วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อันเนื่องมาจากเจ้าบ่าวแท้ๆ

แม้ The Alchemist จะสนุกจนวางไม่ลง แต่บางเสี้ยวของความทรงจำก็ทำให้อดยิ้มและลุกขึ้นมาเล่าให้เธอฟังไม่ได้...

วันนี้ฉันตื่นมาทำกิจวัตรประจำวันเช่นเคย เช็คอีเมล อัพเดทเรื่องราวเพื่อนๆ ใน Facebook ต่อด้วยกินยาและเตรียมไข่ลวกสำหรับมื้อชางวัน (ไม่เห็นจำเป็นต้องเรียกแต่ Brunch เลยเนอะ)

ข้อความที่พี่คนหนึ่งตอบกลับช่วยย้อนเวลาไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ในงานแต่งงานของพี่คนนี้ที่ฉันได้รู้จักคนเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 4 คน ผู้หญิงสองและผู้ชายสอง

ผู้หญิงคนแรกฉันเคยเห็นรูปแล้ว แต่ตัวจริงสาวและดูดีมากกว่าที่คิดเยอะ ฉันถึงกัับให้ความเห็นว่า ถ้าฉันเป็นสามีของพี่คนนี้ ฉันคงกลับบ้านแต่หัวค่ำทุกวัน

ผู้หญิงคนที่สองหน้าตาหมดจด ชุดราตรีสีน้ำเงินสดที่เธอเลือกในวันนั้นขับผิวขาวเนียนของเธอให้ผ่องขึ้้นไปอีก ฉันได้ทราบมาว่าเธออยู่ในกลุ่มของน้องคนหนึ่งที่ฉันรู้จัก น้องคนที่กำหัวใจผู้ประสบความสำเร็จทางธุรกิจสูงสุดคนหนึ่งในประเทศไทย

ก่อนจะกล่าวถึงอีกสองหนุ่มที่ฉันได้พบ ขอพูดถึงนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้สักเล็กน้อย ฉันอาจจะดีใจจนออกนอกหน้าเมื่อเดินเข้างานไปแล้วคนแรกที่ทักฉันคือเขาผู้นี้

"ไหนดูสิว่าอาทิตย์นี้จะมีใครมารักมั้ย"

ความเป็นหมอดูคงจะติดเป็นตราประจำตัวของฉันไปอีกนาน ฉันยินดีที่ผู้ใหญ่ให้ความเมตตา แม้ว่าฉันจะเคยเจอสายตาของท่านผู้นี้ที่มองฉันอย่างคนที่ต่างระดับจากท่าน อะไรที่ไม่ดีก็ไม่ต้องไปจำมัน ก็เท่านั้นเอง

ได้สนทนาในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอยู่ครู่หนึ่ง ฉันก็คิดว่าถึงคราวที่จะแจ้งให้ท่านทราบว่าฉันเป็นใครมาจากไหน เพิ่มเติมจากที่เป็นหมอดูจำเป็นเพื่อสร้างความครื้นเครงบนโต๊ะอาหาร ฉันดีใจที่ได้ยินท่านกล่าวถึงลูกน้องคนสนิทที่ล่วงลับไปเป็นสิบปีว่า "เพื่อน" แววตาและคำพูดหมายความเช่นนั้นจริงๆ ผู้ยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องหยิ่งผยองและดูถูกคนหรอกนะเธอ ฉันออกจะเห็นอาการน้อยใจเล็กๆ เมื่อท่านกล่าวถึงภริยาผู้ล่วงลับ ท่านที่กินแชร์กับเพื่อนสนิทของป้าฉันทุกเดือน การอยู่ที่สูง มันโดดเดี่ยวและอ้างว้างจริงๆ คำว่า "เพื่อน" มีความหมายมากขึ้นแปรผันตามระดับความสำเร็จในชีวิตของแต่ละคน

แล้วฉันก็เห็นบุตรชายของท่านเดินเข้ามาในบริเวณงาน ฉันก็อดแซวไม่ได้ว่า "พ่อกับลูกไม่เห็นคุยกันเลยค่ะ" ฉันนี้หนอ ช่างกล้า จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่พูดแบบนี้กับผู้ใหญ่คราวพ่อ แต่ท่านก็ตอบว่า "ปล่อยให้เขาคุยเรื่องธุรกิจกันไป" แล้วฉันก็หาเรื่องคุยกับบุตรชายท่านได้ในที่สุด อ้างคนนั้น อิงเรื่องนี้ อันที่จริงก็ไม่ยากอะไรที่จะคุยเรื่องที่เกี่ยวกับคนใหญ่คนโตที่ใครๆ ก็รู้จัก ฉันก็แค่เลือกเรื่องที่เกี่ยวทั้งฉันและเขาเพราะมันจะทำให้ฉันไม่ปล่อยไก่ ทำเป็นรู้เรื่องเพื่อจะสร้างความสนิทสนมแต่จริงๆ แล้วไม่รู้อะไรเลย ดูเหมือนฉันจะเลือกเรื่องถูก ถ้าฉันเลือกผิด ฉันคงมานั่งย้ำคิดย้ำทำ นึกถึงแต่เหตุการณ์เดิมแล้วก็คิดไปถึงคำพูดที่ดีกว่าที่ได้พูดไป ทั้งๆ ที่สมองซีกที่ใช้เหตุผลบอกฉันว่า เราแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว แต่ซีกของอารมณ์ความรู้สึกก็ยังตอกย้ำอยู่อย่างนั้น เวลา่สมองสองซีกไม่ไปด้วยกันมันช่างปวดหัวดีแท้!!

หลังจากโอภาปราศรัยกับคนที่่ฉันรู้จักไม่กี่คนในงาน ฉันก็สอดส่ายสายตามองหาอาหารรองท้อง กันเมาจากไวน์ชั้นดีที่เสริฟตลอดงาน บรรยากาศงานแต่งงานกลางแจ้งริมแม่น้ำเจ้าพระยาในโรงเตี้ยมของเจ้าสัวใหญ่ดีเหลือเกิน แต่ฉันไม่มีคนมาร่วมแบ่งปันความรู้สึกน่ะ

ระหว่างที่ฉันหยิบนั่นกินนี่ด้วยความหิวโหย ฉันว่า ฉันได้สัมผัสถึงสายตาที่มองมา บางครั้งฉันก็มองไปทางเขาเช่นกัน ก็เขาคุยกับคนไม่กี่คนที่ฉันรู้จักนินา ฉันถึงได้สังเกตเห็นเขาน่ะ

และนั่นก็เป็นชายคนที่ฉันจะพูดถึงต่อไป ส่วนชายอีกคนก็ไม่ต่างจากนั้นนักหรอก เขาก็ยืนคุยกับกลุ่มคนไม่กี่คนที่ฉันรู้จักนั่นแหละ น้องคนหนึ่งพูดถึงคนที่สองว่าเป็นคาสโนว่าตัวเอ้ และเขาคนนั้นเป็นคนที่บอกฉันว่าได้ไปใส่เงินทำบุญสำหรับโครงการสร้างโรงทานให้โรงเรียนต่างจังหวัดที่ฉันรัับเป็นแม่่งาน เราคุยกันน้อยมาก แต่เป็นบทสนทนาที่มีความหมาย

และแล้วก็ถึงคราวที่ฉันจะได้พูดถึงชายคนแรก เขาอายุไม่น้อยแต่ฉันทายไม่ถูกว่าอายุเท่าไหร่ ผิวหน้าละเอียดสีออกดำแดงแม้จะมีรอยเท้าสัตว์ปีกทำให้ฉันไม่กล้าทาย ผมสั้นเกรียนไม่ดำสนิท แต่ก็เถอะ แม้แต่น้องสาวฉันเองยังผมงอกกระจายทั่ว เราบอกอายุคนจากสีผมไม่ได้หรอก

เขาดูจะให้ความสนใจฉันเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขามารยาทดีหรือฉันคิดเข้าข้างตัวเอง แต่ที่แน่ๆ เขาอยากรู้ว่าฉันเป็นใคร รู้จักเจ้าบ่าวได้ยังไง

น่าแปลกนะที่วันนั้นฉันไม่ค่อยเปิดเผยตัวเองเหมือนเคยๆ แค่ตอบคำถามสั้นๆ ว่าฉันทำสำนักพิมพ์ พิมพ์หนังสือดีอย่างเจ้าชายน้อยฉบับการ์ตูน ฉันว่า พูดแค่นั้นก็คงพอแล้ว คนในโลกธุรกิจคงไม่รู้ลึกไปกว่านี้สักเท่าไหร่ แล้วก็คิดเหมือนๆ กับฉันเมื่อก่อน สำนักพิมพ์กับโรงพิมพ์มันต่างกันยังไง แล้วพอบอกขอบข่ายงานของสำนักพิมพ์ คนในโลกธุรกิจก็คิดว่าไม่เห็นจะมีเนื้องานอะไรกันนักหนา ทั้งๆ ที่มันเป็นงานที่ละเอียดทุกเม็ด ต้องดิ้นรนกันเอง ปลาใหญ่กินปลาเล็ก สายป่านไม่ยาวก็เสร็จตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม งานที่ต้องทำด้วยใจรักและยินดีกับผลตอบแทนจำกัด (ระดับหนึ่ง) พร้อมๆ กับมุมมองที่ได้รับจากสังคม พอๆ กับนักเขียนไส้แห้งนั่นแหละ

แต่ถ้าสำนักพิมพ์มีหนังสือเด่นๆ ที่สร้างรายได้แบบน้ำซึมบ่อทราย นั่นก็จะหล่อเลี้ยงทุกชีวิตและหนังสือดีที่อาจจะไม่ทำเงินเล่มอื่นๆ ให้ได้ชื่อว่ามีหนังสือดีเล่มนี้พิมพ์เป็นภาษาไทยด้วยนะ เออ

เขาคนนั้นสุภาพและพูดถึงบทบาทสำคัญที่ตนได้มีโอกาสช่วยชาติแบบที่ไม่น่าหมั่นไส้ (ฉันน่าจะมีโอกาสได้เรียนรู้จากพี่คนนี้นะเนี่ย) แถมประกาศอย่างชัดเจนว่า โสดสนิท ไม่แค่นั้น มีเจ้าบ่าวการันตีอีกต่างหาก ประมาณว่า ขับรถสปอร์ตไปซอปปิ้งที่พารากอนคนเดียว ไร้ตุ๊กตาหน้ารถตามธรรมเนียม

ไอ้ฉันก็คันปาก ประมาณว่าจะเริ่มวาจาสามหาว กัดว่า อาจจะเป็นจำพวกที่เก่งหาแฟน แต่ไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์ไว้ได้ คงเป็นโชคดีแล้วล่ะ ที่มีอะไรมาปิดปากฉัน ทำให้ความทรงจำแรกเกี่ยวกับฉันในสายตาเขาไม่ชั่วร้ายจนเกินไปนัก

แต่ก็ใช่ว่าฉันจะไม่ละโอกาสแสดงความเห็นต่างมุมเมื่อเขาพูดถึงบุคลิกและการแต่งตัวของผู้หญิง ฉันโพล่งอย่างเบาๆ ว่า "จะให้ดูเป็นคนแบบไหนไม่เห็นยากเลย แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าก็เปลี่ยนจากผู้หญิงเปรี้ยวเป็นผู้หญิงเรียบร้อยได้ ง่ายจะตายไป" (คิดดูนะเธอ ปากอย่างนี้จะมีแฟนมั้ยนั่น) แต่พี่คนดีก็ตอบทันควัน "แม้เปลี่ยนเสื้อผ้าแต่บุคลิกไม่ได้เปลี่ยน" ฉันเหลือบตาจากจานอาหารขึ้นไปมองแวบหนึ่ง แล้วก็หม่ำเนื้อแกะที่สั่งว่า medium rare แต่ได้เป็น absolute well done ต่อด้วยอาการหงุดหงิดเล็กน้อย การที่ใส่ชุดราตรีเปลือยแขนสีฟ้าเทอร์ควอยซ์แล้วต้องใช้แรงกดมีดลงบนเนื้อแกะคงไม่ได้ทำให้ผู้หญิงที่สวมใส่ดูเป็นผู้หญิงนัก

แล้วเราก็พูดจาสัพเพเหระกับคนอื่นๆ ที่อยู่ร่วมโต๊ะอาหาร เขาเป็นคนที่ยกเรื่องมารยาทในการดื่มไวน์ขึ้นมาพูดว่า การสบตาเวลาชนแก้วถือเป็นการให้เกียรติ หากใครไม่สบตาแม้การสนทนาก็ไม่เป็นเรื่องบังควร แล้วนั่นก็เป็นการบังคับกลายๆ ให้ฉันต้องสบตาเขาทุกครั้งที่ดื่มไวน์ ฉันไม่ค่อยสันทัดในเรื่องนี้ จน ณ วินาทีนี้ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า เราต้องชนแก้วทุกครั้งที่จิบไวน์อย่างที่เขาทำกับฉันมั้ยนั่น ถ้าใช่ ฉันคงเป็นคนไม่มีมารยาทเป็นครั้งคราว

คำพูดก่อนสุดท้ายที่ทำให้ฉันหันไปมองเขาอีกก็คือ ทรรศนะเกี่ยวกับการเลือกคู่ครอง ไม่รู้เหตุใด เขาต้องก้มหน้าเวลาที่พูดว่่า เราต้องไม่ดูที่รูปร่างหน้าตา แต่ต้องเป็นคนที่ช่วยกันทำมาหากิน ปรึกษาหารือกัน

เรื่องอื่นๆ ที่เขาพูดแล้วสะท้อนให้เห็นว่าเขาใส่ใจความรู้สึกของฉันและตัวตนของฉันยังคงมี แต่ฉันเลือกที่จะไม่คิดเข้าข้างตัวเอง เมื่อแยกย้ายจากโต๊ะอาหารออกไปฟังเพลงริมแม่น้ำ ฉันก็คิดว่า ถึงเวลาที่ควรจะจรลีเสียที อย่างที่บอก ฉันไม่ได้รู้จักกับใครมากมาย แล้วการอยู่ใกล้ๆ กับชายสูงวัยหลายๆ คนก็นำมาซึ่งเรื่องปวดหัวให้ฉันอยู่เรื่อย ตอนนี้ ฉันไม่ต้องการรับเรื่องเพิ่มเติม สี่ทุ่มกว่า ฉันก็เลยกลับซะดื้อๆ อย่างงั้นเอง ไม่ลาใคร ไม่ลากใครกลับด้วย

คิดซะว่า เป็นค่ำคืนดีๆ อีกค่ำคืนหนึ่ง มีคนให้ความสำคัญทั้งหญิงและชาย และนั่นก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นไม่น้อยทีเดียว

แวะไปร้านประจำ ไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอ แต่เขาอีกคนก็เดินเข้ามา ตั้งใจจะนั่งคุยแต่โดนน้องอีกคนเบรคเกมเสิร์ฟเสียก่อน เราเลยได้แต่เห็นหน้ากันเฉยๆ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันเฝ้าแต่ครุ่นคิดว่า ทำไมต้องไปใส่ใจกับคนๆ นี้นักหนา ข้อเสียบานตะไท คล้ายจะมองอะไรตื้นๆ แม้จะคิดพันกันยุ่งเหยิง แถมหลอกตัวเองไม่เลือกฉันอยู่นั่น คนใหม่ที่เพิ่งรู้จักดูจะมีแววกว่ากันเยอะเลย

แต่ก็นั่นละนะ ฉันไม่ได้แจกนามบัตร แลกหมายเลขโทรศัพท์ ด้วยไม่รู้จะทำไปทำไม แม้ว่าฉันคล้ายจะลืมใบหน้าของเขาที่เพิ่งเจอไปแล้ว แต่อากัปกิริยาท่าทางที่ดูเป็นมิตร ไม่ถือตัว(ทั้งที่เขาก็คงใหญ่ใช่เล่น ดูจากกริยาที่เจ้าบ่าวนอบน้อมต่อเขาเสียเหลือเกิน) ใบหน้ายิ้มแย้มก็ทำให้ฉันมีความรู้สึกดีๆ เก็บไว้ที่มุมหนึ่งในหัวใจ

ถ้าจะได้เจอมันก็คงจะได้เจอ เกิดมาเป็นผู้หญิงฟ้าสั่งให้ไม่ต้องกระตือรือร้น รอให้ผู้ชายมาให้เลือก(นี่ก็เป็นทรรศนะของพี่คนใหม่นี้ที่น่าประทับใจถ้าเป็นความจริง) ฉันก็เลยดำเนินชีวิตในรูปแบบของฉันต่อไป ภาพสิ่งดีๆ และไม่ดีที่หลายๆ คนทำให้ฉันรู้สึกก็แวบเข้ามาเรื่อยๆ เช่นเคย

พอดีแวบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง แล้วก็รู้ว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเป็นยังไง ได้รู้จักแค่นี้ก็รู้สึกดี ได้รู้จักให้ลึกซึ้งขึ้นก็น่าสนใจ ยังไงก็ได้เจอคนที่น่ารักเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน :)

ว่าแต่เจ้าบ่าวจะทำตัวเป็นคิวปิตมั้ยละเนี่ย

ไม่มีความคิดเห็น: