วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เขาว่า ฉันกำลัง "ตกผลึก" ต่างหาก

หมู่นี้ฉันกลัวตัวเองเป็นบ้ามาก มากซะจนเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลย...

แต่แล้วเมื่อวาน ด้วยข้อเสนอที่มิอาจปฏิเสธได้ ฉันก็ตาลีตาเหลือกลุกขึ้นมาทำโน่นนี่เพื่อให้สมกับที่อยู่ดีๆ ก็ได้รับโอกาสพิเศษ

ดูๆ แล้ว มันก็เหมือนโกหก พอๆ กับที่อาฉันเคยบอกว่า เวลาคุยกับหมอน่ะ ให้พูดแต่เรื่องลบนะ ไม่งั้นหมอก็จะวินิจฉัยผิด คิดว่าฉันไม่ได้เป็นอะไร

พี่ที่เป็นโรคคล้ายๆ กันบอกว่า "โรคของเรามันเป็นโรคภายใน ไม่บอกก็ไม่มีใครรู้ ไม่ต้องไปแคร์ใครให้มากนัก" ฉันก็รู้สึกว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะอธิบายไปใครๆ เขาก็ไม่เชื่อ มันเหมือนกับเราทำในส่ิงที่ปฏิเสธว่าเราไม่ได้ทำอยู่ร่ำไป

ฉันเกิดอาการกังวลเกินควรเมื่อปรึกษากับพี่คนเดิมว่า ฉันโทรไปคุยกับภรรยาของพี่ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจดีมั้ย บอกไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะมีคนเข้าใจว่าฉันมีอะไรกับสามีของพี่ (อันที่จริงก็มีคนคิดไปในทางนั้นหลายคนแล้วล่ะ ซึ่งนั่นก็คงรวมคนที่ฉันไม่อยากให้เข้าใจผิดเป็นที่สุดคนนั้นด้วย) พี่ที่แสนดีโวยขึ้นมา จะบ้าเหรอ โทรไปเขาก็คิดว่ามีอะไรกันจริงๆ พอดี แฟนพี่เชื่อใจพี่และไม่เคยมองฉันในทางไม่ดี แต่ถ้าอยากจะโทรก็โทรได้นะ เอาไว้โทรฟ้องเวลาที่พี่มาล่วงละเมิดฉันละกัน ไอ้ฉันก็คิดในใจว่า แล้วถ้ามันเกิดเรื่องนั้นจริงๆ ฉันไปโทรหา...(อาวุธยาวที่มีปลายแหลม)ทำไมละนั่น!!

พอเขียนถึงพี่คนนี้แล้วฉันก็เริ่มมีคำถามในใจว่า คำขอร้องของฉันที่พี่รับปากว่าจะทำให้ อันจะนำมาซึ่งออเดอร์หนังสือล็อตใหญ่จากบริษัทยักษ์ใหญ่ในวันเด็กที่จะถึงนี้ ฉันจะกล่าวถึง(ภาษาชาวบ้านคือ ทวง)อย่างไรดี เมื่อวานก็ดันลืมไม่ได้พูดถึงเลย มัวแต่คิดถึงแผนความร่วมมือกับคนนั้นคนนี้ พูดแข่งเสียงดนตรีสดที่ร้านแซกโซโฟน

ว่าแล้วขอออกนอกเรื่องนิดนึง เมื่อคืน ที่ร้านเล่นเพลง you are the love of my life เพลงที่ฉันได้ยินเสียงดนตรีสดครั้งสุดท้ายในวันแต่งงาน เพลงที่ฉันเลือกร้องกับผู้ชายที่เคยเป็นคู่ชีวิตฉันในวันนั้น อดรนทนไม่ไหว เข้าไปถามว่า ใครเป็นคนขอ เล่นเพราะอะไร นักดนตรีก็ตอบแบบงงเล็กน้อยว่า เพิ่งแกะเพลงนี้มาเล่น จนมาวันนี้ ฉันยังสงสัยอยู่ไม่หาย เมื่อคืนฉันมองไปรอบๆ ยังนึกซะด้วยซ้ำว่า ผู้ชายคนนั้นของฉันขอเพลงนี้หรือไร เป็นไปได้ที่เขาจะอยู่ที่นั่น ผู้ชายที่ผ่านเข้ามาสัมผัสหัวใจฉันชอบเพลงแจ๊สทุกคน... เพลงนี้ไม่ใช่เพลงตลาด เป็นเพลงของ George Benson ที่ฉันไม่เคยหาคาราโอเกะเจอ กลับมาได้ยินในวันที่ไม่ได้คาดคิด ไม่ได้ตั้งใจจะไป

เมื่อวาน ชุดราตรีที่เคยใส่แล้วพอดีเป๊ะ คล้ายจะเอี้ยวตัวไม่ได้ ผ่านไปไม่กี่เดือน หลวมจนฉันต้องเบ่งหน้าอกไว้ไม่ให้เลื่อนไหล ยังดีที่ฉันใส่ผ้าคลุมไหล่คลุมไว้อย่างมิดชิด ค่อยได้หายใจหายคอหน่อย

นั่งฟังเพลงไป คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไป จากเดิมที่พี่เป็นห่วงมาก ก็บอกว่า ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ที่ว่าจะพักจนสิ้นปีและถ้ามกราคมยังไม่หาย ก็คงต้องมาจัดการกับปัญหาซะทีนั้น ได้รับคำยืนยันจากพี่ว่า อาการฉันไม่ได้แย่อย่างที่คิด ฉันกำลังตกผลึกทางความคิดซะมากกว่า พี่อยากให้ฉันเปลี่ยนบรรยากาศจากที่อุดอู้อยู่ในห้องไม่ไปไหน มาเจอหน้าตาผู้คนบ้าง แล้วก็ให้ดีใจว่าพี่แนะนำให้รู้จักกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งอยู่ในวงการเดียวกันและได้อ่านบทสัมภาษณ์ของฉันในขวัญเรือนและจำฉันได้ หน้าฉันก็บานแฉ่งเป็นที่เรียบร้อย ไม่แค่นั้น ระหว่างที่เล่าให้ฟังว่าฉันปรับใช้ Facebook กับชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวอย่างไร ฉันก็เปิด Note ให้อ่านบทสัมภาษณ์ พี่ก็ให้ความเห็นว่า ฉันให้สัมภาษณ์ได้ดี รู้จักพูดให้เกิดประโยชน์ ตัวพี่เองด้วยซ้ำไป ที่เวลามีคนมาสัมภาษณ์ ทำไมไม่พูดเรื่องสำนักพิมพ์ซะหน่อย

ดีใจที่พี่ชม แล้วก็ปลอบใจว่า ฉันเองก็ไม่ถนัดเรื่องการให้สัมภาษณ์เหมือนกัน แต่สิ่งที่พูดไปนั้นเป็นสิ่งที่มันอยู่ในใจ เป็นหลักการเป็นรูปแบบความคิด ตัวตนของสำนักพิมพ์ที่เราก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา แล้วก็สรุปให้พี่เสร็จสรรพว่า เวลาพี่ให้สัมภาษณ์ไม่ต้องมีโพย พี่พูดได้ดีกว่าเยอะ พี่จริงจังกับทุกสิ่งที่ทำ ด้วยกลัวจะพูดไม่ครบเลยเหมือนท่องให้ฟัง ซึ่งในทัศนะของฉัน ไม่มีประโยชน์เลย ไม่มีใครฟัง สู้พูดจากใจแต่อาจพูดไม่ครบ คนก็ยังฟังและเก็บเกี่ยวเนื้อหาใจความบางประการไปได้บ้าง

ฉันรู้สึกดีจัง รู้สึกว่า พี่เข้าใจว่าฉันทำอะไรไปเพื่ออะไร และตอบข้อสงสัยฉันได้อย่างสิ้นเชิง พี่บอกว่า ให้ความสนิทสนมกับฉันเพราะเชื่อว่า ฉันจะเป็นคนที่โดดเด่นในวงการ

ความคิด "ตกผลึก" ฉันกำลังก่อร่างสร้างตัวให้เป็นคนๆ ที่พี่คาดว่าฉันจะเป็นในที่สุด

no romance doesn't mean no chance of happiness... :)

ไม่มีความคิดเห็น: