เป็นปีที่ฉันได้ค้นหาตัวเอง ความคิดได้ตกผลึก ฉันก็คงได้พบได้เจอคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่คนอย่างฉันจะกำหนดให้ตนเองเป็นและช่วยเหลือสังคม หนังสือเป็นสื่อที่ให้ข้อมูลในเชิงลึก เหมาะสำหรับผู้ทีี่ได้รับการกล่อมเกลาให้อยู่ในรูปในรอยเรียบร้อยแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ยังหลงระเริงอยู่กับแสงสี รูปรสกล่ินเสียงสัมผัสที่เข้าถึงได้ง่ายกว่ามาก หากสำเร็จดังตั้งใจไว้ ฉันจะได้เริ่มต้นฉากชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง รูปแบบที่เข้าถึงคนส่วนใหญ่ได้มากขึ้น และเพื่อชักจูงคนเหล่านั้นให้เห็นคุณค่าของหนังสือ...สื่อสำคัญที่ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างถาวรและมั่นคง

ฉันไม่ได้ออกจากห้องเลย ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ตั้งแต่คืนวันที่ข้ามผ่านเป็นวันเกิดของคนสำคัญที่ฉันไม่รู้ว่าในใจของเขายังมีฉันเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด วันที่อย่างน้อย ฉัันควรจะไปอวยพร ร่วมแสดงความยินดีในวันเกิด แต่ฉันกลับนอนหลับทับสิทธิ์ ไม่ตื่นขึ้นมาให้ฟุ้งซ่านเลยทั้งวัน ทั้งคืน ฉันแอบหาเหตุผลให้ตัวเองว่า ของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดที่ฉันจะให้กับเขาได้ก็คือ อิสรภาพ เสรีภาพ ปลดปล่อยเขาไปจากใจฉัน แล้วถ้าเขาคือคนที่ใช่สำหรับฉัน เขาต้องกลับมา...

อาทิตย์นี้ฉันใช้เวลาเรียนรู้ ดูคลิปวิดีโอมากมาย อ่านหนังสือของนักเขียนคนโปรดคนล่าสุด มีความสุขกับสมบัติที่ล้ำค่าของฉันเพียงลำพัง เป็นการทำช่วงเวลาปลีกวิเวกให้ได้ประโยชน์สูงสุดในความรู้สึกของฉัน เรื่องราวที่ฉันรับรู้ เป็นเรื่องราวที่ผ่านมาเป็นปีของคนหลายคนในความสนใจของคนทั่วไป แต่ไม่ใช่ความสนใจของฉัน มาคราวนี้เรื่องของนิกกี้และนวล หมอลักษณ์ หมอกฤษณ์ และอีกหลายๆ คนที่น่าสนใจ รวมถึง ดร.อาจอง ที่เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนสัตยาไสโรงเรียนต้นแบบที่ฉันเคยรับรู้มาบ้างแล้วนั้น ได้รับการถ่ายทอดเป็น docudrama variety ในความดูแลของพระเอกในใจฉัน ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี ก็็ทำให้ฉันดีใจที่ผู้ชายคนนี้มีดีกว่าเพียงแค่เปลือก

ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะออกจากถ้ำ จัดการงาน กลับมาดูแลรับผิดชอบอะไรต่อมิอะไร มิเช่นนั้นท่านเจ้าสำนักกลับมาแล้วอาจจะหมดความอดทนกับรูปแบบวิธีการทำงานรวมไปถึงสันดานบางประการของฉัน

ใจจริงก็อยากจะปากโป้งบอกข่าวดีที่ฉันยังไม่ทันได้รับ แต่ก็มั่นใจเสียเหลือเกินว่าต้องได้รับโดยไม่เกิดความผิดพลาด ขอผลัดไปหน่อยละกัน เดี๋ยวจะหน้าแตกไม่ทันรับเย็บ แหะ แหะ

ฉันขอเริ่มต้นวันด้วยการไปวัดแขก ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวฉันเอง พร้อมๆ กับเปิดโอกาสให้สิ่งดีๆ ทั้งหลายเข้ามาในชีวิต ปีที่ฉันจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับหลานแท้ๆ เพียงคนเดียว น้องนีน ปลูกฝังให้เธอรักการอ่านและมีหนังสือเจ้าชายน้อยเป็นหนังสือเล่มแรกและหนังสือประจำชีวิต ก่อนที่ฉันจะขยายผลนี้ไปยังเด็กไทยคนอื่นๆ ฉันต้องทำให้หลานของฉันรักหนังสือให้สำเร็จซะก่อน

ฉันไม่ขอสัญญาอะไรมากมาย เพราะเป็นการผูกมัดให้ฉันอึดอัด ถ้าทำไม่ได้ยิ่งทุกข์ใจเข้าไปใหญ่ ปีที่ผ่านมา ฉันคาดหวังอะไรไม่น้อยทีเดียว อาจจะไม่เห็นผลในเชิงตัวเลขแต่ฉันได้เรื่อง awareness อันเป็นด่านแรกของทุกสิ่ง ฉันได้ทำบุญใหญ่ที่สุดในชีวิตโดยไม่ได้คาดหมาย และเชื่อว่าสิ่งดีๆ กำลังจะตามมา อุปสรรค ศัตรูจะพ่ายแพ้ จะได้รับโอกาสดีๆ มีผู้สนับสนุนช่วยเหลือ พร้อมๆ กับที่ความตั้งใจของฉัน คุณค่าของความเป็นมนุษย์ทีี่ฉันต้องการฝากไว้ให้กับโลกใบนี้จะค่อยๆๆ จารึกในความทรงจำของฉันและคนที่เกี่ยวข้อง นับจนถึงบัดนี้ ฉันถือว่า ชีวิตต่อจากนี้ไปคือกำไร ฉันอาจจะไม่ได้ทดแทนพระคุณพ่อแม่ในแบบที่ท่านคาดหวััง แต่ฉันได้ทำสิ่งดีๆ ให้กับครอบครัว คนรอบตัวและสังคมในลักษณะที่ฉันภูมิใจแล้วที่ได้เกิดมาในชาตินี้ บทสัมภาษณ์ในหนังสือขวัญเรือนเป็นความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของฉัน ความมุ่งหวังที่ฉันได้เอื้อนเอ่ยจะสมประสงค์ได้ถ้ามีคนที่เห็นด้วยช่วยกันทำให้เป็นจริงขึ้นมา และฉันกำลังจะทำให้เกิดกับหลานของฉันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ขอให้เกิดแต่สิ่งดีๆ กับคนในชีวิตของฉัน ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นมิตรหรือศัตรู ขอแผ่เมตตาให้ทุกๆ คน อโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย สิ่งใดที่ฉันทำให้เดือดร้อนทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ฉันขอโทษและหวังว่าทุกๆ ความสัมพันธ์ต่อจากนี้ไปจะมีแต่ดีขึ้นและมีแต่ความจริงใจให้กัน

ขอให้ทุกคนคิดดี ทำดี พูดดีและมีความสุขทุกๆ วันค่ะ

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มีแต่เรื่อง อิอิ

วันนี้ทำได้เกือบครบที่ตั้งใจไว้แน่ะ และยังแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตอนนอนนวดประคบอีกต่างหาก...

เมื่อคืนฉันนอนหน้าทีวี เปิดทีวีค้างไว้ด้วย เปิดประตูกระจกหน้าระเบียงรับอากาศบริสุทธิ์ นอนหลับด้วยวิธีนี้ก็ไม่ฟุ้งซ่านดีนะเธอ แถมเวลารู้สึกตัวก็บริโภคข่าวสารไปด้วยในตัว ดีกว่าฝันเรื่องโน้นนี้เป็นตุเป็นตะ ว่าแต่ว่า ถ้างั้นสงสัยต้องยกเตียงมาไว้ข้างนอก แล้วปรับเปลี่ยนห้องนอนเป็นห้องแต่งตัวแทนน่าจะเหมาะกว่า!!

เพราะทุกวันนี้ห้องนอนก็เอาไว้นอนกับแต่งตัว ถ้าลดหน้าที่ของห้องไปหนึ่งอย่างก็น่าจะทำให้ฉันมีที่ใส่เสื้อผ้าและอุปกรณ์ตกแต่งมากขึ้น (เป็นงั้นไป เฮ้อ!) แล้วโซฟาจะย้ายไปที่ไหนละเนี่่ย สรุปแล้วคงต้องทำเหมือนเดิม อะไรที่พอจะเอาออกจากห้องนอนได้ก็ย้ายมาไว้ข้างนอก ห้องนอนจะได้ไม่เหมือนห้องเก็บของ!! แล้วต้องซื้อทีวีไปไว้ในห้องอีกเครื่องมั้ยเนี่ยเรา จะตั้งไว้ที่ไหนละนั่น เฮ้อ (อีกที)

กลับมาเรื่องดีๆ ของวันนี้ดีกว่า ฉันไปหาหมอทัน (ไชโย) ก่อนหน้านั้นก็เก็บ/พับผ้า ดีที่ช่วงนี้ใส่แต่ชุดอยู่บ้านเลยไม่มีผ้าต้องรีด อุ่นอาหารมื้อเย็นมากินต่อจนหมด แล้วก็ไป La Villa ทำสารพัดธุระ เรื่องใหญ่ที่ไม่ได้ทำคือ ทำเล็บ ยังมีเวลาเหลือนาทีสุดท้ายบ่ายวันจันทร์ ตอนนี้เล็บที่ต่อเจลไว้มันก็หลุดไปเรียบร้อยแล้วหนึ่งนิ้ว ไม่นับที่ต้องนอนให้ซ่อมอีกหลายชั่วโมง คิดไปคิดมา ฉันคงจะทำเล็บ pr กำมะหยี่ต่อไป ดูเป็นผู้หญิงแต่งตัวที่มีสมองมั้ยเธอ

ที่ว่าฉันนอนให้นวดแบบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก็เพราะแฮปปี้ไปล่วงหน้าว่าจะได้รู้จักคนท่าทางนิสัยดีให้มากขึ้น นึกไปถึงบทสนทนา อากัปกิริยาที่น่าประทับใจ ตอนแรกฉันไม่คิดว่าจะมีใครผ่านเข้าประตูนี้มาได้แล้วซะอีก เพราะเขาคนนั้นต้องผ่านประตูใจก่อนจะถึงประตูสมอง แล้วส่วนใหญ่ ถ้าข้ามขั้นได้จะผ่านประตูสมองแต่ไม่ผ่านประตูใจ เฮ้อ!!

ฉันสวมวิญญาณเชอร์ล็อคโฮม(อาชีพเก่า)อีกเช่นเคย เวลาคนอื่นรู้แล้วจะตกใจ ทั้งๆ ที่ฉันไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องยากที่ตรงไหน ฉันแค่อาจจะตกอยู่ในมนตร์เสน่ห์ของการค้นหามากกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง บางคนหาข้อมูลใน google แค่หน้าหรือสองหน้าก็เบื่อแล้ว แต่ฉันคลิกไปดูเป็นสิบๆ หน้าได้สบายมาก แล้วก็เจอสิ่งที่ต้องการจะหาแทบทุกครั้ง

ครั้งนี้ก็เช่นกัน อิอิ

นอกจากเรื่องงานที่เป็นแพทเทิร์นเดิมซ้ำๆ น่าเบื่อๆ ที่ไม่ได้บอกให้ฉันรู้จักคนๆ นี้เพิ่มขึ้นไปจากหน้าที่การงานมั่นคงและดีมากที่รู้อยู่แล้วนั่น มีสองเว็บที่มีข้อมูลที่ฉันสนใจ เว็บที่บอกว่าฉันจะสามารถเห็นสมบัติส่วนตัวบางสิ่งของเขาจากหนังสือเล่มหนึ่ง และข้อมูลว่าสมบัติชิ้นนั้นของเขามีองค์ประกอบย่อยที่ใช้ของดีอย่างคนที่ใส่ใจในรายละเอียด

ฮ่า ฮ่า ฉันหาคนที่มีหนังสือเล่มนั้นเจอแล้ว!!!

ฉันเชื่อว่าของที่อยู่ใกล้ตัวใครจะบอกอะไรเกี่ยวกับคนๆ นั้นได้ไม่มากก็น้อย ขึ้นอยู่กับว่า เขามีข้อจำกัดใดๆ ในการเลือกสิ่งนั้นหรือไม่ สิ่งนั้นจึงจะสะท้อนความเป็นตัวตนของคนนั้นได้ในระดับต่างกัน

ฉันนั่งนึกรออยู่ว่าจะถามพี่คนที่มีหนังสือเล่มนั้นเมื่อไหร่ดี ถ้าแค่วันหรือสองวันมันจะเร็วเกินไปมั้ยเนี่ย!

ช่วงนี้ฉันต้องหาเรื่องอื่นให้สมองวุ่นวายมิฉะนั้นแล้ว จิตใจจะจดจ่ออยู่กับเรื่องนี้จนไม่เป็นผลดีกับตัวฉันเอง วันนี้ไปเอาจดหมายและพัสดุที่ส่งมาจากเมืองนอก มีอะไรมาทำให้ฉันไม่ว่างอีกกล่องใหญ่แล้วล่ะ หนังสือเล่มใหม่ก็กำลังจะออก หน้าปกปรูฟดิจิตอลออกมาสวยถูกใจ แต่ฉันยังไม่ค่อยรู้สึกลงตัวกับสายคาด คาดตรงไหนจะเหมาะที่สุดหว่า สักสองนิ้วจากขอบล่างด้านขวางท่าจะดีที่สุด แต่เอาให้แน่ รอดูม็อคอัพของจริงก่อนตัดสินใจดีกว่า หนังสือเล่มนี้ทำสำหรับคนที่รักหนังสือ เพราะฉะนั้นต้องใส่ใจทุกรายละเอียด หนังสือออกช้าก็ต้องรอจนกว่าจะพร้อมจริงๆ ฉันว่านะ (เจ้าสำนักรู้สึกจะเห็นด้วยนา)

แล้วก็กลับไปนึกถึงคุณพี่...ฉันตั้งชื่อว่าร็อกเก็ตละกัน เพราะอาหารมื้อแรกที่ร่วมโต๊ะกัน เขาสั่งร็อกเก็ตสลัด :)

วันนี้ฉันไปวางแผนบ้านน้องชายสนุกสนานกันใหญ่ เอ่อ ประมาณว่า

อยากได้พี่เขยดีๆ ป่ะ อยากได้ก็ช่วยพี่ด้วย

น้องสุดเลิฟถามว่า ไปดูรถไฟฟ้ามาหานะเธอรึยัง

ฉันตอบว่า ดูแล้ว น้องที่รักก็รู้แล้วว่าฉันควรจะมีศิลปะในการทิ้งผ้าเช็ดหน้าอย่างไร 555

ที่เหลือเรื่องข้อมูล น้องชายฉันส่งเมล์มาให้เรียบร้อย นอกจากจะทำเพื่อตัวเองแล้ว ยังต้องย่อยเป็นภาษาไทยส่งกลับไปให้น้องชายเป็นผลงานที่พี่สาวสุดที่รักเนรมิตให้อีกต่างหาก

อะไรมันจะลึกลับซับซ้อนนักนะเนี่ย!! ทำยังกะจะออกรบเลยอะ ว่างั้นมั้ยเธอ

ไปแระ มีอารมณ์อยากเล่าแล้วจะมาเล่าต่อนะ อิอิ

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มีความสุขกับตัวเองและโลกออนไลน์

ฉันกลับไปเป็นสาวไฮเปอร์แล้วนะครับท่าน...

ฉันตื่นมาเกิน 24 ชั่วโมงแล้วนะคะเนี่ย ไฮเปอร์ขนาดลุกขึ้นมาซักผ้า (แต่ยังขี้เกียจรีดอยู่ แหะ แหะ) กวาดบ้าน ล้างห้องน้ำ จัดของแบบย่อมๆ ทำกับข้าวและที่จะลืมไม่ได้คือ รดน้ำต้นไม้

ฉันดูหนังที่ซื้อไว้หลายอาทิตย์แล้วหมดซะทีคราวนี้ ก็มี Ghost Town, Once และ Sideways

นั่งเล่น Bejeweled จนอดรนทนไม่ไหว ซื้ออีกแล้ว จนได้เกือบแสนสี่ ติดห้าอันดับแรกในกลุ่มเพื่อนเฟซบุค ก็โอแหละ

หน้าที่ของฉันคือ พรุ่งนี้ต้องตื่นไปให้หมอทำเลเซอร์หลังให้ทันก่อนบ่ายสามและทำเล็บที่ใช้งานหนักเหลือเกิน เพื่อให้สวยพร้อมเจอหน้าผู้คนวันจันทร์และอังคารนี้ และงานอื่นๆ ที่กำลังจะตามมา อิอิ

ดีใจจังท่ีอารมณ์ดี หายขุ่นมัวจากสารพัดเรื่องราว ฉันไม่ตามไปคิดว่าใครบางคนมีแผนซับซ้อนกี่ชั้นหรอกนะ ยังไม่รู้ด้วยว่าจะเลือกทำอะไรสำหรับบางเรื่อง แต่ก็ไม่กังวล ฉันอยู่บ้านคนเดียวได้อยู่แล้ว ไม่มีอาการคล้ายลงแดงอย่างคนขี้เหงาขาดเพื่อนไม่ได้

เฟซบุคนี่ดีจริงๆ ทำให้ฉันไม่รู้สึกผิดว่าไม่ออกไปเจอหน้าเจอตาผู้คน ทักทายคนที่ไม่ได้เจอกันมานานต่างระยะเวลา ได้ยิ้มได้หัวเราะ ได้แบ่งปันเรื่องราวที่มีความสุข สนุกร่วมกัน

แฮปปี้จัง พรุ่งนี้ไปหาหมอๆ เสร็จแล้วต้องไปนวดด้วยเพราะลูกประคบร้อนที่แช่แข็งไว้จะหมดอายุในไม่ช้าสรุปว่า ฉันจะหาหมอหลัง หมอนวด หมอเล็บ จ่ายกับข้าว เช็คกล่องจดหมาย ตรวจปรูฟ และที่สำคัญ ฉันต้องซื้อที่เปิดขวดไวน์มาเปิดไวน์ดื่มแบบส่วนตั้วส่วนตัวซะที ได้ Brie อีกสักหน่อยก็ไม่เลว ว่าจะซื้อกุ้งมาไว้ผัดเล็กๆ น้อยๆ สักนิด แต่เมื่อใดที่ฉันซื้อเนื้อปูเป็นต้องรีบทำกินเดี๋ยวจะเสียทุกที

เพราะฉะนั้นนอกจากจะสรรหาทุกสิ่งได้ที่ La Villa แล้วก็ต้องไปชอป อตก. สำหรับของทะเลสดอีกหน่อย เอ หรือว่าฉันจะไฮเปอร์ขนาดนอนไม่หลับ ต้องไปเดินจตุจักรแต่เช้าตรู่ละเนี่ย!!!

กลับมาซะที ตัวตนดีๆ ของฉัน มารับขวัญวันดีที่จะได้เจอคนดีๆ เข้ามาในชีวิต!!!

:D

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความสงบภายใน Inner Peace

เป็นโชคดีที่ฉันซื้อ The Wisdom of Forgiveness รวมบทสัมภาษณ์ท่านดาไล ลามะ ที่อธิบาย Emthiness และ Interdependence และที่จะลืมไม่ได้คือ การให้อภัยในทุกๆ กรณี...

จริงๆ แล้ว เนื้อหาในเล่มก็ซ้ำไปซ้ำมา หากเข้าใจหลักที่ท่านดาไล ลามะต้องการสื่อแล้ว ก็อาจไม่ต้องอ่านจนจบเล่ม ฉันคิดว่าผู้เขียนคงไม่ได้มุ่งหวังเช่นนั้น เรื่องที่เข้าใจ บ่อยครั้งที่ปฏิบัติไม่ได้ (เช่น ฉัน เป็นต้น) เหลืออีกครึ่งเล่ม ฉันก็จะอ่านจบแล้ว เท่าที่อ่านมา ได้รับความรู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจทีเดียว แอบดีใจที่ฉันมีคุณลักษณะบางอย่างคล้ายกับทีี่ได้อ่าน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอ่านหนังสือเล่มนี้หรือไม่ ฉันถึงรู้สึกได้ถึงความสงบภายในมากกว่าวันก่อนๆ วันที่หัวใจของฉันสั่นไหวด้วยไม่ทันเตรียมใจรับรู้ข้อมูลเรื่องราวบางอย่าง

หลายวันที่ผ่านมา ก่อนนอนฉันจะนึกถึงภาพพระพุทธรูปที่ฉันยึดไว้เป็นที่พึ่งทางใจ ทำให้ใจสงบก่อนนอนทุกคืน ภาพพระพุทธรูปเมื่อหลายวันก่อนไม่นิ่งเลย นั่นเป็นสัญญาณว่า ฉันไม่สงบ ขาดความสุขทางใจอย่างแรง ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร นึกว่าฉันจะดีขึ้นแล้ว เอาเข้าจริงก็ไม่แคล้วอ่อนแอเช่นเคย

เมื่อคืนผู้ใหญ่เรียกหา ฉันไม่ไป ทั้งๆ ที่นึกได้ว่า เสียประโยชน์ไปหลายเรื่อง สำหรับเขาเหล่านั้นแล้ว การทำธุรกิจสำนักพิมพ์เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย แต่ฉันก็เลือกแล้วว่านี่คือ สิ่งที่ฉันรัก ชอบ มีความสุขที่จะทำ แต่คงจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำเมื่อฉันพร้อม ไม่มีใครในครอบครัวอยากเห็นฉันล้มลงอีก

ข้อดีคือ ลดความกดดัน แต่ฉันเอง แม้จะปฏิบัติตัวเช่นนั้น ก็ยังไม่แคล้วรู้สึกผิด ฉันฝันอยู่ทั้งคืนว่าไปขายหนังสือที่หน้าโรงหนังลิโด้ ตื่นขึ้นมาแล้ว ฉันก็ยังสงสัยตัวเองว่า ก็ทำไมไม่ไปซะเลยล่ะ มัวแต่มานั่งฝันแบบนี้ ไม่รู้กี่งานแล้ว

ช่วงนี้หนังสือปรัชญาทั้งหลายดูจะเหมาะกับฉันเป็นอย่างยิ่งในทุกๆ ด้านทีเดียวเชียว

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ผลตอบแทนที่ไม่เคยคาดหวัง

ช่วงนี้ฉันปลุกปั้นเด็กอยู่ 2 คน ไม่มีใครบอกให้ทำหรอก อยากทำก็ทำ ทำราวกับได้ประโยชน์มากมายมหาศาล แล้วก็อาจจะได้จริงๆ ด้วย...

คนแรก ใครๆ คงเข้าใจได้ไม่ยาก เพราะเธอมีศักดิ์เป็นหลานของฉันเอง ฉันนึกถึงบุญคุณที่แม่ของแกทำให้กับครอบครัวของฉัน ที่ต้องเรียกว่าครอบครัวเพราะเราเอื้ออารีย์กันมานาน เรื่องสำคัญๆ ก็คือ พี่ช่วยเหลือเกลาเรียงความที่ฉันส่งประกอบการสมัครเข้าเรียนต่อปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว (อายุมากจริงๆ เรา) พี่คนเดียวกันยังดูแล+ใช้งานน้องชายฉันตลอดมา อาหารอร่อยขึ้นชื่อ คนคอเดียวกันย่อมเข้าใจกัน บ้านฉันอิ่มท้องด้วยอาหารอร่อยที่พี่สรรหามาหลายครา กระทั่งร้านหนึ่งหุงข้าวได้อร่อย ก็ทำให้เราแวะไปเยี่ยมเยือน แล้วมันก็อร่อยจริงๆ ใครไม่เคยก็จะไม่รู้ว่าความแตกต่างเพียงนิด ทำให้ข้าวธรรมดาอัศจรรย์ได้ขนาดไหน ฉันยังนึกถึงข้าวสวยร้านนั้นมิรู้ลืม

นอกจากเรื่องกินเรื่องใหญ่แล้ว ฉันเคยช่วยพี่ตกแต่งอพาร์ตเมนท์พร้อมๆ กับที่พี่ให้โอกาสฉันแสดงความสามารถกับแม่ในยามชีวิตกำลังลอยละล่องไม่รู้ว่าจะไปทิศใดแน่ บางครั้งฉันก็ไม่แน่ใจว่าแม่คิดว่าฉันมีความสามารถหรือไม่ เลยทำให้ฉันต้องพิสูจน์อยู่เนืองๆ ด้วยกลัวว่าใครๆ จะมองว่าฉันเป็นคนไร้ความสามารถไปในที่สุด แต่ล่าสุด แม่พร่ำพรรณนาว่า แม่รู้ตัวว่าโง่มาก แต่ก็ไม่มากเกินไปหรอก ราวกับว่า ฉันปฏิบัติกับแม่เหมือนแม่ไม่ได้จบแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ อย่างงั้นล่ะ ใครจะไปว่าแม่โง่ได้ ฉลาดแกมโกงซะมากกว่า

เอาเป็นว่า เหตุการณ์ล่าสุดไม่เกินเดือนก็เป็นบทพิสูจน์ว่าฉันมีสติในยามที่สาวๆๆ อายุรวมหลายร้อยตกอกตกใจกับการพลัดหลงของแม่ที่มาเก๊า พร้อมกับพาแม่ลงเรือเฟอร์รี่ นั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพได้ก็แล้วกัน ส่วนที่ว่า ฉันจะเป็นโรคลักปิดลักเปิด ทำงานได้บ้างไม่ได้บ้าง อาการซึมเศร้าที่แสดงออกต่างแบบต่างวาระ ไม่ว่าจะหงุดหงิด อยากนอน ไม่อยากทำอะไรเลย ดูแต่หนัง หรือจะเอาแต่เที่ยว รวมทั้งลุกขึ้นมานั่งหาข้อมูลว่าฉันเป็นโรคบ้าอะไรกันแน่ จนอาฉันหมอที่เกษียณอายุแล้วตกใจ บอกว่ารายละเอียดของโรคที่ฉันส่งไปให้นั้น มีหมอเมืองไทยไม่กี่คนเคยเห็นเคยได้ยินมาก่อน แล้วก็เป็นอีกคนที่ยอมรับว่าฉันเก่ง มันคงต้องโอเคแล้วล่ะ ถ้าหมอ(อาชีพที่สุดแสนจะภูมิใจในตนเอง)ยอมรับว่าฉันเก่ง ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์ใดๆ ฉันคงจะเรียนรู้ได้ละนะ

พาออกนอกเรื่องจนไปถึงไหนแล้ว วกกลับมาที่หลานสาวคนเก่ง เพื่อนฉันที่ทำงานที่เดียวกันกับน้องก็ชมมาว่าน้องฉลาดและแอคทีฟ ไอ้ฉันมันของชอบอยู่แล้ว ส่งเสริมคนเก่ง ฉันแนะนำให้หลานคนดีรู้จักกับพี่ๆ ที่ฉันรู้จัก ด้วยอาชีพการงานของหลาน ยิ่งรู้จักคนมากยิ่งดี ผู้ใหญ่ก็รู้แกวฉัน ให้ความเมตตา ฉันได้แต่ย้ำว่า ช่วยไปบอกเจ้านายว่าให้ทำนามบัตรให้โดยด่วน ภายใน 1 วันจะเป็นการดีมาก แล้วฉันก็กุลีกุจอทำตนเป็นพี่ใหญ่ดูแลน้องคนใหม่ในวงการ

น้องอีกคนไม่ได้เกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่อะไรฉันช่วยได้ก็ช่วยจนคนคงงง ฉันเองยังงงตัวเองเลย น้องคนนี้ฉลาดไม่เป็นรองใคร อนาคตรุ่งแน่นอน ฉันเห็นใจน้องในหลายๆ เรื่องและก็เข้าใจความแตกต่างที่คนอื่นไม่เข้าใจ มันก็คล้ายพูดให้ตัวเองฟังนั่นแหละเธอ ฉันเคยอยู่ในสภาวะเดียวกับน้องมาก่อน ก็พูดอย่างคนที่จะพูดให้ตัวเองฟังถ้าสามารถนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปคุยกับตัวเองได้นั่นแหละ โชคดีที่น้องรับฟัง ไม่เหมือนคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรส่วนใหญ่ที่ไม่ชอบให้คนมาสอน ฉันเองไม่ได้ตั้งใจจะข่ม จะอวด เพียงแต่รู้ว่าตัวเองมีดีและไม่ดีอะไร จึงพูดอย่างมั่นใจ อย่างคนที่รู้จักตัวเองดี ผิดกับที่เราคนไทยถูกสอนมาให้ถ่อมตัว ฉันจะพังก็เพราะคนเกลียดและคนคิดว่าไม่เห็นหัวเขานั่นแหละ

ที่ว่าได้ประโยชน์มหาศาลจากน้องที่ทำอะไรให้ แนะนำให้รู้จักคนนั้นคนนี้ รับเป็นที่ปรึกษาปัญหาหัวใจ (จนวันรุ่งขึ้นฉันต้องนอนอยู่ที่ปั้มตอนขับรถกลับจากทำบุญเพราะง่วงจัดนั่นแหละ) หาสปอนเซอร์ให้หลายรายการ รวมทั้งช่วยแนะนำให้รู้จักกับผู้ใหญ่ที่อาจให้ความช่วยเหลือเรื่องงานที่กำลังริเริ่มคนนั้นด้วย

ใจจริง ฉันว่าจะงดกล่าวถึงผู้ชายคนนี้ เก็บความผิดหวัง เสียดายที่เขาเป็นคนแรกที่ฉันบอกรัก แต่กลับเป็นคนที่ไม่ควรได้รับส่ิงมีค่าของฉันสิ่งนี้ไปเลย

ถ้าไม่ได้น้องคนนี้ ฉันคงไม่ตาสว่าง มองเห็นความไม่ควรชื่นชมใดๆ ที่ฉันกลับมอบไปให้เสมอมา ฉันเสียดายความรู้สึกของตัวเอง เขาก็แค่ผู้ชายขี้เหล้า ไม่รับผิดชอบใดๆ แม้เพียงคำพูดของตัวเอง แถมยังทำให้ฉันรู้สึกพลาดอย่างแรงที่แนะนำให้น้องรู้จัก เพราะฉันเป็นแค่คนรู้จักคนหนึ่งในวงเหล้า เขาไม่คุยกันตอนกลางวันหรอก

เท่านั้นเอง

ฉันเองที่กลับรับอาสาช่วยเหลือคนที่รู้จักในวงเหล้า ช่วยงานที่เขาก็คงคิดว่าเป็นบุญคุณมากกว่าที่ให้ฉันมาช่วย โลกนี้หนอ ความรักที่ฉันมีให้เขา ที่ขยายตัวไปถึงเพื่อนๆ ของเขา สถาบันองค์กรที่มีความสำคัญกับเขา ช่างไร้ค่าในสายตาคนฉลาดของฉันจริงๆ

ของมีค่าของฉันไร้ค่าอย่างสิ้นเชิงในสายตาของเขา เหมือนๆ กับธนบัตรที่ถูกเหยียบย่ำ ไม่เป็นที่ต้องการของใครๆ แต่ฉันก็ยังมีค่าอย่างน้อยที่สุดเท่ากับค่าที่ระบุในธนบัตร แต่ธนบัตรฉบับนี้ นำไปแลกเป็นธนบัตรใบใหม่เอี่ยมได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ใส่กรอบและอยู่ในความครอบครองของคนใหม่ที่เห็นคุณค่า ธนบัตรนี้ก็มีค่าในสายตาใครๆ แม้ใครคนนั้นจะไม่เห็นมันอยู่ในสายตา

ขอบคุณบุญที่ฉันได้ทำ ความดีที่ฉันสะสมมา ในที่สุด ตาฉันก็เลิกบอดซะที

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ละเลยหรือไว้ใจ ปล่อยไปหรือผูกมัด

บทสนทนาสั้นๆ กับพี่ที่เป็นลูกเพื่อนสนิทของครอบครัวฉันทำให้ได้ข้อคิดอีกหนึ่งข้อที่น่าสนใจ...

ครอบครัวของพี่ปุ้ยและครอบครัวของฉันเราสนิทกันที่สุดแล้วแหละถ้าจะนับไป พ่อกับแม่ไม่ใคร่ชวนใครมาทานข้าวที่บ้าน เราเป็นครอบครัวนักวิชาการที่ไม่สังคมกับใครนัก เว้นแต่จะในระหว่างหมู่ญาติที่มากมายอะไรจะปานนั้น มีเพียงพ่อและแม่ของพี่ปุ้ยที่เป็นแขกประจำตลอดชีวิตฉัน ทั้งสองทำงานที่นิวยอร์คในช่วงเวลาเดียวกับพ่อและแม่ฉันอยู่ที่นั่น คล้ายว่าคู่นี้เป็นพ่อสื่อแม่ชักให้พ่อกับแม่ของฉันลงเอยกันในที่สุดเมื่อกลับมาทำงานที่เมืองไทย พี่ปุ้ยแก่กว่าฉันหนึ่งปี แต่ด้วยความที่ฉันเรียนเร็วแถมสอบเทียบด้วย ฉันเลยอยู่ในกลุ่มเพื่อนของพี่ปุ้ย รู้จักกับเพื่อนๆ พี่หลายคนจนคล้ายจะอยู่สาธิตจุฬาฯ รุ่น 24 ไปด้วย

พี่ปุ้ยเรียนหนังสือที่อเมริกาหลายปีจนกระทั่งจบปริญญาโท ในช่วงที่เป็นจุดหักเหของชีวิต ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์แนบแน่นจะรั้งให้อยู่ต่อหรือกลับมาใช้ชีวิตอยู่เมืองไทย ชายคนสำคัญก็ขอแต่งงาน แล้วชีวิตก็ดำเนินไปอีกรูปหนึ่ง ตอนนี้พี่ปุ้ยมีลูกสาวน่ารักหนึ่งคน ฉันถามไถ่พูดคุยเรื่องราวทั่วไปผ่านการสนทนาในเฟซบุคแล้วก็ได้รู้ว่า หลานน้าคนนี้เป็นเด็กที่น่าทึ่ง เธอตื่นนอน ทำอาหารเช้าเอง ทบทวนการบ้านก่อนที่แม่จะลุกจากเตียงด้วยซ้ำ ฉันถามพี่ปุ้ยว่าเลี้ยงลูกยังไงถึงได้สุดยอดแบบนี้ พี่ตอบมาคำเดียว

neglect 555

ฉันว่านี่คือการตั้งใจเลี้ยงแบบไม่ตั้งใจ หรือเรียกอีกทีว่า ไว้ใจให้ดูแลและเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องสอนเพราะเด็กไม่ทำตามสิ่งที่เราพูดหรือบอก แต่จะทำตามเราโดยที่ไม่รู้ตัว หรือเติมเต็มในส่วนที่ขาด ถ้าแม่เป็นคนชอบทำ ลูกก็ต้องเป็นคนรับบริการเพื่อการอยู่่ร่วมกันอย่างมีความสุข แล้วพอถึงคราว เด็กคนนั้นก็จะแสดงบทบาท "ทำ" อย่างที่เห็นมาเอง นั่นคือการมองโลกในแง่ดี มันก็อาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นกับทุกคน

ยังไงฉันก็เชื่อว่าหลานน้าคนนี้เป็นผู้หญิงที่มีความรับผิดชอบ ด้วยอายุประมาณ 10 ขวบเธอยังรับผิดชอบตัวเองได้ขนาดนี้ เมื่อเติบใหญ่เธอย่อมจะเป็นคนที่ดีของสังคมอย่างแน่นอน

+++

เขาว่ากันว่าความห่างทำให้ความรัักเบ่งบาน...

unfulfilled love is romance...

ฉันว่าความรักของฉันคงจะเบ่งบาน แผ่กิ่งก้านสาขาไปไหนต่อไหนแล้วละเนี่ย เห็นกันแต่ไม่ใคร่ได้พูดคุย รับรู้เรื่องราวของเขาผ่านคนอื่น วันนี้น้องปริญญาเอกเคมบริดจ์โทรมาเล่าให้ฟัง ขอเปลี่ยนความคิดเห็นที่ว่าเขาไม่คู่ควรกับฉัน หลังจากที่ได้คุยสนทนากันในเรื่องวิชาการ ฉันอดแปลกใจไม่หาย ทำไมเขาถึงเล่าเรื่องส่วนตัวให้น้องฟัง ฉันจะหลงตัวเองไปมั้ยเนี่ยว่า เขาพูดให้ฉันฟังผ่านน้องคนนี้

เมื่อคืนฉันร้องไห้ด้วยล่ะ ฉันคุยกับทุกคนได้อย่างสนิทสนมหรือบางทีออกจะเรียกได้ว่าเฟลิตในสายตาหลายๆ คน แต่พอเป็นคนสำคัญของฉัน ฉัันกลับทำได้แค่มองอยู่ไกลๆ มองว่ารถของเขาที่จอดคู่เคียงกับฉันออกไปรึยัง แล้วฉันก็ค่อยร้องไห้ซบอกน้องอีกคน ไม่รู้พล่ามอะไรไปบ้าง มันก็น่าแปลกมีหนุ่มอีกคนเลี้ยง sparkling wine แต่กลับมาคร่ำครวญกับอีกคนที่ไม่ได้พูดจา มองกันไปมาเหมือนปลากัด

แล้วก็กลับบ้านคนเดียวเหมือนเคย...

ไม่น่าสงสารอย่างที่ใครๆ คิดหรอกนะ บางครั้งเราก็สุขที่ได้เศร้า

Sometimes happiness and sadness come in the same package. It is up to us whether what we choose to remember. Happy December na ka. :)

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เพราะ Match Point

ปัญหาของฉันก็คือ ฉันเลือกแต่ผู้ชายที่จะทำให้ฉันเจ็บปวด...

ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่หน คนเราก็มักจะทำผิดในเรื่องเดิมๆ ก่อนตื่นนอนวันนี้ เป็นวันที่ความคิดฟุ้งซ่านของฉันมีประโยชน์ไปได้ยังไงเนี่ย

หนังเรื่อง Match Point เมื่อคืน สรุปสั้นๆ ว่าเป็นหนังที่พระเอกก็เลือกที่จะรักตัวเอง แม้ว่าจะต้องถึงกับฆ่าชีวิต 3 ชีวิตเพื่อความอยู่ดีของตัวเอง แม้มันจะไม่ง่ายขนาดนั้น แม้จะเสียใจ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็ไม่พ้น...รักตัวเอง ผู้หญิงอีกคนไม่ผิด และแล้วความดีก็ครองโลก ยิ่งดีผู้ชายยิ่งละอาย แต่กลายเป็นว่า ผู้หญิงดีต้องอยู่กับผู้ชายที่เลวที่สุด

ฉันต้องชั่วใช่มั้ยถึงจะได้ผู้ชายดีๆ ฉันคงดีเพราะฉันชอบผู้ชายเลว ตกลงมันดีหรือไม่ดีกันแน่

ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผ่านเข้ามาเรื่อยๆ วงจรอุบาทว์เวียนวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉันโชคดีเสมอที่มีลางบอกเหตุ มีคนเตือน จะว่าไปแล้วก็ทุกครั้ง แต่ฉันก็ยังดื้อ เชื่อตัวเอง ดึงดันที่จะเสี่ยงแล้วก็เจ็บตัว แต่ทำไมฉันเจ็บแล้วไม่เคยจำ ไม่เคยนำมาเป็นบทเรียน แก้ไขให้ความสัมพันธ์ครั้งต่อไปดีขึ้น

แต่ฉันคงไม่ดีจริงๆ หรอก เพราะถ้าฉันดี ป่านนี้ผู้ชายเลวก็คงไม่ปล่อยฉันให้หลุดลอย คงจริงดังคำญาติผู้ใหญ่ของฉันคนหนึ่งที่ภูมิใจว่าสามีชอบทำเรื่องไม่ดีครบสูตร ไม่ยอมหย่า ทำให้เธอภูมิใจที่สามีรักและเห็นคุณค่าของเธอ ฉันแปลว่า นั่นคือ low self-esteem หรือจะแปลว่า ไม่มีตัวตน ถ่อมตัว ไม่หลงตัวเอง

ทุกอย่างมีสองด้านอยู่ที่เลือกจะมอง

ฉันเห็นทั้งผู้หญิงที่เลือกมีชีวิตแบบแรกและผู้หญิงที่เลือกมีชีวิตโสดเพราะรักตัวเอง ไม่แค่นั้น ยังเห็นชีวิตที่ทั้งรักตัวเองและ low self-esteem แต่เธอคนนั้นก็เลือกที่จะทำสิ่งอื่นทดแทนความรู้สึกด้อยของเธอ ด้วยเห็นว่านั่นจะทำให้เธอมีค่าพอที่ผู้ชายเลวที่เธอรักไม่ทิ้งเธอไป เธอเลือกจะเป็นผู้นำครอบครัว อดทนกับพฤติกรรมเฉยเมยของสามีที่เธอเลือกจะแปลว่า เขาแสดงความรักไม่เป็น แต่แล้วในที่สุด ผู้ชายคนนั้นก็รู้ว่า ไม่มีใครรักเขาเท่าผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว คล้ายจะเป็นความรักแบบไม่มีเงื่อนไขที่เขาขาดไปในวัยเด็ก แต่ระยะเวลาหลายสิบปีแห่งความขัดแย้ง ทุกข์ทรมานก็ทำให้ในที่สุดแล้ว ต่างคนปรับตัวเข้าหากัน ยอมรับในข้อเสียและมีความสุขกับข้อดีของกันและกัน

คนทีี่เลือกชีวิตโสดจนที่สุด เธอไม่ใคร่ทำอะไรให้ใคร พอๆ กับที่ไม่ต้องการให้ใครมาทำอะไรให้เธอ คนที่ทนผู้ชายเลวที่สุดรวยที่สุด แล้วเธอก็ใช้เงินซื้อหาความสุขให้เธอและคนรอบตัว น้ำใจความห่วงใยที่เธอมีให้คนรอบข้างทำให้มีแต่คนรัก ผู้หญิงสองคนนี้รักกันมากแต่ทนมีกันและกันด้วยความเชื่อที่ต่างกันสุดขั้วไม่ได้ ฉันได้เห็นความไม่ดีในตัวผู้หญิงที่ดูเหมือนจะดีที่สุดในโลกคนนี้เมื่ออยู่ใกล้กับผู้หญิงโสด และฉันเห็นความอ่อนไหวอย่างที่สุดภายใต้ท่าทีแข็็งกระด้างที่ใครๆ เห็นและมองว่าเป็นกิริยาอาการที่ไม่น่าชม

ฟ้าเมตตาให้ฉันเห็นชีวิตบั้นปลายของผู้หญิงทั้งสามแบบ ฉันมีข้อมูลพร้อมเพื่อจะเลือกว่าฉันจะเป็นผู้หญิงแบบไหน แต่ฉันก็ยังมีปัญหาคาใจเพราะเหตุผลและความรู้สึกไม่ไปด้วยกัน

ัฉันยังไม่รู้ว่าจะทำยังไง...

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วันสนุกไม่ทุกข์แล้ว!

ตามสัญญา เขียนว่าจะกลับมาเล่าให้ฟัง แล้วก็มีเรื่องน่าเล่าให้ฟังจริงๆ...

ผู้ใหญ่เรียก ก็ควรต้องไป แต่เพื่อไม่ให้เสียเที่ยว ฉันก็เลยโทรไปชวนน้องปริญญาเอกเคมบริดจ์ซะด้วย น้องจะได้รู้จักกับผู้ใหญ่ซึ่งควรจะให้คำปรึกษา ให้มุมมองในการแก้ปัญหาได้ดีกว่าฉัน

ไปถึงร้านประจำเจอพี่หมอนวดกิตติมศักดิ์ ฉันแซวทันทีว่าพี่ผู้ใหญ่ที่ว่าต้องขอให้นวดคลายกล้ามเนื้อให้แน่เทียว คุยไปคุยมา กลายเป็นว่า พี่ผู้ใหญ่คนเดียวกันนี้แหละที่โทรไปตามตัวพี่หมอให้มานวดจริงๆ แล้วก็รู้จากลูกสาวพี่ทางเฟซบุคว่า พี่เธอเจ็บมือ นิ้วชา ตัวเองป่วยจะไปรักษาให้คนอื่นได้ไงเนี่ย ได้ทราบว่าค่อยยังชั่วแล้ว หมอคนเก่งรักษาตัวเอง เวลาเราเจ็บหรือเมื่อยที่จุดไหน ต้องไล่ต้นสายปลายเหตุให้ถูก ไม่ใช่นวดผ่อนคลาย ณ จุดที่ปวดอย่างเดียว เหมือนๆ กับเวลาเราเจอปัญหา ต้องแก้ที่ต้นตอสาวให้ลึก ไม่เช่นนั้นปัญหาเดิมก็จะเกิดขึ้นซ้ำซาก

ไม่ช้าไม่นานพี่ผู้เชิญชวนก็ปรากฎตัวพร้อมสาวหน้าใหม่ เอาอีกแล้วตกหลุมรักมาตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว พี่แกชอบพูดเล่นจนฉัันไม่รู้ว่าอันไหนจริงอันไหนเล่นกันแน่ แล้วก็อย่างที่คาด มาถึงก็ให้พี่หมอนวดบั้นเอวให้ทันที

แล้วเหล่าสมาชิกก็ผลัดกันขึ้นเวทีร้องเพลง มีเพื่อนรุ่นน้องของพี่หมอมาใหม่ สนิทสนมรวดเร็วคล้ายรู้จักกันมานาน พอขึ้นเวที โอ้ ว้าว คุณน้องเล่นร้อง sex bomb, she bang ร้องดีซะด้วย เมื่อคืนเลยเป็นคืนที่สนุกสนานเฮฮามั่กมากกกก ส่วนฉันก็ร้องเพลงตามคำขอ ห้ามทิ้ง, รักแท้...ยังไง คุณน้องงงจัด ถามว่า นี่ลดวัยไปอายุ 25 เลยเหรอเนี่ย แหม มันก็เหมือนๆ เคย ถ้าวันไหนฉันแต่งตัวเด็ก ฉันก็ร้องเพลงสุนทราภรณ์ซะงั้น วันนี้แต่งเป็นผู้ใหญ่คล้ายไปงานมา ก็ร้องเพลงวัยรุ่นซะ

เรื่องที่ฉันกรี๊ดกราดมากคือ ฉันเจอพี่รุ่นใหญ่อดีตนางงาม แม่ของสามีดาราที่ลูกชายของคุณแม่คนนี้สุดหล่อและแสนดี ฉันนี้ไม่มีการอาย เข้าไปชมลูกชายคุณแม่แบบประชิดตัว "คุณแม่ขา ลูกชายคุณแม่หล่อและดีมากกกกค่ะ คุณแม่ไม่มีให้หนูอีกสักคนเหรอคะ" คุณแม่คนดีก็รู้ว่าลูกชายเป็นจริงดังว่า "เออ ลูกพี่ดีจริงๆ"

มีพี่อีกคนที่อยู่ในก๊วนคุณแม่ลูกหล่อเข้ามาถามว่าฉันชื่ออะไร แล้วเราก็ตระกูล อ. เหมือนกัน ดีใจจังที่พี่อยากรู้จักฉัน แล้วก็หวังว่าวันหลังจะได้พบกันใหม่ สงสัยฉันคงเลิกไปร้านประจำไม่ได้ดังที่ตั้งใจไว้เป็นแน่แท้ เฮ้อ!

เรื่องเล่าวันนี้คงจะไม่สมบูรณ์ถ้าไม่เล่าเรื่องอีตานั่น คนใกล้ชิดของฉันอย่างน้อย 3 คนบอกว่า ฉันควรจะได้คนที่ดีกว่านี้ และนั่นก็รวมน้องปริญญาเอกที่เพิ่งเจอเป็นครั้งแรกด้วย จะว่าไปแล้วไม่รู้ว่าเขารู้ตัวรึเปล่า ถ้าเขาได้มาอ่านบทความของฉัน และได้รับรู้ว่าคนอื่นๆ คิดยังไงกันบ้าง อาจจะช่วยให้เขาลงมาติดดินอีกนิด จริงอยู่ เขามีสาวในสต๊อกมากหลาย แต่ฉันก็รู้ในคุณค่าของตัวฉันเอง ใครไม่เห็นค่าก็เป็นเรื่องของเขา มันไม่ได้ทำให้คุณค่าของฉันลดลงเลย

อีตานั่นก็มาจริงๆ แล้วในเมื่อเขาเลือกจะมองดูจากมุมไกล ไม่เข้ามา ก็ช่วยไม่ได้ ฉันก็มีสังคมมีเพื่อนของฉัน ฉันไม่ใช่คนที่ไม่มีทางเลือก จะมีหรือไม่มีเขาก็ไม่ได้มีผลอะไรนักกับคืนแสนสนุกของฉัน

555

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

งานวันเกิดโมนา

รู้สึกสบายใจจังที่สามารถเขียนชื่อคนที่ฉันกล่าวถึงได้ ด้วยว่าเขาเหล่านั้นไม่ใช่คนไทย หรืออีกทีก็ไม่ใช่คนในแวดวงของฉัน...

หลายครั้งที่นึกอิจฉามาดามมิว ชีวิตของเธอเกี่ยวพันกับคนต่างภาษา ต่างเมือง ต่างวัฒนธรรม เวลาจะเขียนบล้อกเกี่ยวพันกับใครก็เขียนได้ไม่ต้องกังวล อันทีี่จริงก็ใช่ว่าคนที่ฉันเขียนถึงจะไม่ดี แต่ถ้าจะให้เขียนจากใจต้องไม่ระบุชื่อเสียงเรียงนาม การที่ฉันเล่าเกี่ยวกับบุคคลใหม่ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตฉันในงานวันเกิดที่ว่า เลยทำให้ฉันคลายความรู้สึกอึดอัด กะว่าคิดอะไรได้ก็จะเขียนอย่างนั้นล่ะ แม่โมนาอย่าจับหน้านี้แปลเป็นภาษาอังกฤษละกัน เพราะเธอเป็นคนไวต่อความรู้สึกมาก ฉันไม่อยากจะมานั่งปลอบใจ อธิบาย

ฉันรู้ว่าถ้าฉันปฏิเสธไม่ไปงานวันเกิดของเธอเหมือนพี่ยิ้ม นั่นคงกระทบกระเทือนจิตใจเธอใช่น้อย พี่ยิ้มไประยองฉลองวันเกิดน้องสาวที่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่กับสามีเลี้ยงดูลูกสองคน ฉันไม่ได้รู้ล่วงหน้าหรอก รู้จากน้องเปิ้ล หรือแอปเปิ้ลที่โมนาชอบเรียก อันว่าน้องเปิ้ลก็จำฉันได้จากการเจอกันเพียงครั้งเดียวพร้อมพี่ยิ้ม ฉันไปถึงบริเวณคอนโดของโมนาเร็วไปร่วมครึ่งชั่วโมง ถือเป็นโอกาสดีที่ฉันจะได้ซื้อของเข้าบ้าน ช่วงนี้ป๊อปคอร์นเป็นอาหารโปรดของฉันระหว่างดูสารพัดหนัง นึกขึ้นได้ว่าฉันซื้อกีวีมานี่ สงสัยต้องเอามากินซะตอนนี้แล้วแหละ ยังเสียดายไม่หายทีฉันลืมซื้อสก๊อตไบรท์อันใหม่ อันเก่ามันรุ่งริ่งเหลือเกินแล้ว คงต้องออกไปซุปเปอร์ฯในวันสองวันนี้แหละ จะได้ซื้อเนื้อสัตว์และผักมาตุนไว้ด้วย ใครจะเชื่อว่าฉันอยู่ห้องได้ทั้งอาทิตย์ อันที่จริงถ้าไม่ต้องพบเจอใครอีกเลยในโลกนี้ก็ไม่ได้ทำให้ฉันเดือดร้อนแต่อย่างใด น่าแปลกจริงๆ ที่ไม่ว่าใครก็แปลกใจในเรื่องนี้

ฉันออกจะมีความสุขในความสงบจากการอ่าน The Alchemist เหลือเกิน ฉันคงต้องซื้อหาหนังสือของผู้แต่งเรื่องนี้มาอ่านให้ครบทั้งชุด คุณ Paolo เขาเขียนแบ่งประเภทหนังสือของเขาไว้เรียบร้อย เล่มที่ฉันเพิ่งอ่านจบอยู่ในหมวด wisdom ล่ะเธอ คำคมเพียบ

ย้อนกลับไปวันเกิดโมนาอีกครั้งก่อนจะไถลไปเรื่อยอย่างนี้ วันนั้นฉันอัดยาเต็มที่แต่ก็ไม่แคล้วรู้สึกคล้ายน้ำมูกจะไหลอยู่เสมอ อีกทั้งเจออากาศเย็นข้างนอกและในซุปเปอร์มาร์เก็ต แหม ก็ชุดของฉันวันนัั้นต้องเซ็กซี่ตามคำขอของเจ้าของวันเกิด ชุดสีเขียวสดใสแบบเดียวกับชุดสีขาวอันลือลั่นของมาริลีน มอนโร ซึ่งเธอจะได้เห็นรูปถ่ายที่ฉันดัดจริตทำท่าเลียนแบบผู้หญิงอันเป็นตำนานความเซ็กซี่ของโลก

เจอน้องเปิ้ลที่หน้าซุปเปอร์ฯ เราสองคนก็พากันเดินไปที่ห้องชุดของโมนา แม้ฉันจะเสียเวลาซื้อของเข้าบ้านอยู่พักหนึ่งพร้อมทั้งไม่ลืมหยอดสตางค์ใส่กล่องรับบริจาคให้เด็กยี่สิบบาท แต่เราก็ยังเป็นแขกกลุ่มแรกที่ไปถึงงาน

น้องชายหน้าตาไม่เลวที่มีหุ่นไม่เลวอีกเช่นกันของโมนาเปิดประตูทันทีที่ฉันกดกริ่ง โมนาคงกำลังแต่งสวย พ่อของเธอที่ฉันเคยร่วมงานด้วยมาต้อนรับ ชวนคุยอยู่ครู่หนึ่ง เขาถามความคืบหน้าเรื่องโครงการที่เกี่ยวกับส่วนงานวัฒนธรรมที่ฉันได้รับข้อเสนอพิเศษสุดที่ไม่คาดคิด แต่งานทุกงานมีลำดับของมัน งานนี้ยังไม่ถึงเวลา และฉันเองก็ยังหาจังหวะที่จะคุยเป็นเรื่องเป็นราวกับโมนาไม่ได้

ฉันรีบมอบของขวัญให้โมนาทันทีที่มีโอกาส วันนั้นเธออยู่ในชุดผ้าบางเบาสีออกโทนน้ำตาลหลวมๆ พรางรูปร่างที่เธอไม่ค่อยพอใจและชอบเปรียบเทียบกับฉันเป็นประจำ ยังดีที่เธอไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ไม่อยากอยู่ใกล้คนที่ทำให้ตนเองดูด้อยลงไปถนัดตา เป็นโชคดีที่เธอมองลึกไปกว่าเปลือกที่ใครๆ มองกัน ฉันแวบนึกถึงวันที่ฉันไปงานปาร์ตี้คาวเกิร์ลกับเจ้าหล่อน ที่หล่อนเข้าใจเจตนาดีของฉันเบื้องหลังการกระทำหลายอย่างที่คนมองว่าผู้หญิงดีๆ ไม่ควรทำ

ของขวัญที่ฉันมอบให้โมนาในวันนั้นมีสามชิ้น หนังสือ "หมู" ที่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้หรอก แต่ฉันดันสั่งจาก amazon.com มาสองเล่ม จะว่าไปแล้วมันก็ไม่เลวหรอกที่จะให้หนังสือที่ถือได้ว่าเป็นอาหารสมองกับเพื่อนคนหนึ่ง ของขวัญชิ้นที่สองคือกระเป๋าสานวาดเป็นลายเสือสุดเปรี้ยวที่ฉันได้มาจากเชียงใหม่นานแล้วแต่คิดว่าน่าจะเหมาะกับเธอ สุดท้ายคือ ไฟล์ Gossip Girl season 3 ทั้ง 7 ตอน รู้สึกเธอจะ "บ้า" ซีรีส์เรื่องนี้ไม่น้อย ถึงกับเรียกฉันว่า เซรีน่า คนดังผู้นำแฟชั่นในเรื่อง

โชคดีมากที่ฉันเห็นของต่างๆ ที่เหมาะกับโมนา บางคนฉันยังไม่สามารถมองไปที่ของใดแล้วเห็นว่าเหมาะกับคนๆ นั้นได้เลย เช่น คุณมิว เป็นต้น พอจะกล้อมแกล้มเป็นข้อแก้ตัวท่ีไม่เคยซื้ออะไรให้คุณมิวเลยได้มั้ยหนอ ดูเป็นคนเห็นแก่ตัวจังที่รับอยู่ฝ่ายเดียว แหะ แหะ

ไม่นาน แขกกลุ่มใหญ่ก็เข้ามาในงาน อิซาเบลอาจารย์สอนภาษาฝรั่งเศสจนโมนาได้ประกาศนียบัตร เพื่อนสุดตลกที่พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องแต่เป็น Managing Director ของบริษัทแห่งหนึ่ง แม่บ้านลูกหนึ่งชาวเวียดนามที่เคยลงเรียนคอร์สภาษาฝรั่งเศสพร้อมกับโมนาและกาสปาล ผู้ชายไทยชื่อฝรั่งเศสที่พาแฟนซึ่งฉันลืมชื่อไปแล้วมาด้วย สรุปได้จำนวนแขกของโมนาทั้งหมด 7 คนรวมฉันด้วย ไม่มากไม่น้อย ฉันเองยังอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเป็นงานวันเกิดฉันจะมีคนมาขนาดนั้นมั้ยนั่น อาจจะมีคนงง ฉันออกจะรู้จักคนเยอะแยะ แต่ฉันไม่ค่อยอยากบังคับใคร แล้วก็ไม่อยากจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแขกต่างกลุ่มทำความรู้จักกันเอง เพื่อนของฉันไม่ได้อยู่ในสังคมเปิดเหมือนกัน ความหลากหลายของเพื่อนฉันทำให้ฉันเลือกจะเป็นคนปรับตัวเวลาเจอเพื่อนแต่ละกลุ่มเอง

แม่ฉันก็บอกเหมือนกันว่าให้เชิญเพื่อนมาเที่ยวบ้าน รู้สึกจะมีแค่ป้าอู๋ พี่ิยิ้มและคุณมิวเท่านั้นที่เคยไปบ้านฉัน คุณมิวถือเป็นแขกในงานลอยกระทงที่ฉันเองยังรู้สึกว่าไม่ได้ดูแลเต็มที่ ด้วยมีญาติอีกหลายสายที่ต้องดูแล ฉันยังจำได้ว่าปล่อยให้คุณมิวนั่งอยู่กับญาติฉันคนเดียวตั้งนาน ดีที่เธอไม่ต้องยึดติดกับใคร อยู่ได้ด้วยตัวเองแถมยังทำหน้าที่ตากล้องกิตติมศักดิ์ให้อีกต่างหาก ฉันเลยได้รูปสวยๆ ไปอวดใครต่อใครอีกมากมาย

ฉันบอกแม่ไปว่า เพื่อนของฉันส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่เพื่อนสมัยเรียนก็จะเป็นผู้ใหญ่ชนิดที่ใหญ่จนเขาเหล่านั้นหรือจะมารวมตัวกันที่บ้านฉัน คนตัวเล็กนิดเดียว อีกทั้งถ้าเขาเหล่านั้นมา อาหารการกินก็ต้องทำแบบพิเศษ แม่ฉันไม่หัวใจวายตายกับราคาไวน์ที่ต้องนำมาบริการหรือนั่น

อะ กลับมาที่แขกเจ็ดคนในงานวันเกิดโมนาซะที อาจารย์อิซาเบลเกลียดเฟซบุคเป็นชีวิตจิตใจ มีการแลกเปลี่ยนความคิดกันเล็กน้อยแล้วฉันก็คิดได้ว่า หัวข้อสนทนาอื่นดูจะเหมาะกว่าเยอะ โชคดีที่ฉันมีอะไรเกี่ยวกับฝรั่งเศสเช่นเดียวกับเพื่อนกลุ่มนี้ เว้นแต่น้องเปิ้ลเท่านั้นที่ไม่ได้ร่วมวงสนทนา แต่น้องเปิ้ลก็อยู่ในกลุ่มผู้อยู่อาศัยในย่านที่ดี หลายคนอยู่แถวรัชดาแล้วเขาก็ชมกันเองว่าบ้านเขาอยู่ใกล้โพไซดอน เอ็มมานูเอล และสถานบันเทิงสำหรับผู้ชายที่เอาชื่อเทพกรีกมาตั้ง สรุปว่าวงสนทนานี้คนที่ "อิน" คือคนที่พูดฝรั่งเศสและอยู่รัชดา!!

ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารมี 4 ภาษา ฮินดี ไทย อังกฤษและฝรั่งเศส โมนาเองคุยกับคนไทยด้วยวลีที่มีคำทั้งภาษาฝรั่งเศสและไทย ให้มั่วกันไปหมด เราคุยกันเรื่องความยากของภาษาฝรั่งเศสเทียบกับอังกฤษ ฉันโต้ทันควันว่า เพศหญิงและเพศชายในภาษาฝรั่งเศสยากที่สุดชัวร์ ทำไมโต๊ะต้องเป็นเพศหญิง(รู้สึกว่าไม่ table ก็อีกคำแหละที่เป็นเพศชาย) แล้วยังแก้วไวน์อีกต่างหาก ฉันคิดไม่ได้ว่าทำไมต้องเป็นเพศอย่างที่มันเป็น

น้องชายของโมนาดูจะเงียบเหงาที่สุด ทุกคนเป็นเพื่อนของพี่สาว ก็มีฉันนี่แหละที่อาสาสนทนากับเจ้าบ้าน ได้หลักสูตรบริหารการหายใจตามหลักโยคะทั้ง 7 แบบ ให้น่าขันยิ่งนัก มีอยู่วิธีให้หายใจคลายสะอึก อีกวิธีให้หายใจเข้ารูจมูกซ้ายออกทางรูจมูกขวา

เราคุยกันสารพัดเรื่องจิปาถะ สุดแท้แต่จะขุดขึ้นมากล่าว ตั้งแต่ทุ่มครึ่งจนเกือบสี่ทุ่มก็ได้เวลารับประทานอาหารค่ำเสียที ทุกครั้งที่ฉันไปงานเลี้ยงที่บ้านโมนา ให้สงสารพนักงานเสิร์ฟยิ่งนัก น้องพนักงานต้องเสิร์ฟอาหารว่างเป็นรอบๆ ห้ามวางไว้บนโต๊ะเพื่อที่ใครใคร่หยิบก็หยิบเอง แถมแต่ละครั้งก็ใช้กระดาษทิชชูรองรับ แทนที่จะเป็นจานเล็กๆ เปลืองดีแท้ ไม่น่าเป็นวิถีของชาวอินเดียเลยให้ตายสิ

อาหารอินเดียก็อย่างที่รู้ๆ มีข้่าว แป้งแผ่่นๆ และแกงต่างๆ ฉันกินได้อยู่แล้ว แต่ขอร้องเถิด อย่าขะยั้นขะยอให้ฉันกินแล้วกินอีกเหมือนของว่างเลย หลายครั้งที่ความใส่ใจของเพื่อนชาวอินเดียกลายเป็นความอึดอัดที่ฉันปฏิเสธไม่ได้

ตบท้ายด้วยของหวานที่ฉันเลือกรับแต่ผลไม้ แถมก่อนจบด้วยการบอกบุญให้ช่วยกันสร้างโรงทานที่ฉันเป็นประธานหาทุน ฉันอีเมลรายละเอียดให้โมนาตามที่พ่อเธอขอไว้แล้ว ก็รออยู่ว่าครอบครัวของโมนาจะไปร่วมทำบุญวันที่ 6 ธันวานี้ด้วยกันหรือไม่ ฉันไม่ได้หวังอะไรนักหรอก คิดว่าการบอกบุญในวันเกิดของเพื่อนน่าจะเป็นการดี แต่ก็อดไม่ได้อย่างเคยที่กลัวคนจะมองว่ามารีดไถ เพราะจะว่าไปมันก็เป็นภาษีสังคมชนิดหนึ่งเช่นกัน

เที่ยงคืนกว่าๆ ฉันก็กลับถึงบ้าน ไม่ไปที่ไหนต่อ ตรงกลับบ้านทันที แต่แล้ววันนี้ฉันกลับต้องไปหาผู้ใหญ่ที่ร้านประจำกระทันหัน ท่านต้องการเสื้อเจ้าชายน้อยไซส์เอ็กซ์แอลด่วน ดูสิว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้น แล้วฉันจะมาเล่าให้เธอฟังต่อนะ

อันเนื่องมาจากเจ้าบ่าวแท้ๆ

แม้ The Alchemist จะสนุกจนวางไม่ลง แต่บางเสี้ยวของความทรงจำก็ทำให้อดยิ้มและลุกขึ้นมาเล่าให้เธอฟังไม่ได้...

วันนี้ฉันตื่นมาทำกิจวัตรประจำวันเช่นเคย เช็คอีเมล อัพเดทเรื่องราวเพื่อนๆ ใน Facebook ต่อด้วยกินยาและเตรียมไข่ลวกสำหรับมื้อชางวัน (ไม่เห็นจำเป็นต้องเรียกแต่ Brunch เลยเนอะ)

ข้อความที่พี่คนหนึ่งตอบกลับช่วยย้อนเวลาไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ในงานแต่งงานของพี่คนนี้ที่ฉันได้รู้จักคนเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 4 คน ผู้หญิงสองและผู้ชายสอง

ผู้หญิงคนแรกฉันเคยเห็นรูปแล้ว แต่ตัวจริงสาวและดูดีมากกว่าที่คิดเยอะ ฉันถึงกัับให้ความเห็นว่า ถ้าฉันเป็นสามีของพี่คนนี้ ฉันคงกลับบ้านแต่หัวค่ำทุกวัน

ผู้หญิงคนที่สองหน้าตาหมดจด ชุดราตรีสีน้ำเงินสดที่เธอเลือกในวันนั้นขับผิวขาวเนียนของเธอให้ผ่องขึ้้นไปอีก ฉันได้ทราบมาว่าเธออยู่ในกลุ่มของน้องคนหนึ่งที่ฉันรู้จัก น้องคนที่กำหัวใจผู้ประสบความสำเร็จทางธุรกิจสูงสุดคนหนึ่งในประเทศไทย

ก่อนจะกล่าวถึงอีกสองหนุ่มที่ฉันได้พบ ขอพูดถึงนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้สักเล็กน้อย ฉันอาจจะดีใจจนออกนอกหน้าเมื่อเดินเข้างานไปแล้วคนแรกที่ทักฉันคือเขาผู้นี้

"ไหนดูสิว่าอาทิตย์นี้จะมีใครมารักมั้ย"

ความเป็นหมอดูคงจะติดเป็นตราประจำตัวของฉันไปอีกนาน ฉันยินดีที่ผู้ใหญ่ให้ความเมตตา แม้ว่าฉันจะเคยเจอสายตาของท่านผู้นี้ที่มองฉันอย่างคนที่ต่างระดับจากท่าน อะไรที่ไม่ดีก็ไม่ต้องไปจำมัน ก็เท่านั้นเอง

ได้สนทนาในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอยู่ครู่หนึ่ง ฉันก็คิดว่าถึงคราวที่จะแจ้งให้ท่านทราบว่าฉันเป็นใครมาจากไหน เพิ่มเติมจากที่เป็นหมอดูจำเป็นเพื่อสร้างความครื้นเครงบนโต๊ะอาหาร ฉันดีใจที่ได้ยินท่านกล่าวถึงลูกน้องคนสนิทที่ล่วงลับไปเป็นสิบปีว่า "เพื่อน" แววตาและคำพูดหมายความเช่นนั้นจริงๆ ผู้ยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องหยิ่งผยองและดูถูกคนหรอกนะเธอ ฉันออกจะเห็นอาการน้อยใจเล็กๆ เมื่อท่านกล่าวถึงภริยาผู้ล่วงลับ ท่านที่กินแชร์กับเพื่อนสนิทของป้าฉันทุกเดือน การอยู่ที่สูง มันโดดเดี่ยวและอ้างว้างจริงๆ คำว่า "เพื่อน" มีความหมายมากขึ้นแปรผันตามระดับความสำเร็จในชีวิตของแต่ละคน

แล้วฉันก็เห็นบุตรชายของท่านเดินเข้ามาในบริเวณงาน ฉันก็อดแซวไม่ได้ว่า "พ่อกับลูกไม่เห็นคุยกันเลยค่ะ" ฉันนี้หนอ ช่างกล้า จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่พูดแบบนี้กับผู้ใหญ่คราวพ่อ แต่ท่านก็ตอบว่า "ปล่อยให้เขาคุยเรื่องธุรกิจกันไป" แล้วฉันก็หาเรื่องคุยกับบุตรชายท่านได้ในที่สุด อ้างคนนั้น อิงเรื่องนี้ อันที่จริงก็ไม่ยากอะไรที่จะคุยเรื่องที่เกี่ยวกับคนใหญ่คนโตที่ใครๆ ก็รู้จัก ฉันก็แค่เลือกเรื่องที่เกี่ยวทั้งฉันและเขาเพราะมันจะทำให้ฉันไม่ปล่อยไก่ ทำเป็นรู้เรื่องเพื่อจะสร้างความสนิทสนมแต่จริงๆ แล้วไม่รู้อะไรเลย ดูเหมือนฉันจะเลือกเรื่องถูก ถ้าฉันเลือกผิด ฉันคงมานั่งย้ำคิดย้ำทำ นึกถึงแต่เหตุการณ์เดิมแล้วก็คิดไปถึงคำพูดที่ดีกว่าที่ได้พูดไป ทั้งๆ ที่สมองซีกที่ใช้เหตุผลบอกฉันว่า เราแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว แต่ซีกของอารมณ์ความรู้สึกก็ยังตอกย้ำอยู่อย่างนั้น เวลา่สมองสองซีกไม่ไปด้วยกันมันช่างปวดหัวดีแท้!!

หลังจากโอภาปราศรัยกับคนที่่ฉันรู้จักไม่กี่คนในงาน ฉันก็สอดส่ายสายตามองหาอาหารรองท้อง กันเมาจากไวน์ชั้นดีที่เสริฟตลอดงาน บรรยากาศงานแต่งงานกลางแจ้งริมแม่น้ำเจ้าพระยาในโรงเตี้ยมของเจ้าสัวใหญ่ดีเหลือเกิน แต่ฉันไม่มีคนมาร่วมแบ่งปันความรู้สึกน่ะ

ระหว่างที่ฉันหยิบนั่นกินนี่ด้วยความหิวโหย ฉันว่า ฉันได้สัมผัสถึงสายตาที่มองมา บางครั้งฉันก็มองไปทางเขาเช่นกัน ก็เขาคุยกับคนไม่กี่คนที่ฉันรู้จักนินา ฉันถึงได้สังเกตเห็นเขาน่ะ

และนั่นก็เป็นชายคนที่ฉันจะพูดถึงต่อไป ส่วนชายอีกคนก็ไม่ต่างจากนั้นนักหรอก เขาก็ยืนคุยกับกลุ่มคนไม่กี่คนที่ฉันรู้จักนั่นแหละ น้องคนหนึ่งพูดถึงคนที่สองว่าเป็นคาสโนว่าตัวเอ้ และเขาคนนั้นเป็นคนที่บอกฉันว่าได้ไปใส่เงินทำบุญสำหรับโครงการสร้างโรงทานให้โรงเรียนต่างจังหวัดที่ฉันรัับเป็นแม่่งาน เราคุยกันน้อยมาก แต่เป็นบทสนทนาที่มีความหมาย

และแล้วก็ถึงคราวที่ฉันจะได้พูดถึงชายคนแรก เขาอายุไม่น้อยแต่ฉันทายไม่ถูกว่าอายุเท่าไหร่ ผิวหน้าละเอียดสีออกดำแดงแม้จะมีรอยเท้าสัตว์ปีกทำให้ฉันไม่กล้าทาย ผมสั้นเกรียนไม่ดำสนิท แต่ก็เถอะ แม้แต่น้องสาวฉันเองยังผมงอกกระจายทั่ว เราบอกอายุคนจากสีผมไม่ได้หรอก

เขาดูจะให้ความสนใจฉันเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขามารยาทดีหรือฉันคิดเข้าข้างตัวเอง แต่ที่แน่ๆ เขาอยากรู้ว่าฉันเป็นใคร รู้จักเจ้าบ่าวได้ยังไง

น่าแปลกนะที่วันนั้นฉันไม่ค่อยเปิดเผยตัวเองเหมือนเคยๆ แค่ตอบคำถามสั้นๆ ว่าฉันทำสำนักพิมพ์ พิมพ์หนังสือดีอย่างเจ้าชายน้อยฉบับการ์ตูน ฉันว่า พูดแค่นั้นก็คงพอแล้ว คนในโลกธุรกิจคงไม่รู้ลึกไปกว่านี้สักเท่าไหร่ แล้วก็คิดเหมือนๆ กับฉันเมื่อก่อน สำนักพิมพ์กับโรงพิมพ์มันต่างกันยังไง แล้วพอบอกขอบข่ายงานของสำนักพิมพ์ คนในโลกธุรกิจก็คิดว่าไม่เห็นจะมีเนื้องานอะไรกันนักหนา ทั้งๆ ที่มันเป็นงานที่ละเอียดทุกเม็ด ต้องดิ้นรนกันเอง ปลาใหญ่กินปลาเล็ก สายป่านไม่ยาวก็เสร็จตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม งานที่ต้องทำด้วยใจรักและยินดีกับผลตอบแทนจำกัด (ระดับหนึ่ง) พร้อมๆ กับมุมมองที่ได้รับจากสังคม พอๆ กับนักเขียนไส้แห้งนั่นแหละ

แต่ถ้าสำนักพิมพ์มีหนังสือเด่นๆ ที่สร้างรายได้แบบน้ำซึมบ่อทราย นั่นก็จะหล่อเลี้ยงทุกชีวิตและหนังสือดีที่อาจจะไม่ทำเงินเล่มอื่นๆ ให้ได้ชื่อว่ามีหนังสือดีเล่มนี้พิมพ์เป็นภาษาไทยด้วยนะ เออ

เขาคนนั้นสุภาพและพูดถึงบทบาทสำคัญที่ตนได้มีโอกาสช่วยชาติแบบที่ไม่น่าหมั่นไส้ (ฉันน่าจะมีโอกาสได้เรียนรู้จากพี่คนนี้นะเนี่ย) แถมประกาศอย่างชัดเจนว่า โสดสนิท ไม่แค่นั้น มีเจ้าบ่าวการันตีอีกต่างหาก ประมาณว่า ขับรถสปอร์ตไปซอปปิ้งที่พารากอนคนเดียว ไร้ตุ๊กตาหน้ารถตามธรรมเนียม

ไอ้ฉันก็คันปาก ประมาณว่าจะเริ่มวาจาสามหาว กัดว่า อาจจะเป็นจำพวกที่เก่งหาแฟน แต่ไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์ไว้ได้ คงเป็นโชคดีแล้วล่ะ ที่มีอะไรมาปิดปากฉัน ทำให้ความทรงจำแรกเกี่ยวกับฉันในสายตาเขาไม่ชั่วร้ายจนเกินไปนัก

แต่ก็ใช่ว่าฉันจะไม่ละโอกาสแสดงความเห็นต่างมุมเมื่อเขาพูดถึงบุคลิกและการแต่งตัวของผู้หญิง ฉันโพล่งอย่างเบาๆ ว่า "จะให้ดูเป็นคนแบบไหนไม่เห็นยากเลย แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าก็เปลี่ยนจากผู้หญิงเปรี้ยวเป็นผู้หญิงเรียบร้อยได้ ง่ายจะตายไป" (คิดดูนะเธอ ปากอย่างนี้จะมีแฟนมั้ยนั่น) แต่พี่คนดีก็ตอบทันควัน "แม้เปลี่ยนเสื้อผ้าแต่บุคลิกไม่ได้เปลี่ยน" ฉันเหลือบตาจากจานอาหารขึ้นไปมองแวบหนึ่ง แล้วก็หม่ำเนื้อแกะที่สั่งว่า medium rare แต่ได้เป็น absolute well done ต่อด้วยอาการหงุดหงิดเล็กน้อย การที่ใส่ชุดราตรีเปลือยแขนสีฟ้าเทอร์ควอยซ์แล้วต้องใช้แรงกดมีดลงบนเนื้อแกะคงไม่ได้ทำให้ผู้หญิงที่สวมใส่ดูเป็นผู้หญิงนัก

แล้วเราก็พูดจาสัพเพเหระกับคนอื่นๆ ที่อยู่ร่วมโต๊ะอาหาร เขาเป็นคนที่ยกเรื่องมารยาทในการดื่มไวน์ขึ้นมาพูดว่า การสบตาเวลาชนแก้วถือเป็นการให้เกียรติ หากใครไม่สบตาแม้การสนทนาก็ไม่เป็นเรื่องบังควร แล้วนั่นก็เป็นการบังคับกลายๆ ให้ฉันต้องสบตาเขาทุกครั้งที่ดื่มไวน์ ฉันไม่ค่อยสันทัดในเรื่องนี้ จน ณ วินาทีนี้ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า เราต้องชนแก้วทุกครั้งที่จิบไวน์อย่างที่เขาทำกับฉันมั้ยนั่น ถ้าใช่ ฉันคงเป็นคนไม่มีมารยาทเป็นครั้งคราว

คำพูดก่อนสุดท้ายที่ทำให้ฉันหันไปมองเขาอีกก็คือ ทรรศนะเกี่ยวกับการเลือกคู่ครอง ไม่รู้เหตุใด เขาต้องก้มหน้าเวลาที่พูดว่่า เราต้องไม่ดูที่รูปร่างหน้าตา แต่ต้องเป็นคนที่ช่วยกันทำมาหากิน ปรึกษาหารือกัน

เรื่องอื่นๆ ที่เขาพูดแล้วสะท้อนให้เห็นว่าเขาใส่ใจความรู้สึกของฉันและตัวตนของฉันยังคงมี แต่ฉันเลือกที่จะไม่คิดเข้าข้างตัวเอง เมื่อแยกย้ายจากโต๊ะอาหารออกไปฟังเพลงริมแม่น้ำ ฉันก็คิดว่า ถึงเวลาที่ควรจะจรลีเสียที อย่างที่บอก ฉันไม่ได้รู้จักกับใครมากมาย แล้วการอยู่ใกล้ๆ กับชายสูงวัยหลายๆ คนก็นำมาซึ่งเรื่องปวดหัวให้ฉันอยู่เรื่อย ตอนนี้ ฉันไม่ต้องการรับเรื่องเพิ่มเติม สี่ทุ่มกว่า ฉันก็เลยกลับซะดื้อๆ อย่างงั้นเอง ไม่ลาใคร ไม่ลากใครกลับด้วย

คิดซะว่า เป็นค่ำคืนดีๆ อีกค่ำคืนหนึ่ง มีคนให้ความสำคัญทั้งหญิงและชาย และนั่นก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นไม่น้อยทีเดียว

แวะไปร้านประจำ ไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอ แต่เขาอีกคนก็เดินเข้ามา ตั้งใจจะนั่งคุยแต่โดนน้องอีกคนเบรคเกมเสิร์ฟเสียก่อน เราเลยได้แต่เห็นหน้ากันเฉยๆ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันเฝ้าแต่ครุ่นคิดว่า ทำไมต้องไปใส่ใจกับคนๆ นี้นักหนา ข้อเสียบานตะไท คล้ายจะมองอะไรตื้นๆ แม้จะคิดพันกันยุ่งเหยิง แถมหลอกตัวเองไม่เลือกฉันอยู่นั่น คนใหม่ที่เพิ่งรู้จักดูจะมีแววกว่ากันเยอะเลย

แต่ก็นั่นละนะ ฉันไม่ได้แจกนามบัตร แลกหมายเลขโทรศัพท์ ด้วยไม่รู้จะทำไปทำไม แม้ว่าฉันคล้ายจะลืมใบหน้าของเขาที่เพิ่งเจอไปแล้ว แต่อากัปกิริยาท่าทางที่ดูเป็นมิตร ไม่ถือตัว(ทั้งที่เขาก็คงใหญ่ใช่เล่น ดูจากกริยาที่เจ้าบ่าวนอบน้อมต่อเขาเสียเหลือเกิน) ใบหน้ายิ้มแย้มก็ทำให้ฉันมีความรู้สึกดีๆ เก็บไว้ที่มุมหนึ่งในหัวใจ

ถ้าจะได้เจอมันก็คงจะได้เจอ เกิดมาเป็นผู้หญิงฟ้าสั่งให้ไม่ต้องกระตือรือร้น รอให้ผู้ชายมาให้เลือก(นี่ก็เป็นทรรศนะของพี่คนใหม่นี้ที่น่าประทับใจถ้าเป็นความจริง) ฉันก็เลยดำเนินชีวิตในรูปแบบของฉันต่อไป ภาพสิ่งดีๆ และไม่ดีที่หลายๆ คนทำให้ฉันรู้สึกก็แวบเข้ามาเรื่อยๆ เช่นเคย

พอดีแวบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง แล้วก็รู้ว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเป็นยังไง ได้รู้จักแค่นี้ก็รู้สึกดี ได้รู้จักให้ลึกซึ้งขึ้นก็น่าสนใจ ยังไงก็ได้เจอคนที่น่ารักเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน :)

ว่าแต่เจ้าบ่าวจะทำตัวเป็นคิวปิตมั้ยละเนี่ย

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เขาว่า ฉันกำลัง "ตกผลึก" ต่างหาก

หมู่นี้ฉันกลัวตัวเองเป็นบ้ามาก มากซะจนเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลย...

แต่แล้วเมื่อวาน ด้วยข้อเสนอที่มิอาจปฏิเสธได้ ฉันก็ตาลีตาเหลือกลุกขึ้นมาทำโน่นนี่เพื่อให้สมกับที่อยู่ดีๆ ก็ได้รับโอกาสพิเศษ

ดูๆ แล้ว มันก็เหมือนโกหก พอๆ กับที่อาฉันเคยบอกว่า เวลาคุยกับหมอน่ะ ให้พูดแต่เรื่องลบนะ ไม่งั้นหมอก็จะวินิจฉัยผิด คิดว่าฉันไม่ได้เป็นอะไร

พี่ที่เป็นโรคคล้ายๆ กันบอกว่า "โรคของเรามันเป็นโรคภายใน ไม่บอกก็ไม่มีใครรู้ ไม่ต้องไปแคร์ใครให้มากนัก" ฉันก็รู้สึกว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะอธิบายไปใครๆ เขาก็ไม่เชื่อ มันเหมือนกับเราทำในส่ิงที่ปฏิเสธว่าเราไม่ได้ทำอยู่ร่ำไป

ฉันเกิดอาการกังวลเกินควรเมื่อปรึกษากับพี่คนเดิมว่า ฉันโทรไปคุยกับภรรยาของพี่ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจดีมั้ย บอกไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะมีคนเข้าใจว่าฉันมีอะไรกับสามีของพี่ (อันที่จริงก็มีคนคิดไปในทางนั้นหลายคนแล้วล่ะ ซึ่งนั่นก็คงรวมคนที่ฉันไม่อยากให้เข้าใจผิดเป็นที่สุดคนนั้นด้วย) พี่ที่แสนดีโวยขึ้นมา จะบ้าเหรอ โทรไปเขาก็คิดว่ามีอะไรกันจริงๆ พอดี แฟนพี่เชื่อใจพี่และไม่เคยมองฉันในทางไม่ดี แต่ถ้าอยากจะโทรก็โทรได้นะ เอาไว้โทรฟ้องเวลาที่พี่มาล่วงละเมิดฉันละกัน ไอ้ฉันก็คิดในใจว่า แล้วถ้ามันเกิดเรื่องนั้นจริงๆ ฉันไปโทรหา...(อาวุธยาวที่มีปลายแหลม)ทำไมละนั่น!!

พอเขียนถึงพี่คนนี้แล้วฉันก็เริ่มมีคำถามในใจว่า คำขอร้องของฉันที่พี่รับปากว่าจะทำให้ อันจะนำมาซึ่งออเดอร์หนังสือล็อตใหญ่จากบริษัทยักษ์ใหญ่ในวันเด็กที่จะถึงนี้ ฉันจะกล่าวถึง(ภาษาชาวบ้านคือ ทวง)อย่างไรดี เมื่อวานก็ดันลืมไม่ได้พูดถึงเลย มัวแต่คิดถึงแผนความร่วมมือกับคนนั้นคนนี้ พูดแข่งเสียงดนตรีสดที่ร้านแซกโซโฟน

ว่าแล้วขอออกนอกเรื่องนิดนึง เมื่อคืน ที่ร้านเล่นเพลง you are the love of my life เพลงที่ฉันได้ยินเสียงดนตรีสดครั้งสุดท้ายในวันแต่งงาน เพลงที่ฉันเลือกร้องกับผู้ชายที่เคยเป็นคู่ชีวิตฉันในวันนั้น อดรนทนไม่ไหว เข้าไปถามว่า ใครเป็นคนขอ เล่นเพราะอะไร นักดนตรีก็ตอบแบบงงเล็กน้อยว่า เพิ่งแกะเพลงนี้มาเล่น จนมาวันนี้ ฉันยังสงสัยอยู่ไม่หาย เมื่อคืนฉันมองไปรอบๆ ยังนึกซะด้วยซ้ำว่า ผู้ชายคนนั้นของฉันขอเพลงนี้หรือไร เป็นไปได้ที่เขาจะอยู่ที่นั่น ผู้ชายที่ผ่านเข้ามาสัมผัสหัวใจฉันชอบเพลงแจ๊สทุกคน... เพลงนี้ไม่ใช่เพลงตลาด เป็นเพลงของ George Benson ที่ฉันไม่เคยหาคาราโอเกะเจอ กลับมาได้ยินในวันที่ไม่ได้คาดคิด ไม่ได้ตั้งใจจะไป

เมื่อวาน ชุดราตรีที่เคยใส่แล้วพอดีเป๊ะ คล้ายจะเอี้ยวตัวไม่ได้ ผ่านไปไม่กี่เดือน หลวมจนฉันต้องเบ่งหน้าอกไว้ไม่ให้เลื่อนไหล ยังดีที่ฉันใส่ผ้าคลุมไหล่คลุมไว้อย่างมิดชิด ค่อยได้หายใจหายคอหน่อย

นั่งฟังเพลงไป คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไป จากเดิมที่พี่เป็นห่วงมาก ก็บอกว่า ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ที่ว่าจะพักจนสิ้นปีและถ้ามกราคมยังไม่หาย ก็คงต้องมาจัดการกับปัญหาซะทีนั้น ได้รับคำยืนยันจากพี่ว่า อาการฉันไม่ได้แย่อย่างที่คิด ฉันกำลังตกผลึกทางความคิดซะมากกว่า พี่อยากให้ฉันเปลี่ยนบรรยากาศจากที่อุดอู้อยู่ในห้องไม่ไปไหน มาเจอหน้าตาผู้คนบ้าง แล้วก็ให้ดีใจว่าพี่แนะนำให้รู้จักกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งอยู่ในวงการเดียวกันและได้อ่านบทสัมภาษณ์ของฉันในขวัญเรือนและจำฉันได้ หน้าฉันก็บานแฉ่งเป็นที่เรียบร้อย ไม่แค่นั้น ระหว่างที่เล่าให้ฟังว่าฉันปรับใช้ Facebook กับชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวอย่างไร ฉันก็เปิด Note ให้อ่านบทสัมภาษณ์ พี่ก็ให้ความเห็นว่า ฉันให้สัมภาษณ์ได้ดี รู้จักพูดให้เกิดประโยชน์ ตัวพี่เองด้วยซ้ำไป ที่เวลามีคนมาสัมภาษณ์ ทำไมไม่พูดเรื่องสำนักพิมพ์ซะหน่อย

ดีใจที่พี่ชม แล้วก็ปลอบใจว่า ฉันเองก็ไม่ถนัดเรื่องการให้สัมภาษณ์เหมือนกัน แต่สิ่งที่พูดไปนั้นเป็นสิ่งที่มันอยู่ในใจ เป็นหลักการเป็นรูปแบบความคิด ตัวตนของสำนักพิมพ์ที่เราก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา แล้วก็สรุปให้พี่เสร็จสรรพว่า เวลาพี่ให้สัมภาษณ์ไม่ต้องมีโพย พี่พูดได้ดีกว่าเยอะ พี่จริงจังกับทุกสิ่งที่ทำ ด้วยกลัวจะพูดไม่ครบเลยเหมือนท่องให้ฟัง ซึ่งในทัศนะของฉัน ไม่มีประโยชน์เลย ไม่มีใครฟัง สู้พูดจากใจแต่อาจพูดไม่ครบ คนก็ยังฟังและเก็บเกี่ยวเนื้อหาใจความบางประการไปได้บ้าง

ฉันรู้สึกดีจัง รู้สึกว่า พี่เข้าใจว่าฉันทำอะไรไปเพื่ออะไร และตอบข้อสงสัยฉันได้อย่างสิ้นเชิง พี่บอกว่า ให้ความสนิทสนมกับฉันเพราะเชื่อว่า ฉันจะเป็นคนที่โดดเด่นในวงการ

ความคิด "ตกผลึก" ฉันกำลังก่อร่างสร้างตัวให้เป็นคนๆ ที่พี่คาดว่าฉันจะเป็นในที่สุด

no romance doesn't mean no chance of happiness... :)

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

บทสนทนาประเทืองใจ

เธอเคยมั้ยสื่อสารกับใครสักคนครั้งละร้อยข้อความ ถ้าใครจะว่าเพี้ยนก็ฉันคนนึงล่ะ...

ถ้าคิดในแง่เศรษฐศาสตร์ การส่งข้อความ 100 ข้อความคิดเป็นเงินขั้นต่ำ 100 บาทเว้นแต่จะมีโปรโมชั่นพิเศษอะนะ ไม่รู้ว่าถ้าคุยผ่านมือถือจะถูกกว่านี้มั้ย แต่การสื่อสารวิธีนี้ก็มีข้อดีที่แตกต่าง

เราจะใช้เวลาในการพิมพ์มากกว่าการพูด แถมยังส่งเป็นภาษาอังกฤษ ลดความผิดพลาดจากการเลือกใช้คำผิดและยังทำให้ทั้งสองฝ่ายระมัดระวังว่ามีการเข้าใจผิดรึเปล่าเพราะไม่ได้สื่อความด้วยภาษาแม่ ทั้งยังสามารถอ่านทวนได้เมื่อต้องการ บางครั้งอ่านครั้งที่สองครั้งที่สามก็อาจทำให้เข้าใจกันได้มากขึ้นกว่าเดิม หรือจับใจความได้ชัดเจน เก็บความที่ตกหล่น จะว่าไปเป็นการสื่อสารที่โรแมนติกสำหรับยุคนี้ ไอ้ครั้นจะเขียนจดหมายส่งให้ทุกวันเหมือนใน The Notebook ที่ฉันขุดขึ้นมาดูก็คงไม่ทันใจคนยุค 2000

ไม่แค่นั้น ข้อความที่เขียนเพื่อแสดงความเห็นเรื่องปัญหาของคนอื่น กลับกระตุ้นเตือนให้เรานำมาปรับใช้กับตัวเอง อย่างเช่นที่เมื่อคืนฉันกลับมานั่งอ่านข้อความ SMS ที่ส่งไปแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ภูมิใจตัวเองว่าฉันก็พูดจามีหลักการเป็นเรื่องเป็นราวนะเนี่ย ขอแค่อย่าให้ใครมาหมั่นไส้ไปซะก่อนจนไม่ได้ใส่ใจที่ "เนื้อความ" ที่ฉันอยากสื่อ

ฉันไม่ใคร่จะพบปัญหาเรื่องการนำเสนอโครงการ หรือเสนอความคิดต่างๆ ของตัวเอง ด้วยว่าฉันชอบเสนอ(โดยที่ไม่ได้มีใครขอ)เป็นประจำอยู่แล้ว ถ้าใครไม่มองว่าฉันไปสอนคนอื่นก็อาจจะได้อะไรไปบ้าง อาจเป็นบางถ้อยความที่จุดประกายความคิดเพื่อต่อยอดหรือแตกแขนง ฉันว่าฉันมีความสามารถพิเศษในการคิดเชื่อมโยงจับเรื่องโน้้นเรื่องนีมารวมกันแล้วก็บิดไปบิดมาให้ได้ประโยชน์ทุกฝ่าย

เมื่อคู่สนทนาของฉันไม่ถนัดเรื่องการนำเสนอโครงการ ฉันก็ร้อนวิชาทันที นึกถึงตัวเองที่แม้จะมั่นใจ แต่บางครั้งก็ปากสั่น ขาสั่นเหมือนกัน แต่ก็สั่นสู้นะเธอ เรื่องนี้ฉันไม่ได้ขยายให้คู่สนทนาฉันฟังหรอก ฉันเล่าว่าฉันมีประสบการณ์ตรงกับคนที่มีปัญหาในการพรีเซ็นท์งาน การพูดต่อหน้าคนหลายๆ คน และเป็นคนที่สามารถตัดสิน ให้คะแนน ให้คุณให้โทษเรานั้น ความกลัวผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ทำให้ประหม่า ทำตัวไม่ถูก ตอบโต้ในเวลาอันจำกัดไม่ได้ดีนัก

ฉันก็แจงว่า คนจำพวกนี้เป็นพวกชอบวางแผน ใช้เวลาในการเตรียมพร้อมมากเท่าที่ตนต้องการ พร้อมๆ กับไม่ค่อยยอมรับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้้นได้ หากได้ลดมาตรฐานลงสักนิด บางครั้งอาจทำให้พรีเซ็นท์ได้ดีกว่าเดิมเพราะกดดันน้อยลงด้วยซ้ำไป นอกเหนือจากผลลัพธ์ที่หากไม่เป็นดั่งคาดหวังก็จะไม่เสียใจมากจนเกินควร เพราะมันก็เป็นแค่หนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนึ่งวัน แล้วมันก็ผ่านไป อยู่ที่เราว่าจะดึงเอาประสบการณ์จำพวกไหนมาย้ำคิดย้ำทำ ถ้าเลือกเรื่องดีๆๆ มาตอกย้ำ ก็เท่ากับเป็นการให้กำลังใจตัวเอง หากเลือกตรงกันข้าม แล้วฮึดสู้เพื่อครั้งใหม่ที่ดีกว่าก็ดีไป แต่ถ้าตอกย้ำซ้ำซากให้หมดกำลังใจ ก็คงแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นแล้วล่ะ

ใครๆ เคยบอกฉันว่า ถ้าฉันทำได้อย่างที่ฉันเที่ยวไปบอก ไปสอน ไปแนะนำใครๆ ฉันก็ไม่ต้องจมอยู่กับปัญหาของตัวฉันอย่างนี้ แหม ขอแก้ตัวนิด ผงเข้าตาตัวเอง คนเราก็เขี่ยไม่ออกกันทั้งนั้นนะเออ

เอาเป็นว่า เมื่อวานข้อความคำพูดของฉันสะท้อนให้ใครบางคนได้ไอเดียในการจัดการกับเรื่องราวของเขา ฉันก็ดีใจว่ามีส่วนช่วยบรรเทาความหนักหนาของเรื่องที่เขากลุ้มใจ ของชอบอยู่แล้วหนิ แก้ปัญหาให้ชาวบ้านน่ะ!!

แต่ฉันว่ากำลังใจที่ฉันส่งให้คนอื่น ในที่สุดแล้วมันก็ย้อนมาให้ประโยชน์กับตัวฉันเองนั่นแหละ ฉันรู้สึกดีขึ้น ใจสูงขึ้น เมื่อมีเรื่องสับสนทำให้ขุ่นข้องใจฉันก็ดูจิต รับรู้แล้วก็ปล่อยวาง

มันทำให้ฉันใกล้ความคิดของใครคนหนึ่งมากขึ้น คนที่อยู่ในราศีของผู้หญิง ขี้อาย ใช้เวลากว่าจะกล้าเปิดประตูรับให้ใครเข้ามาสนิทสนม บางคนว่าเขาเพี้ยน แต่ฉันว่าฉันเข้าใจนะ เขาแค่แตกต่าง ถ้าเราเข้าใจความคิด เหตุผลของเขาแล้วมันก็แค่รูปแบบที่แตกต่าง อะไรล่ะคือปกติ ส่ิงที่คนส่วนใหญ่เป็นคือปกติเหรอ งั้นคนชั่วก็เป็นเรื่องปกติสิ บางครั้งความปกติอาจเป็นสิ่งที่หาได้ยากก็ได้นะ

ได้เวลาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมย้ายที่เช็คอีเมล อัพบล้อก เล่นเฟซบุคแล้วล่ะ

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คลื่นรักคลื่นชีวิต

บทกวี "คลื่นรักคลื่นชีวิต" ญิบ พันจันทร์ เป็นผู้ประพันธ์ มีใจความตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า

เริ่มรับรู้รสรักแรกเอมอิ่ม ครั้นลิ้มรสขมขื่นเริ่มแก้ไข

เมื่อคลื่นรักสลายร้างรักห่างไกล แล้วยาใดจะเยียวยารักษาตน

เพราะจัง กลัวคนว่า เลยต้องเอามาโพสต์ไว้ที่นี่ อีกเช่นเคยเจ้าค่า

กลัวคนว่า เลยต้องเอามาใส่ไว้ที่นี่

วันนี้ฉันถูกใจหลายบทความ แต่ถ้าเอาไปใส่ที่เดียวกันหมด ก็จะเป็นที่รำคาญของหลายๆ คนได้ เลยเลือกจะโพสต์หนึ่งบทความที่นี่ ใครสนใจอ่านบทความได้ใจของฉันเพิ่มเติมก็ต้องที่  facebook ละจะ

จากมติชนสุดสัปดาห์ 13 พฤศจิกายน 2552

ชายตาหาข้าวเปลือก

กาละแมร์

เหตุผลของการอยู่เป็นโสดบนโลกใบนี้



รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองเป็นช่วงของการ "โสด" อยู่ตัวค่ะ

ยอมรับและอยู่กับมันได้แบบมีความสุข

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะขอโสดตลอดไปตราบชั่วฟ้าดินสลายไง ก็แล้วแต่โชคชะตาฟ้าลิขิต มีคนบอกว่า "การพบเจอกันของคนสองคนมักเป็นเรื่องของความบังเอิญ แต่ความสัมพันธ์ หลังจากนั้นเป็นเรื่องของความตั้งใจ"

ช่วงโสดที่ผ่านมาพบเจอความบังเอิญ แต่หลังจากนั้นขาดความตั้งใจ (ฮา)

จากที่ฝ่าฟันกับความรู้สึก อารมณ์ของตัวเอง ได้อยู่กับตัวเอง และคุยกับตัวเอง ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น รู้ว่าอะไรคือทุกข์และสุขของเรา อะไรที่เรารับได้และรับไม่ได้

จากที่เคยไขว่คว้า วิ่งหา และตั้งคำถาม ว่าใคร ทำไม ที่ไหน เมื่อไหร่ ก็เปลี่ยนเป็นมาถามตัวเองเสมอว่า สบายดีไหม อยากทำอะไร รู้สึกอย่างไร เลิกตามหาจากคนอื่น แต่หันมาทำให้ตัวเองแทน

ถึงแม้ว่าในวัยอย่างฉันเมื่อหันมองรอบตัว ก็จะเห็นแต่เพื่อนที่มีครอบครัว มีลูก ตั้งท้องกันอย่างกับดอกเห็ด คล้ายว่าเป็นช่วงฤดูกาลผสมพันธุ์ก็ตาม และแม้บางครั้งจะรู้สึกไม่เข้าพวก แต่ฉันก็ยังรักชีวิตของตัวเองอยู่ดี

คนเราชีวิตมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน มีความพอใจที่ไม่เหมือนกัน และมีการดำเนินชีวิตแบบต่างคนต่างทางเดิน

ฉันจำได้เลือนราง ว่าตัวเองก็อยากมีชีวิตที่แบบที่ผู้หญิงทั่วไปพึงมี คือได้แต่งงานตอนอายุยี่สิบปลายๆ แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นภาพสีจางเหลือเกิน ไม่เคยนึกว่าตัวเองจะมีลูก มองไม่ค่อยเห็นภาพนั้น เพราะส่วนใหญ่คิดแต่ว่า อยากทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง

ถึงแม้ว่าบรรทัดฐานหรือความเชื่อ ฝังหัวที่จะหล่อหลอมให้เรามักใช้ชีวิตแบบเป็นแบบแผนและเป็นขั้นเป็นตอน เราถูกเลี้ยงมาอยู่ในกรอบ และต้องเดินตามกันไป แต่สำหรับฉัน ฉันชอบเวลาตัวเองเล่น "โอ...แปลกประหลาดดดดด เป็น" แล้วเราออกสีไม่มีเหมือนคนอื่น นั่นล่ะ..ฉันล่ะ

ถึงแม้ว่าการได้รวมกลุ่มกับคนหมู่มาก มันจะเป็นความอุ่นใจและปลอดภัย แต่ฉันก็รู้จักตัวเองดีพอที่จะบอกว่า "มันไม่ใช่ตัวเรา" และความรู้สึกอันแสนซื่อสัตย์ก็จะบอกตัวเองเสมอว่า "กรูอึดอัด" เวลาที่ทำอะไรที่ไม่เป็นตัวเอง

ไม่ได้บอกว่าอยากทำตัวโดดเด่นไม่เหมือนใคร ไม่ได้บอกว่าต้องการเป็นจุดสนใจของใครๆ เค้า เพียงแต่เรารู้จักตัวเองดีเหลือเกินก็เท่านั้น

เพราะฉะนั้น ในวันที่คนรอบตัวหรือคนส่วนใหญ่ต่างแต่งงาน มีคู่ และใช้ชีวิตครอบครัวกันแล้ว ฉันก็ไม่ได้อยากที่จะกระโจนลงไปในวังวนนั้นถ้าเราไม่พร้อมจริงๆ (มียังไม่มี จะคิดทำไมให้ไกลว้า)

ถ้าคุณยังเป็นคนโสด อย่าได้คิดว่าคุณเป็นโรคหรือเป็นคนแปลกแยกของสังคม ชีวิตคนเราไม่เหมือนกัน ไม่ใช่แค่เรียนจบมหาวิทยาลัย ทำงานไปสักพัก แล้วหาคนแต่งงานเพื่อที่จะมีลูก แล้วชีวิตก็จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แล้วรอวันตาย

ฉันว่าเราแต่ละคนสามารถ "เลือก" ชีวิตของตัวเองให้มีความหมายได้แล้วแต่เราต้องการ

คนบางคนอาจเกิดมาเพื่อเป็น "แม่" และรักการเป็น "เมีย" เหลือเกินและนั่นอาจเป็นความใฝ่ฝันของเขา ซึ่งก็ไม่ผิด แต่สำหรับคนที่คิดไม่เหมือนอย่างนี้ก็ไม่ใช่คนผิดเช่นกัน อย่าเอาความเชื่อฝังหัว หรือนิทานตอนเด็กมาตีกรอบและกดดันชีวิตของเรา

การแต่งงาน" ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิต



มีใครการันตีเหรอว่า พอได้แต่งงานคุณจะมีความสุขตลอดไปคล้ายการวิ่งเข้าเส้นชัยอย่างนั้นเหรอ

แต่ไม่ใช่ว่าฉันจะอยู่คนละข้างกับการแต่งงาน ฉันก็อยากที่จะสัมผัสความรู้สึกนั้นสักครั้งในชีวิต เพียงแต่ว่าเวลาของฉันยังมาไม่ถึง

และถึงยังไม่ได้แต่งงาน คนโสดทั้งหลายคุณก็มีความสุขและเต็มอิ่มกับชีวิตคุณได้ไม่ใช่เหรอ ใครช่างใจแคบให้ผู้หญิงแขวนความสุขในชีวิตของตัวเองไว้กับผู้ชายแค่คนเดียว

และใครจำกัดไว้หรือว่า ผู้ชายเท่านั้นถึงจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่าได้คนเดียว หรือเป็นเพศที่จะสนุกกับชีวิตได้เพศเดียว แล้วผู้หญิงเราเป็นเพศที่ไร้ซึ่งความฝัน ไร้ซึ่งจุดมุ่งหมายของชีวิต หรือไม่มีแรงขับเคลื่อนให้ชีวิตได้มีหัวใจพองโตบ้างเหรอ

และใครเป็นคนกำหนดเหรอว่า ผู้ชายเป็นเพศแห่งผู้เลือกเท่านั้น แล้วผู้หญิงต้องเป็นเพศแห่งผู้ถูกเลือก ทั้งที่เราต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเองมิใช่เหรอ

สิ่งที่ดีใจที่เกิดมาเป็นคนจนถึงทุกวันนี้คือ การได้เลือกใช้ชีวิตอย่างมีอิสระอย่างที่ตัวเองต้องการ คุณอาจกำลังแย้งในใจด้วยคำว่า ใช่ซี๊ เพราะเธอเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีนั่นมีนี่ แต่คุณอย่าลืมว่า เส้นทางในชีวิตของฉันกว่าจะถึงวันนี้ไม่ใช่แค่เริ่มต้น ไม่ได้ฟลุก หรือลืมตาตื่นแล้วเป็นเลย

ฉันผ่านการผจญภัยมาพอสมควร จนรู้จักตัวเองดีพอ ว่าเราอยากใช้ชีวิตอย่างไร

ทุกวันนี้ฉันยังมีคำสอนที่ว่า "ตนเป็นที่พึ่งเห็นตน" ดังก้องอยู่เสมอ และใช้มันกับหลายๆ ด้านของชีวิต

และยังหมั่นขยัน "ขอบคุณ" ตัวเองอยู่ทุกวันที่ทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เทศกาลระบาย


นี่ยังดีนะ ที่ฉันเริ่มเขียนตอนพายุที่ก่อตัวได้คลี่คลายลงบ้างแล้ว คงต้องขอบคุณ Sister's Keeper ที่เพิ่งดาวน์โหลดมาดู ตอนแรกก็นึกว่าสร้างมาจากนิยายเล่มที่เราหมายตาไว้ แต่แค่นี้ก็ช่วยได้เยอะแล้วละนะ

ไหนๆ เข้าเรื่องหนังแล้ว ฉันก็ต้องเปรียบเทียบกับเรื่องที่ตั้งใจว่าจะเป็น Sister's Keeper ที่ฉันเข้าใจคือ เรื่องราวของสองพี่น้องสาวที่ตัวน้องสาวคล้ายจะเกิดมาเพื่อให้เลือด เนื้อเยื่อหรือเซลล์อะไรสักอย่างเพื่อทดแทนสิ่งที่บกพร่องของพี่สาว ซึ่งหมายความว่าเธอจะต้องเจ็บตัวตลอดเวลา แล้วก็ประมาณว่ามีเรื่องจะฟ้องร้องพ่อแม่ว่าเธอต้องการริดรอนสิทธิ์จากผู้ปกครอง เธอต้องการตัดสินใจเองว่าจะเจ็บตัวเพื่อบริจาคให้พี่สาวหรือไม่ 

ส่วนเรื่องที่เพิ่งดูจบ เป็นเรื่องที่พี่สาวมีปัญหาระดับสารเคมีีในสมองทำให้อารมณ์แปรปรวนและหรือทำอะไรประหลาดกว่าชาวบ้าน เหอ เหอ ฉันก็ไม่ต่างจากเธอเท่าไหร่หรอก บางทีพอเราประกาศว่าเป็นโรคอะไรสักอย่าง คนก็็จะเหมารวมว่าเราเพี้ยน ในเมื่อฉันดูหนังแล้วแปลว่าระดับความเพี้ยนของตัวพี่สาว (ที่แม้จะมากกว่าฉันอะนะ) ก็พอจะอนุมานได้ว่า ฉันไม่ควรไปเสนอหน้าอยู่ในโลกปกติ ไปอยู่ในโลกศิลปิน บ้าๆ บอๆ ไปซะเลย พอไปอยู่ในโลกนั้นดูจะแปลว่า ความ "เพี้ยน" ในโลกเดิมเป็นความ "พิเศษ" ในโลกใหม่ 

พอแล้วนะ ที่ฉันเฝ้าฝูมฝักความสัมพันธ์กระท่อนกระแท่น รูปแบบการทำงานที่ปรับเปลี่ยนให้เหมาะที่สุด ฉัันไม่ได้ยอมแพ้ แต่ฉันเลือกทำในส่ิงที่ควรทำ 

ใครแต่งงานแล้วอย่ามาพูดกับฉันเชียว ใครโสดอยู่ถ้าไม่พูดก่อน ฉันก็ไม่พูดด้วย แล้วถ้าจะมีคนมาว่า ว่าฉันประพฤติปฏิบัติตัวไม่ดีอีกก็เพี้ยนแล้วคนที่ว่าน่ะ


วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Pride and Prejudice โอหังและอคติ

ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าเหมือนกลับไปเรียนภาษาอังกฤษกับอาจารย์สงวน เตรียมสอบ GMAT [เหมือน GRE มากกว่า] ถ้าไม่ได้โปรแกรมพจนานุกรมทีี่ติดมากับแมคมินิเครื่องนี้ ฉันคงไม่สามารถเข้าถึงความงามของภาษาและได้รับความเพลิดเพลินและประเทืองปัญญาจากบทสนทนาเชือดเฉือนของ Mr. Darcy และ Elizabeth เป็นแน่แท้...

คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยดูหนังเรื่องนี้มาแล้ว แต่ที่แน่ๆ Sense and Sensibility ดูแล้วแน่นอน ฉันชอบ Jane Austen ที่ใช้คำคุณศัพท์ คำวิเศษณ์ งดงามไพเราะหลากหลาย แล้วก็ย้อนนึกถึงตอนที่ฉันเรียน writing course ที่ AUA ก่อนไปเรียนต่อปริญญาโท ที่อาจารย์ชาวอเมริกันเหน็บแนมฉันเนื่องด้วย ดัดจริตใช้คำสูงซะจิง และเพื่อให้เป็นการมองทั้งสองด้าน อาจารย์ชาวอังกฤษเรียกฉันมาถามว่า ทำไมตั้งใจทำการบ้านขนาดนี้ ฉันถึงกับต้องถามต่อว่า มันก็มีผิดตั้งหลายที่ แต่อาจารย์คนดีก็บอกว่า ก็เห็นแก้หมดและเห็นพัฒนาการ ฉันก็เลยว่า ก็อยากเข้ามหาวิทยาลัยที่อยู่ใน Ivy League อะค่ะ ตอนนั้นหวังสูงจริงๆ ไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากหรอก คิดว่าถ้าได้เรียน Darthmouth น่าจะดี ไม่ได้รู้จักใครหรืออะไรหรอก คิดว่าเมืองมันสงบและได้อยู่ฝั่ง East อย่างที่ฝันไว้

การณ์กลับกลาย ไม่ได้เรียนดั่งตั้งใจทั้งเนื้อหาวิชาและที่ตั้งมหาวิทยาลัย แต่อะไรที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดีทั้งนั้น ฉันก็ได้ทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเค้าอีกตามเคย มาลงท้ายคล้ายควรเรียนอักษรศาสตร์ยังไงไม่รู้

กลับเข้่าเรื่องซักที อยู่ในภาวะที่เป็นห่วงตัวเองขนาดหนัก ไม่เคยรักและห่วงตัวเองเท่านี้มาก่อน ไม่สนอะไรทั้งน้ัน บัตรเครดิตก็เพิ่งไปจ่ายทั้งที่เงินก็มี หาเรื่องเสียดอกเบี้ยซะอย่างงั้น เรื่องบุญก็ยังไม่คืบหน้า แต่ก็ยังไม่สายเกินไป เรื่องอะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ทำ เบี้ยวผิดนัดเพียบแต่ก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือนร้อนจนเกินไป ฉันออกจากห้อง 1 ครั้งในรอบ 1 อาทิตย์เห็นจะได้ ไม่นับที่เอาขยะไปทิ้งสัก 2-3 ครั้งอะนะ เป็นโอกาสดีที่ฉันได้ใช้ของจนเกือบหมดตู้เย็น ไม่ว่าจะเป็นสันในหมู หมูสับ สันนอกหมู อกไก่ กิมจิหนวดปลาหมึก หรือป๊อปคอร์นหลายกล่อง ทำอาหารจนนึกไม่ออกแล้วว่าจะกินพวกสารพัดเส้นกับอะไร วันนี้ถึงได้ลงไปซื้ออาหารแช่แข็งมาตุนไว้อีกนิดหน่อย พร้อมกับฝรั่งหนึ่งถุง ไปจัดการเรื่องบัตรเครดิตในที่สุด ถือเป็นสัญญาณที่ดีขึ้นแต่อย่างไรก็ต้องทำอะไรให้เพลิดเพลินใจก่อนนะตอนนี้ 

หลังจากที่ดู Gossip Girl ตามด้วยอีกหลายๆ เรื่องซึ่งไม่ได้ดูทั้งหมดอย่างเรื่องแรก ด้วยเสียเวลาดาวน์โหลดมากจนต้องหันไปดูหนังโป๊ซะหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะดูหนังประเภทนี้ได้ร่วมสิบชั่วโมง แล้วก็ได้ข้อสรุปว่า ไม่ว่าจะชาติไหนก็อยากดูอะไรที่ละมุนละไมไม่อล่างฉ่าง แต่ไอ้ประเภทของแปลกก็ดูบ้างพอเป็นพิธี ได้ความรู้บางอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน เป็นเรื่องที่่น่าตกใจมากที่มีมนุษย์เพศหญิงเมื่อถึงจุดสุดยอดแล้วมีของเหลวจากช่องคลอดพุ่งออกมาเหมือนเปิดที่ฉีดน้ำเลยเชียว หรือการร่วมเพศทางทวารหนักคล้ายจะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไปแล้ว อุปกรณ์บำบัดความใคร่ของผู้หญิงดูน่ากลัวมากแต่คนแสดงก็ดูมีความสุขดี แล้วยังเรื่องวิตถารที่ร่วมเพศทางช่องคลอดและทางทวารหนักพร้อมๆ กันอีก เป็นที่ตื่นตาตื่นใจฉันจริงๆ หนังประเภทนี้มีให้ดาวน์โหลดดูฟรีๆ เป็นเรื่องเป็นราว ทุกรุ่น ทุกวัย ทุกขนาด ทุกรูปแบบ จนฉันถึงกับต้องไปดาวน์โหลดกามสูตรมาศึกษาเพื่อความรู้ที่ลึึกซึ้งและเป็นระเบียบแบบแผน

ฉันไม่น่าตั้งชื่อบทความนี้อย่างที่ตั้งเล้ย...

ฉันพยายามจะกลับเข้าประเด็นจริงๆ แล้วล่ะคราวนี้ ด้วยว่าไปทำบททดสอบว่าตัวฉันเทียบได้กับนักเขียนคนใด ผลออกมาเป็น Jane Austen ชื่อนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่พอหาข้อมูลไปก็ อ๋อ ฉันเคยดูหนังที่สร้างจากบทประพันธ์ของหล่อนนี่นา เป็นเรื่องแนว hallmark ที่ฉันชอบ และเชื่อว่าผู้ชายคนไหนที่ต้องดูทีวีเครื่องเดียวกับฉันแล้วเห็นฉันดูเรื่องประมาณนี้ก็จะไปหาอะไรอื่นทำทันทีแม้จะเมื่อย เบื่อหรือเหนื่อยสักเท่าใดก็ตามที

ฉันดาวน์โหลดหนังสือมา 5 เล่ม แต่ละเล่มสูงๆ ทั้งนั้น ไม่รู้ว่าปีนบันไดอ่านแล้วจะเข้าใจรึเปล่า โชคดีฉันเจอผู้ช่วย มีเว็บที่ทำสรุป อธิบาย  ขยายความหนังสือดีๆ คล้ายว่าจะช่วยเด็กนักเรียนทำการบ้าน ฉันคนที่ภาษาอังกฤษไม่ถึงระดับ GRE มีหรือจะเข้าใจมหากาพย์โอเดสซีย์ของโฮเมอร์โดยอ่านตัวต้นฉบับ แค่เรื่องโอหังและอคติฉันยังต้องเปิดดิกแทบทุกบรรทัดเล้ย แต่จะว่าก็ว่าเถอะ ภาษาเค้าสวยจริงๆ อย่างที่ฉันว่าตอนต้นว่าฉันติดใจบทสนทนาชาญฉลาดของพระนางคู่นี้ อ่านมาถึง Chapter 18 แล้วก็อดรนทนไม่ไหวมาเล่าให้เธอฟังเนี่ยแหละ

เล่มอื่นๆ ที่ดาวน์โหลดไว้ ฉันก็กะจะเอาไปอ่านตอนที่ไปมาเก๊าแหละ ใครจะไปเล่นคาสิโนให้เสียเงินเปล่า ขืนชอปปิ้งก็ไม่มีเงินทำบุญกันพอดี ฉันจะนั่งอ่านหนังสือดีๆ นี่แหละ ไปคุยกับใครเค้าจะได้ไม่ว่าเอาได้ว่ามาทำสำนักพิมพ์แล้วไม่ได้รู้อะไรกับเค้าซะเล้ย ไร้รสนิยม เข้าไม่ถึงความงามของภาษา 

เริ่มรู้สึกดีกับตัวเองว่า ในเวลาที่ฉันยังไม่พร้อมกับอะไรหลายๆ อย่าง แต่ฉันก็ทำให้เรื่่องบันเทิงเป็นเรื่องเดียวกับงานได้ในที่สุด :)

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่องอยากเล่า อยากพูด อยากระบาย

เธอรู้มั้ย ฉันอยากเล่าสารพัดเรื่องที่มันเกี่ยวพันกับชีวิตฉัน แต่ฉันเล่าไม่ได้เอาซะเลย ฉันว่าหนทางเดียวที่ทำได้คือ แต่งนิยาย ว่าแต่จะบิดปรับหักมุมยังไงให้มันดูไม่รู้ว่าความจริงคืออะไรละนั่น!!

แค่เมื่อคืนฉันไปกินข้าวกับใครบ้าง ยังเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเอามาพูดเลย

หรือว่านายสุดจู้จี้ให้ฉันทำภารกิจพิเศษก็จะไปเล่าสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้

หรือจะเรื่องที่ไปช่วยน้องเกี่ยวกับสปอนเซอร์และคนมางานยังมีเรื่องน่าอึดอัดอย่างไร

นี่ฉันกลายเป็นคนที่มองเห็นแต่ปัญหาไปแล้วหรือนี่

แต่ยังดีนะ ที่มีพี่คนหนึ่งบอกฉันว่า "จำไว้ ชาตินี้พี่ไม่มีวันโกรธเรา"  ดูจะเป็นเรื่องดีมากๆ ที่เกิดขึ้นกับฉันในช่วงอาทิตย์ที่่ผ่านมา และผู้ใหญ่ที่ไปอ่านเจอบทสัมภาษณ์แล้วโทรมาแสดงความยินดี แถมบอกว่า ควรจะรู้สึกภูมิใจนะ :)

เมื่อวานฉันเล่นพิเรนอีกแล้ว ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท้าให้ฉันทำเรื่องพิสดาร (ไม่มากเท่าไหร่หรอกนะ อยากเล่าแต่เดี๋ยวก็ไม่เหมาะอีกตามเคย) ฉันก็ทำซะงั้น มองดูภายนอก มันไม่ได้จะแปลกประหลาดอะไรหรอก มันประหลาดอยู่ในความรู้สึก คล้ายๆ ขโมยมะม่วงจากบ้้านข้างๆ กินมันอร่อยกว่ามะม่วงจากต้นในบ้านเราเอง

เรื่องน่ายินดีอีกเรื่องคือ ฉันช่วยเหลือน้องหาสปอนเซอร์สำหรับงานการกุศล โดยเลือกคนที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายตรงกับคนที่มาในงาน น้องคนดีให้นาฬิกาเป็นสปอนเซอร์ถึงสองเรือนแถมซื้อตั๋วไปร่วมงานด้วย ยังมีอีก 4 รายที่ฉันประสานงานให้ รู้สึกดีจังที่ช่วยน้องได้ คล้ายๆ จะเป็นการ payback ที่ผู้ใหญ่เมตตาฉัน ฉันก็ทำประโยชน์ให้น้องที่ต้องการความช่วยเหลือ เหมือนกับมองตัวเองเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ที่ถ้ามีใครยื่นมือมาช่วยเหลือฉัน ฉันก็จะซาบซึ้ง จริงๆ แล้วไม่ต้องย้อนไปไกลขนาดนั้นก็ได้ ทุกวันนี้ พี่ที่เมตตาก็ทำให้อะไรๆ เป็นไปได้ตั้งหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ลงไทยรัฐ 2 ครั้ง ลงขวัญเรือน ลง Mix Magazine ได้ท่านทูตมางานเปิดตัวหนังสือ หรือแม้กระทั่งลูกน้องเก่าของฉันที่เสนอให้ออกรายการทีวี แต่ไหนๆ จะได้ออกทั้งที ขอฉันตอบแทนพี่ใหญ่โดยการทำให้ภาพงานมันใหญ่ขึ้นกว่าแค่โปรโมทหนังสือเล็กๆ ทำเพื่อชาติไปในคราวเดียวกัน ได้ประโยชน์ทุกๆ ฝ่าย

เรื่องที่จะต้องทำเย็นนี้เป็นเรื่องจิตวิทยาเพื่อผลอย่างหนึ่ง ทำให้ฉันต้องไปรบกวนพี่ของน้องสะใภ้ฉันแล้วนะเนี่ย บางทีฉันก็งงตัวเองว่า ฉันหลบมาอยู่ในโลกหนังสือแต่แล้ว ก็ไม่พ้นฉันกลับเหมือนเข้าไปพันกับโลกธุรกิจมากกว่าตอนที่ฉันอยู่ในโลกใบนี้ด้วยซ้ำไป 

อะไรที่ฉันไม่เคยเข้าใจมาก่อน ที่เคยเข้าใจผิด ก็เข้าใจแล้ว และก็เข้าใจคนที่เดินตามหลัง รวมไปถึงคนที่เป็นเหมือนฉันเมื่อก่อน ไม่ผิดเลยที่เขาจะมีความรู้สึกกับฉันอย่างที่เป็นอยู่ ฉันเพียงผ่านจุดนั้นมาแล้ว ป่วยการที่จะอธิบาย ดูมันจะกลายเป็นการยัดเยียด การแก้ตัว เมื่อคนไม่เปิดใจที่จะพยายามเข้าใจ เราก็ได้แต่รอ หวังว่าสักวันจะเข้าใจ

มีแค่เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ และหวังเพียงว่า เขาเหล่านั้นจะได้เดินมาไกลจนถึงจุดที่ฉันอยู่นี้

มีคนที่นั่งสมาธิมากจนอยู่สูงถึงขั้นที่ได้เห็น ได้รับรู้อะไรเหนือคนธรรมดา บอกฉันถึงความเป็นอนิจจังของสิ่งหนึ่ง ฉันขอเปรียบเทียบกับคู่สามีภรรยาที่กัดก้อนเกลือกินมาตั้งแต่ความรักเป็นเพียงสิ่งเดียวที่นำทางชีวิต พอฝ่าฟันจนประสบความสำเร็จ ต่างคนก็หาความสุขใส่ตัว ภรรยาที่เคยช่วยงานทั้งหน้าบ้านหลังบ้านของสามีกลับกลายเป็นเหมือนผู้หญิงโง่ งานเมียหลวงก็ทำไปนะ ส่วนเวลาแห่งความสุขสามีขอไปอยู่กับผู้หญิงที่สวยกว่า อ่อนวัยกว่า ฉันได้รับรู้เรื่องราวแล้วก็ถอนหายใจ เราจะอยากเป็นคนดีไปทำไม ถ้าผลลัพธ์เป็นแบบนี้ สิ่งที่ฉันเลือกจะมองให้สบายใจก็คือ ภรรยาก็ไม่ยึดติด เขาอยากทำอะไรก็ปล่อยเค้า เราก็อยู่ของเรา แล้วหนึ่งในคนที่เป็นภรรยาที่ฉันคุ้นเคยในชีวิตจริง ก็มีความสุขในแบบของเธอ แต่ก็คงมีอีกหลายๆ คู่ที่ดัังแล้วก็แยกวง บางคู่อาจจากกันด้วยดี ละมุนละม่อม บางคู่ขึ้นโรงฟ้องศาล เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ใครก็ใครคงต้องรักตัวเองก่อน เลือกสิ่งที่ดีที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ถ้าสิ่งที่ดีที่สุดมันไปในทางเดียวกันก็ดี แต่หากต้องจบความสัมพันธ์มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก อย่าไปยึดติด อย่าไปกังวลล่วงหน้าซะจนไม่มีความสุขกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต

What will be, will be...

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Gossip Girl ในวันลอยกระทง

วันนี้หลังจากตัดใจเสียเงินค่า Limewire Pro ฉันก็ดาวน์โหลดดู gossip girl season 3 ทั้ง 6 ตอนอย่างหนำใจ ได้ฝึกภาษาอังกฤษแบบเต็มๆ เพราะไม่มี subtitle แล้วเธอรู้มั้ยว่ามันลงท้ายด้วยอะไรที่ฉันขอสรุปว่า destiny ได้ยังไง...

น่าสงสาร... วลีนี้จากคนคนนั้นยังติดอยู่ในใจฉันเรื่อยมา มันคือการแสดงความรู้สึกดูถูกดูแคลนรึเปล่า หรือเป็นเพียงแค่ความเห็นตรงไปตรงมากับข้อความก่อนหน้า มันตีความได้หลายแบบ ความเป็นไปได้มีตั้งหลายทาง คนในโลกหนังสือถึงได้ปัญหามากกว่าโลกธุรกิจในแง่ที่ไม่เข้าใจกันละมัง แต่ในโลกธุรกิจที่ชอบพูดอะไรเคลียร์ๆ ก็ไม่รู้อีกอยู่ดีว่าเจตนาที่แฝงอยู่เป็นไปอย่างที่แสดงออกมารึเปล่า  

เฮ้อ! สรุปว่าพอกัน ไม่ว่าอยู่โลกไหนก็ปวดหัวอยู่ดี 

คราวนี้ฉันดู gossip girl ด้วยความรู้สึกว่า เราจะไม่สามารถเขียนเรื่องให้ตื่นเต้นได้เลยใช่มั้ยถ้าไม่มีเรื่องรัก สับคู่กันไปมา กว่าจะจบนี่ไม่รู้แต่ละคนมีแฟนพันกันไปมาเท่าไหร่แล้ว ไม่เคยเห็นจะวุ่นวายเรื่องเรียน มีแต่ไปปาร์ตี้ แต่งตัว เปลี่ยนเครื่องประดับทุกวัน เฉดการแต่งหน้าก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ประมาณว่าถ้าต้องการดูให้เข้าใจอาจต้องดูซ้ำและจะจับผิดได้ว่าฉากในวันเดียวกัน แต่งหน้า แต่งตัวไม่ตรงอีกซะงั้น

วันนี้ตื่นแต่เช้า ดูแลสวนสวรรค์อันน้อยนิด ดูแลปากท้องตัวเอง ทำกับข้าวอย่างที่ไม่ได้ทำมาตั้งนาน แล้วก็ไม่พ้นติดต่อคนที่พยายามตัดใจอีกจนได้ มีเบอร์โทรศัพท์ของเขาไว้กับตัวอีกแล้ว อย่างนี้จะไม่เรียกว่า โชคชะตาฟ้ากำหนดแล้วจะให้เรียกว่าอะไร...

ฉันกะว่าจะไม่ไปที่ประจำ เพราะฉะนั้นคงไม่เจอ เรื่องติดต่อกันก็คงไม่อยู่แล้ว โลกออนไลน์ฉันก็ตัดซะ รวมทั้งเพื่อนคู่หูคนสนิทที่ไม่รู้ว่าเลยเถิดรึเปล่า ดูเข้าอกเข้าใจกันดีจัง กันภาพบาดตา ภาษาออนไลน์บาดใจ หากไม่ปะเหมาะจริงๆ ก็คงจะไม่มีอะไรสะกิดให้ย้อนนึกถึงคุณคนนี้ได้ง่ายๆ แล้ว แต่ส่วนที่มาแวะเวียนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอันนี้ฉันไม่รู้จะตัดยังไง

ภาพของเขาในความคิดคำนึงไม่เคยหายไปเลย เหมือนเงาตามติดเมื่อยามที่ว่าง สมองไม่ได้จดจ่อกับสิ่งใด ฉันไม่เคยรู้สึกอะไรกับใครมากมายขนาดนี้มาก่อน จะว่าคนที่เคยใกล้ที่สุด รวมเวลาที่คบและทำใจอาจจะมากกว่าคนนี้ แต่ฉันบอกได้เลยว่า คนๆ นี้มัดใจฉันไว้ได้โดยที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย มัดแบบที่ฉันรู้ตัวว่าหมดสิทธิ์ที่จะไปทำความรู้จักคุ้นเคยกับใครใหม่ๆ แม้เมื่อเขายังไม่ว่าง ฉันก็ให้โอกาสตัวเองและคนที่เข้ามา กำลังจะเข้าได้เข้าเข็ม ประมาณว่า เอาวะ ตัดใจเสียเถิด ไม่มีหวังหรอกชาตินี้ 

ที่ไหนได้ ดันมาเกิดเหตุการณ์ทีี่่ไม่มีใครคาดคิด ทันทีที่ฉันรู้ ฉันก็รู้ตัวเลยว่า คนที่ฉันพยายามจะให้โอกาส ตั้งหลักปักฐาน เริ่มชีวิตคู่อีกสักครั้ง ไม่มีความหมายไปในทันที โชคยังดีที่ฉันไม่ได้ให้ความหวังอะไรกับฝ่ายนั้นจนต้องรู้สึกโกรธตัวเองมากนัก

แต่ก็ใช่ว่าฉันจะได้ลงเอยกับเขาคนนี้ แม้เมื่อทั้งคู่ก็ไม่ได้มีพันธะอื่นใด ทำไมใจฉันถึงไม่เคยบอกเลยว่าเขาไม่ได้รักฉัน ทำไมฉันถึงได้มั่นคงกับความรู้สึกที่ว่าฉันเข้าใจเขาอย่างไม่เสื่อมคลายคล้ายกับหลอกตัวเองตลอดเวลา ปฏิเสธ ไม่รับรู้ความจริง 

ฉันเชื่อในสิ่งที่ฉันรู้สึก มันไม่ใช่ความรู้สึกข้างเดียว แม้เขาจะพร่ำปฏิเสธไม่รู้กี่ต่อกี่ครั้ง ฉันก็เข้าใจและรู้ว่าแม้เพียงสองครั้งที่เขากล่าวความในที่มาจากใจจริงๆ มันก็ยังคงเป็นความจริงเสมอมา ฉันไม่แน่ใจว่าเคยมีผู้ชายคนไหนบอกรักฉันรึเปล่า แต่ที่แน่ๆ เขาของฉันบอกโดยที่ฉันไม่ได้ขอ ในเวลาที่ฉันไม่ได้คาดหมาย ในค่ำคืนที่เกิดขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย มันได้ถูกลิขิตไว้แล้ว ทั้งสภาพแวดล้อม การกระทำของฉัน และปฏิกิริยาตอบกลับของเขา

เพราะเหตุการณ์นั้น ฉันหมดข้อกังขาใดๆ ไม่ต้องไขว่คว้า ไม่ต้องตามหา ฉันเจอแล้ว อยู่นี่ อยู่ตรงนี้ ไม่ใกล้ ไม่ไกล เหมือนจะห่างไม่ได้เห็นหน้า แต่เขาไม่เคยห่างไปจากความคิดคำนึงของฉันเลย 

เกือบครึ่งปีแล้วที่ความรู้สึกที่ลงหลักปักฐานไม่แปรเปลี่ยน 

มัดใจ...เป็นเช่นนี้เอง 

และในวันนี้ วันที่ฉันอยากจะให้เกิดภาพในความทรงจำสำคัญอีกครั้ง ฉันจะต้องลงทุนจริงๆ เหรอ หรือเหตุการณ์ต่างๆ จะช่วยนำเขามาใกล้ฉันอีกครั้ง 

ใจนึงฉันก็พยายามหนีเพื่อที่จะตัดใจแต่ก็อดไม่ได้ที่จะหวังลมๆ แล้งๆให้มันเด้งกลับ เพราะเรื่องของเรามันคาราคาซังอยู่ในใจฉันไม่รู้จบ พร้อมๆ กับที่ฉันก็มั่นใจว่ามันก็อยู่ในภาวะที่ไม่แตกต่างกันนักหรอกในใจเขา แม้ภาพสำหรับคนภายนอกที่รับรู้เรื่องราวมาแต่ต้นจะเป็นภาพที่ฉันไม่รู้จักเลิกราอยู่นั่นแหละ

น่าแปลกนะ ผู้หญิงที่หลายๆ คนคิดว่า เลือกใครก็ได้อย่างฉัน ดูจะเป็นทาสเขาอยู่อย่างนี้ตลอดมา หรือฉันต้องเป็นคนที่ make the first move  อีกไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่  ต้องเสี่ยงกับการปฏิเสธอยู่ร่ำไป แม้จะเคยมีครั้งนึงก็เถอะที่เขาตอบรับอย่างที่ฉันไม่คาดคิด 

อีกสองอาทิตย์ก็รู้ว่าฝันของฉันจะเป็นจริงรึเปล่า หรืออีกทีก็หวังลมๆ แล้งๆ ตามที่มีผู้้พยากรณ์ว่าภายในสิ้้นปีนี้ เขาจะกลับมา...


วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คำอธิบายจากสาวคาวเกิร์ลเมื่อคืน


"เมารึเปล่าน่ะเมื่อคืน เอารูปออกไปซะ"...

นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ประมาณว่า ฉันเจอหน้าเพื่อนคนนี้ทีไรก็เป็นต้องอบรมความประพฤติ โดยเฉพาะการโพสต์รูปในเฟสบุคซะทุกครั้งไป ด้วยเข้าใจในเจตนาดีของเพื่อนที่คบกันมา 20 ปีพอดิบพอดี ฉันเลยเปลี่ยนรูปโพรไฟล์พิคเจอร์เป็นรูปที่ถ่ายคู่กับพี่เคนไปซะงั้น แหม มันก็น่าอยู่หรอกนะ ก็ฉันเล่นโพสต์สารพัดท่า เหมือนๆ กับตอนอายุ 15 ที่โพสต์ให้พ่อถ่ายนั่นแหละ

ไม่รู้เป็นไง เวลาฉันนึกสนุกขึ้นมาทีไร เป็นเรื่องทุกกกกกกก ที

ครั้งนี้น่ะเป็นปาร์ตี้แบบคาวบอยคาวเกิร์ลฉันก็คว้าเสื้อลายสก๊อตมาใส่กับเกาะอกสีดำ กระโปรงมินิยีนส์ และรองเท้าบูทจากเพื่อนผู้อารี ส่วนหมวกก็ไปไถเอาในงาน กะว่าจะไม่คืน แต่แล้วพนักงานที่ร้านก็มาขอไป แถมบอกว่า "ไม่ใช่สองบาทหนิิ" จ๋อยไป

ปาร์ตี้ครั้งนี้คนน้อยมากกกกก แต่ก็ตามหน้าที่ ฉันก็เลยต้องเต้นแร้งเต้นกา โดดเข้าโดดออก ไปร่วมสนุกกินเหล้า 5 ช็อตกับเค้าด้วย มองในแง่ที่คนชอบมองก็ทำตัวเด่น เฟลิร์ต ซ่า เซี้ยว

แต่ถ้ามองอย่างที่ฉันเป็นก็คือ ไหนๆ คนน้อย เราก็ต้องช่วยๆ กันทำให้มันสนุก เปิดแอร์ก็น้อยเลยถอดเสื้อเชิร์ตออก เหลือเกาะอกพร้อมเนินขาวๆ ก็ ว้าว อีกตามเคย ช่วงนี้ฉันผอมลงขาก็ยิ่งเรียวขึ้น โพสต์ท่าถ่ายรูปให้มันสุดๆ ไปเลย แถมเจออีตาแขกอินเดียที่หน้าเหมือนแอฟริกันมาวอแว ไอ้ครั้นจะทำสะบัดสะบิ้งก็จะทำให้งานกร่อย ฉันก็จัดการเต้นหมุนไปหมุนมา หมุนออก ดึงคนอื่นมาหมุนด้วย แล้วก็ชิ่ง ไอ้พอเราทำแบบเนียนๆ มันเหมือนเล่มเกมส์ เลยมาอีกหลายหน

เพื่อนฉันอดรนทนไม่ได้ต้องไปกระซิบกับเพื่อนคนจัดงานแบบที่แปลเป็นภาษาไทยว่า "เพื่อนฉันไม่ใช่ easy catch นะยะ เขามาจากครอบครัวดีมีระดับ"

แถมวันรุ่งขึ้นเพื่อนคนจัดงานโทรไปหาอีตานั่นประมาณอบรมบ่มนิสัยว่าที่ทำเมื่อคืนดีนะที่ฉันไม่ถือ แต่ได้โปรดกรุณางดเว้นการกระทำดังกล่าวด้วยเทอญ

แหม ถ้าได้ดูภาพประกอบจะเห็นว่าฉันเบี่ยงตัวออกทุกครั้งที่เขาเข้ามาถ่ายรูปด้วย จะพันได้ก็แค่แขนฉันเท่านั้นแหละ หน้าหลังรับรองป้องกันไม่ได้แตะอยู่แล้วจ้า

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Gossip Girl แสบใส ไฮโซ (โหมโรง)

เนื่องด้วยมีหลายคนเป็นห่วงฉันขนาดหนัก ฉันเลยต้องห่วงตัวเองขนาดหนักไปด้วย อะไรที่จะทำให้ฉันคิดมากปวดหัว ตัดทิ้ง ช่วงนี้จะเป็นช่วงพักผ่อน ผ่อนคลาย ห้ามรู้สึกผิดหากไม่ได้ทำงานทำการอะไรทั้งสิ้น แต่ออกจะทำงานหนักมากโดยการดู Gossip Girl ทั้งสอง season ภายใน 3 วันไม่ขาดไม่เกิน...

ฉันไปซื้อซีรีส์เรื่องนี้้โดยที่ไม่ได้ตังใจมาก่อนแถมยังไม่เคยรู้เคยเห็นเคยได้ยินอะไรใดๆ อีกด้วย แต่ประมาณว่าหลงคารมคนขาย พร้อมๆ กับที่คนขายจะดูตำแหน่งหนังสือของสำนักพิมพ์ให้เป็นพิเศษ แล้วฉันก็ใจง่ายทันที

คิดซะว่าจะได้มีคนโชว์หน้าปกหนังสือของเราเพิ่มขึ้นละกัน แต่แล้วก็อดดีใจไม่ได้ที่คนขายเองก็บอกว่าซื้อหนังสือของเราเล่มหนึ่งด้วย อิอิ

กลับมาที่ Gossip Girl หรือชื่อภาษาไทยว่า แสบใส ไฮโซ ซีรีส์นี้ฉายที่ True Vision ตั้งแต่ปีที่แล้ว ก็อย่างว่าแหละ ฉันยกเลิกเคเบิลทีวีมานานมากแล้ว เลยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเค้าด้วย แต่พอดูเรื่องนี้แล้วก็ทำให้ฉันฉุกคิด ตะหงิด ตะหงิด เกี่ยวกับเรื่องของตัวเองตามเคย

ใครอยากรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร เนื้อหาความเป็นมาอย่างไร ก็เสิร์จคำว่า   gossip girl เอานะจ้ะ มีทั้งข้อมูลภาษาไทยและอังกฤษ ฉันจะพล่ามเฉพาะส่วนทีโดนใจฉันแหละ

เซรีน่า สาวไฮโซครบเครื่อง เป็นแฟนกับ แดน หนุ่มอีกชนชั้นจากบรูคลิน เซรีน่ามีเพื่อนสนิทเป็นคุณนายเชิดหยิ่งอย่าง แบลร์ มีน้องชายที่ชอบผู้ชายและเคยคิดฆ่าตัวตายอย่าง เอริค แม่ของเธอเป็นแฟนเก่าพ่อของแดน หนุ่มหน้าหวานสุดหล่อ เนท เป็นแฟนกับแบลร์ตั้งแต่อ้อนแต่ออก และมีเพือนสนิทที่สปอยล์สุดๆ อย่างชัค แดนมีน้องสาวที่รักการตัดเย็บเสื้อผ้าอย่างที่สุดชื่อ เจนนี่ พร้อมๆ กับที่มีเพื่่อนสาวคนสนิทและเป็นรักแรกอย่าง วาเนสซ่า

ตัวละครเด่นๆ น่าจะครบแล้วแหละ แล้วเวลาที่ดูแต่ละตอนก็มีอันต้องทำให้ฉันสะดุดกึกเป็นพักๆ เช่น

แดนไม่ถูกกับแบลร์เพื่อนซีของเซรีน่านางในฝันและแฟนในความเป็นจริงหลังจากหลงรักมานาน ฉันเองก็ไม่ชอบเพื่อนของคนที่ฉันชอบสักคน สำหรับฉันแล้ว เพื่อนของเค้า ปากเสียอย่างแรง แบ่งชนชั้น กัดชาวบ้านไปทั่ว เห็นแต่ประโยชน์ของตัวเอง และหนึ่งในนั้นเคยใช้สายตาเย้ยหยันมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า 

เฮ้อ! อะไรจะเหมือนกันขนาดนั้น

แค่นี้ก่อนละกันนะจ้ะ ไว้มาเล่าตอนต่อไป

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

รถไฟฟ้า (ขบวนสุดท้าย) มาหา (แล้ว) นะเธอ

นั่งดู trailer หลายรอบ อดรนทนไม่ได้ เข้าโรงดูหนังที่นำมาซึ่งรอยยิ้มและความสุขเรื่องนี้ 2 รอบ...

ตอนนี้ฉันนั่งอยู่ในบ้านที่ไม่คุ้นเคยแต่อยู่ในคอนโดชั้น 6 เหมือนกัน ขนาดประมาณ 160 ตารางเมตร หนึ่งห้องนอน สองห้องน้ำ ส่วนรับแรกและครัวฝรังโอ่โถง ตกแต่งต่อเติมมาหลายปีแล้ว แต่เฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาลดำแลขาวก็ยังทันสมัยอยู่เสมอ

ฉันอยู่ที่นี่เป็นคืนที่สอง คืนแรกนอนในห้องนอนกับคุณป้าพี่สาวคนโปรดของแม่ เมื่อคืนนี้ฉันสมัครใจนอนโซฟาหน้าทีวี ซึ่งคุณป้าก็ว่าไงว่ากัน ตกดึกตื่นมา คุณป้าหายไป รีบโผล่ไปดู นอนอยู่ในห้อง ค่อยโล่งใจ กลับมานอนห่มผ้าหน้าจอตามเดิม

ก่อนนอนเมื่อคืนเป็นวันที่อยู่กับผู้ใหญ่ สี่สาวไปทำผม ทานอาหารเที่ยง ชอปปิ้ง ดูหนัง จะว่าไปก็เหมือนสาวรุ่นทั่วๆ ไป สองสาวเกินแปดสิบ อีกหนึ่งห้าสิบกว่าแล้ว ส่วนฉันก็อย่างที่รู้ ใกล้สี่สิบอยู่รอมร่อ

หนังที่ว่าจะเป็นเรื่องอื่นไปไม่ได้ ปู๊นๆ นั่นเอง

ปู๊นครั้งที่สองได้เก็บรายละเอียดที่ตกหล่นจากการดูครั้งที่หนึ่ง ทำไมนางเอกตาตี่ เบอะๆ คนนี้น่ารักนักวะ นี่ฉันเป็นผู้หญิงยังอดชมไม่ได้ แล้วผู้ชายล่ะ เห็นติดใจไปตามๆ กัน

ผู้หญิงก็มักจะเลือกเข้าไปดูพี่เคนสุดหล่อแสนดี และนั่นก็เป็นแคเร็กเตอร์ที่ผู้เขียนบทวางไว้ให้

คนบ้าอะไรวะ แว่นเรย์แบนแตก กระจกหน้ารถหล่นใส่ รูปตัวกับแฟนเก่าว่อนเน็ต กล้องถ่ายรูปพังซะอีก ไม่เห็นโกรธ โวยวายแต่อย่างใด ในโลกแห่งความเป็นจริงจะมีมั้ยหนอ

นางเอกที่เกิดมาไม่เคยมีแฟน จนอายุ 30 เพิ่งรู้ว่าแม่ไม่ได้เห็นว่าการจีบผู้ชายเป็นเรื่องน่าเกลียด ก็พยายามหาทางเข้าใกล้พระเอกสุดหล่อคนดีอย่างที่สุด ดูแล้วน่าเห็นใจเพศหญิงเช่นฉันจริงๆ จะมีใจให้ใครแสดงออกมากก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะกลายเป็นอ่อยจนเกินงาม

ทำยังไงมันจะพอดีละนั่น จีบแต่พองามน่ะ

และแล้วก็มีคำถามสำคัญถามไถ่

คนเราถ้าเป็นแฟนกันแต่ไม่ได้กินข้าวด้วยกัน ไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน จะมีแฟนไปทำไม

แฟนไม่จำเป็นต้องตัวติดกัน เรามีแฟนเพื่อให้รู้ว่ามีคนที่รักเราต่างหาก

อะไรประมาณนั้นแหละ

และแล้ว ความรักแม้จะไม่สมหวังก็ทำให้เราปรับตัวเข้าหาอีกคนโดยที่ไม่ได้โดนเรียกร้อง โดนบังคับ บางครั้งเราก็ปรับ เราก็เปลี่ยนเพราะการกระทำนั้นทำให้เรารู้สึกว่าใกล้กับใครคนนั้นมากขึ้นต่างหาก



http://www.youtube.com/watch?v=ZSMUF8izOJM

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2552

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่

หลังจากรากงอกมานาน ถึงเวลาแล้วสำหรับการเปลี่ยนแปลง...

ไม่ได้หมายความว่า สิ่งเดิมจะต้องไม่ดี เป็นการลองเปลี่ยนเพื่อดูผลกระทบ หากฉันไม่ได้มาประกาศ ณ ที่นี้ ฉันอาจไม่จริงใจในการกระทำให้บรรลุตามที่ตั้งใจไว้ 

ฉันจะหยุดไปร้านประจำ เวลาค่ำคืนของฉันจะเป็นเวลานอน ทำกิจกรรมอยู่ที่บ้าน หรืออีกทีก็ไปแวะเวียน เปิดหูเปิดตาที่อื่นๆ แทน

ใครได้ผ่านมาอ่านเข้า อาจจะคิดว่า อะไรมันจะใหญ่โตนักหนา กะอิแค่ไม่ไปนั่งผับประจำ มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับฉันสิ เพราะร้านที่ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันมากว่าสิบปี เมื่อถอนเวลาที่ให้กับสถานที่นี้ออกไปก็ย่อมก่อให้เกิดที่ว่างขนาดใหญ่ในกระบอกชีวิตแก้วของฉัน คล้ายดั่งเอาก้อนหินก้อนใหญ่ออกไป มีที่เหลือเฟือให้ใส่หินก้อนใหญ่เล็ก รวมไปถึงกรวด ดิน ทรายเพื่อเติมเต็มจนครบเครื่อง

ฉันไม่ขอพูดพล่ามทำเพลงมากมาย ขอแค่สัญญากับตัวเองโดยจารึกเป็นหลักฐานในโลกไซเบอร์เท่านั้นแหละ คอยดูสิ ฉันจะหักดิบเลยเชียว คำนินทาทั้งหลายที่จะถาโถมมาที่ฉันจะได้เข้าถึงฉันยากขึ้นอีกนิด ถึงเวลารับศึกที่ีใหญ่ที่สุด 

ศึกปากคน!

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วันที่ไหลเรื่อย

หลังจากพักผ่อนมาหลายเพลา เอาให้แน่ใจว่าไม่ได้เพลียเพราะนอนไม่พอ วันนี้ก็ไม่ได้ตื่นก่อนพระอาทิตย์ส่องหัวสักเท่าไหร่ เสียงโทรศัพท์เข้ามาเป็นระยะๆ ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ว่า ถึงเวลาที่ต้องออกจากบ้านแล้ว...

ขับดิ่งไปจอดรถหน้าร้านเสื้อเพื่อรับชุดราตรีสั้น 3 ชุด แต่สอบผ่านแค่ชุดสีน้ำเงินแป๋นชุดเดียว ชุดสายเด่ียวสีดำคัตติ้งยังไม่เนียบและดูจะไม่เซ็กซี่พอ (อิอิ) ชุดเกาะอกสีม่วงอ่อน ใส่แล้วไหงหุ่นฉันแย่ลงหว่า ก็ไม่เอานะสิ ช่วงนี้เป็นช่วงสะสมทุกสิ่งอันสีม่วง พรุ่งนี้ก็ด้วยทั้งข้างนอกและข้างใน ด้วยสีของสำนักพิมพ์และนางสาวไทยก็สีม่วงเหมือนกัน สบายฉันไปเลย

รับเสื้อเสร็จก็นึกได้ว่า ควรจะไปหาหมอเพื่อแผ่นหลังสวยเนียนเสียที ผิดนัดคราวที่แล้ว ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าอีกต่างหาก ไปถึงคิวเต็ม หม่ำๆ ก่อนดีกว่า แล้วก็สวาปามฮามาชิ มากูโระ หอยเชลล์ดิบและสเต๊กเนื้อ พร้อมน้ำแตงโมปั่น ฉันก็ได้รับสารอาหารครบถ้วนทุกหมู่เหล่า เอาไงดี ทำไงต่อ ไปนวดดีกว่า ถือว่าเป็นวันผ่อนคลาย นวดมันสองชั่วโมง ระหว่างนวดก็นึกได้ว่า กว่าจะนวดเสร็จก็พอดีหมอว่าง ไม่เลวจะได้ทำมันซะรวดเดียวไปเลย

เวลานวดกดจุดนี่ฉันเจ็บจี๊ดเป็นจุดๆ ด้วยเหมือนกัน ก็พอจะรู้อยู่หรอก เพราะก็มีปัญหาอยู่เช่่นนั้นจริงๆ 

ฉันมีความจำเป็นที่จะต้องอธิบายให้คนอื่นๆ เข้าใจว่า ตกลงแล้ว ฉันเป็นอะไร ฟังแล้วดูคล้ายคนขี้เกียจธรรมดาที่ไม่ตื่นเช้าเพื่อทำการทำงาน แต่เมื่อคุณอาหมอบอกว่า ไม่ต้องรู้สึกผิด ร่างกายเราเซย์โนแล้วมันไม่ยอมให้ฝืนจะทำไงได้ ไอ้คนอยู่เฉยๆ ไม่ได้อย่างฉันจึงสวมวิญญาณนักวิจัย หาโรคให้ตัวเองเสร็จสรรพ

ฉันว่า ฉันเข้าข่ายเป็น Kleine-Levin Syndrome 

อันว่าคำอธิบายทั้งหลายก็ไปกูเกิ้ลหาดูละกัน สรุปสั้นๆ ว่า ผู้ป่วยจะนอนติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ เช่น 18 ชัวโมง หรือบางคนเป็นอาทิตย์ก็มี จะตื่นเพื่อเข้าห้องน้ำหรือยัดอะไรเข้าปากกันหิวแค่นั้น เมื่อตื่นก็จะงงและสับสนตัวเอง บังคับการตื่่นไม่ได้ทำให้พลาดวัน เวลาที่สำคัญไปอย่างที่ไม่น่าเกิดขึ้น อาการก็จะไม่แน่นอนด้วยนะ เป็นครั้งละกี่วัน เป็นบ่อยแค่ไหน ไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน เป็นโรคที่หาคนเป็นยาก พร้อมๆ กับที่ไม่รู้สาเหตุ ไม่มีวิธีรักษาเป็นเรื่องเป็นราว ได้แต่ยืมยาตระกูลโน้นนี้มาใช้แก้ขัด ที่สำคัญ ไอ้การที่คนเป็นโรคนี้น้อย คนที่เป็นจึงมักได้รับการวินิจฉัยผิดไปก่อน ด้วยโรคนี้มิได้วินิจฉััยจากการที่มีอาการตามที่กำหนด แต่วินิจฉัยด้วยการตัดโรคอื่นที่ไม่ตรงออกไปก่อน 

อาการนอนไม่หลับ  หลับมากไป ก็คล้ายๆ กับอาการปวดศีรษะ ที่เราๆ ก็รู้กันดีว่าเป็นอาการของแทบจะทุกโรคที่มีด้วยซ้ำไปละมั้ง

แล้วฉันก็อธิบายแบบง่ายๆ ว่า ไม่รู้จะตื่่นกี่โมง ไม่อยากให้ดูภาพของหน่วยงานไม่ดี แต่เมื่อยังต้องการให้ฉันปฏิบัติหน้าที่ ก็ดูแลฉันดีๆ แล้วไม่ต้องคาดหวังมากนักละกัน พรุ่งนี้ไปไหวกี่โมงก็ไปตอนนั้น สบายใจทั้งสองฝ่าย

กลับบ้านดูทีวี กินถั่วอิหร่านพร้อมนึกหน้าคนให้รางๆ แล้วก็นั่งอัพบล้อก บอกบุญสร้างโรงอาหารให้เด็กนี่แหละ

รดน้ำต้นไม้อีกนิด ใกล้ปิดทีวี นอนรอให้ถึงเวลาต้องรับใช้ชาติ 

ว่าแต่ เอ วันนี้ทำไมยังไม่ง่วง ยายังไม่ออกฤทธิ์หรือไร ถ้าอาบน้ำแล้วยังตาสว่างก็ดูหนังไปจนหลับละกัน เมื่อคืน Gosford Park ซึมไปในสายเลือดแล้วแหละ เปิดดูสองรอบ นั่งอ่านคำวิจารณ์และเรื่องย่อ ทวนคำคม คำเด็ด หนังเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ดูแต่ละครั้งก็ได้มุมมองที่แตกต่าง รวมทั้งรายละเอียดปลีกย่อยก็แสดงนัยถึงหลายสิ่งหลายอย่าง เก็บเอาไปคิดได้อีกเป็นกระบุง

good night my blog++

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552

IL Postino (The Postman) สื่อรักลำนำสวรรค์

เมื่อคืนฉันดูหนัง               และได้ฟังเพลงไพเราะ
คำกลอนทำนองเสนาะ   ช่างเหมาะเจาะกับอารมณ์
"สื่อรักลำนำสวรรค์"       ชื่อเรื่องนั้นฉันได้ชม
ทั้งเรื่องล้วนคำคม           ของ Pablo Neruda
ชาวเรือยากจนแสน        The Postman เขาใฝ่หา
เมื่อจดหมายส่งมา          รีบเร็วจี๊ขี่จักรยาน

ทั้งหมดจ่าหน้าถึง            ผู้ดื้อดึงคนอาจหาญ
จากชิลีมานาน                 แต่คำหวานสะท้านใจ
จดหมายจากสาวสาว      ทำคนเขลากระเถิบใกล้
กวีเอกเก่งกว่าใคร          แถมยังได้เมียสุดงาม
จากห่างเริ่มใกล้ชิด         ได้สนิทแทบทุกยาม
มีหลากหลายคำถาม       ได้สว่างกระจ่างใจ

วันหนึ่่งหนุ่มได้พบ           ได้สบตาหญิงหน้าใส
เมือเจอแทบเป็นใบ้          ตะลึงไงใจระทวย
อดรนทนไม่ได้                ต้องรีบไปคล้ายขอหวย
ทำไรได้คนสวย               ขอกวีช่วยรวยคารม
ได้กลอนแสนเพราะพริ้ง  สาวฟังนิ่งความรักบ่ม
และแล้วได้สุขสม             หมดโศกตรมเลิกขมใจ

ถึงคราวได้กลับบ้าน        กวีหาญจากเกลอใหม่
ทิ้งของไม่เป็นไร              ไปรษณีย์ให้ใจดูแล
ข่าวคราวไม่มีถึง             ชาวเกาะจึงไม่แยแส
อย่างไรมีหนึ่งแล             และถึงแม้ไร้เสียงมา
อุดมการณ์ล้ำเลิศ            เพาะบ่มเกิดก่อนจากลา
คอมมิวนิสต์แรงกล้า       พาให้เขาเข้าเมืองไป

สองวันก่อนลูกคลอด      ชีวิตจอดลูกขาดไร้
ซึ่งพ่อที่รอให้                  กวีไซร้ได้กลับมา
เด็กโตจนเดินได้             กวีใหญ่ได้มาหา
ฟังเรื่องไม่พูดจา             ติดตรึงตาคราเคยเยือน
พ่อเด็กบันทึกเสียง         สรรพสำเนียงเพียงเพื่อเพื่อน
ฟังแล้วช่างย้ำเตือน        มิลืมเลือนเหมือนเมื่อวาน

เดินเลาะริมหน้าผา         เสียงลมซ่าข้าจดจาร
เสียงอื่นเขาลนลาน        เสียงขับขานอันงดงาม
ทุกเสียงทีบันทึก            ละเอียดลึกจิตล้นหลาม
หมดแล้วซึ่งคำถาม        เพื่อนใจงามจำจากจร



เลื่อนลอย วิ่งวน ค้นหา

เคว้งคว้างเลื่อนลอยเลาะริมธารน้ำ        มีคำถามมากมายกายอ่อนล้า
แต่ยังล่องลอยไปในนาวา                      คล้ายดังว่าดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
บางครั้งเหมือนหมดแรงแสงความคิด   รู้สึกผิดไม่วายคล้ายเมินเฉย
แต่ไม่เหมือนทุกครั้งที่เคยเคย               อยากเปรียบเปรยแต่ไม่รู้คู่อะไร

แสงแดดส่องสอดผ่านม่านแมกไม้        ผ่านต้นสายปลายรากจากกิ่งไหว
แต่อย่างไรก็ไม่แจ้งถ้อยความใด           อันว่าใจเหมือนนิ่งแต่วิ่งวน
นั่งมองดูเหมือนจิตอยู่แต่ครวญคิด        ย้ำไม่ผิดแต่หลงป่าหาถนน
เหมือนเวียนวนไม่รู้อีกกี่หน                   ถอนใจจนไม่รู้บ่นไปทำไม

มองฟ้ามืดเสียงลมล้อต้นไม้                  เสียงจากใจยังคร่ำครวญกว่าคืนใด
รู้หรือไม่ไร้อารมณ์ตรมจะตาย              อยากปีนป่ายขึ้นจากโคลนโยนทิ้งไป
ถอนหายใจอีกแล้วเป็นแนวคลื่น           ไม่อยากตื่นไม่อยากนอนจะได้ไหม
ฉันจะแก้ปัญหาของฉันอย่างไร             แล้วก็รู้ว่าไม่มีคำตอบปลอบใจตน




วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สบายใจแระ

วันอาทิตย์ที่ฉันบ่นไปแล้วว่ามีอะไรต้องทำหลากหลาย สรุปว่า ฉันไม่ได้ทำเลย...

กลับบ้านตีสี่หลังจากเสร็จสารพัดงานและธุระโดยมิได้แตะต้อง L ก ฮ แม้สักหยด

ฉันนอนลืมตาฟังเสียงโทรศัพท์เจ้านายดังหลายครั้ง แล้วนึกย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่วันก่อนที่มีคนโทรหาทั้งวัน พอตกภาคกลางคืน นายโทรหาทุกชั่วโมงจนถึงห้าทุ่ม พร้อมความรู้สึกผิดที่ติดตัวมาอย่างยาวนาน 

ฉันเป็นอะไร ทำไมฉันถึงขาดความรับผิดชอบขนาดนี้ อะไรคือต้นเหตุของปัญหากันแน่

ฉันต้องการความช่วยเหลือในการวิเคราะห์ปัญหาอย่างมีเหตุผล ปรึกษาใครดีละทีนี้ คุณอาที่รับฟังปัญหาฉันมาแต่อ้อนแต่ออกท่าจะดีที่สุด

เล่าเหตุการณ์ปัญหาเรื่องราว ได้ความว่า ฉันเป็นโรคพักผ่อนไม่เพียงพอเรื้อรัง ซึ่งในความเห็นของคุณอา อันตรายมาก

การที่เราไปรับผิดชอบสิ่งต่างๆ มากมายโดยที่ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อต้าน จึงเป็นที่มาของการไม่ยอมตื่นในหลายๆ วัน

ฉันนึกย้อนกลับ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ปัญหาส่วนใหญ่ในชีวิตมักจะมาจากเรื่องนี้ การไม่รู้จักประมาณตน ไม่รู้จักปฏิเสธ อย่างที่ฉันชอบบอกตัวเองอยู่เรื่อยว่า ความหมายของคำเปรียบเปรยที่พี่คนหนึ่งให้ไว้คือ เป็นสินค้าที่ฉลากไม่ตรงกับของข้างใน 

ท่าทางเวิร์คกิ้งวูแมนของฉันมักจะทำให้คนเข้าใจผิดว่าฉันสามารถทำงานหนักเป็นบัฟฟาโล ด้วยความสามารถอาจจะทำได้ แต่ความอึด ทนทาน ความบึกบึนของร่างกายและจิตใจไม่เป็นอย่่างนั้น แล้วก็ทำให้ฉันย้อนนึกไปถึง คำพูดของคนที่ดูลักษณะมือ คนที่บอกฉันว่า พอรู้จักฉันเป็นครั้งแรก ก็คิดว่าพูดจาเหมือนคุยกับผู้ชายได้ ประมาณว่า ไม่ต้องถนอมดังเป็นผู้หญิงที่ละเอียดอ่อน แต่พอมาดูลักษณะมือและกระดูกของฉันแล้วก็พบว่า รูปมือเป็นมือของผู้ชาย แต่กระดูกเป็นแบบผู้หญิง แปลได้ว่า ข้างนอกดูเหมือนผู้ชาย ดูแรง แต่จริงๆ แล้วคือผู้หญิงที่ต้องการการทะนุถนอมดีๆๆ นี่เอง

จะมีใครมองลึกลงไปเห็นความละเอียดอ่อน ความเป็นผู้หญิง ในเปลือกแข็งแต่เปราะนี้มั้ยหนอ 

แต่นั่นคือ การมองในรูปแบบความสัมพันธ์ ส่วนเรื่องงาน มีแต่จะก่อให้เกิดความผิดหวัง เข้าใจผิด อะไรประมาณนั้น

ได้พูด ได้มีข้ออ้างให้ตัวเองก็ทำให้รู้สึกสบายใจแล้วล่ะเธอ

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ยุ่งเหยิง สับสน วุ่นวาย

อันที่จริง ชีวิตของฉันก็ไม่น่าจะซับซ้อนอะไรนักหนา ไม่ได้เป็นมนุษย์ออฟฟิศอย่างชาวบ้านทั่วๆ ไปสักกะหน่อย แต่กลายเป็นว่าทั้งงานราษฎร งานหลวง สับสนปนเปกันให้ยุ่งยากใจยิ่ง...

เฮ้อ!! ขอถอนหายใจก่อนจะบ่น บ่น บ่น และบ่น คนเราถ้าไม่ต้องทำหลายๆ สิ่งพร้อมๆ กัน จะเรียกว่า ยุ่งได้ยังไง ญาติผู้ใหญ่ ผู้มีพระคุณช่วยให้ฉันได้คำนำหนังสือเจ้าชายน้อยจากท่านทูตฝรั่งเศส แถมฉันยังเรียนเชิญท่านไปงานช้าเกินควร แม้ท่านจะเข้าใจแต่ฉันก็รู้ว่า ฉันทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรอีกแล้ว ตอนนี้ท่านจากไป บุญคุณยังไม่ได้ทดแทน ได้แต่ฝากแม่ที่คอยดูแล ทำให้รู้สึกผิดน้อยลง งานศพมีติดต่อกันในช่วงที่วุ่นวายทั้งงานราษฎร งานหลวง แถมผู้ใหญ่ที่ให้ความเมตตา ช่วยเหลือสารพัดเรื่อง หลายยยยยยท่านก็แวะเวียนให้รับรองอยู่เป็นนิจ แถมยังมีผู้ใหญ่ของผู้ใหญ่ที่ดูแลตกทอดกันมาอีกเป็นสายๆ ถ้าวาดเป็นรูปก็แตกแขนงเป็นสาแหรกกิ่งก้านสาขาบานตะไท

แล้วแทนที่ฉันจะได้กลับบ้านนอนเพื่อทำงานภาคกลางวัน ก็เป็นอันเหลือเวลาเพียงสองสามชั่วโมง ไอ้การที่ธรรมชาติของฉันต้องนอนกินบ้านกินเมืองไม่งั้นสมองไม่ทำงาน ทำให้ไปทำงานภาคกลางวันสายบ้าง ไปประชุมช้า ไม่ได้ไปมันทั้งงานเลยก็มี วันที่ 15 นี้เป็นวันที่ทุกอย่างประเดประดังกันเข้ามา ทั้งการประกวดรอบผิวพรรณ งานแถลงข่าว งานศพ วันแรกของงานสัปดาห์หนังสือ นี่ยังไม่ได้นับภาคกลางคืนที่ต้องมีการประชุมต่อเนื่อง และเลยรวมไปถึงรับรองผู้ใหญ่ เอ็นเตอร์เทนผู้มีพระคุณ อันเป็นหน้าที่ประจำด้วยนะ

แม้แต่วันอาทิตย์นี้ ไปดูแลการคัดตัวผู้เข้าประกวดนางสาวไทย ผู้ใหญ่ขอร้องให้แว๊บไปงานทอดกฐิน กลับมาดูเรื่องกองประกวดต่อ เย็นไปงานสวดศพ และกลับมาประชุมทีมงานกองประกวด คืนนี้ก็ใช่ว่าฉันจะได้กลับบ้านแต่วัน มีการส่งงานตามผับตามบาร์จนฉันเรียกสถานที่นั้นว่าเป็น ออฟฟิศ มาพักใหญ่แล้ว นี่ฉันก็ยังนั่งทำงานและอัพบล้อกโดยใช้คอมพิวเตอร์ในร้านขายข้าวซอยของน้องที่คุ้นเคยกัน

แล้วสิ่งที่ฉันทำได้ก็คือ ไม่เครียด ไม่รู้สึกผิด (มากอย่างเคยๆ ) แม้จะเป็นสารพัดสายตาที่เป็นจริงและที่จินตนาการได้ ปลงๆ ปล่อยๆ บางครั้งอาจทำให้คนรอบตัวตั้งใจทำงานและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมากกว่าที่ฉันมานั่งเคี่ยวเข็ญใช้พระเดชให้เมื่อยอารมณ์ เซ็งกล้ามเนื้อซะอีก

โอเค ได้บ่นพองาม แล้ว ก็ถึงเวลาปฏิบัติงานภาคกลางคืน ด้วยชุดทำงานเดิม สลัดแจ๊คเก็ตออก เหลือเกาะอกปักเลื่อมเล็กน้อย เข้ากับคอนเซปท์วันเกิดน้องที่ร้านประจำเลย แล้วก็ต้องเทคแคร์ประชาชีควบคู่ไปด้วย

แล้วจะมีใครเทคแคร์ฉันมั้ยหนออออออออ

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Beauty Sleep, Beauty Marketing Strategy


ฉันเพิ่งตื่นได้ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนอนนานนนนนนนนับแต่เมื่อเช้าตรู่วันเสาร์ที่่ผ่านมา นับไปนับมาได้ประมาณ 30 ชั่วโมง...

มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันละเนี่ย พี่ที่เข้าใจบอกว่า มันคงเป็นกลไกของธรรมชาติที่ปรับสมดุลให้กับร่างกาย ดีเท่าไหร่แล้วที่นอนหลับ ไม่ต้องทนทรมานเหมือนหลายๆ คน ที่อยากหลับแล้วหลับไม่ลง

งานที่เพิ่งเริ่มใหม่ ทวีความสนุกสนานและซับซ้อนเป็นลำดับ ฉันออกจะเป็นคล้ายคนกลางแม้จะไม่กลางด้วยหน้าที่ ยังไงฉันก็ถือว่าฉันมองจากอัฒจรรย์ เห็นใจทั้งสองฝ่าย การที่เราจะปรับจูนให้ลงตัวต้องยืดหยุ่นซะเหลือเกิน มีโอกาส ทางเลือกเข้ามามากมาย ทั้งส่วนตัวและเรื่องงาน เป็นช่วงเวลาที่มีอะไรน่าสนใจเข้ามาในชีวิตอีกช่วงหนึ่ง

อาทิตย์หน้าก็จะเริ่มยุ่งจริงๆ จังๆ แล้ว ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าร่างกายจะรับไหวรึเปล่า แต่ก็พยายามพักผ่อนให้มากขึ้น มีคำสัญญาจากคนที่ให้ความสำคัญกับคำพูดอย่างสูงอยู่สองคน หนึ่งจะหาคนเช่าพื้นที่ให้ฉัน และให้ฉันเป็นพิธีกรทีวีช่องใหม่ อีกหนึ่งจะช่วยให้ขายหนังสือได้มากสมความตั้งใจ

ปีหน้าจะเป็นปีรุ่งโรจน์ของฉันตามคำทำนายของคนที่มีญาณพิเศษ 2 คนที่ฉันไม่ได้สืบเสาะค้นหา แค่่ปีนี้มันก็ดีแล้วนา เพื่อนฝูง ใครเจอหน้าก็บอกว่าเห็นฉันออกสื่ออยู่เป็นระยะ โอม เพี้ยง ขอให้ฉันขายหนังสือได้โดยไม่ต้องจ้างดาราเป็นพรีเซนเตอร์ทีเถอะ ในเมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ขนาดเข้าไปเชิญให้มางานเปิดตัวหนังสือด้วยตัวเองแล้ว ยังไม่ยอมมาทำข่าวให้ ด้วยว่าบก.ให้เหตุผลว่าจะทำข่าวเฉพาะหนังสือที่ดาราเขียนหรือแปล 

ให้มันรู้ไปซิว่า ฉันจะทำตัวให้เด่นแบบไม่เป็นภัย เป็นคุณต่อการขายหนังสือไม่ได้ !!!

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

แล้วมันลงเอยที่ "จำเลยกามเทพ" ได้ไงเนี่ย


ฉันปวดท้อง เห็นใจนาย ใครๆ เป็นห่วง...

ฉันน่ะเป็นคนจำพวกไวต่อสารเคมีในร่างกาย บางครั้งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่แล้วก็พบว่ามันเป็นเรื่องของระดับสารเคมีที่เปลี่ยนแปลงเนื่องด้วยสารพัดเหตุ หลายครั้งที่ใครๆ บอกว่าไม่รู้จักประมาณตน ทำอะไรเกินกำลัง พอรู้ตัวก็แย่พอควร ฉันเลยต้องสังเกตุตัวเองให้มากขึ้น ฝืนอะไรให้น้อยลง ในขณะเดียวกัน ฉันก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าขี้เกียจไปมั้ยนั่น แต่ก็หัดเอามือไขว้หลัง ทำไม่รู้ไม่เห็น หลับหูหลับตา หากต้องการให้ใครทำอะไรให้ได้ตามมาตรฐานของเราก็คงจะทุกข์เปล่าๆ ยิ่งได้ยินเพื่อนเล่าให้ฟังถึงปัญหาการทำงานที่ทุกคนเครียดกันหมดเพราะตั้งเป้าไว้สูงมาก ่ครั้งจะทำงานน้อยลงก็รู้สึกอาย เพราะน้องที่เป็นเนืื้องอกทำงานถึงตีสองทุกวันมาตั้งแต่ต้นปี 

ฉันได้ฟังแล้วก็ เฮ้อ! นี้มันหนูถีบจักรดีๆ นี่เอง มีนายเก่าอีกคนที่คุยกับฉันหลังจากที่ฉันเคยบอกลูกน้องคนหนึ่งว่า ทำงานให้น้อยลงอีกหน่อยก็ได้ ดูแลสุขภาพให้ดีๆ เพราะน้องคนนี้ก็เริ่มป่วยอีกเหมือนกัน นายเล่าให้ฟังว่า เขาก็เคยทำงานหนักแบบนั้นเหมือนกัน แล้วก็พบว่า ถ้าเราทำงานน้อยลงอีกหน่อยก็ไม่ได้ทำให้โลกนี้แตกสลายอย่างใด พวกเรากันเองที่จริงจังกับชีวิต ทั้งๆ ที่ชีวิตมันก็แค่นี้ จะเอาอะไรกันนักกันหนา 

ไม่ใช่ว่าฉันจะคิดอะไรได้ก่อนคนอื่นหรอก เพียงแค่นายเก่าอีกคนเห็นฉันจริงจังกับงานที่ได้รับมอบหมายมาก เลยบอกให้ฉันลืมเช็คเมล์บ้างก็ได้ การที่เราจริงจังแม้จะไม่ได้ตั้งใจจะคาดหวังให้คนอื่นทำเหมือนเรา แต่คนรอบตัวก็รู้สึกได้ถึงความเครียด บรรยากาศการทำงานที่เร่งเร้าโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว

พูดถึงนายหลายคน เอานายคนดีที่ฉันพยายามเข้าใจดีกว่า เราต่างมีความตั้งใจ จริงจังในการทำงานไม่ต่างกันนักหรอก(นายฉันว่างั้น) เขาปลุกปล้ำงานที่ทำมาร่วมสิบปี ความรู้สึกของการเป็นเจ้าของย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แล้วเมื่อการเมืองทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน เราก็คงต้องจัดการกับปัญหาไปทีละเปลาะ ใจนึงฉันก็ว่าดี มีคนดูแลให้เสร็จสรรพ แต่อีกแง่มุมหนึ่งก็เห็นได้ว่า เป็นเรื่องปกติของคนไทยที่กลัวว่าจะมีคนแย่งงานไป จึงต้องกั๊กไว้ ประมาณว่าต้องให้ฉันทำเท่านั้น ไม่งั้้นก็จบ ไม่มีใครทำแทนได้ 

เรื่องแบบนี้ฉันเห็นมาเยอะ ในโลกธุรกิจที่ต้องแข่งขััน แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เป็นโลกที่นายเก่าคนหนึ่งของฉันเป็นห่วง เป็นห่วงว่าฉันคง "โดน" ไม่ใช่น้อย ประมาณว่า "ทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย" แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ฉันก็รู้ว่าฉัน "แตกต่าง" 

การเมืองที่กลุ่มคนหนึ่งค่อยๆ ยึดอำนาจ ริดรอนสิทธิที่เคยมีอย่างเต็มเปี่ยมไป ทั้งข้างเดียวกันและฝั่งตรงข้าม ทำให้เหมือนตัวคนเดียวแต่ต้องสู้กับศัตรูรอบด้าน ในเมื่อฉันร่วมหัวจมท้ายกับนายแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ไปไหนไปกัน 

ในเวลาเดียวกันที่ฉันเป็นห่วงนาย ใครๆ ก็เป็นห่วงฉัน...

วันนี้ฉันไม่รับโทรศัพท์ใด และเคยพบว่า การลืมโทรศัพท์ไว้ในรถเป็นความสุขอย่างหนึ่ง อย่างไรเสียก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ พอโทรกลับก็คล้ายจะร้อนตัวว่าทำหน้าที่ของตนไม่ดีพอ บางคนฝาก SMS ด้วยความเป็นห่วง ถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น ติดต่อกลับมาด้วย บางครั้งเราก็รู้สึกดีที่ทำให้บางคนเป็นกังวล

วันนี้แล้วสิ ที่จะได้ดู "จำเลยกามเทพ" ละครกุ๊กกิ๊ก น้ำเน่าเหลือแสนที่จะทำให้คนดูรู้สึกผ่อนคลาย เข้าไปอยู่ในโลกจินตนาการ ฉันเพิ่งเห็นประโยชน์ของละครน้ำเน่าเมื่อพูดกับเพื่อนที่ทุกข์จากสารพัดเรื่องเมื่อวานนี่เอง

อย่าจริงจัง(มาก)  หาความสุขใส่ใจกันดีกว่า


วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

เรื่องของเพื่อน

เพื่อนที่รู้จักกันมา 20 ปี แวะมาหาฉัน คุยกันสารพัดเรื่อง อัพเดทข่าวคราวของเพื่อนๆ และชีวิตของกันและกัน คนเราก็แค่อยากพูดคุยกับคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ...

บางทีฉันก็ไม่เข้าใจความคิดของผู้ชาย ทั้งๆ ที่ฉันออกจะสนิทกับคนต่างเพศมากกว่าคนเพศเดียวกัน รวมไปถึงเพศทางเลือกด้วย เอาเป็นว่าถ้าไม่แปลกฉันไม่คบละมั้งเนี่ย

เพื่อนคนนี้มีแฟนเด็กและสวยแบบที่ฉันทายได้เลยว่าเพื่อนๆ ในรุ่นเดียวกันอิจฉาเป็นแถวๆ แต่ในเรื่องความสัมพันธ์มันก็มีอะไรมากกว่านั้น ฉันนึกถึงข้อความในหนังสือของรุ่นพี่คนหนึ่งที่ว่า "ความรักนี่มันเหลวไหลสิ้นดี เราชอบในความต่าง แต่แล้วเราก็อยากให้เขาเป็นเหมือนเราในที่สุด" แฟนเพื่อนกุ๊กกิ๊ก น่ารัก อยู่แล้วสดชื่น แต่ในขณะเดียวกัน ถ้ามองอีกด้านก็คือ คิขุ ไร้สาระ ไม่เป็นผู้ใหญ่ อาจจะไปได้ถึง "ไร้ความคิด ความรับผิดชอบ" ด้วยคุณสมบัติเดียวกันแต่มองคนละแง่ก็สร้างความรู้สึกได้แตกต่างกันสุดขั้ว

มันก็น่าแปลกดีที่สมัยนี้ผู้หญิงก็ไม่ทน พอๆ กับที่ผู้ชายก็ไม่ได้อยากแต่งงาน สงสัยในอนาคตเราคงได้ลูกแบบผสมหลอดแก้ว มีความสุขสมผ่านเกมคอมพิวเตอร์เหมือนหนังเรื่องหนึ่งที่แซนดรา บุลล็อกเล่นกับพ่อหนุ่มร็อกกี้ 

สถาบันครอบครัวกำลังสั่นคลอนอย่างถึงที่สุด การมีความสัมพันธ์แบบฉาบฉวย one-night-stand มีให้เห็นกันทั่วอาร์ซีเอ แบบที่ผู้มีการศึกษาไม่อยากมีลูกในสภาพสังคมแบบนี้

เพื่อนฉันแฮปปี้กับการดูหนังที่ไร้สาระ เพียงเพื่อผ่อนคลายหรือหลับในโรงหนัง 

มนุษย์ออฟฟิศเครียดกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ

ตกลงฉันโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่หลุดออกมา

ฉันเลือกที่จะคิดว่าฉันโชคดี ^-^

วันนี้ได้ไปสถานที่ใหม่ๆ พบคนใหม่ๆ แล้วคล้ายจะสะท้อนภาพตัวเอง แต่ฉันคงไม่เหมือนขนาดนั้นกระมัง น้องที่เพิ่งรู้จักใหม่คุยเก่งมาก ฉันเรียกว่า "ยายจ๋อแจ๋" เหมือนที่เคยได้ยินคนให้สมญานี้กับคนคุ้นเคย คนเราอะไรจะสนทนาได้ทุกเรื่อง เมื่อเห็นดังนี้แล้ว ฉันคิดว่าต้องปรับปรุงตัวเองเป็นการใหญ่ พูดให้น้อยลง ฟังให้มากขึ้น ไม่มีใครอยากฟังเรื่องคนอื่นจริงๆ หรอก แม้ว่าการเริ่มต้นการสนทนาที่ดีคือการพูดเรื่องของคนอื่น หากเลือกที่จะฟังให้มาก ย่อมเป็นการเปิดโลกทัศน์และดูจะเป็นคนที่ควรคบหาสมาคมด้วย

เรื่องของคนเป็นเรื่องที่เรียนรู้ได้ไม่รู้จบ ฉันได้พบคนที่ไม่ได้พบมาเป็นสิบปีแต่ยังติดต่อ รับรู้ข่าวคราวผ่าน FB และบางคนที่เจอหน้าเพียงครั้งเดียวแล้วก็ติดตามความเคลื่อนไหวผ่านทางเว็บไซต์เดียวกัน ไม่แค่นั้นยังได้เพื่อนใหม่อีก 2 คนซึ่งก็ได้เพิ่มเป็นเพื่อนใน FB เรียบร้อยแล้ว 

ให้มันรู้ไปสิว่าฉันจะมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับคนไม่ได้ ถ้าได้ใส่ความพยายามลงไปแล้ว!!!

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

ฝนฟ้า พายุงาน เรื่องสะท้านใจ

วันนี้ฝนตกแรง ฟ้ามืด แตกต่างจากครั้งอื่นๆ ฝนสาดแรงผ่านระเบียงที่กว้างสักเมตรครึ่งมาโดนกระจกทีเดียว ต้นไม้ได้น้ำฉ่ำเย็น แต่ผ้าที่ตากไว้เปียกจนไม่เก็บเข้าบ้าน ตากไว้รอแดดวันพรุ่งนี้หากฟ้าไม่สั่งฝนให้ตกถล่มทลายเหมือนในวันนี้...

เป็นการเกริ่นย่อหน้าแรกที่ยาวที่สุด และไม่มีคำว่า "ฉัน" ในย่อหน้านั้นเลย

   
           ฝนตกแดดไม่ออก นกกระจอกไม่รู้อยู่ไหน
        ชักงงว่าทำไม ฉันจึงได้แต่แต่งกลอน
        ตืื่นนอนมีความสุข รู้สึกสนุกไม่ต้องซ่อน
        ใครทุกข์ฉันขอวอน มิได้สอนจงนอนไป


          ฝนยังตกพรำพรำ ละอองน้ำหยาดสวยใส
           สดชื่นรื่นฤทัย ต้นไม้ออกดอกใบงาม
           ม่านไม้ใกล้ความจริง เดปฉันยิ่งวิ่งไล่ตาม
           กล้วยไม้ออกดอกสาม ถ้าใครถามไว้บูชา


           พระพิฆเนศมี ได้เป็นศรีกิจการค้า
           ขอพรพระเจ้าขา ถ้าหนังสือฉันขายดี
           พวกเรากำมะหยี่ แสนยินดีชี้ช่องนี้
           ให้น้องรุ่นหลังที่ พิมพ์เรื่องดีเพื่อคนไทย


ฉันอยากพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนจะเริ่มงานหนัก ซึ่งไม่แน่ว่าจะหนักทางกายและใจเหมือนคราวก่อน แต่ที่แน่ๆ หนนี้ "หนักใจ" การเมืองในการทำงาน ทำให้ต้องใช้สมอง ต้องคิดให้รอบ ให้ครอบ ยิ่งทำงานกับคนฉลาดยิ่งเหนื่อย แต่ก็เป็นการเหนื่อยที่สร้างสรรค์ ได้ฝึกฝนตัวเองให้เก่งขึ้น สุขุมขึ้น และรอบคอบขึ้น ไม่แค่นั้น คราวนี้มีผู้ร่วมงานใหม่ที่รู้จักมาเก่าก่อนตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย คนที่มี "คดี" กันมาแต่หนหลัง ตอนนี้ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว แต่ก็เกรงว่าการทำงานประสานกันในช่วง 2 เดือนหรืออาจจะติดพันยาวไปกว่านั้น หากหาคนทำต่อจากฉันไม่ได้ เมื่อฉันไม่ได้รู้สึกอะไร ก็ไม่อาจทำอะไรฉันได้ แต่ฉันก็ไม่รู้ ว่าคนนั้นจะยัง "รู้สึก" อะไรกับฉันรึเปล่า เรื่องมันจบไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ยังไงแล้วความทรงจำของการเป็น "นักวิ่งขาสวย" ก็ทำให้ยิ้มในใจแสดงออกมา

ตั้งแต่จบงานคราวก่อน "นาย" ให้เกียรติฉันมากกกกก (จนเกินไป) ชมทุกครั้งที่พูดคุยกับคนอื่น มากจนทำให้ฉันสงสัย นายเองก็สงสัยในพฤติกรรมของฉันที่เปลี่ยนไป ที่ผ่านมาฉันเป็นเด็กคนหนึ่งที่ไม่พูดไม่จากับใครๆ นั่งเล่นคอมหรือร้องเพลง...แค่นั้น แต่เมื่อการงานบังคับ ฉันก็เริ่มทำในสิ่งที่คนอื่นๆ เขาทำกันซึ่งก็คือ การเข้าสังคม เมื่ออยู่ดีๆ ฉันก็ลุกขึ้นมาคุยกับคนนั้นคนนี้ สนิทสนมดั่งคนมนุษย์สัมพันธ์ดี เข้ากับคนได้ทุกระดับ ไปกับคนนั้นคนนี้ ภาพที่ดูออกมาก็ไม่แคล้ว "ไม่ค่อยดี" อย่างที่คนชอบมองกัน

เมื่อคืนนี้เองที่คุยกับรุ่นพี่สมัยเรียนคนหนึ่ง "ผู้ชายเค้าก็รู้กันมานานแล้วเรื่อง social networking" แน่ล่ะ ทำไมฉันจะไม่รู้ แต่ผู้หญิงกับผู้ชายก็ไม่มีวันเท่าเทียมกันอยู่ดี ผู้ชายเข้าสังคมเป็นเรื่องดี ผู้หญิงเที่ยวกลางคืน กินเหล้า สูบบุหรี่ ดูดีที่ไหน คนใกล้ตัวฉันไม่เข้าใจ และก็คงไม่มีวันเข้าใจ ป่วยการที่จะคอยอธิบาย เหมือนๆ กับหลายๆ การกระทำที่ไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นเข้าใจ ยิ่งพยายามอธิบายก็ยิ่งเหมือนเป็นการแก้ตัว คิดซะว่ามันเป็นระบบคัดกรองตามธรรมชาติ ดีซะอีก ใครที่เข้าใจฉันก็คงเป็นคนที่คู่ควรให้ฉันคบหาเสวนาด้วยฉันยังจำสายตาของคนที่มีโอกาสเข้าไปอยู่ในส่วนลึกของจิตใจฉันได้แจ่มชัด "ไม่ไปได้ไงล่ะ ได้ลงไทยรัฐสองครั้งก็เพราะพี่เค้าเนี่ยแหละ" ดูท่าฉันจะเป็นผู้หญิงที่รักสนุก เที่ยวไปวันๆ หาสาระอะไรไม่ได้ คล้ายจะว่างานที่ฉันทำอยู่ ทำเป็นหน้าตา ทำเพื่อให้  "มีอะไรทำ" ไม่น่าเชื่อว่าคนฉลาดปราดเปรื่องอย่างเขาคนนั้นจะมองฉันตื้นเพียงแค่นี้ น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้ใช้เหตุผลเพียงพอที่จะให้ใจ ให้ความรู้สึกกับใครบางคนที่มองฉันลึกลงไปกว่าเรื่องเปลือกหรือสิ่งที่ใครๆ ทั่วๆ ไปเขามองกัน ออกจะน่าผิดหวังที่คนที่ฉันแคร์มองฉันเพียงเท่านั้น 

ฉันเขียนข้อความในหนังสือที่เขาซื้อจากฉันว่า 

"สิ่งที่สำคัญไม่อาจมองเห็นได้ด้วยดวงตา" 

และปฏิกิริยาที่เขาประหลาดใจก็ทำให้ฉันรู้สึกดี หวังว่าวันหนึ่ง เขาจะเลิกปฏิเสธตัวเอง ยอมละเหตุผลที่กดทับอารมณ์ความรู้สึกศิลปินของเขา ได้ปลดปล่อยให้ได้สุข ได้ยิ้มจากใจ หลายๆ เสียงเตือน เขาเหมาะจะเป็นเพื่อนเป็นพี่ ไม่ใช่คนรัก ความเห็นล่าสุด "เขาเป็นคนจับจด" ฉันไม่แน่ใจขนาดที่ต้องไปดูความหมายของคำว่าจับจดอีกครั้ง เขาคนนั้น คนที่ฉันประทับใจไม่ได้เป็นคนแบบนั้นสักหน่อย 

ฉันยังจำครั้งแรกที่พี่คนหนึ่งแนะนำให้ฉันรู้กับเขาได้เหมือนเป็นภาพที่เกิดเมื่อวาน ผู้ชายสองคนเดินมานั่งที่เคานเตอร์บาร์ คนหนึ่งเพิ่งเลิกกับภรรยา และสาปส่งว่า "ไม่เอาอีกแล้ว" ณ เวลานั้นฉันไม่รู้หรอกว่า เวลานี้เขามีแฟนที่น่ารักและก็ดูเป็นคู่ที่เหมาะกันมากๆ ส่วน "เขา" ที่อยู่ในใจฉัน นั่งลงด้วยสายตาเคร่งเครียด กลุ้มใจเรื่องแฟน ถ้าไม่ทะเลาะกันในหนึ่งเดือนก็จะแต่งงานแล้ว ผู้ชายคนนี้น่าสนใจ แตกต่างจากคนอื่นๆ ที่มาที่ร้านนี้ เขาไม่ได้มาเฮฮาไร้สาระ มาเจอเพื่อนๆ แต่ก็แบกเอาความกลุ้มใจเรื่องส่วนตัวมาด้วยฉันคงไม่ได้รักเขาหรอก เพราะรู้ทันทีว่าประทับใจในส่ิงที่เขาพูดถึงแฟน 

แต่เขาคนนั้นก็อยู่ในความคิดคำนึงของฉันตลอดมา 

จนกระทั่งฉันได้มาเจอเขาอีกครั้งและก็ถามด้วยความสงสัยว่า ไม่ทะเลาะกันเดือนนึงรึยัง กลับได้คำตอบว่า "เลิกกันไปแล้ว" ณ เวลานั้น ฉันก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาหรอก แค่จำได้ เห็นบุคลิกที่โดดเด่นอย่างที่ว่า และตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา เมื่อใดที่ฉันได้เห็นเขาในอารมณ์นั้นอีก อารมณ์ที่ใช้ความคิด กังวลใส่ใจอยู่กับเรื่องใดๆ ก็เป็น "เขา" คนที่ฉันประทับใจเสมอมาแม้กระทั่งวันนี้ 

เวลาผ่านมานานแสนนาน เขาเปลี่ยนไป...

นานๆ ครั้งที่ฉันจะได้เห็นเขาในอารมณ์นั้น และทุกครั้งที่เห็นเขาในอารมณ์นั้น ฉันก็อยากเข้าไปคุย เข้าไปแบ่งเบาปัญหาหนักอก เข้าไปร่วมรับรู้ และนั่นคือความสุขที่ฉันได้จากเขา นอกเหนือจากเพียงครั้งเดียว เพียงครั้งเดียวจริงๆ ที่เขาบอกว่า รักฉัน และไม่ได้รักอย่างน้องสาว และเป็นคำตอบเดียวที่ฉันไม่ได้ถาม แค่คำว่า "พี่XXรักYY พี่XXรักYY" สองครั้งติดต่อกัน ก็ทำให้ฉันมีความสุขที่สุดแล้ว มันคงเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดครั้งหนึ่ง ที่เขาได้ให้กับฉัน ซึ่งฉันเชื่อว่ามันจะลบล้างสิ่งระคายเคืองใจใดๆ ที่เขามีส่วนทำให้เกิดในใจฉันทั้งหมดความสุขเมื่อนานๆ เกิดทีก็มีค่าเหมือนๆ กับดอกไม้ประจำตัวฉัน ดอกจันทร์กะพ้อที่ใครๆ ว่าหอมเหลือเกิน ปลูกหลายปีถึงจะออกดอก ฉันเองยังไม่เคยได้มีโอกาสเห็นดอกไม้นี้จริงๆ เสียที คงเป็นอีกหนึ่งความสุขใจที่ฉันหวังจะได้รับในชีวิตนี้

เมื่อก่อน ฉันเป็นเจ้าสาวที่กลัวฝน และเมื่อโดนฝนเปียกปอนผ่านพายุมาแล้ว ฉันก็ไม่กลัวฝนอีกแล้ว เพราะสิ่งที่ได้รับหลังจากฝนตก มันคุ้มค่าแก่การรอคอยและไขว่คว้าฝนหยุดตกแล้ว ฟ้าหม่นเพราะถึงเวลา แสงแดดจางๆ เห็นผ่านหมู่เมฆเป็นเส้นบางๆ พาดผ่านตึกสูงรอบๆ ระเบียง แสงสะท้อนจากตึกที่อยู่ถัดออกไปทำให้ภาพที่เห็นในวันนี้แปลกตากว่าวันอื่นๆ อากาศเย็นแม้ฉันจะใส่เสื้อแขนยาวก็ไม่ทำให้ร้อนจนเหงื่อออก ช่างแตกต่างจากวันที่เตรียมแต่งตัวออกข้างนอก แม้ยังเปลือยเปล่าแต่เม็ดเหงื่อก็ผุดขึ้นจนชื้นเต็มหลังวันนี้ฉันจะไปที่ใหม่ เจอคนใหม่ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง แต่การผจญภัยน้อยๆ ที่จะเกิดขึ้นนี้ก็ทำให้ชีวิตตื่นเต้นได้เหมือนกัน