วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่องอยากเล่า อยากพูด อยากระบาย

เธอรู้มั้ย ฉันอยากเล่าสารพัดเรื่องที่มันเกี่ยวพันกับชีวิตฉัน แต่ฉันเล่าไม่ได้เอาซะเลย ฉันว่าหนทางเดียวที่ทำได้คือ แต่งนิยาย ว่าแต่จะบิดปรับหักมุมยังไงให้มันดูไม่รู้ว่าความจริงคืออะไรละนั่น!!

แค่เมื่อคืนฉันไปกินข้าวกับใครบ้าง ยังเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเอามาพูดเลย

หรือว่านายสุดจู้จี้ให้ฉันทำภารกิจพิเศษก็จะไปเล่าสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้

หรือจะเรื่องที่ไปช่วยน้องเกี่ยวกับสปอนเซอร์และคนมางานยังมีเรื่องน่าอึดอัดอย่างไร

นี่ฉันกลายเป็นคนที่มองเห็นแต่ปัญหาไปแล้วหรือนี่

แต่ยังดีนะ ที่มีพี่คนหนึ่งบอกฉันว่า "จำไว้ ชาตินี้พี่ไม่มีวันโกรธเรา"  ดูจะเป็นเรื่องดีมากๆ ที่เกิดขึ้นกับฉันในช่วงอาทิตย์ที่่ผ่านมา และผู้ใหญ่ที่ไปอ่านเจอบทสัมภาษณ์แล้วโทรมาแสดงความยินดี แถมบอกว่า ควรจะรู้สึกภูมิใจนะ :)

เมื่อวานฉันเล่นพิเรนอีกแล้ว ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท้าให้ฉันทำเรื่องพิสดาร (ไม่มากเท่าไหร่หรอกนะ อยากเล่าแต่เดี๋ยวก็ไม่เหมาะอีกตามเคย) ฉันก็ทำซะงั้น มองดูภายนอก มันไม่ได้จะแปลกประหลาดอะไรหรอก มันประหลาดอยู่ในความรู้สึก คล้ายๆ ขโมยมะม่วงจากบ้้านข้างๆ กินมันอร่อยกว่ามะม่วงจากต้นในบ้านเราเอง

เรื่องน่ายินดีอีกเรื่องคือ ฉันช่วยเหลือน้องหาสปอนเซอร์สำหรับงานการกุศล โดยเลือกคนที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายตรงกับคนที่มาในงาน น้องคนดีให้นาฬิกาเป็นสปอนเซอร์ถึงสองเรือนแถมซื้อตั๋วไปร่วมงานด้วย ยังมีอีก 4 รายที่ฉันประสานงานให้ รู้สึกดีจังที่ช่วยน้องได้ คล้ายๆ จะเป็นการ payback ที่ผู้ใหญ่เมตตาฉัน ฉันก็ทำประโยชน์ให้น้องที่ต้องการความช่วยเหลือ เหมือนกับมองตัวเองเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ที่ถ้ามีใครยื่นมือมาช่วยเหลือฉัน ฉันก็จะซาบซึ้ง จริงๆ แล้วไม่ต้องย้อนไปไกลขนาดนั้นก็ได้ ทุกวันนี้ พี่ที่เมตตาก็ทำให้อะไรๆ เป็นไปได้ตั้งหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ลงไทยรัฐ 2 ครั้ง ลงขวัญเรือน ลง Mix Magazine ได้ท่านทูตมางานเปิดตัวหนังสือ หรือแม้กระทั่งลูกน้องเก่าของฉันที่เสนอให้ออกรายการทีวี แต่ไหนๆ จะได้ออกทั้งที ขอฉันตอบแทนพี่ใหญ่โดยการทำให้ภาพงานมันใหญ่ขึ้นกว่าแค่โปรโมทหนังสือเล็กๆ ทำเพื่อชาติไปในคราวเดียวกัน ได้ประโยชน์ทุกๆ ฝ่าย

เรื่องที่จะต้องทำเย็นนี้เป็นเรื่องจิตวิทยาเพื่อผลอย่างหนึ่ง ทำให้ฉันต้องไปรบกวนพี่ของน้องสะใภ้ฉันแล้วนะเนี่ย บางทีฉันก็งงตัวเองว่า ฉันหลบมาอยู่ในโลกหนังสือแต่แล้ว ก็ไม่พ้นฉันกลับเหมือนเข้าไปพันกับโลกธุรกิจมากกว่าตอนที่ฉันอยู่ในโลกใบนี้ด้วยซ้ำไป 

อะไรที่ฉันไม่เคยเข้าใจมาก่อน ที่เคยเข้าใจผิด ก็เข้าใจแล้ว และก็เข้าใจคนที่เดินตามหลัง รวมไปถึงคนที่เป็นเหมือนฉันเมื่อก่อน ไม่ผิดเลยที่เขาจะมีความรู้สึกกับฉันอย่างที่เป็นอยู่ ฉันเพียงผ่านจุดนั้นมาแล้ว ป่วยการที่จะอธิบาย ดูมันจะกลายเป็นการยัดเยียด การแก้ตัว เมื่อคนไม่เปิดใจที่จะพยายามเข้าใจ เราก็ได้แต่รอ หวังว่าสักวันจะเข้าใจ

มีแค่เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ และหวังเพียงว่า เขาเหล่านั้นจะได้เดินมาไกลจนถึงจุดที่ฉันอยู่นี้

มีคนที่นั่งสมาธิมากจนอยู่สูงถึงขั้นที่ได้เห็น ได้รับรู้อะไรเหนือคนธรรมดา บอกฉันถึงความเป็นอนิจจังของสิ่งหนึ่ง ฉันขอเปรียบเทียบกับคู่สามีภรรยาที่กัดก้อนเกลือกินมาตั้งแต่ความรักเป็นเพียงสิ่งเดียวที่นำทางชีวิต พอฝ่าฟันจนประสบความสำเร็จ ต่างคนก็หาความสุขใส่ตัว ภรรยาที่เคยช่วยงานทั้งหน้าบ้านหลังบ้านของสามีกลับกลายเป็นเหมือนผู้หญิงโง่ งานเมียหลวงก็ทำไปนะ ส่วนเวลาแห่งความสุขสามีขอไปอยู่กับผู้หญิงที่สวยกว่า อ่อนวัยกว่า ฉันได้รับรู้เรื่องราวแล้วก็ถอนหายใจ เราจะอยากเป็นคนดีไปทำไม ถ้าผลลัพธ์เป็นแบบนี้ สิ่งที่ฉันเลือกจะมองให้สบายใจก็คือ ภรรยาก็ไม่ยึดติด เขาอยากทำอะไรก็ปล่อยเค้า เราก็อยู่ของเรา แล้วหนึ่งในคนที่เป็นภรรยาที่ฉันคุ้นเคยในชีวิตจริง ก็มีความสุขในแบบของเธอ แต่ก็คงมีอีกหลายๆ คู่ที่ดัังแล้วก็แยกวง บางคู่อาจจากกันด้วยดี ละมุนละม่อม บางคู่ขึ้นโรงฟ้องศาล เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ใครก็ใครคงต้องรักตัวเองก่อน เลือกสิ่งที่ดีที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ถ้าสิ่งที่ดีที่สุดมันไปในทางเดียวกันก็ดี แต่หากต้องจบความสัมพันธ์มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก อย่าไปยึดติด อย่าไปกังวลล่วงหน้าซะจนไม่มีความสุขกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต

What will be, will be...

ไม่มีความคิดเห็น: