วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

บทสนทนาประเทืองใจ

เธอเคยมั้ยสื่อสารกับใครสักคนครั้งละร้อยข้อความ ถ้าใครจะว่าเพี้ยนก็ฉันคนนึงล่ะ...

ถ้าคิดในแง่เศรษฐศาสตร์ การส่งข้อความ 100 ข้อความคิดเป็นเงินขั้นต่ำ 100 บาทเว้นแต่จะมีโปรโมชั่นพิเศษอะนะ ไม่รู้ว่าถ้าคุยผ่านมือถือจะถูกกว่านี้มั้ย แต่การสื่อสารวิธีนี้ก็มีข้อดีที่แตกต่าง

เราจะใช้เวลาในการพิมพ์มากกว่าการพูด แถมยังส่งเป็นภาษาอังกฤษ ลดความผิดพลาดจากการเลือกใช้คำผิดและยังทำให้ทั้งสองฝ่ายระมัดระวังว่ามีการเข้าใจผิดรึเปล่าเพราะไม่ได้สื่อความด้วยภาษาแม่ ทั้งยังสามารถอ่านทวนได้เมื่อต้องการ บางครั้งอ่านครั้งที่สองครั้งที่สามก็อาจทำให้เข้าใจกันได้มากขึ้นกว่าเดิม หรือจับใจความได้ชัดเจน เก็บความที่ตกหล่น จะว่าไปเป็นการสื่อสารที่โรแมนติกสำหรับยุคนี้ ไอ้ครั้นจะเขียนจดหมายส่งให้ทุกวันเหมือนใน The Notebook ที่ฉันขุดขึ้นมาดูก็คงไม่ทันใจคนยุค 2000

ไม่แค่นั้น ข้อความที่เขียนเพื่อแสดงความเห็นเรื่องปัญหาของคนอื่น กลับกระตุ้นเตือนให้เรานำมาปรับใช้กับตัวเอง อย่างเช่นที่เมื่อคืนฉันกลับมานั่งอ่านข้อความ SMS ที่ส่งไปแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ภูมิใจตัวเองว่าฉันก็พูดจามีหลักการเป็นเรื่องเป็นราวนะเนี่ย ขอแค่อย่าให้ใครมาหมั่นไส้ไปซะก่อนจนไม่ได้ใส่ใจที่ "เนื้อความ" ที่ฉันอยากสื่อ

ฉันไม่ใคร่จะพบปัญหาเรื่องการนำเสนอโครงการ หรือเสนอความคิดต่างๆ ของตัวเอง ด้วยว่าฉันชอบเสนอ(โดยที่ไม่ได้มีใครขอ)เป็นประจำอยู่แล้ว ถ้าใครไม่มองว่าฉันไปสอนคนอื่นก็อาจจะได้อะไรไปบ้าง อาจเป็นบางถ้อยความที่จุดประกายความคิดเพื่อต่อยอดหรือแตกแขนง ฉันว่าฉันมีความสามารถพิเศษในการคิดเชื่อมโยงจับเรื่องโน้้นเรื่องนีมารวมกันแล้วก็บิดไปบิดมาให้ได้ประโยชน์ทุกฝ่าย

เมื่อคู่สนทนาของฉันไม่ถนัดเรื่องการนำเสนอโครงการ ฉันก็ร้อนวิชาทันที นึกถึงตัวเองที่แม้จะมั่นใจ แต่บางครั้งก็ปากสั่น ขาสั่นเหมือนกัน แต่ก็สั่นสู้นะเธอ เรื่องนี้ฉันไม่ได้ขยายให้คู่สนทนาฉันฟังหรอก ฉันเล่าว่าฉันมีประสบการณ์ตรงกับคนที่มีปัญหาในการพรีเซ็นท์งาน การพูดต่อหน้าคนหลายๆ คน และเป็นคนที่สามารถตัดสิน ให้คะแนน ให้คุณให้โทษเรานั้น ความกลัวผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ทำให้ประหม่า ทำตัวไม่ถูก ตอบโต้ในเวลาอันจำกัดไม่ได้ดีนัก

ฉันก็แจงว่า คนจำพวกนี้เป็นพวกชอบวางแผน ใช้เวลาในการเตรียมพร้อมมากเท่าที่ตนต้องการ พร้อมๆ กับไม่ค่อยยอมรับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้้นได้ หากได้ลดมาตรฐานลงสักนิด บางครั้งอาจทำให้พรีเซ็นท์ได้ดีกว่าเดิมเพราะกดดันน้อยลงด้วยซ้ำไป นอกเหนือจากผลลัพธ์ที่หากไม่เป็นดั่งคาดหวังก็จะไม่เสียใจมากจนเกินควร เพราะมันก็เป็นแค่หนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนึ่งวัน แล้วมันก็ผ่านไป อยู่ที่เราว่าจะดึงเอาประสบการณ์จำพวกไหนมาย้ำคิดย้ำทำ ถ้าเลือกเรื่องดีๆๆ มาตอกย้ำ ก็เท่ากับเป็นการให้กำลังใจตัวเอง หากเลือกตรงกันข้าม แล้วฮึดสู้เพื่อครั้งใหม่ที่ดีกว่าก็ดีไป แต่ถ้าตอกย้ำซ้ำซากให้หมดกำลังใจ ก็คงแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นแล้วล่ะ

ใครๆ เคยบอกฉันว่า ถ้าฉันทำได้อย่างที่ฉันเที่ยวไปบอก ไปสอน ไปแนะนำใครๆ ฉันก็ไม่ต้องจมอยู่กับปัญหาของตัวฉันอย่างนี้ แหม ขอแก้ตัวนิด ผงเข้าตาตัวเอง คนเราก็เขี่ยไม่ออกกันทั้งนั้นนะเออ

เอาเป็นว่า เมื่อวานข้อความคำพูดของฉันสะท้อนให้ใครบางคนได้ไอเดียในการจัดการกับเรื่องราวของเขา ฉันก็ดีใจว่ามีส่วนช่วยบรรเทาความหนักหนาของเรื่องที่เขากลุ้มใจ ของชอบอยู่แล้วหนิ แก้ปัญหาให้ชาวบ้านน่ะ!!

แต่ฉันว่ากำลังใจที่ฉันส่งให้คนอื่น ในที่สุดแล้วมันก็ย้อนมาให้ประโยชน์กับตัวฉันเองนั่นแหละ ฉันรู้สึกดีขึ้น ใจสูงขึ้น เมื่อมีเรื่องสับสนทำให้ขุ่นข้องใจฉันก็ดูจิต รับรู้แล้วก็ปล่อยวาง

มันทำให้ฉันใกล้ความคิดของใครคนหนึ่งมากขึ้น คนที่อยู่ในราศีของผู้หญิง ขี้อาย ใช้เวลากว่าจะกล้าเปิดประตูรับให้ใครเข้ามาสนิทสนม บางคนว่าเขาเพี้ยน แต่ฉันว่าฉันเข้าใจนะ เขาแค่แตกต่าง ถ้าเราเข้าใจความคิด เหตุผลของเขาแล้วมันก็แค่รูปแบบที่แตกต่าง อะไรล่ะคือปกติ ส่ิงที่คนส่วนใหญ่เป็นคือปกติเหรอ งั้นคนชั่วก็เป็นเรื่องปกติสิ บางครั้งความปกติอาจเป็นสิ่งที่หาได้ยากก็ได้นะ

ได้เวลาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมย้ายที่เช็คอีเมล อัพบล้อก เล่นเฟซบุคแล้วล่ะ

ไม่มีความคิดเห็น: