วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กลัวคนว่า เลยต้องเอามาใส่ไว้ที่นี่

วันนี้ฉันถูกใจหลายบทความ แต่ถ้าเอาไปใส่ที่เดียวกันหมด ก็จะเป็นที่รำคาญของหลายๆ คนได้ เลยเลือกจะโพสต์หนึ่งบทความที่นี่ ใครสนใจอ่านบทความได้ใจของฉันเพิ่มเติมก็ต้องที่  facebook ละจะ

จากมติชนสุดสัปดาห์ 13 พฤศจิกายน 2552

ชายตาหาข้าวเปลือก

กาละแมร์

เหตุผลของการอยู่เป็นโสดบนโลกใบนี้



รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองเป็นช่วงของการ "โสด" อยู่ตัวค่ะ

ยอมรับและอยู่กับมันได้แบบมีความสุข

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะขอโสดตลอดไปตราบชั่วฟ้าดินสลายไง ก็แล้วแต่โชคชะตาฟ้าลิขิต มีคนบอกว่า "การพบเจอกันของคนสองคนมักเป็นเรื่องของความบังเอิญ แต่ความสัมพันธ์ หลังจากนั้นเป็นเรื่องของความตั้งใจ"

ช่วงโสดที่ผ่านมาพบเจอความบังเอิญ แต่หลังจากนั้นขาดความตั้งใจ (ฮา)

จากที่ฝ่าฟันกับความรู้สึก อารมณ์ของตัวเอง ได้อยู่กับตัวเอง และคุยกับตัวเอง ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น รู้ว่าอะไรคือทุกข์และสุขของเรา อะไรที่เรารับได้และรับไม่ได้

จากที่เคยไขว่คว้า วิ่งหา และตั้งคำถาม ว่าใคร ทำไม ที่ไหน เมื่อไหร่ ก็เปลี่ยนเป็นมาถามตัวเองเสมอว่า สบายดีไหม อยากทำอะไร รู้สึกอย่างไร เลิกตามหาจากคนอื่น แต่หันมาทำให้ตัวเองแทน

ถึงแม้ว่าในวัยอย่างฉันเมื่อหันมองรอบตัว ก็จะเห็นแต่เพื่อนที่มีครอบครัว มีลูก ตั้งท้องกันอย่างกับดอกเห็ด คล้ายว่าเป็นช่วงฤดูกาลผสมพันธุ์ก็ตาม และแม้บางครั้งจะรู้สึกไม่เข้าพวก แต่ฉันก็ยังรักชีวิตของตัวเองอยู่ดี

คนเราชีวิตมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน มีความพอใจที่ไม่เหมือนกัน และมีการดำเนินชีวิตแบบต่างคนต่างทางเดิน

ฉันจำได้เลือนราง ว่าตัวเองก็อยากมีชีวิตที่แบบที่ผู้หญิงทั่วไปพึงมี คือได้แต่งงานตอนอายุยี่สิบปลายๆ แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นภาพสีจางเหลือเกิน ไม่เคยนึกว่าตัวเองจะมีลูก มองไม่ค่อยเห็นภาพนั้น เพราะส่วนใหญ่คิดแต่ว่า อยากทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง

ถึงแม้ว่าบรรทัดฐานหรือความเชื่อ ฝังหัวที่จะหล่อหลอมให้เรามักใช้ชีวิตแบบเป็นแบบแผนและเป็นขั้นเป็นตอน เราถูกเลี้ยงมาอยู่ในกรอบ และต้องเดินตามกันไป แต่สำหรับฉัน ฉันชอบเวลาตัวเองเล่น "โอ...แปลกประหลาดดดดด เป็น" แล้วเราออกสีไม่มีเหมือนคนอื่น นั่นล่ะ..ฉันล่ะ

ถึงแม้ว่าการได้รวมกลุ่มกับคนหมู่มาก มันจะเป็นความอุ่นใจและปลอดภัย แต่ฉันก็รู้จักตัวเองดีพอที่จะบอกว่า "มันไม่ใช่ตัวเรา" และความรู้สึกอันแสนซื่อสัตย์ก็จะบอกตัวเองเสมอว่า "กรูอึดอัด" เวลาที่ทำอะไรที่ไม่เป็นตัวเอง

ไม่ได้บอกว่าอยากทำตัวโดดเด่นไม่เหมือนใคร ไม่ได้บอกว่าต้องการเป็นจุดสนใจของใครๆ เค้า เพียงแต่เรารู้จักตัวเองดีเหลือเกินก็เท่านั้น

เพราะฉะนั้น ในวันที่คนรอบตัวหรือคนส่วนใหญ่ต่างแต่งงาน มีคู่ และใช้ชีวิตครอบครัวกันแล้ว ฉันก็ไม่ได้อยากที่จะกระโจนลงไปในวังวนนั้นถ้าเราไม่พร้อมจริงๆ (มียังไม่มี จะคิดทำไมให้ไกลว้า)

ถ้าคุณยังเป็นคนโสด อย่าได้คิดว่าคุณเป็นโรคหรือเป็นคนแปลกแยกของสังคม ชีวิตคนเราไม่เหมือนกัน ไม่ใช่แค่เรียนจบมหาวิทยาลัย ทำงานไปสักพัก แล้วหาคนแต่งงานเพื่อที่จะมีลูก แล้วชีวิตก็จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แล้วรอวันตาย

ฉันว่าเราแต่ละคนสามารถ "เลือก" ชีวิตของตัวเองให้มีความหมายได้แล้วแต่เราต้องการ

คนบางคนอาจเกิดมาเพื่อเป็น "แม่" และรักการเป็น "เมีย" เหลือเกินและนั่นอาจเป็นความใฝ่ฝันของเขา ซึ่งก็ไม่ผิด แต่สำหรับคนที่คิดไม่เหมือนอย่างนี้ก็ไม่ใช่คนผิดเช่นกัน อย่าเอาความเชื่อฝังหัว หรือนิทานตอนเด็กมาตีกรอบและกดดันชีวิตของเรา

การแต่งงาน" ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิต



มีใครการันตีเหรอว่า พอได้แต่งงานคุณจะมีความสุขตลอดไปคล้ายการวิ่งเข้าเส้นชัยอย่างนั้นเหรอ

แต่ไม่ใช่ว่าฉันจะอยู่คนละข้างกับการแต่งงาน ฉันก็อยากที่จะสัมผัสความรู้สึกนั้นสักครั้งในชีวิต เพียงแต่ว่าเวลาของฉันยังมาไม่ถึง

และถึงยังไม่ได้แต่งงาน คนโสดทั้งหลายคุณก็มีความสุขและเต็มอิ่มกับชีวิตคุณได้ไม่ใช่เหรอ ใครช่างใจแคบให้ผู้หญิงแขวนความสุขในชีวิตของตัวเองไว้กับผู้ชายแค่คนเดียว

และใครจำกัดไว้หรือว่า ผู้ชายเท่านั้นถึงจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่าได้คนเดียว หรือเป็นเพศที่จะสนุกกับชีวิตได้เพศเดียว แล้วผู้หญิงเราเป็นเพศที่ไร้ซึ่งความฝัน ไร้ซึ่งจุดมุ่งหมายของชีวิต หรือไม่มีแรงขับเคลื่อนให้ชีวิตได้มีหัวใจพองโตบ้างเหรอ

และใครเป็นคนกำหนดเหรอว่า ผู้ชายเป็นเพศแห่งผู้เลือกเท่านั้น แล้วผู้หญิงต้องเป็นเพศแห่งผู้ถูกเลือก ทั้งที่เราต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเองมิใช่เหรอ

สิ่งที่ดีใจที่เกิดมาเป็นคนจนถึงทุกวันนี้คือ การได้เลือกใช้ชีวิตอย่างมีอิสระอย่างที่ตัวเองต้องการ คุณอาจกำลังแย้งในใจด้วยคำว่า ใช่ซี๊ เพราะเธอเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีนั่นมีนี่ แต่คุณอย่าลืมว่า เส้นทางในชีวิตของฉันกว่าจะถึงวันนี้ไม่ใช่แค่เริ่มต้น ไม่ได้ฟลุก หรือลืมตาตื่นแล้วเป็นเลย

ฉันผ่านการผจญภัยมาพอสมควร จนรู้จักตัวเองดีพอ ว่าเราอยากใช้ชีวิตอย่างไร

ทุกวันนี้ฉันยังมีคำสอนที่ว่า "ตนเป็นที่พึ่งเห็นตน" ดังก้องอยู่เสมอ และใช้มันกับหลายๆ ด้านของชีวิต

และยังหมั่นขยัน "ขอบคุณ" ตัวเองอยู่ทุกวันที่ทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้

ไม่มีความคิดเห็น: