วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เพราะ Match Point

ปัญหาของฉันก็คือ ฉันเลือกแต่ผู้ชายที่จะทำให้ฉันเจ็บปวด...

ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่หน คนเราก็มักจะทำผิดในเรื่องเดิมๆ ก่อนตื่นนอนวันนี้ เป็นวันที่ความคิดฟุ้งซ่านของฉันมีประโยชน์ไปได้ยังไงเนี่ย

หนังเรื่อง Match Point เมื่อคืน สรุปสั้นๆ ว่าเป็นหนังที่พระเอกก็เลือกที่จะรักตัวเอง แม้ว่าจะต้องถึงกับฆ่าชีวิต 3 ชีวิตเพื่อความอยู่ดีของตัวเอง แม้มันจะไม่ง่ายขนาดนั้น แม้จะเสียใจ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็ไม่พ้น...รักตัวเอง ผู้หญิงอีกคนไม่ผิด และแล้วความดีก็ครองโลก ยิ่งดีผู้ชายยิ่งละอาย แต่กลายเป็นว่า ผู้หญิงดีต้องอยู่กับผู้ชายที่เลวที่สุด

ฉันต้องชั่วใช่มั้ยถึงจะได้ผู้ชายดีๆ ฉันคงดีเพราะฉันชอบผู้ชายเลว ตกลงมันดีหรือไม่ดีกันแน่

ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผ่านเข้ามาเรื่อยๆ วงจรอุบาทว์เวียนวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉันโชคดีเสมอที่มีลางบอกเหตุ มีคนเตือน จะว่าไปแล้วก็ทุกครั้ง แต่ฉันก็ยังดื้อ เชื่อตัวเอง ดึงดันที่จะเสี่ยงแล้วก็เจ็บตัว แต่ทำไมฉันเจ็บแล้วไม่เคยจำ ไม่เคยนำมาเป็นบทเรียน แก้ไขให้ความสัมพันธ์ครั้งต่อไปดีขึ้น

แต่ฉันคงไม่ดีจริงๆ หรอก เพราะถ้าฉันดี ป่านนี้ผู้ชายเลวก็คงไม่ปล่อยฉันให้หลุดลอย คงจริงดังคำญาติผู้ใหญ่ของฉันคนหนึ่งที่ภูมิใจว่าสามีชอบทำเรื่องไม่ดีครบสูตร ไม่ยอมหย่า ทำให้เธอภูมิใจที่สามีรักและเห็นคุณค่าของเธอ ฉันแปลว่า นั่นคือ low self-esteem หรือจะแปลว่า ไม่มีตัวตน ถ่อมตัว ไม่หลงตัวเอง

ทุกอย่างมีสองด้านอยู่ที่เลือกจะมอง

ฉันเห็นทั้งผู้หญิงที่เลือกมีชีวิตแบบแรกและผู้หญิงที่เลือกมีชีวิตโสดเพราะรักตัวเอง ไม่แค่นั้น ยังเห็นชีวิตที่ทั้งรักตัวเองและ low self-esteem แต่เธอคนนั้นก็เลือกที่จะทำสิ่งอื่นทดแทนความรู้สึกด้อยของเธอ ด้วยเห็นว่านั่นจะทำให้เธอมีค่าพอที่ผู้ชายเลวที่เธอรักไม่ทิ้งเธอไป เธอเลือกจะเป็นผู้นำครอบครัว อดทนกับพฤติกรรมเฉยเมยของสามีที่เธอเลือกจะแปลว่า เขาแสดงความรักไม่เป็น แต่แล้วในที่สุด ผู้ชายคนนั้นก็รู้ว่า ไม่มีใครรักเขาเท่าผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว คล้ายจะเป็นความรักแบบไม่มีเงื่อนไขที่เขาขาดไปในวัยเด็ก แต่ระยะเวลาหลายสิบปีแห่งความขัดแย้ง ทุกข์ทรมานก็ทำให้ในที่สุดแล้ว ต่างคนปรับตัวเข้าหากัน ยอมรับในข้อเสียและมีความสุขกับข้อดีของกันและกัน

คนทีี่เลือกชีวิตโสดจนที่สุด เธอไม่ใคร่ทำอะไรให้ใคร พอๆ กับที่ไม่ต้องการให้ใครมาทำอะไรให้เธอ คนที่ทนผู้ชายเลวที่สุดรวยที่สุด แล้วเธอก็ใช้เงินซื้อหาความสุขให้เธอและคนรอบตัว น้ำใจความห่วงใยที่เธอมีให้คนรอบข้างทำให้มีแต่คนรัก ผู้หญิงสองคนนี้รักกันมากแต่ทนมีกันและกันด้วยความเชื่อที่ต่างกันสุดขั้วไม่ได้ ฉันได้เห็นความไม่ดีในตัวผู้หญิงที่ดูเหมือนจะดีที่สุดในโลกคนนี้เมื่ออยู่ใกล้กับผู้หญิงโสด และฉันเห็นความอ่อนไหวอย่างที่สุดภายใต้ท่าทีแข็็งกระด้างที่ใครๆ เห็นและมองว่าเป็นกิริยาอาการที่ไม่น่าชม

ฟ้าเมตตาให้ฉันเห็นชีวิตบั้นปลายของผู้หญิงทั้งสามแบบ ฉันมีข้อมูลพร้อมเพื่อจะเลือกว่าฉันจะเป็นผู้หญิงแบบไหน แต่ฉันก็ยังมีปัญหาคาใจเพราะเหตุผลและความรู้สึกไม่ไปด้วยกัน

ัฉันยังไม่รู้ว่าจะทำยังไง...

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วันสนุกไม่ทุกข์แล้ว!

ตามสัญญา เขียนว่าจะกลับมาเล่าให้ฟัง แล้วก็มีเรื่องน่าเล่าให้ฟังจริงๆ...

ผู้ใหญ่เรียก ก็ควรต้องไป แต่เพื่อไม่ให้เสียเที่ยว ฉันก็เลยโทรไปชวนน้องปริญญาเอกเคมบริดจ์ซะด้วย น้องจะได้รู้จักกับผู้ใหญ่ซึ่งควรจะให้คำปรึกษา ให้มุมมองในการแก้ปัญหาได้ดีกว่าฉัน

ไปถึงร้านประจำเจอพี่หมอนวดกิตติมศักดิ์ ฉันแซวทันทีว่าพี่ผู้ใหญ่ที่ว่าต้องขอให้นวดคลายกล้ามเนื้อให้แน่เทียว คุยไปคุยมา กลายเป็นว่า พี่ผู้ใหญ่คนเดียวกันนี้แหละที่โทรไปตามตัวพี่หมอให้มานวดจริงๆ แล้วก็รู้จากลูกสาวพี่ทางเฟซบุคว่า พี่เธอเจ็บมือ นิ้วชา ตัวเองป่วยจะไปรักษาให้คนอื่นได้ไงเนี่ย ได้ทราบว่าค่อยยังชั่วแล้ว หมอคนเก่งรักษาตัวเอง เวลาเราเจ็บหรือเมื่อยที่จุดไหน ต้องไล่ต้นสายปลายเหตุให้ถูก ไม่ใช่นวดผ่อนคลาย ณ จุดที่ปวดอย่างเดียว เหมือนๆ กับเวลาเราเจอปัญหา ต้องแก้ที่ต้นตอสาวให้ลึก ไม่เช่นนั้นปัญหาเดิมก็จะเกิดขึ้นซ้ำซาก

ไม่ช้าไม่นานพี่ผู้เชิญชวนก็ปรากฎตัวพร้อมสาวหน้าใหม่ เอาอีกแล้วตกหลุมรักมาตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว พี่แกชอบพูดเล่นจนฉัันไม่รู้ว่าอันไหนจริงอันไหนเล่นกันแน่ แล้วก็อย่างที่คาด มาถึงก็ให้พี่หมอนวดบั้นเอวให้ทันที

แล้วเหล่าสมาชิกก็ผลัดกันขึ้นเวทีร้องเพลง มีเพื่อนรุ่นน้องของพี่หมอมาใหม่ สนิทสนมรวดเร็วคล้ายรู้จักกันมานาน พอขึ้นเวที โอ้ ว้าว คุณน้องเล่นร้อง sex bomb, she bang ร้องดีซะด้วย เมื่อคืนเลยเป็นคืนที่สนุกสนานเฮฮามั่กมากกกก ส่วนฉันก็ร้องเพลงตามคำขอ ห้ามทิ้ง, รักแท้...ยังไง คุณน้องงงจัด ถามว่า นี่ลดวัยไปอายุ 25 เลยเหรอเนี่ย แหม มันก็เหมือนๆ เคย ถ้าวันไหนฉันแต่งตัวเด็ก ฉันก็ร้องเพลงสุนทราภรณ์ซะงั้น วันนี้แต่งเป็นผู้ใหญ่คล้ายไปงานมา ก็ร้องเพลงวัยรุ่นซะ

เรื่องที่ฉันกรี๊ดกราดมากคือ ฉันเจอพี่รุ่นใหญ่อดีตนางงาม แม่ของสามีดาราที่ลูกชายของคุณแม่คนนี้สุดหล่อและแสนดี ฉันนี้ไม่มีการอาย เข้าไปชมลูกชายคุณแม่แบบประชิดตัว "คุณแม่ขา ลูกชายคุณแม่หล่อและดีมากกกกค่ะ คุณแม่ไม่มีให้หนูอีกสักคนเหรอคะ" คุณแม่คนดีก็รู้ว่าลูกชายเป็นจริงดังว่า "เออ ลูกพี่ดีจริงๆ"

มีพี่อีกคนที่อยู่ในก๊วนคุณแม่ลูกหล่อเข้ามาถามว่าฉันชื่ออะไร แล้วเราก็ตระกูล อ. เหมือนกัน ดีใจจังที่พี่อยากรู้จักฉัน แล้วก็หวังว่าวันหลังจะได้พบกันใหม่ สงสัยฉันคงเลิกไปร้านประจำไม่ได้ดังที่ตั้งใจไว้เป็นแน่แท้ เฮ้อ!

เรื่องเล่าวันนี้คงจะไม่สมบูรณ์ถ้าไม่เล่าเรื่องอีตานั่น คนใกล้ชิดของฉันอย่างน้อย 3 คนบอกว่า ฉันควรจะได้คนที่ดีกว่านี้ และนั่นก็รวมน้องปริญญาเอกที่เพิ่งเจอเป็นครั้งแรกด้วย จะว่าไปแล้วไม่รู้ว่าเขารู้ตัวรึเปล่า ถ้าเขาได้มาอ่านบทความของฉัน และได้รับรู้ว่าคนอื่นๆ คิดยังไงกันบ้าง อาจจะช่วยให้เขาลงมาติดดินอีกนิด จริงอยู่ เขามีสาวในสต๊อกมากหลาย แต่ฉันก็รู้ในคุณค่าของตัวฉันเอง ใครไม่เห็นค่าก็เป็นเรื่องของเขา มันไม่ได้ทำให้คุณค่าของฉันลดลงเลย

อีตานั่นก็มาจริงๆ แล้วในเมื่อเขาเลือกจะมองดูจากมุมไกล ไม่เข้ามา ก็ช่วยไม่ได้ ฉันก็มีสังคมมีเพื่อนของฉัน ฉันไม่ใช่คนที่ไม่มีทางเลือก จะมีหรือไม่มีเขาก็ไม่ได้มีผลอะไรนักกับคืนแสนสนุกของฉัน

555

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

งานวันเกิดโมนา

รู้สึกสบายใจจังที่สามารถเขียนชื่อคนที่ฉันกล่าวถึงได้ ด้วยว่าเขาเหล่านั้นไม่ใช่คนไทย หรืออีกทีก็ไม่ใช่คนในแวดวงของฉัน...

หลายครั้งที่นึกอิจฉามาดามมิว ชีวิตของเธอเกี่ยวพันกับคนต่างภาษา ต่างเมือง ต่างวัฒนธรรม เวลาจะเขียนบล้อกเกี่ยวพันกับใครก็เขียนได้ไม่ต้องกังวล อันทีี่จริงก็ใช่ว่าคนที่ฉันเขียนถึงจะไม่ดี แต่ถ้าจะให้เขียนจากใจต้องไม่ระบุชื่อเสียงเรียงนาม การที่ฉันเล่าเกี่ยวกับบุคคลใหม่ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตฉันในงานวันเกิดที่ว่า เลยทำให้ฉันคลายความรู้สึกอึดอัด กะว่าคิดอะไรได้ก็จะเขียนอย่างนั้นล่ะ แม่โมนาอย่าจับหน้านี้แปลเป็นภาษาอังกฤษละกัน เพราะเธอเป็นคนไวต่อความรู้สึกมาก ฉันไม่อยากจะมานั่งปลอบใจ อธิบาย

ฉันรู้ว่าถ้าฉันปฏิเสธไม่ไปงานวันเกิดของเธอเหมือนพี่ยิ้ม นั่นคงกระทบกระเทือนจิตใจเธอใช่น้อย พี่ยิ้มไประยองฉลองวันเกิดน้องสาวที่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่กับสามีเลี้ยงดูลูกสองคน ฉันไม่ได้รู้ล่วงหน้าหรอก รู้จากน้องเปิ้ล หรือแอปเปิ้ลที่โมนาชอบเรียก อันว่าน้องเปิ้ลก็จำฉันได้จากการเจอกันเพียงครั้งเดียวพร้อมพี่ยิ้ม ฉันไปถึงบริเวณคอนโดของโมนาเร็วไปร่วมครึ่งชั่วโมง ถือเป็นโอกาสดีที่ฉันจะได้ซื้อของเข้าบ้าน ช่วงนี้ป๊อปคอร์นเป็นอาหารโปรดของฉันระหว่างดูสารพัดหนัง นึกขึ้นได้ว่าฉันซื้อกีวีมานี่ สงสัยต้องเอามากินซะตอนนี้แล้วแหละ ยังเสียดายไม่หายทีฉันลืมซื้อสก๊อตไบรท์อันใหม่ อันเก่ามันรุ่งริ่งเหลือเกินแล้ว คงต้องออกไปซุปเปอร์ฯในวันสองวันนี้แหละ จะได้ซื้อเนื้อสัตว์และผักมาตุนไว้ด้วย ใครจะเชื่อว่าฉันอยู่ห้องได้ทั้งอาทิตย์ อันที่จริงถ้าไม่ต้องพบเจอใครอีกเลยในโลกนี้ก็ไม่ได้ทำให้ฉันเดือดร้อนแต่อย่างใด น่าแปลกจริงๆ ที่ไม่ว่าใครก็แปลกใจในเรื่องนี้

ฉันออกจะมีความสุขในความสงบจากการอ่าน The Alchemist เหลือเกิน ฉันคงต้องซื้อหาหนังสือของผู้แต่งเรื่องนี้มาอ่านให้ครบทั้งชุด คุณ Paolo เขาเขียนแบ่งประเภทหนังสือของเขาไว้เรียบร้อย เล่มที่ฉันเพิ่งอ่านจบอยู่ในหมวด wisdom ล่ะเธอ คำคมเพียบ

ย้อนกลับไปวันเกิดโมนาอีกครั้งก่อนจะไถลไปเรื่อยอย่างนี้ วันนั้นฉันอัดยาเต็มที่แต่ก็ไม่แคล้วรู้สึกคล้ายน้ำมูกจะไหลอยู่เสมอ อีกทั้งเจออากาศเย็นข้างนอกและในซุปเปอร์มาร์เก็ต แหม ก็ชุดของฉันวันนัั้นต้องเซ็กซี่ตามคำขอของเจ้าของวันเกิด ชุดสีเขียวสดใสแบบเดียวกับชุดสีขาวอันลือลั่นของมาริลีน มอนโร ซึ่งเธอจะได้เห็นรูปถ่ายที่ฉันดัดจริตทำท่าเลียนแบบผู้หญิงอันเป็นตำนานความเซ็กซี่ของโลก

เจอน้องเปิ้ลที่หน้าซุปเปอร์ฯ เราสองคนก็พากันเดินไปที่ห้องชุดของโมนา แม้ฉันจะเสียเวลาซื้อของเข้าบ้านอยู่พักหนึ่งพร้อมทั้งไม่ลืมหยอดสตางค์ใส่กล่องรับบริจาคให้เด็กยี่สิบบาท แต่เราก็ยังเป็นแขกกลุ่มแรกที่ไปถึงงาน

น้องชายหน้าตาไม่เลวที่มีหุ่นไม่เลวอีกเช่นกันของโมนาเปิดประตูทันทีที่ฉันกดกริ่ง โมนาคงกำลังแต่งสวย พ่อของเธอที่ฉันเคยร่วมงานด้วยมาต้อนรับ ชวนคุยอยู่ครู่หนึ่ง เขาถามความคืบหน้าเรื่องโครงการที่เกี่ยวกับส่วนงานวัฒนธรรมที่ฉันได้รับข้อเสนอพิเศษสุดที่ไม่คาดคิด แต่งานทุกงานมีลำดับของมัน งานนี้ยังไม่ถึงเวลา และฉันเองก็ยังหาจังหวะที่จะคุยเป็นเรื่องเป็นราวกับโมนาไม่ได้

ฉันรีบมอบของขวัญให้โมนาทันทีที่มีโอกาส วันนั้นเธออยู่ในชุดผ้าบางเบาสีออกโทนน้ำตาลหลวมๆ พรางรูปร่างที่เธอไม่ค่อยพอใจและชอบเปรียบเทียบกับฉันเป็นประจำ ยังดีที่เธอไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ไม่อยากอยู่ใกล้คนที่ทำให้ตนเองดูด้อยลงไปถนัดตา เป็นโชคดีที่เธอมองลึกไปกว่าเปลือกที่ใครๆ มองกัน ฉันแวบนึกถึงวันที่ฉันไปงานปาร์ตี้คาวเกิร์ลกับเจ้าหล่อน ที่หล่อนเข้าใจเจตนาดีของฉันเบื้องหลังการกระทำหลายอย่างที่คนมองว่าผู้หญิงดีๆ ไม่ควรทำ

ของขวัญที่ฉันมอบให้โมนาในวันนั้นมีสามชิ้น หนังสือ "หมู" ที่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้หรอก แต่ฉันดันสั่งจาก amazon.com มาสองเล่ม จะว่าไปแล้วมันก็ไม่เลวหรอกที่จะให้หนังสือที่ถือได้ว่าเป็นอาหารสมองกับเพื่อนคนหนึ่ง ของขวัญชิ้นที่สองคือกระเป๋าสานวาดเป็นลายเสือสุดเปรี้ยวที่ฉันได้มาจากเชียงใหม่นานแล้วแต่คิดว่าน่าจะเหมาะกับเธอ สุดท้ายคือ ไฟล์ Gossip Girl season 3 ทั้ง 7 ตอน รู้สึกเธอจะ "บ้า" ซีรีส์เรื่องนี้ไม่น้อย ถึงกับเรียกฉันว่า เซรีน่า คนดังผู้นำแฟชั่นในเรื่อง

โชคดีมากที่ฉันเห็นของต่างๆ ที่เหมาะกับโมนา บางคนฉันยังไม่สามารถมองไปที่ของใดแล้วเห็นว่าเหมาะกับคนๆ นั้นได้เลย เช่น คุณมิว เป็นต้น พอจะกล้อมแกล้มเป็นข้อแก้ตัวท่ีไม่เคยซื้ออะไรให้คุณมิวเลยได้มั้ยหนอ ดูเป็นคนเห็นแก่ตัวจังที่รับอยู่ฝ่ายเดียว แหะ แหะ

ไม่นาน แขกกลุ่มใหญ่ก็เข้ามาในงาน อิซาเบลอาจารย์สอนภาษาฝรั่งเศสจนโมนาได้ประกาศนียบัตร เพื่อนสุดตลกที่พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องแต่เป็น Managing Director ของบริษัทแห่งหนึ่ง แม่บ้านลูกหนึ่งชาวเวียดนามที่เคยลงเรียนคอร์สภาษาฝรั่งเศสพร้อมกับโมนาและกาสปาล ผู้ชายไทยชื่อฝรั่งเศสที่พาแฟนซึ่งฉันลืมชื่อไปแล้วมาด้วย สรุปได้จำนวนแขกของโมนาทั้งหมด 7 คนรวมฉันด้วย ไม่มากไม่น้อย ฉันเองยังอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเป็นงานวันเกิดฉันจะมีคนมาขนาดนั้นมั้ยนั่น อาจจะมีคนงง ฉันออกจะรู้จักคนเยอะแยะ แต่ฉันไม่ค่อยอยากบังคับใคร แล้วก็ไม่อยากจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแขกต่างกลุ่มทำความรู้จักกันเอง เพื่อนของฉันไม่ได้อยู่ในสังคมเปิดเหมือนกัน ความหลากหลายของเพื่อนฉันทำให้ฉันเลือกจะเป็นคนปรับตัวเวลาเจอเพื่อนแต่ละกลุ่มเอง

แม่ฉันก็บอกเหมือนกันว่าให้เชิญเพื่อนมาเที่ยวบ้าน รู้สึกจะมีแค่ป้าอู๋ พี่ิยิ้มและคุณมิวเท่านั้นที่เคยไปบ้านฉัน คุณมิวถือเป็นแขกในงานลอยกระทงที่ฉันเองยังรู้สึกว่าไม่ได้ดูแลเต็มที่ ด้วยมีญาติอีกหลายสายที่ต้องดูแล ฉันยังจำได้ว่าปล่อยให้คุณมิวนั่งอยู่กับญาติฉันคนเดียวตั้งนาน ดีที่เธอไม่ต้องยึดติดกับใคร อยู่ได้ด้วยตัวเองแถมยังทำหน้าที่ตากล้องกิตติมศักดิ์ให้อีกต่างหาก ฉันเลยได้รูปสวยๆ ไปอวดใครต่อใครอีกมากมาย

ฉันบอกแม่ไปว่า เพื่อนของฉันส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่เพื่อนสมัยเรียนก็จะเป็นผู้ใหญ่ชนิดที่ใหญ่จนเขาเหล่านั้นหรือจะมารวมตัวกันที่บ้านฉัน คนตัวเล็กนิดเดียว อีกทั้งถ้าเขาเหล่านั้นมา อาหารการกินก็ต้องทำแบบพิเศษ แม่ฉันไม่หัวใจวายตายกับราคาไวน์ที่ต้องนำมาบริการหรือนั่น

อะ กลับมาที่แขกเจ็ดคนในงานวันเกิดโมนาซะที อาจารย์อิซาเบลเกลียดเฟซบุคเป็นชีวิตจิตใจ มีการแลกเปลี่ยนความคิดกันเล็กน้อยแล้วฉันก็คิดได้ว่า หัวข้อสนทนาอื่นดูจะเหมาะกว่าเยอะ โชคดีที่ฉันมีอะไรเกี่ยวกับฝรั่งเศสเช่นเดียวกับเพื่อนกลุ่มนี้ เว้นแต่น้องเปิ้ลเท่านั้นที่ไม่ได้ร่วมวงสนทนา แต่น้องเปิ้ลก็อยู่ในกลุ่มผู้อยู่อาศัยในย่านที่ดี หลายคนอยู่แถวรัชดาแล้วเขาก็ชมกันเองว่าบ้านเขาอยู่ใกล้โพไซดอน เอ็มมานูเอล และสถานบันเทิงสำหรับผู้ชายที่เอาชื่อเทพกรีกมาตั้ง สรุปว่าวงสนทนานี้คนที่ "อิน" คือคนที่พูดฝรั่งเศสและอยู่รัชดา!!

ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารมี 4 ภาษา ฮินดี ไทย อังกฤษและฝรั่งเศส โมนาเองคุยกับคนไทยด้วยวลีที่มีคำทั้งภาษาฝรั่งเศสและไทย ให้มั่วกันไปหมด เราคุยกันเรื่องความยากของภาษาฝรั่งเศสเทียบกับอังกฤษ ฉันโต้ทันควันว่า เพศหญิงและเพศชายในภาษาฝรั่งเศสยากที่สุดชัวร์ ทำไมโต๊ะต้องเป็นเพศหญิง(รู้สึกว่าไม่ table ก็อีกคำแหละที่เป็นเพศชาย) แล้วยังแก้วไวน์อีกต่างหาก ฉันคิดไม่ได้ว่าทำไมต้องเป็นเพศอย่างที่มันเป็น

น้องชายของโมนาดูจะเงียบเหงาที่สุด ทุกคนเป็นเพื่อนของพี่สาว ก็มีฉันนี่แหละที่อาสาสนทนากับเจ้าบ้าน ได้หลักสูตรบริหารการหายใจตามหลักโยคะทั้ง 7 แบบ ให้น่าขันยิ่งนัก มีอยู่วิธีให้หายใจคลายสะอึก อีกวิธีให้หายใจเข้ารูจมูกซ้ายออกทางรูจมูกขวา

เราคุยกันสารพัดเรื่องจิปาถะ สุดแท้แต่จะขุดขึ้นมากล่าว ตั้งแต่ทุ่มครึ่งจนเกือบสี่ทุ่มก็ได้เวลารับประทานอาหารค่ำเสียที ทุกครั้งที่ฉันไปงานเลี้ยงที่บ้านโมนา ให้สงสารพนักงานเสิร์ฟยิ่งนัก น้องพนักงานต้องเสิร์ฟอาหารว่างเป็นรอบๆ ห้ามวางไว้บนโต๊ะเพื่อที่ใครใคร่หยิบก็หยิบเอง แถมแต่ละครั้งก็ใช้กระดาษทิชชูรองรับ แทนที่จะเป็นจานเล็กๆ เปลืองดีแท้ ไม่น่าเป็นวิถีของชาวอินเดียเลยให้ตายสิ

อาหารอินเดียก็อย่างที่รู้ๆ มีข้่าว แป้งแผ่่นๆ และแกงต่างๆ ฉันกินได้อยู่แล้ว แต่ขอร้องเถิด อย่าขะยั้นขะยอให้ฉันกินแล้วกินอีกเหมือนของว่างเลย หลายครั้งที่ความใส่ใจของเพื่อนชาวอินเดียกลายเป็นความอึดอัดที่ฉันปฏิเสธไม่ได้

ตบท้ายด้วยของหวานที่ฉันเลือกรับแต่ผลไม้ แถมก่อนจบด้วยการบอกบุญให้ช่วยกันสร้างโรงทานที่ฉันเป็นประธานหาทุน ฉันอีเมลรายละเอียดให้โมนาตามที่พ่อเธอขอไว้แล้ว ก็รออยู่ว่าครอบครัวของโมนาจะไปร่วมทำบุญวันที่ 6 ธันวานี้ด้วยกันหรือไม่ ฉันไม่ได้หวังอะไรนักหรอก คิดว่าการบอกบุญในวันเกิดของเพื่อนน่าจะเป็นการดี แต่ก็อดไม่ได้อย่างเคยที่กลัวคนจะมองว่ามารีดไถ เพราะจะว่าไปมันก็เป็นภาษีสังคมชนิดหนึ่งเช่นกัน

เที่ยงคืนกว่าๆ ฉันก็กลับถึงบ้าน ไม่ไปที่ไหนต่อ ตรงกลับบ้านทันที แต่แล้ววันนี้ฉันกลับต้องไปหาผู้ใหญ่ที่ร้านประจำกระทันหัน ท่านต้องการเสื้อเจ้าชายน้อยไซส์เอ็กซ์แอลด่วน ดูสิว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้น แล้วฉันจะมาเล่าให้เธอฟังต่อนะ

อันเนื่องมาจากเจ้าบ่าวแท้ๆ

แม้ The Alchemist จะสนุกจนวางไม่ลง แต่บางเสี้ยวของความทรงจำก็ทำให้อดยิ้มและลุกขึ้นมาเล่าให้เธอฟังไม่ได้...

วันนี้ฉันตื่นมาทำกิจวัตรประจำวันเช่นเคย เช็คอีเมล อัพเดทเรื่องราวเพื่อนๆ ใน Facebook ต่อด้วยกินยาและเตรียมไข่ลวกสำหรับมื้อชางวัน (ไม่เห็นจำเป็นต้องเรียกแต่ Brunch เลยเนอะ)

ข้อความที่พี่คนหนึ่งตอบกลับช่วยย้อนเวลาไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ในงานแต่งงานของพี่คนนี้ที่ฉันได้รู้จักคนเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 4 คน ผู้หญิงสองและผู้ชายสอง

ผู้หญิงคนแรกฉันเคยเห็นรูปแล้ว แต่ตัวจริงสาวและดูดีมากกว่าที่คิดเยอะ ฉันถึงกัับให้ความเห็นว่า ถ้าฉันเป็นสามีของพี่คนนี้ ฉันคงกลับบ้านแต่หัวค่ำทุกวัน

ผู้หญิงคนที่สองหน้าตาหมดจด ชุดราตรีสีน้ำเงินสดที่เธอเลือกในวันนั้นขับผิวขาวเนียนของเธอให้ผ่องขึ้้นไปอีก ฉันได้ทราบมาว่าเธออยู่ในกลุ่มของน้องคนหนึ่งที่ฉันรู้จัก น้องคนที่กำหัวใจผู้ประสบความสำเร็จทางธุรกิจสูงสุดคนหนึ่งในประเทศไทย

ก่อนจะกล่าวถึงอีกสองหนุ่มที่ฉันได้พบ ขอพูดถึงนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้สักเล็กน้อย ฉันอาจจะดีใจจนออกนอกหน้าเมื่อเดินเข้างานไปแล้วคนแรกที่ทักฉันคือเขาผู้นี้

"ไหนดูสิว่าอาทิตย์นี้จะมีใครมารักมั้ย"

ความเป็นหมอดูคงจะติดเป็นตราประจำตัวของฉันไปอีกนาน ฉันยินดีที่ผู้ใหญ่ให้ความเมตตา แม้ว่าฉันจะเคยเจอสายตาของท่านผู้นี้ที่มองฉันอย่างคนที่ต่างระดับจากท่าน อะไรที่ไม่ดีก็ไม่ต้องไปจำมัน ก็เท่านั้นเอง

ได้สนทนาในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอยู่ครู่หนึ่ง ฉันก็คิดว่าถึงคราวที่จะแจ้งให้ท่านทราบว่าฉันเป็นใครมาจากไหน เพิ่มเติมจากที่เป็นหมอดูจำเป็นเพื่อสร้างความครื้นเครงบนโต๊ะอาหาร ฉันดีใจที่ได้ยินท่านกล่าวถึงลูกน้องคนสนิทที่ล่วงลับไปเป็นสิบปีว่า "เพื่อน" แววตาและคำพูดหมายความเช่นนั้นจริงๆ ผู้ยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องหยิ่งผยองและดูถูกคนหรอกนะเธอ ฉันออกจะเห็นอาการน้อยใจเล็กๆ เมื่อท่านกล่าวถึงภริยาผู้ล่วงลับ ท่านที่กินแชร์กับเพื่อนสนิทของป้าฉันทุกเดือน การอยู่ที่สูง มันโดดเดี่ยวและอ้างว้างจริงๆ คำว่า "เพื่อน" มีความหมายมากขึ้นแปรผันตามระดับความสำเร็จในชีวิตของแต่ละคน

แล้วฉันก็เห็นบุตรชายของท่านเดินเข้ามาในบริเวณงาน ฉันก็อดแซวไม่ได้ว่า "พ่อกับลูกไม่เห็นคุยกันเลยค่ะ" ฉันนี้หนอ ช่างกล้า จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่พูดแบบนี้กับผู้ใหญ่คราวพ่อ แต่ท่านก็ตอบว่า "ปล่อยให้เขาคุยเรื่องธุรกิจกันไป" แล้วฉันก็หาเรื่องคุยกับบุตรชายท่านได้ในที่สุด อ้างคนนั้น อิงเรื่องนี้ อันที่จริงก็ไม่ยากอะไรที่จะคุยเรื่องที่เกี่ยวกับคนใหญ่คนโตที่ใครๆ ก็รู้จัก ฉันก็แค่เลือกเรื่องที่เกี่ยวทั้งฉันและเขาเพราะมันจะทำให้ฉันไม่ปล่อยไก่ ทำเป็นรู้เรื่องเพื่อจะสร้างความสนิทสนมแต่จริงๆ แล้วไม่รู้อะไรเลย ดูเหมือนฉันจะเลือกเรื่องถูก ถ้าฉันเลือกผิด ฉันคงมานั่งย้ำคิดย้ำทำ นึกถึงแต่เหตุการณ์เดิมแล้วก็คิดไปถึงคำพูดที่ดีกว่าที่ได้พูดไป ทั้งๆ ที่สมองซีกที่ใช้เหตุผลบอกฉันว่า เราแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว แต่ซีกของอารมณ์ความรู้สึกก็ยังตอกย้ำอยู่อย่างนั้น เวลา่สมองสองซีกไม่ไปด้วยกันมันช่างปวดหัวดีแท้!!

หลังจากโอภาปราศรัยกับคนที่่ฉันรู้จักไม่กี่คนในงาน ฉันก็สอดส่ายสายตามองหาอาหารรองท้อง กันเมาจากไวน์ชั้นดีที่เสริฟตลอดงาน บรรยากาศงานแต่งงานกลางแจ้งริมแม่น้ำเจ้าพระยาในโรงเตี้ยมของเจ้าสัวใหญ่ดีเหลือเกิน แต่ฉันไม่มีคนมาร่วมแบ่งปันความรู้สึกน่ะ

ระหว่างที่ฉันหยิบนั่นกินนี่ด้วยความหิวโหย ฉันว่า ฉันได้สัมผัสถึงสายตาที่มองมา บางครั้งฉันก็มองไปทางเขาเช่นกัน ก็เขาคุยกับคนไม่กี่คนที่ฉันรู้จักนินา ฉันถึงได้สังเกตเห็นเขาน่ะ

และนั่นก็เป็นชายคนที่ฉันจะพูดถึงต่อไป ส่วนชายอีกคนก็ไม่ต่างจากนั้นนักหรอก เขาก็ยืนคุยกับกลุ่มคนไม่กี่คนที่ฉันรู้จักนั่นแหละ น้องคนหนึ่งพูดถึงคนที่สองว่าเป็นคาสโนว่าตัวเอ้ และเขาคนนั้นเป็นคนที่บอกฉันว่าได้ไปใส่เงินทำบุญสำหรับโครงการสร้างโรงทานให้โรงเรียนต่างจังหวัดที่ฉันรัับเป็นแม่่งาน เราคุยกันน้อยมาก แต่เป็นบทสนทนาที่มีความหมาย

และแล้วก็ถึงคราวที่ฉันจะได้พูดถึงชายคนแรก เขาอายุไม่น้อยแต่ฉันทายไม่ถูกว่าอายุเท่าไหร่ ผิวหน้าละเอียดสีออกดำแดงแม้จะมีรอยเท้าสัตว์ปีกทำให้ฉันไม่กล้าทาย ผมสั้นเกรียนไม่ดำสนิท แต่ก็เถอะ แม้แต่น้องสาวฉันเองยังผมงอกกระจายทั่ว เราบอกอายุคนจากสีผมไม่ได้หรอก

เขาดูจะให้ความสนใจฉันเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขามารยาทดีหรือฉันคิดเข้าข้างตัวเอง แต่ที่แน่ๆ เขาอยากรู้ว่าฉันเป็นใคร รู้จักเจ้าบ่าวได้ยังไง

น่าแปลกนะที่วันนั้นฉันไม่ค่อยเปิดเผยตัวเองเหมือนเคยๆ แค่ตอบคำถามสั้นๆ ว่าฉันทำสำนักพิมพ์ พิมพ์หนังสือดีอย่างเจ้าชายน้อยฉบับการ์ตูน ฉันว่า พูดแค่นั้นก็คงพอแล้ว คนในโลกธุรกิจคงไม่รู้ลึกไปกว่านี้สักเท่าไหร่ แล้วก็คิดเหมือนๆ กับฉันเมื่อก่อน สำนักพิมพ์กับโรงพิมพ์มันต่างกันยังไง แล้วพอบอกขอบข่ายงานของสำนักพิมพ์ คนในโลกธุรกิจก็คิดว่าไม่เห็นจะมีเนื้องานอะไรกันนักหนา ทั้งๆ ที่มันเป็นงานที่ละเอียดทุกเม็ด ต้องดิ้นรนกันเอง ปลาใหญ่กินปลาเล็ก สายป่านไม่ยาวก็เสร็จตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม งานที่ต้องทำด้วยใจรักและยินดีกับผลตอบแทนจำกัด (ระดับหนึ่ง) พร้อมๆ กับมุมมองที่ได้รับจากสังคม พอๆ กับนักเขียนไส้แห้งนั่นแหละ

แต่ถ้าสำนักพิมพ์มีหนังสือเด่นๆ ที่สร้างรายได้แบบน้ำซึมบ่อทราย นั่นก็จะหล่อเลี้ยงทุกชีวิตและหนังสือดีที่อาจจะไม่ทำเงินเล่มอื่นๆ ให้ได้ชื่อว่ามีหนังสือดีเล่มนี้พิมพ์เป็นภาษาไทยด้วยนะ เออ

เขาคนนั้นสุภาพและพูดถึงบทบาทสำคัญที่ตนได้มีโอกาสช่วยชาติแบบที่ไม่น่าหมั่นไส้ (ฉันน่าจะมีโอกาสได้เรียนรู้จากพี่คนนี้นะเนี่ย) แถมประกาศอย่างชัดเจนว่า โสดสนิท ไม่แค่นั้น มีเจ้าบ่าวการันตีอีกต่างหาก ประมาณว่า ขับรถสปอร์ตไปซอปปิ้งที่พารากอนคนเดียว ไร้ตุ๊กตาหน้ารถตามธรรมเนียม

ไอ้ฉันก็คันปาก ประมาณว่าจะเริ่มวาจาสามหาว กัดว่า อาจจะเป็นจำพวกที่เก่งหาแฟน แต่ไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์ไว้ได้ คงเป็นโชคดีแล้วล่ะ ที่มีอะไรมาปิดปากฉัน ทำให้ความทรงจำแรกเกี่ยวกับฉันในสายตาเขาไม่ชั่วร้ายจนเกินไปนัก

แต่ก็ใช่ว่าฉันจะไม่ละโอกาสแสดงความเห็นต่างมุมเมื่อเขาพูดถึงบุคลิกและการแต่งตัวของผู้หญิง ฉันโพล่งอย่างเบาๆ ว่า "จะให้ดูเป็นคนแบบไหนไม่เห็นยากเลย แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าก็เปลี่ยนจากผู้หญิงเปรี้ยวเป็นผู้หญิงเรียบร้อยได้ ง่ายจะตายไป" (คิดดูนะเธอ ปากอย่างนี้จะมีแฟนมั้ยนั่น) แต่พี่คนดีก็ตอบทันควัน "แม้เปลี่ยนเสื้อผ้าแต่บุคลิกไม่ได้เปลี่ยน" ฉันเหลือบตาจากจานอาหารขึ้นไปมองแวบหนึ่ง แล้วก็หม่ำเนื้อแกะที่สั่งว่า medium rare แต่ได้เป็น absolute well done ต่อด้วยอาการหงุดหงิดเล็กน้อย การที่ใส่ชุดราตรีเปลือยแขนสีฟ้าเทอร์ควอยซ์แล้วต้องใช้แรงกดมีดลงบนเนื้อแกะคงไม่ได้ทำให้ผู้หญิงที่สวมใส่ดูเป็นผู้หญิงนัก

แล้วเราก็พูดจาสัพเพเหระกับคนอื่นๆ ที่อยู่ร่วมโต๊ะอาหาร เขาเป็นคนที่ยกเรื่องมารยาทในการดื่มไวน์ขึ้นมาพูดว่า การสบตาเวลาชนแก้วถือเป็นการให้เกียรติ หากใครไม่สบตาแม้การสนทนาก็ไม่เป็นเรื่องบังควร แล้วนั่นก็เป็นการบังคับกลายๆ ให้ฉันต้องสบตาเขาทุกครั้งที่ดื่มไวน์ ฉันไม่ค่อยสันทัดในเรื่องนี้ จน ณ วินาทีนี้ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า เราต้องชนแก้วทุกครั้งที่จิบไวน์อย่างที่เขาทำกับฉันมั้ยนั่น ถ้าใช่ ฉันคงเป็นคนไม่มีมารยาทเป็นครั้งคราว

คำพูดก่อนสุดท้ายที่ทำให้ฉันหันไปมองเขาอีกก็คือ ทรรศนะเกี่ยวกับการเลือกคู่ครอง ไม่รู้เหตุใด เขาต้องก้มหน้าเวลาที่พูดว่่า เราต้องไม่ดูที่รูปร่างหน้าตา แต่ต้องเป็นคนที่ช่วยกันทำมาหากิน ปรึกษาหารือกัน

เรื่องอื่นๆ ที่เขาพูดแล้วสะท้อนให้เห็นว่าเขาใส่ใจความรู้สึกของฉันและตัวตนของฉันยังคงมี แต่ฉันเลือกที่จะไม่คิดเข้าข้างตัวเอง เมื่อแยกย้ายจากโต๊ะอาหารออกไปฟังเพลงริมแม่น้ำ ฉันก็คิดว่า ถึงเวลาที่ควรจะจรลีเสียที อย่างที่บอก ฉันไม่ได้รู้จักกับใครมากมาย แล้วการอยู่ใกล้ๆ กับชายสูงวัยหลายๆ คนก็นำมาซึ่งเรื่องปวดหัวให้ฉันอยู่เรื่อย ตอนนี้ ฉันไม่ต้องการรับเรื่องเพิ่มเติม สี่ทุ่มกว่า ฉันก็เลยกลับซะดื้อๆ อย่างงั้นเอง ไม่ลาใคร ไม่ลากใครกลับด้วย

คิดซะว่า เป็นค่ำคืนดีๆ อีกค่ำคืนหนึ่ง มีคนให้ความสำคัญทั้งหญิงและชาย และนั่นก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นไม่น้อยทีเดียว

แวะไปร้านประจำ ไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอ แต่เขาอีกคนก็เดินเข้ามา ตั้งใจจะนั่งคุยแต่โดนน้องอีกคนเบรคเกมเสิร์ฟเสียก่อน เราเลยได้แต่เห็นหน้ากันเฉยๆ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันเฝ้าแต่ครุ่นคิดว่า ทำไมต้องไปใส่ใจกับคนๆ นี้นักหนา ข้อเสียบานตะไท คล้ายจะมองอะไรตื้นๆ แม้จะคิดพันกันยุ่งเหยิง แถมหลอกตัวเองไม่เลือกฉันอยู่นั่น คนใหม่ที่เพิ่งรู้จักดูจะมีแววกว่ากันเยอะเลย

แต่ก็นั่นละนะ ฉันไม่ได้แจกนามบัตร แลกหมายเลขโทรศัพท์ ด้วยไม่รู้จะทำไปทำไม แม้ว่าฉันคล้ายจะลืมใบหน้าของเขาที่เพิ่งเจอไปแล้ว แต่อากัปกิริยาท่าทางที่ดูเป็นมิตร ไม่ถือตัว(ทั้งที่เขาก็คงใหญ่ใช่เล่น ดูจากกริยาที่เจ้าบ่าวนอบน้อมต่อเขาเสียเหลือเกิน) ใบหน้ายิ้มแย้มก็ทำให้ฉันมีความรู้สึกดีๆ เก็บไว้ที่มุมหนึ่งในหัวใจ

ถ้าจะได้เจอมันก็คงจะได้เจอ เกิดมาเป็นผู้หญิงฟ้าสั่งให้ไม่ต้องกระตือรือร้น รอให้ผู้ชายมาให้เลือก(นี่ก็เป็นทรรศนะของพี่คนใหม่นี้ที่น่าประทับใจถ้าเป็นความจริง) ฉันก็เลยดำเนินชีวิตในรูปแบบของฉันต่อไป ภาพสิ่งดีๆ และไม่ดีที่หลายๆ คนทำให้ฉันรู้สึกก็แวบเข้ามาเรื่อยๆ เช่นเคย

พอดีแวบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง แล้วก็รู้ว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเป็นยังไง ได้รู้จักแค่นี้ก็รู้สึกดี ได้รู้จักให้ลึกซึ้งขึ้นก็น่าสนใจ ยังไงก็ได้เจอคนที่น่ารักเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน :)

ว่าแต่เจ้าบ่าวจะทำตัวเป็นคิวปิตมั้ยละเนี่ย

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เขาว่า ฉันกำลัง "ตกผลึก" ต่างหาก

หมู่นี้ฉันกลัวตัวเองเป็นบ้ามาก มากซะจนเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลย...

แต่แล้วเมื่อวาน ด้วยข้อเสนอที่มิอาจปฏิเสธได้ ฉันก็ตาลีตาเหลือกลุกขึ้นมาทำโน่นนี่เพื่อให้สมกับที่อยู่ดีๆ ก็ได้รับโอกาสพิเศษ

ดูๆ แล้ว มันก็เหมือนโกหก พอๆ กับที่อาฉันเคยบอกว่า เวลาคุยกับหมอน่ะ ให้พูดแต่เรื่องลบนะ ไม่งั้นหมอก็จะวินิจฉัยผิด คิดว่าฉันไม่ได้เป็นอะไร

พี่ที่เป็นโรคคล้ายๆ กันบอกว่า "โรคของเรามันเป็นโรคภายใน ไม่บอกก็ไม่มีใครรู้ ไม่ต้องไปแคร์ใครให้มากนัก" ฉันก็รู้สึกว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะอธิบายไปใครๆ เขาก็ไม่เชื่อ มันเหมือนกับเราทำในส่ิงที่ปฏิเสธว่าเราไม่ได้ทำอยู่ร่ำไป

ฉันเกิดอาการกังวลเกินควรเมื่อปรึกษากับพี่คนเดิมว่า ฉันโทรไปคุยกับภรรยาของพี่ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจดีมั้ย บอกไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะมีคนเข้าใจว่าฉันมีอะไรกับสามีของพี่ (อันที่จริงก็มีคนคิดไปในทางนั้นหลายคนแล้วล่ะ ซึ่งนั่นก็คงรวมคนที่ฉันไม่อยากให้เข้าใจผิดเป็นที่สุดคนนั้นด้วย) พี่ที่แสนดีโวยขึ้นมา จะบ้าเหรอ โทรไปเขาก็คิดว่ามีอะไรกันจริงๆ พอดี แฟนพี่เชื่อใจพี่และไม่เคยมองฉันในทางไม่ดี แต่ถ้าอยากจะโทรก็โทรได้นะ เอาไว้โทรฟ้องเวลาที่พี่มาล่วงละเมิดฉันละกัน ไอ้ฉันก็คิดในใจว่า แล้วถ้ามันเกิดเรื่องนั้นจริงๆ ฉันไปโทรหา...(อาวุธยาวที่มีปลายแหลม)ทำไมละนั่น!!

พอเขียนถึงพี่คนนี้แล้วฉันก็เริ่มมีคำถามในใจว่า คำขอร้องของฉันที่พี่รับปากว่าจะทำให้ อันจะนำมาซึ่งออเดอร์หนังสือล็อตใหญ่จากบริษัทยักษ์ใหญ่ในวันเด็กที่จะถึงนี้ ฉันจะกล่าวถึง(ภาษาชาวบ้านคือ ทวง)อย่างไรดี เมื่อวานก็ดันลืมไม่ได้พูดถึงเลย มัวแต่คิดถึงแผนความร่วมมือกับคนนั้นคนนี้ พูดแข่งเสียงดนตรีสดที่ร้านแซกโซโฟน

ว่าแล้วขอออกนอกเรื่องนิดนึง เมื่อคืน ที่ร้านเล่นเพลง you are the love of my life เพลงที่ฉันได้ยินเสียงดนตรีสดครั้งสุดท้ายในวันแต่งงาน เพลงที่ฉันเลือกร้องกับผู้ชายที่เคยเป็นคู่ชีวิตฉันในวันนั้น อดรนทนไม่ไหว เข้าไปถามว่า ใครเป็นคนขอ เล่นเพราะอะไร นักดนตรีก็ตอบแบบงงเล็กน้อยว่า เพิ่งแกะเพลงนี้มาเล่น จนมาวันนี้ ฉันยังสงสัยอยู่ไม่หาย เมื่อคืนฉันมองไปรอบๆ ยังนึกซะด้วยซ้ำว่า ผู้ชายคนนั้นของฉันขอเพลงนี้หรือไร เป็นไปได้ที่เขาจะอยู่ที่นั่น ผู้ชายที่ผ่านเข้ามาสัมผัสหัวใจฉันชอบเพลงแจ๊สทุกคน... เพลงนี้ไม่ใช่เพลงตลาด เป็นเพลงของ George Benson ที่ฉันไม่เคยหาคาราโอเกะเจอ กลับมาได้ยินในวันที่ไม่ได้คาดคิด ไม่ได้ตั้งใจจะไป

เมื่อวาน ชุดราตรีที่เคยใส่แล้วพอดีเป๊ะ คล้ายจะเอี้ยวตัวไม่ได้ ผ่านไปไม่กี่เดือน หลวมจนฉันต้องเบ่งหน้าอกไว้ไม่ให้เลื่อนไหล ยังดีที่ฉันใส่ผ้าคลุมไหล่คลุมไว้อย่างมิดชิด ค่อยได้หายใจหายคอหน่อย

นั่งฟังเพลงไป คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไป จากเดิมที่พี่เป็นห่วงมาก ก็บอกว่า ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ที่ว่าจะพักจนสิ้นปีและถ้ามกราคมยังไม่หาย ก็คงต้องมาจัดการกับปัญหาซะทีนั้น ได้รับคำยืนยันจากพี่ว่า อาการฉันไม่ได้แย่อย่างที่คิด ฉันกำลังตกผลึกทางความคิดซะมากกว่า พี่อยากให้ฉันเปลี่ยนบรรยากาศจากที่อุดอู้อยู่ในห้องไม่ไปไหน มาเจอหน้าตาผู้คนบ้าง แล้วก็ให้ดีใจว่าพี่แนะนำให้รู้จักกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งอยู่ในวงการเดียวกันและได้อ่านบทสัมภาษณ์ของฉันในขวัญเรือนและจำฉันได้ หน้าฉันก็บานแฉ่งเป็นที่เรียบร้อย ไม่แค่นั้น ระหว่างที่เล่าให้ฟังว่าฉันปรับใช้ Facebook กับชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวอย่างไร ฉันก็เปิด Note ให้อ่านบทสัมภาษณ์ พี่ก็ให้ความเห็นว่า ฉันให้สัมภาษณ์ได้ดี รู้จักพูดให้เกิดประโยชน์ ตัวพี่เองด้วยซ้ำไป ที่เวลามีคนมาสัมภาษณ์ ทำไมไม่พูดเรื่องสำนักพิมพ์ซะหน่อย

ดีใจที่พี่ชม แล้วก็ปลอบใจว่า ฉันเองก็ไม่ถนัดเรื่องการให้สัมภาษณ์เหมือนกัน แต่สิ่งที่พูดไปนั้นเป็นสิ่งที่มันอยู่ในใจ เป็นหลักการเป็นรูปแบบความคิด ตัวตนของสำนักพิมพ์ที่เราก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา แล้วก็สรุปให้พี่เสร็จสรรพว่า เวลาพี่ให้สัมภาษณ์ไม่ต้องมีโพย พี่พูดได้ดีกว่าเยอะ พี่จริงจังกับทุกสิ่งที่ทำ ด้วยกลัวจะพูดไม่ครบเลยเหมือนท่องให้ฟัง ซึ่งในทัศนะของฉัน ไม่มีประโยชน์เลย ไม่มีใครฟัง สู้พูดจากใจแต่อาจพูดไม่ครบ คนก็ยังฟังและเก็บเกี่ยวเนื้อหาใจความบางประการไปได้บ้าง

ฉันรู้สึกดีจัง รู้สึกว่า พี่เข้าใจว่าฉันทำอะไรไปเพื่ออะไร และตอบข้อสงสัยฉันได้อย่างสิ้นเชิง พี่บอกว่า ให้ความสนิทสนมกับฉันเพราะเชื่อว่า ฉันจะเป็นคนที่โดดเด่นในวงการ

ความคิด "ตกผลึก" ฉันกำลังก่อร่างสร้างตัวให้เป็นคนๆ ที่พี่คาดว่าฉันจะเป็นในที่สุด

no romance doesn't mean no chance of happiness... :)

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

บทสนทนาประเทืองใจ

เธอเคยมั้ยสื่อสารกับใครสักคนครั้งละร้อยข้อความ ถ้าใครจะว่าเพี้ยนก็ฉันคนนึงล่ะ...

ถ้าคิดในแง่เศรษฐศาสตร์ การส่งข้อความ 100 ข้อความคิดเป็นเงินขั้นต่ำ 100 บาทเว้นแต่จะมีโปรโมชั่นพิเศษอะนะ ไม่รู้ว่าถ้าคุยผ่านมือถือจะถูกกว่านี้มั้ย แต่การสื่อสารวิธีนี้ก็มีข้อดีที่แตกต่าง

เราจะใช้เวลาในการพิมพ์มากกว่าการพูด แถมยังส่งเป็นภาษาอังกฤษ ลดความผิดพลาดจากการเลือกใช้คำผิดและยังทำให้ทั้งสองฝ่ายระมัดระวังว่ามีการเข้าใจผิดรึเปล่าเพราะไม่ได้สื่อความด้วยภาษาแม่ ทั้งยังสามารถอ่านทวนได้เมื่อต้องการ บางครั้งอ่านครั้งที่สองครั้งที่สามก็อาจทำให้เข้าใจกันได้มากขึ้นกว่าเดิม หรือจับใจความได้ชัดเจน เก็บความที่ตกหล่น จะว่าไปเป็นการสื่อสารที่โรแมนติกสำหรับยุคนี้ ไอ้ครั้นจะเขียนจดหมายส่งให้ทุกวันเหมือนใน The Notebook ที่ฉันขุดขึ้นมาดูก็คงไม่ทันใจคนยุค 2000

ไม่แค่นั้น ข้อความที่เขียนเพื่อแสดงความเห็นเรื่องปัญหาของคนอื่น กลับกระตุ้นเตือนให้เรานำมาปรับใช้กับตัวเอง อย่างเช่นที่เมื่อคืนฉันกลับมานั่งอ่านข้อความ SMS ที่ส่งไปแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ภูมิใจตัวเองว่าฉันก็พูดจามีหลักการเป็นเรื่องเป็นราวนะเนี่ย ขอแค่อย่าให้ใครมาหมั่นไส้ไปซะก่อนจนไม่ได้ใส่ใจที่ "เนื้อความ" ที่ฉันอยากสื่อ

ฉันไม่ใคร่จะพบปัญหาเรื่องการนำเสนอโครงการ หรือเสนอความคิดต่างๆ ของตัวเอง ด้วยว่าฉันชอบเสนอ(โดยที่ไม่ได้มีใครขอ)เป็นประจำอยู่แล้ว ถ้าใครไม่มองว่าฉันไปสอนคนอื่นก็อาจจะได้อะไรไปบ้าง อาจเป็นบางถ้อยความที่จุดประกายความคิดเพื่อต่อยอดหรือแตกแขนง ฉันว่าฉันมีความสามารถพิเศษในการคิดเชื่อมโยงจับเรื่องโน้้นเรื่องนีมารวมกันแล้วก็บิดไปบิดมาให้ได้ประโยชน์ทุกฝ่าย

เมื่อคู่สนทนาของฉันไม่ถนัดเรื่องการนำเสนอโครงการ ฉันก็ร้อนวิชาทันที นึกถึงตัวเองที่แม้จะมั่นใจ แต่บางครั้งก็ปากสั่น ขาสั่นเหมือนกัน แต่ก็สั่นสู้นะเธอ เรื่องนี้ฉันไม่ได้ขยายให้คู่สนทนาฉันฟังหรอก ฉันเล่าว่าฉันมีประสบการณ์ตรงกับคนที่มีปัญหาในการพรีเซ็นท์งาน การพูดต่อหน้าคนหลายๆ คน และเป็นคนที่สามารถตัดสิน ให้คะแนน ให้คุณให้โทษเรานั้น ความกลัวผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ทำให้ประหม่า ทำตัวไม่ถูก ตอบโต้ในเวลาอันจำกัดไม่ได้ดีนัก

ฉันก็แจงว่า คนจำพวกนี้เป็นพวกชอบวางแผน ใช้เวลาในการเตรียมพร้อมมากเท่าที่ตนต้องการ พร้อมๆ กับไม่ค่อยยอมรับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้้นได้ หากได้ลดมาตรฐานลงสักนิด บางครั้งอาจทำให้พรีเซ็นท์ได้ดีกว่าเดิมเพราะกดดันน้อยลงด้วยซ้ำไป นอกเหนือจากผลลัพธ์ที่หากไม่เป็นดั่งคาดหวังก็จะไม่เสียใจมากจนเกินควร เพราะมันก็เป็นแค่หนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนึ่งวัน แล้วมันก็ผ่านไป อยู่ที่เราว่าจะดึงเอาประสบการณ์จำพวกไหนมาย้ำคิดย้ำทำ ถ้าเลือกเรื่องดีๆๆ มาตอกย้ำ ก็เท่ากับเป็นการให้กำลังใจตัวเอง หากเลือกตรงกันข้าม แล้วฮึดสู้เพื่อครั้งใหม่ที่ดีกว่าก็ดีไป แต่ถ้าตอกย้ำซ้ำซากให้หมดกำลังใจ ก็คงแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นแล้วล่ะ

ใครๆ เคยบอกฉันว่า ถ้าฉันทำได้อย่างที่ฉันเที่ยวไปบอก ไปสอน ไปแนะนำใครๆ ฉันก็ไม่ต้องจมอยู่กับปัญหาของตัวฉันอย่างนี้ แหม ขอแก้ตัวนิด ผงเข้าตาตัวเอง คนเราก็เขี่ยไม่ออกกันทั้งนั้นนะเออ

เอาเป็นว่า เมื่อวานข้อความคำพูดของฉันสะท้อนให้ใครบางคนได้ไอเดียในการจัดการกับเรื่องราวของเขา ฉันก็ดีใจว่ามีส่วนช่วยบรรเทาความหนักหนาของเรื่องที่เขากลุ้มใจ ของชอบอยู่แล้วหนิ แก้ปัญหาให้ชาวบ้านน่ะ!!

แต่ฉันว่ากำลังใจที่ฉันส่งให้คนอื่น ในที่สุดแล้วมันก็ย้อนมาให้ประโยชน์กับตัวฉันเองนั่นแหละ ฉันรู้สึกดีขึ้น ใจสูงขึ้น เมื่อมีเรื่องสับสนทำให้ขุ่นข้องใจฉันก็ดูจิต รับรู้แล้วก็ปล่อยวาง

มันทำให้ฉันใกล้ความคิดของใครคนหนึ่งมากขึ้น คนที่อยู่ในราศีของผู้หญิง ขี้อาย ใช้เวลากว่าจะกล้าเปิดประตูรับให้ใครเข้ามาสนิทสนม บางคนว่าเขาเพี้ยน แต่ฉันว่าฉันเข้าใจนะ เขาแค่แตกต่าง ถ้าเราเข้าใจความคิด เหตุผลของเขาแล้วมันก็แค่รูปแบบที่แตกต่าง อะไรล่ะคือปกติ ส่ิงที่คนส่วนใหญ่เป็นคือปกติเหรอ งั้นคนชั่วก็เป็นเรื่องปกติสิ บางครั้งความปกติอาจเป็นสิ่งที่หาได้ยากก็ได้นะ

ได้เวลาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมย้ายที่เช็คอีเมล อัพบล้อก เล่นเฟซบุคแล้วล่ะ

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คลื่นรักคลื่นชีวิต

บทกวี "คลื่นรักคลื่นชีวิต" ญิบ พันจันทร์ เป็นผู้ประพันธ์ มีใจความตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า

เริ่มรับรู้รสรักแรกเอมอิ่ม ครั้นลิ้มรสขมขื่นเริ่มแก้ไข

เมื่อคลื่นรักสลายร้างรักห่างไกล แล้วยาใดจะเยียวยารักษาตน

เพราะจัง กลัวคนว่า เลยต้องเอามาโพสต์ไว้ที่นี่ อีกเช่นเคยเจ้าค่า

กลัวคนว่า เลยต้องเอามาใส่ไว้ที่นี่

วันนี้ฉันถูกใจหลายบทความ แต่ถ้าเอาไปใส่ที่เดียวกันหมด ก็จะเป็นที่รำคาญของหลายๆ คนได้ เลยเลือกจะโพสต์หนึ่งบทความที่นี่ ใครสนใจอ่านบทความได้ใจของฉันเพิ่มเติมก็ต้องที่  facebook ละจะ

จากมติชนสุดสัปดาห์ 13 พฤศจิกายน 2552

ชายตาหาข้าวเปลือก

กาละแมร์

เหตุผลของการอยู่เป็นโสดบนโลกใบนี้



รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองเป็นช่วงของการ "โสด" อยู่ตัวค่ะ

ยอมรับและอยู่กับมันได้แบบมีความสุข

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะขอโสดตลอดไปตราบชั่วฟ้าดินสลายไง ก็แล้วแต่โชคชะตาฟ้าลิขิต มีคนบอกว่า "การพบเจอกันของคนสองคนมักเป็นเรื่องของความบังเอิญ แต่ความสัมพันธ์ หลังจากนั้นเป็นเรื่องของความตั้งใจ"

ช่วงโสดที่ผ่านมาพบเจอความบังเอิญ แต่หลังจากนั้นขาดความตั้งใจ (ฮา)

จากที่ฝ่าฟันกับความรู้สึก อารมณ์ของตัวเอง ได้อยู่กับตัวเอง และคุยกับตัวเอง ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น รู้ว่าอะไรคือทุกข์และสุขของเรา อะไรที่เรารับได้และรับไม่ได้

จากที่เคยไขว่คว้า วิ่งหา และตั้งคำถาม ว่าใคร ทำไม ที่ไหน เมื่อไหร่ ก็เปลี่ยนเป็นมาถามตัวเองเสมอว่า สบายดีไหม อยากทำอะไร รู้สึกอย่างไร เลิกตามหาจากคนอื่น แต่หันมาทำให้ตัวเองแทน

ถึงแม้ว่าในวัยอย่างฉันเมื่อหันมองรอบตัว ก็จะเห็นแต่เพื่อนที่มีครอบครัว มีลูก ตั้งท้องกันอย่างกับดอกเห็ด คล้ายว่าเป็นช่วงฤดูกาลผสมพันธุ์ก็ตาม และแม้บางครั้งจะรู้สึกไม่เข้าพวก แต่ฉันก็ยังรักชีวิตของตัวเองอยู่ดี

คนเราชีวิตมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน มีความพอใจที่ไม่เหมือนกัน และมีการดำเนินชีวิตแบบต่างคนต่างทางเดิน

ฉันจำได้เลือนราง ว่าตัวเองก็อยากมีชีวิตที่แบบที่ผู้หญิงทั่วไปพึงมี คือได้แต่งงานตอนอายุยี่สิบปลายๆ แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นภาพสีจางเหลือเกิน ไม่เคยนึกว่าตัวเองจะมีลูก มองไม่ค่อยเห็นภาพนั้น เพราะส่วนใหญ่คิดแต่ว่า อยากทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง

ถึงแม้ว่าบรรทัดฐานหรือความเชื่อ ฝังหัวที่จะหล่อหลอมให้เรามักใช้ชีวิตแบบเป็นแบบแผนและเป็นขั้นเป็นตอน เราถูกเลี้ยงมาอยู่ในกรอบ และต้องเดินตามกันไป แต่สำหรับฉัน ฉันชอบเวลาตัวเองเล่น "โอ...แปลกประหลาดดดดด เป็น" แล้วเราออกสีไม่มีเหมือนคนอื่น นั่นล่ะ..ฉันล่ะ

ถึงแม้ว่าการได้รวมกลุ่มกับคนหมู่มาก มันจะเป็นความอุ่นใจและปลอดภัย แต่ฉันก็รู้จักตัวเองดีพอที่จะบอกว่า "มันไม่ใช่ตัวเรา" และความรู้สึกอันแสนซื่อสัตย์ก็จะบอกตัวเองเสมอว่า "กรูอึดอัด" เวลาที่ทำอะไรที่ไม่เป็นตัวเอง

ไม่ได้บอกว่าอยากทำตัวโดดเด่นไม่เหมือนใคร ไม่ได้บอกว่าต้องการเป็นจุดสนใจของใครๆ เค้า เพียงแต่เรารู้จักตัวเองดีเหลือเกินก็เท่านั้น

เพราะฉะนั้น ในวันที่คนรอบตัวหรือคนส่วนใหญ่ต่างแต่งงาน มีคู่ และใช้ชีวิตครอบครัวกันแล้ว ฉันก็ไม่ได้อยากที่จะกระโจนลงไปในวังวนนั้นถ้าเราไม่พร้อมจริงๆ (มียังไม่มี จะคิดทำไมให้ไกลว้า)

ถ้าคุณยังเป็นคนโสด อย่าได้คิดว่าคุณเป็นโรคหรือเป็นคนแปลกแยกของสังคม ชีวิตคนเราไม่เหมือนกัน ไม่ใช่แค่เรียนจบมหาวิทยาลัย ทำงานไปสักพัก แล้วหาคนแต่งงานเพื่อที่จะมีลูก แล้วชีวิตก็จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แล้วรอวันตาย

ฉันว่าเราแต่ละคนสามารถ "เลือก" ชีวิตของตัวเองให้มีความหมายได้แล้วแต่เราต้องการ

คนบางคนอาจเกิดมาเพื่อเป็น "แม่" และรักการเป็น "เมีย" เหลือเกินและนั่นอาจเป็นความใฝ่ฝันของเขา ซึ่งก็ไม่ผิด แต่สำหรับคนที่คิดไม่เหมือนอย่างนี้ก็ไม่ใช่คนผิดเช่นกัน อย่าเอาความเชื่อฝังหัว หรือนิทานตอนเด็กมาตีกรอบและกดดันชีวิตของเรา

การแต่งงาน" ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิต



มีใครการันตีเหรอว่า พอได้แต่งงานคุณจะมีความสุขตลอดไปคล้ายการวิ่งเข้าเส้นชัยอย่างนั้นเหรอ

แต่ไม่ใช่ว่าฉันจะอยู่คนละข้างกับการแต่งงาน ฉันก็อยากที่จะสัมผัสความรู้สึกนั้นสักครั้งในชีวิต เพียงแต่ว่าเวลาของฉันยังมาไม่ถึง

และถึงยังไม่ได้แต่งงาน คนโสดทั้งหลายคุณก็มีความสุขและเต็มอิ่มกับชีวิตคุณได้ไม่ใช่เหรอ ใครช่างใจแคบให้ผู้หญิงแขวนความสุขในชีวิตของตัวเองไว้กับผู้ชายแค่คนเดียว

และใครจำกัดไว้หรือว่า ผู้ชายเท่านั้นถึงจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่าได้คนเดียว หรือเป็นเพศที่จะสนุกกับชีวิตได้เพศเดียว แล้วผู้หญิงเราเป็นเพศที่ไร้ซึ่งความฝัน ไร้ซึ่งจุดมุ่งหมายของชีวิต หรือไม่มีแรงขับเคลื่อนให้ชีวิตได้มีหัวใจพองโตบ้างเหรอ

และใครเป็นคนกำหนดเหรอว่า ผู้ชายเป็นเพศแห่งผู้เลือกเท่านั้น แล้วผู้หญิงต้องเป็นเพศแห่งผู้ถูกเลือก ทั้งที่เราต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเองมิใช่เหรอ

สิ่งที่ดีใจที่เกิดมาเป็นคนจนถึงทุกวันนี้คือ การได้เลือกใช้ชีวิตอย่างมีอิสระอย่างที่ตัวเองต้องการ คุณอาจกำลังแย้งในใจด้วยคำว่า ใช่ซี๊ เพราะเธอเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีนั่นมีนี่ แต่คุณอย่าลืมว่า เส้นทางในชีวิตของฉันกว่าจะถึงวันนี้ไม่ใช่แค่เริ่มต้น ไม่ได้ฟลุก หรือลืมตาตื่นแล้วเป็นเลย

ฉันผ่านการผจญภัยมาพอสมควร จนรู้จักตัวเองดีพอ ว่าเราอยากใช้ชีวิตอย่างไร

ทุกวันนี้ฉันยังมีคำสอนที่ว่า "ตนเป็นที่พึ่งเห็นตน" ดังก้องอยู่เสมอ และใช้มันกับหลายๆ ด้านของชีวิต

และยังหมั่นขยัน "ขอบคุณ" ตัวเองอยู่ทุกวันที่ทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เทศกาลระบาย


นี่ยังดีนะ ที่ฉันเริ่มเขียนตอนพายุที่ก่อตัวได้คลี่คลายลงบ้างแล้ว คงต้องขอบคุณ Sister's Keeper ที่เพิ่งดาวน์โหลดมาดู ตอนแรกก็นึกว่าสร้างมาจากนิยายเล่มที่เราหมายตาไว้ แต่แค่นี้ก็ช่วยได้เยอะแล้วละนะ

ไหนๆ เข้าเรื่องหนังแล้ว ฉันก็ต้องเปรียบเทียบกับเรื่องที่ตั้งใจว่าจะเป็น Sister's Keeper ที่ฉันเข้าใจคือ เรื่องราวของสองพี่น้องสาวที่ตัวน้องสาวคล้ายจะเกิดมาเพื่อให้เลือด เนื้อเยื่อหรือเซลล์อะไรสักอย่างเพื่อทดแทนสิ่งที่บกพร่องของพี่สาว ซึ่งหมายความว่าเธอจะต้องเจ็บตัวตลอดเวลา แล้วก็ประมาณว่ามีเรื่องจะฟ้องร้องพ่อแม่ว่าเธอต้องการริดรอนสิทธิ์จากผู้ปกครอง เธอต้องการตัดสินใจเองว่าจะเจ็บตัวเพื่อบริจาคให้พี่สาวหรือไม่ 

ส่วนเรื่องที่เพิ่งดูจบ เป็นเรื่องที่พี่สาวมีปัญหาระดับสารเคมีีในสมองทำให้อารมณ์แปรปรวนและหรือทำอะไรประหลาดกว่าชาวบ้าน เหอ เหอ ฉันก็ไม่ต่างจากเธอเท่าไหร่หรอก บางทีพอเราประกาศว่าเป็นโรคอะไรสักอย่าง คนก็็จะเหมารวมว่าเราเพี้ยน ในเมื่อฉันดูหนังแล้วแปลว่าระดับความเพี้ยนของตัวพี่สาว (ที่แม้จะมากกว่าฉันอะนะ) ก็พอจะอนุมานได้ว่า ฉันไม่ควรไปเสนอหน้าอยู่ในโลกปกติ ไปอยู่ในโลกศิลปิน บ้าๆ บอๆ ไปซะเลย พอไปอยู่ในโลกนั้นดูจะแปลว่า ความ "เพี้ยน" ในโลกเดิมเป็นความ "พิเศษ" ในโลกใหม่ 

พอแล้วนะ ที่ฉันเฝ้าฝูมฝักความสัมพันธ์กระท่อนกระแท่น รูปแบบการทำงานที่ปรับเปลี่ยนให้เหมาะที่สุด ฉัันไม่ได้ยอมแพ้ แต่ฉันเลือกทำในส่ิงที่ควรทำ 

ใครแต่งงานแล้วอย่ามาพูดกับฉันเชียว ใครโสดอยู่ถ้าไม่พูดก่อน ฉันก็ไม่พูดด้วย แล้วถ้าจะมีคนมาว่า ว่าฉันประพฤติปฏิบัติตัวไม่ดีอีกก็เพี้ยนแล้วคนที่ว่าน่ะ


วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Pride and Prejudice โอหังและอคติ

ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าเหมือนกลับไปเรียนภาษาอังกฤษกับอาจารย์สงวน เตรียมสอบ GMAT [เหมือน GRE มากกว่า] ถ้าไม่ได้โปรแกรมพจนานุกรมทีี่ติดมากับแมคมินิเครื่องนี้ ฉันคงไม่สามารถเข้าถึงความงามของภาษาและได้รับความเพลิดเพลินและประเทืองปัญญาจากบทสนทนาเชือดเฉือนของ Mr. Darcy และ Elizabeth เป็นแน่แท้...

คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยดูหนังเรื่องนี้มาแล้ว แต่ที่แน่ๆ Sense and Sensibility ดูแล้วแน่นอน ฉันชอบ Jane Austen ที่ใช้คำคุณศัพท์ คำวิเศษณ์ งดงามไพเราะหลากหลาย แล้วก็ย้อนนึกถึงตอนที่ฉันเรียน writing course ที่ AUA ก่อนไปเรียนต่อปริญญาโท ที่อาจารย์ชาวอเมริกันเหน็บแนมฉันเนื่องด้วย ดัดจริตใช้คำสูงซะจิง และเพื่อให้เป็นการมองทั้งสองด้าน อาจารย์ชาวอังกฤษเรียกฉันมาถามว่า ทำไมตั้งใจทำการบ้านขนาดนี้ ฉันถึงกับต้องถามต่อว่า มันก็มีผิดตั้งหลายที่ แต่อาจารย์คนดีก็บอกว่า ก็เห็นแก้หมดและเห็นพัฒนาการ ฉันก็เลยว่า ก็อยากเข้ามหาวิทยาลัยที่อยู่ใน Ivy League อะค่ะ ตอนนั้นหวังสูงจริงๆ ไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากหรอก คิดว่าถ้าได้เรียน Darthmouth น่าจะดี ไม่ได้รู้จักใครหรืออะไรหรอก คิดว่าเมืองมันสงบและได้อยู่ฝั่ง East อย่างที่ฝันไว้

การณ์กลับกลาย ไม่ได้เรียนดั่งตั้งใจทั้งเนื้อหาวิชาและที่ตั้งมหาวิทยาลัย แต่อะไรที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดีทั้งนั้น ฉันก็ได้ทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเค้าอีกตามเคย มาลงท้ายคล้ายควรเรียนอักษรศาสตร์ยังไงไม่รู้

กลับเข้่าเรื่องซักที อยู่ในภาวะที่เป็นห่วงตัวเองขนาดหนัก ไม่เคยรักและห่วงตัวเองเท่านี้มาก่อน ไม่สนอะไรทั้งน้ัน บัตรเครดิตก็เพิ่งไปจ่ายทั้งที่เงินก็มี หาเรื่องเสียดอกเบี้ยซะอย่างงั้น เรื่องบุญก็ยังไม่คืบหน้า แต่ก็ยังไม่สายเกินไป เรื่องอะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ทำ เบี้ยวผิดนัดเพียบแต่ก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือนร้อนจนเกินไป ฉันออกจากห้อง 1 ครั้งในรอบ 1 อาทิตย์เห็นจะได้ ไม่นับที่เอาขยะไปทิ้งสัก 2-3 ครั้งอะนะ เป็นโอกาสดีที่ฉันได้ใช้ของจนเกือบหมดตู้เย็น ไม่ว่าจะเป็นสันในหมู หมูสับ สันนอกหมู อกไก่ กิมจิหนวดปลาหมึก หรือป๊อปคอร์นหลายกล่อง ทำอาหารจนนึกไม่ออกแล้วว่าจะกินพวกสารพัดเส้นกับอะไร วันนี้ถึงได้ลงไปซื้ออาหารแช่แข็งมาตุนไว้อีกนิดหน่อย พร้อมกับฝรั่งหนึ่งถุง ไปจัดการเรื่องบัตรเครดิตในที่สุด ถือเป็นสัญญาณที่ดีขึ้นแต่อย่างไรก็ต้องทำอะไรให้เพลิดเพลินใจก่อนนะตอนนี้ 

หลังจากที่ดู Gossip Girl ตามด้วยอีกหลายๆ เรื่องซึ่งไม่ได้ดูทั้งหมดอย่างเรื่องแรก ด้วยเสียเวลาดาวน์โหลดมากจนต้องหันไปดูหนังโป๊ซะหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะดูหนังประเภทนี้ได้ร่วมสิบชั่วโมง แล้วก็ได้ข้อสรุปว่า ไม่ว่าจะชาติไหนก็อยากดูอะไรที่ละมุนละไมไม่อล่างฉ่าง แต่ไอ้ประเภทของแปลกก็ดูบ้างพอเป็นพิธี ได้ความรู้บางอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน เป็นเรื่องที่่น่าตกใจมากที่มีมนุษย์เพศหญิงเมื่อถึงจุดสุดยอดแล้วมีของเหลวจากช่องคลอดพุ่งออกมาเหมือนเปิดที่ฉีดน้ำเลยเชียว หรือการร่วมเพศทางทวารหนักคล้ายจะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไปแล้ว อุปกรณ์บำบัดความใคร่ของผู้หญิงดูน่ากลัวมากแต่คนแสดงก็ดูมีความสุขดี แล้วยังเรื่องวิตถารที่ร่วมเพศทางช่องคลอดและทางทวารหนักพร้อมๆ กันอีก เป็นที่ตื่นตาตื่นใจฉันจริงๆ หนังประเภทนี้มีให้ดาวน์โหลดดูฟรีๆ เป็นเรื่องเป็นราว ทุกรุ่น ทุกวัย ทุกขนาด ทุกรูปแบบ จนฉันถึงกับต้องไปดาวน์โหลดกามสูตรมาศึกษาเพื่อความรู้ที่ลึึกซึ้งและเป็นระเบียบแบบแผน

ฉันไม่น่าตั้งชื่อบทความนี้อย่างที่ตั้งเล้ย...

ฉันพยายามจะกลับเข้าประเด็นจริงๆ แล้วล่ะคราวนี้ ด้วยว่าไปทำบททดสอบว่าตัวฉันเทียบได้กับนักเขียนคนใด ผลออกมาเป็น Jane Austen ชื่อนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่พอหาข้อมูลไปก็ อ๋อ ฉันเคยดูหนังที่สร้างจากบทประพันธ์ของหล่อนนี่นา เป็นเรื่องแนว hallmark ที่ฉันชอบ และเชื่อว่าผู้ชายคนไหนที่ต้องดูทีวีเครื่องเดียวกับฉันแล้วเห็นฉันดูเรื่องประมาณนี้ก็จะไปหาอะไรอื่นทำทันทีแม้จะเมื่อย เบื่อหรือเหนื่อยสักเท่าใดก็ตามที

ฉันดาวน์โหลดหนังสือมา 5 เล่ม แต่ละเล่มสูงๆ ทั้งนั้น ไม่รู้ว่าปีนบันไดอ่านแล้วจะเข้าใจรึเปล่า โชคดีฉันเจอผู้ช่วย มีเว็บที่ทำสรุป อธิบาย  ขยายความหนังสือดีๆ คล้ายว่าจะช่วยเด็กนักเรียนทำการบ้าน ฉันคนที่ภาษาอังกฤษไม่ถึงระดับ GRE มีหรือจะเข้าใจมหากาพย์โอเดสซีย์ของโฮเมอร์โดยอ่านตัวต้นฉบับ แค่เรื่องโอหังและอคติฉันยังต้องเปิดดิกแทบทุกบรรทัดเล้ย แต่จะว่าก็ว่าเถอะ ภาษาเค้าสวยจริงๆ อย่างที่ฉันว่าตอนต้นว่าฉันติดใจบทสนทนาชาญฉลาดของพระนางคู่นี้ อ่านมาถึง Chapter 18 แล้วก็อดรนทนไม่ไหวมาเล่าให้เธอฟังเนี่ยแหละ

เล่มอื่นๆ ที่ดาวน์โหลดไว้ ฉันก็กะจะเอาไปอ่านตอนที่ไปมาเก๊าแหละ ใครจะไปเล่นคาสิโนให้เสียเงินเปล่า ขืนชอปปิ้งก็ไม่มีเงินทำบุญกันพอดี ฉันจะนั่งอ่านหนังสือดีๆ นี่แหละ ไปคุยกับใครเค้าจะได้ไม่ว่าเอาได้ว่ามาทำสำนักพิมพ์แล้วไม่ได้รู้อะไรกับเค้าซะเล้ย ไร้รสนิยม เข้าไม่ถึงความงามของภาษา 

เริ่มรู้สึกดีกับตัวเองว่า ในเวลาที่ฉันยังไม่พร้อมกับอะไรหลายๆ อย่าง แต่ฉันก็ทำให้เรื่่องบันเทิงเป็นเรื่องเดียวกับงานได้ในที่สุด :)

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่องอยากเล่า อยากพูด อยากระบาย

เธอรู้มั้ย ฉันอยากเล่าสารพัดเรื่องที่มันเกี่ยวพันกับชีวิตฉัน แต่ฉันเล่าไม่ได้เอาซะเลย ฉันว่าหนทางเดียวที่ทำได้คือ แต่งนิยาย ว่าแต่จะบิดปรับหักมุมยังไงให้มันดูไม่รู้ว่าความจริงคืออะไรละนั่น!!

แค่เมื่อคืนฉันไปกินข้าวกับใครบ้าง ยังเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเอามาพูดเลย

หรือว่านายสุดจู้จี้ให้ฉันทำภารกิจพิเศษก็จะไปเล่าสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้

หรือจะเรื่องที่ไปช่วยน้องเกี่ยวกับสปอนเซอร์และคนมางานยังมีเรื่องน่าอึดอัดอย่างไร

นี่ฉันกลายเป็นคนที่มองเห็นแต่ปัญหาไปแล้วหรือนี่

แต่ยังดีนะ ที่มีพี่คนหนึ่งบอกฉันว่า "จำไว้ ชาตินี้พี่ไม่มีวันโกรธเรา"  ดูจะเป็นเรื่องดีมากๆ ที่เกิดขึ้นกับฉันในช่วงอาทิตย์ที่่ผ่านมา และผู้ใหญ่ที่ไปอ่านเจอบทสัมภาษณ์แล้วโทรมาแสดงความยินดี แถมบอกว่า ควรจะรู้สึกภูมิใจนะ :)

เมื่อวานฉันเล่นพิเรนอีกแล้ว ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท้าให้ฉันทำเรื่องพิสดาร (ไม่มากเท่าไหร่หรอกนะ อยากเล่าแต่เดี๋ยวก็ไม่เหมาะอีกตามเคย) ฉันก็ทำซะงั้น มองดูภายนอก มันไม่ได้จะแปลกประหลาดอะไรหรอก มันประหลาดอยู่ในความรู้สึก คล้ายๆ ขโมยมะม่วงจากบ้้านข้างๆ กินมันอร่อยกว่ามะม่วงจากต้นในบ้านเราเอง

เรื่องน่ายินดีอีกเรื่องคือ ฉันช่วยเหลือน้องหาสปอนเซอร์สำหรับงานการกุศล โดยเลือกคนที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายตรงกับคนที่มาในงาน น้องคนดีให้นาฬิกาเป็นสปอนเซอร์ถึงสองเรือนแถมซื้อตั๋วไปร่วมงานด้วย ยังมีอีก 4 รายที่ฉันประสานงานให้ รู้สึกดีจังที่ช่วยน้องได้ คล้ายๆ จะเป็นการ payback ที่ผู้ใหญ่เมตตาฉัน ฉันก็ทำประโยชน์ให้น้องที่ต้องการความช่วยเหลือ เหมือนกับมองตัวเองเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ที่ถ้ามีใครยื่นมือมาช่วยเหลือฉัน ฉันก็จะซาบซึ้ง จริงๆ แล้วไม่ต้องย้อนไปไกลขนาดนั้นก็ได้ ทุกวันนี้ พี่ที่เมตตาก็ทำให้อะไรๆ เป็นไปได้ตั้งหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ลงไทยรัฐ 2 ครั้ง ลงขวัญเรือน ลง Mix Magazine ได้ท่านทูตมางานเปิดตัวหนังสือ หรือแม้กระทั่งลูกน้องเก่าของฉันที่เสนอให้ออกรายการทีวี แต่ไหนๆ จะได้ออกทั้งที ขอฉันตอบแทนพี่ใหญ่โดยการทำให้ภาพงานมันใหญ่ขึ้นกว่าแค่โปรโมทหนังสือเล็กๆ ทำเพื่อชาติไปในคราวเดียวกัน ได้ประโยชน์ทุกๆ ฝ่าย

เรื่องที่จะต้องทำเย็นนี้เป็นเรื่องจิตวิทยาเพื่อผลอย่างหนึ่ง ทำให้ฉันต้องไปรบกวนพี่ของน้องสะใภ้ฉันแล้วนะเนี่ย บางทีฉันก็งงตัวเองว่า ฉันหลบมาอยู่ในโลกหนังสือแต่แล้ว ก็ไม่พ้นฉันกลับเหมือนเข้าไปพันกับโลกธุรกิจมากกว่าตอนที่ฉันอยู่ในโลกใบนี้ด้วยซ้ำไป 

อะไรที่ฉันไม่เคยเข้าใจมาก่อน ที่เคยเข้าใจผิด ก็เข้าใจแล้ว และก็เข้าใจคนที่เดินตามหลัง รวมไปถึงคนที่เป็นเหมือนฉันเมื่อก่อน ไม่ผิดเลยที่เขาจะมีความรู้สึกกับฉันอย่างที่เป็นอยู่ ฉันเพียงผ่านจุดนั้นมาแล้ว ป่วยการที่จะอธิบาย ดูมันจะกลายเป็นการยัดเยียด การแก้ตัว เมื่อคนไม่เปิดใจที่จะพยายามเข้าใจ เราก็ได้แต่รอ หวังว่าสักวันจะเข้าใจ

มีแค่เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ และหวังเพียงว่า เขาเหล่านั้นจะได้เดินมาไกลจนถึงจุดที่ฉันอยู่นี้

มีคนที่นั่งสมาธิมากจนอยู่สูงถึงขั้นที่ได้เห็น ได้รับรู้อะไรเหนือคนธรรมดา บอกฉันถึงความเป็นอนิจจังของสิ่งหนึ่ง ฉันขอเปรียบเทียบกับคู่สามีภรรยาที่กัดก้อนเกลือกินมาตั้งแต่ความรักเป็นเพียงสิ่งเดียวที่นำทางชีวิต พอฝ่าฟันจนประสบความสำเร็จ ต่างคนก็หาความสุขใส่ตัว ภรรยาที่เคยช่วยงานทั้งหน้าบ้านหลังบ้านของสามีกลับกลายเป็นเหมือนผู้หญิงโง่ งานเมียหลวงก็ทำไปนะ ส่วนเวลาแห่งความสุขสามีขอไปอยู่กับผู้หญิงที่สวยกว่า อ่อนวัยกว่า ฉันได้รับรู้เรื่องราวแล้วก็ถอนหายใจ เราจะอยากเป็นคนดีไปทำไม ถ้าผลลัพธ์เป็นแบบนี้ สิ่งที่ฉันเลือกจะมองให้สบายใจก็คือ ภรรยาก็ไม่ยึดติด เขาอยากทำอะไรก็ปล่อยเค้า เราก็อยู่ของเรา แล้วหนึ่งในคนที่เป็นภรรยาที่ฉันคุ้นเคยในชีวิตจริง ก็มีความสุขในแบบของเธอ แต่ก็คงมีอีกหลายๆ คู่ที่ดัังแล้วก็แยกวง บางคู่อาจจากกันด้วยดี ละมุนละม่อม บางคู่ขึ้นโรงฟ้องศาล เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ใครก็ใครคงต้องรักตัวเองก่อน เลือกสิ่งที่ดีที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ถ้าสิ่งที่ดีที่สุดมันไปในทางเดียวกันก็ดี แต่หากต้องจบความสัมพันธ์มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก อย่าไปยึดติด อย่าไปกังวลล่วงหน้าซะจนไม่มีความสุขกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต

What will be, will be...

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Gossip Girl ในวันลอยกระทง

วันนี้หลังจากตัดใจเสียเงินค่า Limewire Pro ฉันก็ดาวน์โหลดดู gossip girl season 3 ทั้ง 6 ตอนอย่างหนำใจ ได้ฝึกภาษาอังกฤษแบบเต็มๆ เพราะไม่มี subtitle แล้วเธอรู้มั้ยว่ามันลงท้ายด้วยอะไรที่ฉันขอสรุปว่า destiny ได้ยังไง...

น่าสงสาร... วลีนี้จากคนคนนั้นยังติดอยู่ในใจฉันเรื่อยมา มันคือการแสดงความรู้สึกดูถูกดูแคลนรึเปล่า หรือเป็นเพียงแค่ความเห็นตรงไปตรงมากับข้อความก่อนหน้า มันตีความได้หลายแบบ ความเป็นไปได้มีตั้งหลายทาง คนในโลกหนังสือถึงได้ปัญหามากกว่าโลกธุรกิจในแง่ที่ไม่เข้าใจกันละมัง แต่ในโลกธุรกิจที่ชอบพูดอะไรเคลียร์ๆ ก็ไม่รู้อีกอยู่ดีว่าเจตนาที่แฝงอยู่เป็นไปอย่างที่แสดงออกมารึเปล่า  

เฮ้อ! สรุปว่าพอกัน ไม่ว่าอยู่โลกไหนก็ปวดหัวอยู่ดี 

คราวนี้ฉันดู gossip girl ด้วยความรู้สึกว่า เราจะไม่สามารถเขียนเรื่องให้ตื่นเต้นได้เลยใช่มั้ยถ้าไม่มีเรื่องรัก สับคู่กันไปมา กว่าจะจบนี่ไม่รู้แต่ละคนมีแฟนพันกันไปมาเท่าไหร่แล้ว ไม่เคยเห็นจะวุ่นวายเรื่องเรียน มีแต่ไปปาร์ตี้ แต่งตัว เปลี่ยนเครื่องประดับทุกวัน เฉดการแต่งหน้าก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ประมาณว่าถ้าต้องการดูให้เข้าใจอาจต้องดูซ้ำและจะจับผิดได้ว่าฉากในวันเดียวกัน แต่งหน้า แต่งตัวไม่ตรงอีกซะงั้น

วันนี้ตื่นแต่เช้า ดูแลสวนสวรรค์อันน้อยนิด ดูแลปากท้องตัวเอง ทำกับข้าวอย่างที่ไม่ได้ทำมาตั้งนาน แล้วก็ไม่พ้นติดต่อคนที่พยายามตัดใจอีกจนได้ มีเบอร์โทรศัพท์ของเขาไว้กับตัวอีกแล้ว อย่างนี้จะไม่เรียกว่า โชคชะตาฟ้ากำหนดแล้วจะให้เรียกว่าอะไร...

ฉันกะว่าจะไม่ไปที่ประจำ เพราะฉะนั้นคงไม่เจอ เรื่องติดต่อกันก็คงไม่อยู่แล้ว โลกออนไลน์ฉันก็ตัดซะ รวมทั้งเพื่อนคู่หูคนสนิทที่ไม่รู้ว่าเลยเถิดรึเปล่า ดูเข้าอกเข้าใจกันดีจัง กันภาพบาดตา ภาษาออนไลน์บาดใจ หากไม่ปะเหมาะจริงๆ ก็คงจะไม่มีอะไรสะกิดให้ย้อนนึกถึงคุณคนนี้ได้ง่ายๆ แล้ว แต่ส่วนที่มาแวะเวียนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอันนี้ฉันไม่รู้จะตัดยังไง

ภาพของเขาในความคิดคำนึงไม่เคยหายไปเลย เหมือนเงาตามติดเมื่อยามที่ว่าง สมองไม่ได้จดจ่อกับสิ่งใด ฉันไม่เคยรู้สึกอะไรกับใครมากมายขนาดนี้มาก่อน จะว่าคนที่เคยใกล้ที่สุด รวมเวลาที่คบและทำใจอาจจะมากกว่าคนนี้ แต่ฉันบอกได้เลยว่า คนๆ นี้มัดใจฉันไว้ได้โดยที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย มัดแบบที่ฉันรู้ตัวว่าหมดสิทธิ์ที่จะไปทำความรู้จักคุ้นเคยกับใครใหม่ๆ แม้เมื่อเขายังไม่ว่าง ฉันก็ให้โอกาสตัวเองและคนที่เข้ามา กำลังจะเข้าได้เข้าเข็ม ประมาณว่า เอาวะ ตัดใจเสียเถิด ไม่มีหวังหรอกชาตินี้ 

ที่ไหนได้ ดันมาเกิดเหตุการณ์ทีี่่ไม่มีใครคาดคิด ทันทีที่ฉันรู้ ฉันก็รู้ตัวเลยว่า คนที่ฉันพยายามจะให้โอกาส ตั้งหลักปักฐาน เริ่มชีวิตคู่อีกสักครั้ง ไม่มีความหมายไปในทันที โชคยังดีที่ฉันไม่ได้ให้ความหวังอะไรกับฝ่ายนั้นจนต้องรู้สึกโกรธตัวเองมากนัก

แต่ก็ใช่ว่าฉันจะได้ลงเอยกับเขาคนนี้ แม้เมื่อทั้งคู่ก็ไม่ได้มีพันธะอื่นใด ทำไมใจฉันถึงไม่เคยบอกเลยว่าเขาไม่ได้รักฉัน ทำไมฉันถึงได้มั่นคงกับความรู้สึกที่ว่าฉันเข้าใจเขาอย่างไม่เสื่อมคลายคล้ายกับหลอกตัวเองตลอดเวลา ปฏิเสธ ไม่รับรู้ความจริง 

ฉันเชื่อในสิ่งที่ฉันรู้สึก มันไม่ใช่ความรู้สึกข้างเดียว แม้เขาจะพร่ำปฏิเสธไม่รู้กี่ต่อกี่ครั้ง ฉันก็เข้าใจและรู้ว่าแม้เพียงสองครั้งที่เขากล่าวความในที่มาจากใจจริงๆ มันก็ยังคงเป็นความจริงเสมอมา ฉันไม่แน่ใจว่าเคยมีผู้ชายคนไหนบอกรักฉันรึเปล่า แต่ที่แน่ๆ เขาของฉันบอกโดยที่ฉันไม่ได้ขอ ในเวลาที่ฉันไม่ได้คาดหมาย ในค่ำคืนที่เกิดขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย มันได้ถูกลิขิตไว้แล้ว ทั้งสภาพแวดล้อม การกระทำของฉัน และปฏิกิริยาตอบกลับของเขา

เพราะเหตุการณ์นั้น ฉันหมดข้อกังขาใดๆ ไม่ต้องไขว่คว้า ไม่ต้องตามหา ฉันเจอแล้ว อยู่นี่ อยู่ตรงนี้ ไม่ใกล้ ไม่ไกล เหมือนจะห่างไม่ได้เห็นหน้า แต่เขาไม่เคยห่างไปจากความคิดคำนึงของฉันเลย 

เกือบครึ่งปีแล้วที่ความรู้สึกที่ลงหลักปักฐานไม่แปรเปลี่ยน 

มัดใจ...เป็นเช่นนี้เอง 

และในวันนี้ วันที่ฉันอยากจะให้เกิดภาพในความทรงจำสำคัญอีกครั้ง ฉันจะต้องลงทุนจริงๆ เหรอ หรือเหตุการณ์ต่างๆ จะช่วยนำเขามาใกล้ฉันอีกครั้ง 

ใจนึงฉันก็พยายามหนีเพื่อที่จะตัดใจแต่ก็อดไม่ได้ที่จะหวังลมๆ แล้งๆให้มันเด้งกลับ เพราะเรื่องของเรามันคาราคาซังอยู่ในใจฉันไม่รู้จบ พร้อมๆ กับที่ฉันก็มั่นใจว่ามันก็อยู่ในภาวะที่ไม่แตกต่างกันนักหรอกในใจเขา แม้ภาพสำหรับคนภายนอกที่รับรู้เรื่องราวมาแต่ต้นจะเป็นภาพที่ฉันไม่รู้จักเลิกราอยู่นั่นแหละ

น่าแปลกนะ ผู้หญิงที่หลายๆ คนคิดว่า เลือกใครก็ได้อย่างฉัน ดูจะเป็นทาสเขาอยู่อย่างนี้ตลอดมา หรือฉันต้องเป็นคนที่ make the first move  อีกไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่  ต้องเสี่ยงกับการปฏิเสธอยู่ร่ำไป แม้จะเคยมีครั้งนึงก็เถอะที่เขาตอบรับอย่างที่ฉันไม่คาดคิด 

อีกสองอาทิตย์ก็รู้ว่าฝันของฉันจะเป็นจริงรึเปล่า หรืออีกทีก็หวังลมๆ แล้งๆ ตามที่มีผู้้พยากรณ์ว่าภายในสิ้้นปีนี้ เขาจะกลับมา...