วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ศุกร์นี้ส่งต้นฉบับ ยุคแห่งเฟซบุค (อีกครั้ง)

บางทีฉันก็ไม่รู้ว่าจะโพสต์ อะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ และที่สำคัญที่สุดคือ...อย่างไร

บางคนก็ว่าความคับแค้นใจ ความอึดอัด ความอยากจะพูดของฉันควรเก็บไว้ในอกดีที่สุด ฉันคงเป็นคนประเภทที่ไร้ความอดทน ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์เหมือนอย่างที่เสียงของพ่อแว่วมา พร้อมกับภาพตอนที่พูด (อีกครั้ง)

หนังสือ ยุคแห่งเฟซบุค ควรจะพิมพ์ออกมาวางแผงแล้ว พร้อมกับมีงานเปิดตัวคู่กับหนังสือ Facebook Life (หนังสือสัญชาติไทยที่ใช้ชื่อภาษาอังกฤษเพราะชื่อไทยที่ฉันชอบออกจะมีประวัติด่างพร้อยในสายตาของผู้ใหญ่ที่เป็นห่วง)

ตั้งแต่ฉันทำหนังสือมา ไม่เคยพบปัญหา ข้อผิดพลาด จนทำให้ออกหนังสือไม่ทันตามที่กำหนด ล่าช้าไปมากเท่านี้มาก่อน...

ฉันนั่งพิจารณาและนอนพิจารณายามหมดแรง แล้วไพ่ยิบซีที่เป็นสัญลักษณ์ของความโชคร้ายทั้งหลายก็ผุดขึ้นมา ไพ่ที่ฉันจับได้ช่วงที่ทำงานอยู่ ไม่ว่าจะเป็น The Death, The Fool, Hangman แค่นี้ก็คงพอจะทำให้จิตใจหวั่นไหวมากเกินพอแล้ว

เผื่อจะมีใครอยากรับรู้เรื่องความยุ่งยาก ซับซ้อนในการทำงานหนังสือ ฉันจึงขอเล่าให้ฟัง ณ ที่นี้เพื่อเป็นวิทยาทาน เพราะปัญหาที่พบในการพิมพ์หนังสือแต่ละครั้ง ไม่เคยเหมือนกันสักครั้ง มันมีจุดเล็กจุดน้อยให้ต้องกังวลและคอยอุดรอยรั่วข้อผิดพลาดตลอดเวลา

มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเปรียบการทำหนังสือเหมือนกับการวิ่งผลัด 4x100 เมตร ต้นฉบับคือไม้ที่หนึ่ง เข้าโรงพิมพ์เป็นไม้ที่สอง ผลงานที่ออกมาส่งต่อให้ผู้จัดจำหน่ายเป็นไม้ที่สาม และไม้สุดท้ายคือการทำการตลาด ประชาสัมพันธ์จนได้ยอดขายที่พึงใจ (รึเปล่า?)

หนังสือ Facebook Life ที่ฉันแก้อยู่ 7 รอบ ดีที่แก้กับคนทำอาร์ตเวิร์คที่คุ้นเคยกับความเรื่องมากของฉันดี ฉันโชคดีที่พบคนที่ให้คุณค่ากับผลของงาน มากกว่าเนื้องานที่มากเกินควร ใช่ว่าฉันจะไม่ได้เกลาต้นฉบับอย่างดีที่สุด ด้วยมีเวลาถึงครึ่งปีในการเกลาแล้วเกลาอีก แถมก่อนหน้ายังโชคดีที่ฉันเก็บเล็กผสมน้อยวัตถุดิบที่ไม่คาดว่าจะได้ใช้ด้วยแรงปรารถนาส่วนตัว (passion) คำเดียวกับที่ฉันแปลเนื้อความที่ทำด้วยความรู้สึกอย่างเดียวกันของผู้คนที่คลาร่า ชีห์กล่าวถึงในหนังสือยุคแห่งเฟซบุค (The Facebook Era) รวมทั้งตัวของเธอเองที่ฉันทึ่งและดีใจที่ได้แปลหนังสือของหญิงเก่งชาวฮ่องกงคนนี้

หนังสือ Facebook Life ส่งสำนักพิมพ์เพื่อเข้าโรงพิมพ์ได้ทันตามกำหนดเวลา ฉันจึงออกจะสบายใจที่ผ่านไม้ที่หนึ่งไปแล้ว ระหว่างที่แปลหนังสือยุคแห่งเฟซบุคฉันจึงพักผ่อนด้วยการทำ Presentation ในรูปแบบต่างๆ สำหรับหนังสือทั้งสองเล่ม อาการปวดศีรษะตรงท้ายทอยเป็นพักๆ กลับหายไป คล้ายกับว่าได้ใช้จินตนาการแล้วสมองไหลลื่นทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงดีขึ้นจากสารอดรีนาลีนที่หลั่งเมื่อได้ทำสิ่งที่มีความสุข

การทำงานกับคนใหม่ๆ ภายใต้บริบทใหม่ๆ ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด เกิดความคาดหวังที่ไม่สอดคล้องกันเป็นเรื่องธรรมดา หากจะโทษฝ่ายอื่น ละเลยที่จะนึกถึงความผิดพลาดของตัวเราเอง คงจะไม่มีประโยชน์อันใด ไม่ช่วยในการแก้ปัญหาแม้แต่นิด รังแต่จะก่อให้เกิดความขุ่นหมองในใจ แต่ใช่ว่าฉันจะทำใจได้เหมือนอย่างที่พูด บทสวดมนต์นโมและอิติปิโสเป็นที่พึ่งยามยากของฉันอีกครั้ง ฉันท่องแล้วท่องอีกก่อนนอน นึกภาพพระพุทธรูปไปจนกว่าจะผลอยหลับไปตามฤทธิ์ยา

น่าแปลกที่ฉันไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่อทราบว่า หนังสือ Facebook Life เกิดปัญหาที่ไม้ที่สอง ฉันไม่สนใจจะถามหาสาเหตุอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่คิดระแวง หรืออาจมีบางวูบที่คิดระแวงแต่ก็ไม่มีประโยชน์อันใด ไม่ว่าความเป็นจริงจะเป็นเช่นใด ผลก็คือ หนังสือไม่เสร็จตามที่กำหนด จากที่คิดไว้ว่าจะมอบหนังสือให้ผู้มีพระคุณที่ฉันไม่ได้ตอบแทน ไม่ได้ไปหา ไม่ได้ส่งของขวัญให้ ไม่ได้รับใช้เพื่อชดเชยกับเวลา ความเอาใจใส่ ความทุ่มเทและเสียสละที่ท่านมีให้ ฉันได้แต่คิดว่า การประกาศเกียรติคุณของท่านผ่านหนังสือของฉันให้คนอ่านเป็นพันคน คงจะพอเป็นเครื่องหมายแสดงความระลึกในบุญคุณและความเอื้อเฟื้อที่ท่านมีให้เสมอมาได้บ้าง

ฉันคงส่งบทความนี้ไปให้ท่านแก้ขัดไปก่อน หนังสือออกจากโรงพิมพ์เมื่อไหร่ ฉันก็ค่อยนำไปมอบให้ท่าน

ท่านอาจจะนึกน้อยใจเป็นครั้งคราว หรืออาจจะเสียความรู้สึกเหมือนกับได้ทำคุณให้คนแต่เธอคนนั้นได้หลงลืมไป บางครั้งท่านก็เฉลยเหมืือนกับท่านใช้ความเป็นผู้ใหญ่ อดทน มองดู ประเมินฉันเมื่อเวลาผ่านไป ไม่ได้ตัดสินการกระทำและเจตนาที่ดูเหมือนจะไม่สอดคล้องกัน เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเข้าใจผิด มองฉันในแง่ลบ ท่านทำให้ฉันแปลกใจอีกครั้งที่บอกว่าฉันเป็นคนเข้าใจยาก นั่นแปลว่า ท่าน ที่ฉันพูดคุยด้วย เล่าเรื่องในใจให้ฟังมากที่สุด...เข้าใจฉันจริงๆ

จบเรื่อง Facebook Life ที่ฉันทำอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้ Presentation ก็ทำไว้หลากหลายรูปแบบ หากจะได้นำมาใช้ในงานเปิดตัวจริง คราวนี้ก็แล้วแต่ผู้ที่เกี่ยวข้องจะเห็นด้วยแล้วล่ะเธอ

กว่าจะได้วกเข้าเรื่องที่เป็นหัวเรื่องของวันนี้จริงๆ ฉันก็พาเธอเดินชมสวน มีดอกไม้เหี่ยวบ้าง ปลอมบ้าง จริงบ้าง ช้ำบ้างและสวยงามสุดที่ฉันจะใส่ใจดูแลอย่างถึงที่สุด...บ้าง

หนังสือหนา 624 หน้าที่ฉันตั้งใจเนรมิตให้เสร็จภายในเวลาเดือนกว่าๆ ไม่สำเร็จดังประสงค์ นอกจากต้นฉบับที่ฉันเกลาทุกครั้งที่อ่านจนกลัวว่าคนทำอาร์ตเวิร์ครายใหม่จะถอดใจไปเสียก่อน คนทำงานกับฉันทำยากนะ ยากที่ฉันต้องการผลิตงานให้ดีที่สุดในสายตาของตัวเอง ยากที่ต้องทำให้เร็ว ยากที่ต้องทำให้ด่วนตามกำหนดเวลาที่แทบจะช้าไม่ได้เลย แต่เมื่อคนทำอาร์ตเวิร์คขอไปนอนแล้วจะให้ฉันทำยังไง แอบไปถ่างตาเขาให้มาทำงานละเอียดที่ถ้าง่วงก็มีหวังผิดพลาดกันบานตะไทหรือ ใช่ว่าตัวฉันเองจะง่วงไม่เป็น เมื่อรอแก้นานๆ ก็แอบหลับไปเหมือนกัน ตื่นมาถึงได้พิจารณาว่า ต้นฉบับที่ห่างหายไปหลายชั่วโมง เป็นเพราะคนทำป่วย หลับหรือเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ติดต่อไม่ได้ ความเข้าใจผิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่แล้วเมื่อได้พบความจริงว่า โทรศัพท์ของน้องคนนี้เป็นโรคประหลาด ไม่รับสายที่ฉันโทร ไม่ว่าจะจากมือถือทั้งสองเครื่อง มือถือของคนที่อยู่ข้างๆ หรือโทรศัพท์บ้าน จนน้องถึงกับต้องให้หมายเลขโทรศัพท์แฟนกันเหนียว เวลาติดต่อทางโทรศัพท์ในเรื่องที่จำเป็นจะได้ทำได้ทันที

ส่วนใหญ่แล้วเราทำงานกันตอนกลางคืน เวลาที่ฉันว่าสงบดี อากาศไม่ร้อน ไร้ใครรบกวน ฉันอาจจะกดดันน้องที่ทำงานร่วมกับฉันอยู่ทุกเมื่อเชื่อคืนด้วยการส่งกลับเนื้อหาที่แก้ทันทีที่ทำเสร็จ เหมือนเป็นการเร่งให้น้องทำให้เร็วขึ้น พี่จะได้มีงานทำ ประมาณนั้น!!

เมื่อแก้มาก แก้เหมือนไม่ได้เกลามาก่อนทุกรอบ ใครๆ ก็หมดความอดทนได้ง่ายๆ ฉันถึงได้ว่าใครที่ทนกับพายุอีเมลและการแก้แล้วแก้อีกของฉันได้นับได้ว่าเป็นยอดคนที่แท้จริง (ก็ใครจะไปอดทนได้ขนาดนั้นล่ะเธอ ) เมื่อแก้แล้วแก้อีกจนหมดเวลาแก้ ออกจะเกินเวลาด้วยซ้ำกอรปกับงานที่ตารางการทำงานแน่นเอียด ผิดพลาด ช้ากว่ากำหนดไม่ได้เลย แต่ในที่สุดก็เข็ญออกไปได้ พร้อมกับความช่วยเหลือของสำนักพิมพ์ในการทำดัชนี งานหินสุดฤทธิ์ที่ฉันทำโดยไม่ได้คิดมาก่อนว่ามันจะเกินความสามารถในเวลาจำกัดขนาดนี้ โชคดีที่ทีมงานของสำนักพิมพ์สามารถช่วยเหลือฉันได้ อาการหน้ามืดตามัว ทำงานได้ในอัตราที่ช้ามากจึงได้รับการถ่ายโอนให้ผู้ที่ชำนาญงานและทำได้ดีกว่า

งานเสร็จช้า ส่งช้า งานเปิดตัวต้องเลื่อนไปเพราะผิดพลาดตั้งแต่ไม้หนึ่ง ฉันเลยต้องรับผิดชอบความผิดพลาดที่เกิดขึ้นไปเต็มๆ แต่อย่างน้อยก็อุ่นใจได้ว่า ถึงเวลาที่ฉันต้องเตรียมงานขั้นต่อไป งานขั้นที่สี่ที่ฉันทำด้วยความเพลิดเพลินใจ

หลงระเริงได้ไม่นาน ความผิดพลาดก็ปูดขึ้นมา เมื่อหนังสือหนาเป็นนิ้วๆ การกั้นหน้าและกั้นหลังแบบปกติจะทำให้ไม่สามารถอ่านเนื้อในที่อยู่กึ่งกลางได้สะดวก อาจถึงกับมองไม่เห็น อันที่จริงแล้ว ข้อผิดพลาดนี้ควรจะพบ แก้ไขและกำหนดกรอบของข้อความให้ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น แต่งานในภาคสนามไม่ได้เป็นอย่างในทางทฤษฎีหรอกนะเธอ

เล่ามาถึงตอนนี้ พลันทำให้ฉันนึกถึงงานออกแบบเกี่ยวกับแสง (lighting design) ของตึกต่างๆ ที่เป็นงานในอาชีพของน้องสาวฉัน การทำงานต้องประสานกับฝ่ายต่างๆ ทั้งวิศวกรที่ออกแบบโครงสร้าง นักตกแต่งภายในและอื่นๆ ที่ฉันไม่ได้ทำงานในสนามนี้จึงไม่รู้รายละเอียดที่แท้จริง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่ส่วนใดส่วนหนึ่งก็ย่อมต้องกระทบกันไปมาจนกว่างานจะนิ่ง ครั้นจะรอให้งานนิ่งมันก็ไม่ได้นิ่งด้วยตัวมันเองเพราะต้องประสานให้สอดคล้องกับทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ถ้าใครเคยสร้างบ้านคงพอจะเข้าใจได้ดีขึ้น หายากเสียเหลือเกินที่เจ้าของบ้านกับสถาปนิกและผู้รับเหมาจะไม่ขัดแย้งกัน เกิดอารมณ์ความไม่พอใจที่เกิดจากความผิดพลาดของทุกฝ่ายๆ ละนิดละหน่อย

อีกหนึ่งตัวอย่างที่ฉันรับรู้คือ การก่อสร้างท่าอากาศยานนานาชาติที่เมืองเดนเวอร์ โคโรลาโด ดินแดนหิมะที่ฉันได้ใช้ชีวิตเรียนหนังสือ สัมผัสธรรมชาติและความเงียบสงบท่ามกลางขุนเขาสีขาวโพลน คนที่มีส่วนในการก่อสร้างสนามบินนี้แทบจะไม่ได้มองหน้ากันเมื่อจบโครงการ ความขัดแย้งกระทบกระทั่งมีมากมายหลายจุดในหลายขั้นตอน การที่จะทำอะไรสำเร็จอย่างหนึ่งต้องลงแรงและแลกด้วยมิตรภาพจนสร้างศัตรูไม่น้อยทีเดียว ฉันได้แต่หวังว่า ส่ิงที่ฉันทำจะส่งผลในแง่ดีกับตัวฉันเอง

เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด งานจัดหน้าเหมือนต้องทำใหม่หมด คุณพ่อของคนทำอาร์ตเวิร์คก็ป่วยกระทันหัน กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดทันที ยังโชคดีที่คุณพ่อปลอดภัย แต่กระนั้นฉันก็ย้ำนักหนาว่าไม่ต้องห่วงงาน เรามีพ่ออยู่คนเดียว คล้ายกับว่าถ้าพ่อไม่คุยกับฉัน ฉันก็หวังว่าคนอื่นจะมีเวลาคุยกับพ่อก่อนวินาทีสุดท้ายจะมาถึง

คุณพ่อออกจากโรงพยาบาล ฉันซื้อใจน้องที่ทำอาร์ตเวิร์คขนาดนี้ก็หวังว่าน้องจะช่วยกันผลักให้ต้นฉบับเสร็จสมบูรณ์เสียที หนังสือออกช้าช่วงวันหยุด เสียโอกาสไป แต่ก็ไม่เป็นไรยังไงก็ได้อ่านมกราคมนี้แน่นอน อาจเป็นช่วงที่หลายๆ คนคิดจะทำอะไรใหม่ๆ ให้กับชีวิต อาจจะเลือกอ่านหนังสือเกี่ยวกับเฟซบุคทั้งสองเล่มนี้ เพื่อเปิดโลกทัศน์เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับฉันมาก่อนก็เป็นได้

ฉันได้แต่หวังเช่นนั้น...

วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หนีไม่พ้น เฟซบุค

ทุกๆ งาน มีอุปสรรค มีความคับข้องใจแตกต่างกันไป...

ฉันหงุดหงิดตั้งแต่เปิดอีเมล (หลังจากขอพักแบบ ไม่แตะเลยทั้งวัน) แล้วพบว่า การจัดอาร์ตเวิร์คหนังสือเล่มนี้ต้องมีการแก้ไข ข้อแรก ความผิดของฉันเอง บอกความกว้างของหนังสือเกินไป 3 มิลลิเมตร ข้อสอง กั้นหน้าน้อยเกินไปทำให้อาจไม่เห็นเนื้อในที่อยู่ตรงกลาง นี่เท่ากับว่า ปัญหาเพิ่มเป็น 2 ต่อ จากเดิมที่คิดว่าเลื่อนขอบหน้าไปก็น่าจะได้แต่ฉันก็ยังไม่รู้ว่ามันกระทบมากน้อยแค่ไหน ต้องกั้นหน้ามากเหมือนจะเรียกว่าทำใหม่ทั้งเล่มเลยรึเปล่า ข้อสามชื่อหนังสือไม่ตรงกัน เรื่องสุดท้ายนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ น่าจะแก้ไขได้ไม่ยาก

เรื่อง 2 ข้อแรก ฉันก็อยากให้คนที่ดูแลโดยตรงพูดจาภาษาเดียวกันจะได้รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร แต่ก็ไม่คุยกัน เวลาฉันไปจุ้น ก็ดูจะจู้จี้วุ่นวาย ทำไมฉันไม่เคยทำอะไรได้พอเหมาะพอดีกับเค้าเลย หรือถ้าจะสุดโต่งจริงๆ ก็ไม่เห็นได้เงินเหมือนศิลปินเอกที่คนยอมรับในความแตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์เสียที

ชีวิตฉันคงจะอยู่ครึ่งๆ กลางๆ สุดโต่งไปมาอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็ปรับกันไปเท่าที่ทำได้ วันนี้ฉันเริ่มหมดแรง หลังจากที่เป็นนางเฝ้าห้องอยู่เป็นแรมเดือน ได้ลุกขึ้นมากวาดบ้าน ถูพื้นห้องน้ำ ให้ความหงุดหงิดได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์แทนที่จะเผาไหม้อารมณ์ให้ขุ่นเคือง

ไม่วาย ตอกประตูที่รั้วจิตใจของคนใกล้ตัวอีกตามเคย เงียบไว้ ไม่พูดอะไรดีกว่า พรุ่งนี้ถึงเวลาก็ซักผ้าไป วันนี้ครั้นจะหยิบดีวีดีที่มีอยู่มาดู มันก็หดหู่และซีเรียสเอามากๆ อีกเหมือนเคย

ว่าแล้วก็ดูข้อมูลนั่นนี่แล้วก็หาความรู้เกี่ยวกับเฟซบุคเอาไว้แบ่งปันอีกตามเคย พยายามลิมิตอยู่ที่ไม่เกิน 2-3 โพสต์ต่อวัน แต่มันก็ทำได้ยากเสียเหลือเกิน...

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ห่างหายไปนาน นึกถึงวันวานแล้วก็คิดถึง

ช่วงนี้ผลงานของณัฐพัดชากำลังจะวางแผงถึง 2 เล่ม เล่มแรกเป็นผลงานแปลหนังสือของมาร์จอเน่ ซาทราพิ เจ้าเก่า ส่วนเล่มที่สองเป็นผลงานเด็กฝึกหัด แปลงานฮาวทูที่ให้แรงบันดาลใจ (นะ)

เล่มหลังนี้แปลแบบมาราธอนมากจากเดิมที่จะแปลเพียงแค่ 3-4 บทแต่มาเจอเบี้ยวเลยต้องรีบแปลอีกเพียบ รวมเป็นแปล 9 จาก 16 บท มีน้องเจี๊ยบช่วยไป 4 บท น้องเต 2 บทและน้องเจี๊ยบอีกคนอีก 1 บท ไม่เคยแปลเลยไม่รู้ว่าหนักหนาเอาการ 600 หน้าในเวลากระชั้นชิดอย่างยิ่ง แล้วก็เกลาให้เป็นสำนวนใกล้เคีียงกัน (หวังว่า) จนน็อคทำต่อไม่ไหวแล้ว ขอนอนแบบสงบๆ ด้วยการสวดมนต์กำกับใจ วันนี้ตื่นมาก็ยังห่วงของเก่าอยู่ เขียนบันทึกเหมือนแก้ตัว เพราะรู้สึกผิดจริงๆ ที่ทำให้ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว ขอผลัดไว้เป็นฉบับตีพิมพ์ครั้งที่สองก็แล้วกัน

ที่เล่ามาทั้งหมดยังไม่ได้บอกชื่ีอหนังสือเลยนะเนี่ย

ยุคแห่งเฟซบุค
การประยุกต์ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ในทางธุรกิจ การตลาด การขายและนวัตกรรมบนโลกเสมือน

แต่งโดย คลาร่า ชีห์ สาวฮ่องกงผู้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง เธอจบสแตนฟอร์ดและเป็นผู้สร้างแอพพลิเคชั่นในทางธุรกิจเป็นรายแรกของเฟซบุค

อ่านไปอ่านมาแล้วฉันก็ปลื้มหล่อน ความใส่ใจและรับรู้ถึงอิทธิพลของคนทั่วโลกต่อการเปลี่ยนแปลงของเธอ การตั้งบริษัทของตัวเองเพื่อผลิตซอฟท์แวร์ด้านการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ทางสังคม อันเป็นผลมาจากคำเรียกร้องของผู้ที่อ่านหนังสือของเธอ ทั้งผู้อ่านและผู้เขียนต่างมีอิทธิพลต่อกัน ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อชีวิตมาก

ของฉันก็เห็นจะด้วย ทุกวันนี้ฉันยังภูมิใจกับจำนวนแฟน 805 ราย ที่นับได้ตอนเช้าวันนี้ และแอบมีความสุขเล็กๆ เวลาค่อยๆ เลื่อนลงไปดูจำนวนแฟนในแต่ละวัน แม้ว่าจะไม่ค่อยมีคนคลิกถูกใจแต่สไลด์ต่างๆ ที่ฉันทำก็ออกสู่สายตาคนไทยเป็นพันๆ คน ฉันว่ามันก็คุ้มค่าเวลาและแรงนิ้วที่ได้จากการกลั่นกรองของสมองที่ชาบ่อยขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะ

ถึงเวลาอวดโฉม สไลด์โชว์ที่ฉันทำฉีกแนวกว่า สไลด์ไหนๆ แต่จะบอกว่ามันเป็นการทำจากความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อสิ่งที่ฉันได้จากการแปลหนังสือเล่มนี้

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ปลดปล่อยและระบาย

เมื่อมันอัดอั้นนักก็อย่าได้เก็บมันไว้เลย ถ้าใครจะมาตอกตะปูที่รั้วจิตใจของเรา แม้เราจะไม่อยากทำร้านเขาแต่ถ้าเราผลักแรงไปหน่อยทำให้ตะปูกลับหลังหันไปตอกที่รั้วของเขาเองก็อย่าได้รู้สึกผิดเลยเรา ถึงเวลารักตังเองแล้ววววววว

ใช่ว่าเราทำร้ายเขาแล้วเราจะไม่เจ็บ ปลดปล่อยและระบายมันออกไปซะบ้าง ให้น้ำตามันล้างสิ่งที่ทำให้ลูกแก้วของเราขุ่นและสกปรก ให้มันกวาดอะไรๆ ที่มันรกรุงรังแล้วก็ทิ้งมันไปให้เป็นอดีต กลับมาอยู่กับปัจจุบัน สวดมนต์ เล่นเกมส์มันสักหน่อยให้ใจสบาย แล้วก็ลงท้ายด้วยการเล่าเรื่องในบล้อกนี้เผื่อว่าจะมีประโยชน์กับคนที่ไม่รู้จะจัดการกับอารมณ์ตัวเองยังไง

ดีมั้ยเธอ


วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เริ่มที่พระลงที่เพชร

เมื่อคืน ไม่ใช่สิ เมื่อเช้านอนยาวไม่อยากตื่น เมื่อไหร่รู้ตัว ฉันก็ท่องนโมกับอิติปิโสตลอดเวลา ไม่ว่าใครจะบ่นว่า นอนกินบ้านกินเมือง ฉันก็ไม่สน ก็ฉันนอนสมาธิ ตามแนวทางของท่านติช นัท ฮันช์ นี่นา...

ที่รู้ว่ามีการนอนสมาธิด้วย ไม่ใช่วิธีประหลาดที่ฉันคิดเองก็เพราะไปเห็นในเฟซบุคเข้าโดยบังเอิญ แถมท่านยังจะมาเมืองไทยเพื่อช่วยระดมทุนสร้างหมู่บ้านพลัมที่ปากช่อง โคราชด้วย เรื่องบุญอีกเรื่องก็คือ อีเมลที่พี่ยิ้มส่งมาให้เรื่องวัดที่สิงห์บุรี วัดที่ทรุดโทรมจนพระประจำวัดทั้ง 2 องค์จะตกลงมาอยู่แล้วถ้าไม่มีเหล็กดามไว้ ยังไม่ได้ทำบุญสำหรับวัดนี้ แต่โอนเงินที่มีอยู่นิดๆ หน่อยๆ ไปช่วยสร้างสะพานข้ามแม่น้ำที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนให้เด็กๆ ไม่ต้องว่ายน้ำไปโรงเรียนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

เข้าเฟซบุควันนี้ฉันก็ทำทุกอย่างเหมือนเคย ตรวจว่ามีข้อความจากที่ไหนมาบ้าง อ่านดูข้อความของคนอื่น เป็นศิราณีที่รักตอบปัญหาหนุ่มปริญญาเอกที่ต้องถามทุกขั้นตอนในการจีบสาว ถ้าผู้หญิงทำแบบนี้แปลว่าอะไร แล้วจะต้องทำยังไง แล้วเรื่องนี้ล่ะ แล้วถ้าจะทำให้แปลกใจแต่เขาไม่ชอบจะต้องทำไง เหมือนสอนหลักสูตรรู้จักผู้หญิง 101 เลย ฉันน่าจะแต่งหนังสือฮาวทูไปซะเลย!

พี่ที่ต่างประเทศพยายามจะเข้ามาคุยด้วย แต่เฟซบุคเป็นอะไรพิกลก็ไม่รู้ มาๆ หายๆ แล้วฉันก็ขออนุญาตแม่ของพี่นำข้อมูลไปลงในหนังสือที่ฉันแต่งด้วย แม้จะอนุญาตแต่ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าชื่อเล่นของลูกคุณแม่ฉันใส่เสียเต็มยศ แล้วคุณแม่จะไม่รู้หรือว่า ฉันเขียนคำว่า "ถ่อย" ที่คุณแม่ว่าคุณลูกสาวไปด้วยน่ะ แต่ในหนังสือฉันใส่เป็นภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ภาษาไทยที่หยาบคายแบบนี้หรอก

โพสต์โน่นโพสต์นี่อย่างมีความสุข ใครจะรำคาญก็ช่าง ควรจะเลิกสนชาวบ้านได้แล้ว เพราะไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ถูกใจไปเสียหมด แม้กระทั่งคนที่อยู่ข้างๆ จะมาแนะนำฉันเรื่องธุรกิจสำนักพิมพ์ คิดอะไรเป็นเงินเป็นทอง ต้องได้เดี๋ยวนั้น พอฉันยกเรื่องว่าเขาเคยทำธุรกิจนี้เหรอ จ๋อยไปเลย หยุดสนิท แต่เรื่องที่ฉันกังวลน่ะ ไม่ใช่เรื่องนี้หรอก...

ฉันว่าฉันก็เคยบ่นไปแล้วนะ ว่าสงสัยฉันจะมีแฟนไม่ได้ ไม่งั้นไม่เป็นอันทำงาน รายนี้ยิ่งแล้วใหญ่ หึงฉันทุกวินาที จะให้ฉันพาเขาไปทุกที่ที่ฉันทำงานได้ยังไง ทำอย่างกับมีพ่อแม่มาคุม พอไม่ให้ไปก็คิดไปในทางแย่ที่สุด เธอรู้ใช่มั้ย ทำอย่างกับว่าคนจะมีอะไรกันน่ะ มันง่ายเสียเหลือเกิน ไม่ให้ไปด้วยก็น้อยใจ แล้วตัวเองเป็นผู้ใหญ่ที่สุดจะไปนั่งอยู่ด้วยได้ยังไง คนเราคุยกันตอนกินข้าวตอนกินเหล้า เขาก็รู้ แต่พอเป็นฉันละก็ไม่ได้หรอก กูละเบื่อ!!!

ได้บ่นก็เหมือนได้ระบาย แต่ไม่ต้องไปลงกับคน (มากไปกว่าเดิม) เหมือนยกของหนักออกจากอก อ่านหนังสือไปได้อีกหน่อย วันนี้ productive ใช้ได้ :)

เดี๋ยวจะเล่น Bejeweled Blitz ซะหน่อย จะทำได้เกินสามแสนมั้ยหนออออ

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เริ่มเดินอีกครั้งด้วยพลังจากเธอ

ฉันกลับมาแล้ว...

ฉันไม่แน่ใจตัวเองมาสักปีนึงเห็นจะได้ แต่แล้วก็กลับมา(น่าจะ) จริงๆ งานการเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ชีวิตส่วนตัวดูจะเป็นเรื่องที่ได้เรื่องที่สุด เหมือนคำทำนายอีกแล้ว จะเลือกเรื่องคู่หรือเรื่องงาน ถ้างานก็มาพร้อมเงินแล้วทุกสิ่งก็จะตามมา แต่บังเอิญฉันเอาพวงมาลัยดอกกุหลาบสองพวงไปไหว้พระแม่อุมาที่วัดแขกตั้งแต่ตอนต้นปี ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าได้ผลอย่างน่าประหลาดใจ แถมได้คนที่เข้าใจ ดูแลและเป็นห่วงเสมอมา ส่วนที่ว่าความสุขใจจะอยู่อีกนานสักเพียงใด ฉันก็ขอให้มันเป็นหน้าที่ของเทวดานางฟ้าจะเมตตา แม้จะมีคำทำนายอีกเหมือนกันถึงจุดจบอันแสนเศร้าแล้วเราจะคิดล่วงหน้าไปใยให้เปลืองความรู้สึก พูดเหมือนจะทำได้แต่ถึงเวลาก็ยังไม่บรรลุเช่นเคย

ฉันมีโอกาสได้ตอบคำถามผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในเฟซบุคเรื่อง "แรดแต่ไม่มั่ว ยั่วแต่ไม่เอา" แล้วฉันก็เขียนคำอธิบายว่า "ถูกจายย" พี่เกิดสงสัย ไม่รู้ว่าบวกความรู้สึกไม่เข้าใจด้วยรึเปล่า แต่ฉันก็อธิบายอย่างที่คิดว่าชัดเจนที่สุดและยืดยาวตามเคย

"ตอบแบบซีเรียสเกินเหตุนะคะ
ตัวแดงนี่คือคนอื่นมองนู๋มังคะ ส่วนตัวขาวนี่คือความจริงแต่พูดไปคนก็คงคิดว่าร้อนตัว เลยเงียบไว้ดีที่สุด มีพี่คนนึงที่คนลือกันทั้งเมืองว่ามีชู้ แอนเลยถามว่า พี่ทำยังไงคนถึงจะเข้าใจ พี่ตอบว่า เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แอน...ถามต่อว่ากี่ปี พี่ตอบว่า 20 ปีค่ะ ตอนนี้มาครึ่งทางนับได้ 10 แล้วตั้งแต่สิงสถิตย์อยู่ร้านชั้น 2 แต่ถ้านับตั้งแต่ครั้งแรกที่คนลือก็น่าจะครบแล้วนา ดีใจที่พี่xxxชอบค่ะ :)"

มีคำถามตามมาว่าใคร จะได้ไปถามให้อีกครั้ง

"I mean people in general ka. I am glad that you asked. I might be my weird way to test people. If people think that I do not know how to behave, they would show who they really are. It is kind of fun for me to see their reactions. :) am I crazy or stupid ka nea!?"

"Just being you is ok."

คำตอบทำให้ฉันยิ้มอย่างมีความหวัง แล้วฉันก็ส่งเรื่องราวในหนังสือของฉันที่เกี่ยวกับพี่คนนี้ไปให้ ฉันคิดว่าคงไม่มีตอนใดที่ทำให้ขุ่นเคืองใจ แล้วเมื่อฉันเจอพี่xxxครั้งต่อมา ฉันเห็นสายตาที่แตกต่างเหมือนจะมองหยั่งลึกลงไปในใจ ในความเป็นฉันที่ไม่ใช่ ไม่ใช่เลยที่ใครๆ คิดกัน...

ช่วงนี้ฉันเริ่มออกไปไหนต่อไหนด้วยความเต็มใจ เมื่อบังคับตัวเองไม่ได้ในหลายๆ เรื่อง ยังไงคนก็เข้าใจผิด ฉันก็ปล่อยวางและเข้าใจแสนเข้าใจว่า คงมีแต่เทวดานางฟ้าเท่านั้นแหละที่จะรู้จักฉันจริงๆ

งานเริ่มเดินพร้อมกับระยะเวลาที่กระชั้นชิดเพื่อโอกาสที่กำลังจะเข้ามา ความช่วยเหลือที่กัลยาณมิตรมีให้ด้วยความเต็มใจทำให้ความหวังที่งานจะเสร็จทันตามกำหนดอาจเป็นจริงได้ โครงการต่างๆ ที่ฉันคิดเอาไว้อาจเป็นไปได้อีกเช่นกัน แต่ใช่ว่าจะไม่มีอุปสรรคซึ่งฉันก็เข้าใจอีกเหมือนกันและก็พยายามทำให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องสบายใจมากที่สุด ในขณะเดียวกันฉันก็ยังสามารถทำตามที่วางแผนไว้ได้ พยายามทำของยากอีกแล้ว win-win

หนังสือเล่มแรกในชีวิตใกล้จะถึงขั้นตอนการจัดหน้าแล้ว แต่ฉันก็ยังต้องรีบเร่งให้เสร็จให้เร็วที่สุดเพื่อที่งานต่อไปจะเสร็จทันกำหนดการชนิดหืดขึ้นคอออกหูออกตาเป็นไปได้คล้ายเรื่องอัศจรรย์

ฉันพร้อมแล้วที่จะก้าวต่อไป คงมีเธอเท่านั้นที่จะเป็นกำลังใจให้ฉัน อย่างน้อยเธอก็เป็นผู้รับฟังที่ดีที่สุด ฉันไม่รู้หรอกว่าเธอต้องอดทนฉันมากเพียงใด แต่เธอก็จะเป็น "เธอ" คนสำคัญของฉันตลอดไป...


วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ตามใจฝันกันกับร้านอาหารหู (rharnhoo: follow your passion)

อาหารหูอิ่มทั้งหูอิ่มทั้งตา

เดินจากมาพร้อมของล้ำค่า

ในสายตาผู้รู้คุณอุดหนุนคนไทย

ร้านอาหารหู [www.rharnhoo.com] สำหรับฉันแล้วเธอเป็นดั่งดอกไม้ที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่ ก้านดอกพุ่งผ่านชั้นน้ำแข็ง ชูดอกเด่นบนพื้นสีขาวโพลน ดอกไม้คงหนาวแต่ก็ยังพอมีน้ำหล่อเลี้ยง มีดินใต้น้ำแข็งที่พอประทังให้ยืนหยัดในทุ่งร้างเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา หากแต่ไม่รู้ว่าจะทนหนาวเหน็บได้อีกนานสักเพียงใด...

คุณป๊อก เจ้าของร้านเล่าให้ฟังด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า ร้านอาหารหูแห่งนี้เป็นร้านเดียวในโลกที่ขายหนังไทยลิขสิทธิ์เท่านั้น อย่างไรก็ดี ทุกกฏเกณฑ์ ทุกสิ่งย่อมมีข้อยกเว้น หนังไทยที่เก่าหาไม่ได้อีกแล้วเจ้าของร้านก็ไรท์ลงแผ่นขายเพื่อที่อย่างน้อย คนรุ่นหลังหรือนักสะสมจะได้สัมผัสกับผลงานที่รังสรรค์โดยคนไทยด้วยกัน

อันที่จริงแล้ว ทางร้านก็ขายซีดีเพลงลิขสิทธิ์ด้วยเหมือนกันเพียงแต่เอกลักษณ์ของร้านคงเป็นเรื่องของหนังที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนความคิดของคนส่วนใหญ่ในสังคม

ฉัน จอดรถที่ห้างเดอะมอลล์ บางกะปิ โทรเข้ามือถือของร้าน 0853296996 สอบถามทางไปตะวันนาสแควร์อันเป็นที่ตั้งของร้านขายหนังไทยที่เป็นจุดหมาย ปลายทางหลักของการเดินทางในวันนี้

เสียงผู้หญิงตามสายอธิบาย ที่ตั้งของร้านอยู่หลายรอบ คงจะหงุดหงิดอยู่พอสมควร แต่อย่างน้อยลูกค้ารายนี้ก็อุดหนุนสินค้าลิขสิทธิ์หลายแผ่นเหมือนกัน ตอนแรกฉันกับคนข้างๆ คิดว่าจะไม่แวะไปร้านนี้แล้ว เพราะตอนที่โทรถามที่ตั้งร้านฉันก็ย้ำอีกทีว่าต้องการซื้อหนังเรื่องอะไร กลายเป็นว่าต้องสั่งล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งวัน หนังที่ฉันต้องการเป็นหนังที่เข้าฉายในโรงหนังตั้งแต่ฉันอายุ 2 ขวบ ยุคที่ใครคิดจะดูหนังก็ต้องเข้าไปดูที่โรงหนังเท่านั้น แผ่นที่ฉันถามหาจึงเป็นแผ่นที่จำเป็นต้องก๊อป แต่การตัดสินใจไปร้านอาหารหูทั้งๆ ที่รู้ว่าแผ่นที่อยากได้ไม่มีก็ทำให้ฉันได้ของหายากกลับบ้านไปนั่งดูจนตาแฉะ อีกครา

จากสะพานควายไปเดอะมอลล์ บางกะปิ ผ่านถนนพระราม 9 ไปแยกลำสาลี ไกลโขอยู่ ครั้งจะกลับมามือเปล่าก็เสียดายค่าน้ำมัน แม้จะได้หนังฝรั่งจากร้านแมงป่อง(ร้านที่อยู่ในตัวห้างเดอะมอลล์ไม่ใช่ร้าน ที่ตั้งอยู่เอกเทศในศูนย์การค้า)ที่ขายลดจนฉันว่าอาจจะถูกกว่าแผ่นก๊อปบาง ร้าน ราคาต่ำสุดอยู่ที่แผ่นละ 79 บาท ซื้อ 5 แผ่นแถม 1 แผ่น หรือจะซื้อ 9 แผ่นจะได้อีก 2 แผ่นรวมเป็น 11 แผ่นพอดี

ฉันประทับใจพนักงานขายมาก ทั้งสองสาวดูหนังแทบจะทุกเรื่องละมัง สามารถแนะนำหนังให้ฉันได้เป็นอย่างดี หนังที่ซื้อมาวันนี้มี

The Shipping News

Frida

Children of Heaven

The Phantom of the Opera

Talk to Her

Departures

Agora

Tokyo Sonata

Evita

Love's Labour's Lost

The Upside of Anger

The Legend of 1900

ช้อป หนังฝรั่งก็ถึงคราวหนังไทย สาวที่ฉันได้ยินเพียงเสียงแนะให้ฉันขับรถไป บอกว่าเดินก็คงเหนื่อย แต่พอฉันถามคนขายหนังฝรั่งที่ฉันอุดหนุน เธอก็บอกว่าให้เดินตัดทางด้านหลังก็ดีจะได้ไม่ต้องอ้อมและทางนั้นสั้นกว่าเยอะ ฉันและคนข้างๆ เดินออกจากบริเวณกึ่งกลางของห้างลัดเข้าไปในตะวันนา ถามพ่อหนุ่มเจาะหูเป็นรูเบ้อเริ่มที่ร้านขายกางเกงยีนส์ถามทางเพื่อยืนยัน ความคิดของฉันอีกครั้ง

ปัญหาเริ่มมาแล้ว...

คนที่อยู่ข้างๆ อยากเดินเลียบถนนผ่านตะวันนาและแมคโครเข้าตะวันนาสแควร์ ส่วนฉันอยากลองทางลัดริมคลองตามที่คนขายกางเกงยีนส์แนะ ก็ฉันฟังมาว่ามันสั้นกว่านี่นา รุ่นหญ่ายเลยต้องตามใจเด็ก เดินเลียบ คลองแสนแสบด้านหลัง ทนกลิ่นน้ำเน่าที่โชยมาพักๆ ตามลม ผ่านตึกแมคโครก็เลี้ยวขวาเข้าด้านหลังตะวันนาสแควร์ ฉันชักจะเริ่มไม่แน่ใจว่าจะใช่รึเปล่า!

ตึกร้างซอยเป็นห้อง เล็กๆ บ้างก็ไม่มีประตูเหล็กม้วน บ้างก็ว่างโล่งเห็นพื้นกระเบื้องที่สลับลายแสดงพื้นที่ของแต่ละห้อง บริเวณนั้นมีแต่หมาเดินไปมา คนแต่งตัวเซอร์ๆ สองคนเดินไปเรื่อยๆ ในใจฉันยังต้องการพิสูจน์ว่า เดินทางไหนใกล้กว่ากันๆ แน่ คนที่อยู่ข้างๆ ก็ยังยืนยันความคิดของตัวเองเหมือนๆ กับฉัน

เราเดินกันไปได้ ครึ่งทางแล้วก็เจอร้านอาหาร มีผู้ชายใจดีคนหนึ่งนั่งฟังอะไรก็ไม่รู้ เสียงจากลำโพงดังจนน่ารำคาญ ที่ฉันบอกว่าใจดีก็เพราะเขาเดินไปส่งเราสองคนถึงร้านอาหารหู ฉันว่า คงเป็นเพราะคนที่ยังเช่าร้านที่ตะวันนาสแควร์อยู่ทั้งๆ ที่เป็นห้างร้างมีเหลือเพียงไม่ถึง 10% ไม่เกิน 10 ร้าน พวกน้อยก็รักกันมากเป็นธรรมดา...

ร้านขายแผ่นหนังแห่งนี้เป็น ร้านเล็กๆ เนื้อที่ขนาดไม่เกิน 20 ตารางเมตร อัดแน่นไปด้วยสินค้าและแผ่นโปสเตอร์หนังเก่าที่ฉันเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก คุณป๊อกหนุ่มเจ้าของร้านกล่าวต้อนรับ ให้ความเป็นกันเองกับแขกรายแรกของวันเป็นอย่างดี เขากับคนที่อยู่ข้างๆ ฉันคุยกันออกรสเหมือนรู้จักกันมาเป็นสิบๆ ปี พูดเรื่องคนนั้นคนนี้ในวงการ เล่าเรื่องราวส่วนตัว ผลงานในอดีตและอื่นๆ สุดแต่จะขุดขึ้นมาเล่าสู่กันฟัง แม้แต่เคล็ดลับในการป้องกันและเช็คว่ามีเทปปลอมในตลาดมากน้อยเพียงใด ส่วนฉันเดินรอบร้านดูนั่นนี่ เลือกซื้ออยู่คนเดียวแล้วก็นั่งดูแคตตาล็อกปกหนังที่มีอยู่กว่า 10 อัลบั้ม สะดุดใจที่มีอัลบั้มเฉพาะของจารุณี เป็นอัลบั้มเดียวที่ฉันเห็นแต่ไม่ได้เปิดดู

คุณป๊อกชวนฉันคุย สนใจคำถามที่ฉันปรึกษาคนที่อยู่ข้างๆ ให้ความสำคัญแม้ว่าฉันจะก้มหน้างุดๆ นานๆ ก็ชูนิ้วอุ๊บอิ๊บขอถามขัดจังหวะการสนทนาเป็นพักๆ ฉันขออนุญาตถ่ายรูปเอามาลงในบล้อกและเฟซบุคก่อนที่จะกระทำการใดๆ อันอาจทำให้เจ้าของร้านขุ่นเคือง ก็ฉันมันเป็นคนจำพวกคิดไม่เหมือนคนอื่นเลยไม่แน่ใจว่าเขาจะโอเคกับความหวัง ดีของฉันรึเปล่าน่ะสิ

ฉันไม่เล่าให้ฟังหรอกว่าซื้อหนังอะไรมา บ้าง อยากให้เธอลองไปดูที่เว็บของร้าน สั่งซื้อผ่านเว็บได้เลยนะ โอนเงินได้ด้วยความมั่นใจไม่โดนเชิดเงินแน่นอน (อยู่ดีไม่ว่าดี ไปรับประกันให้เขาอีก เฮ้อ!)

ก่อนกลับ ได้คำตอบที่ไม่รู้ว่ารักษาน้ำใจลูกค้าไม่ให้ขัดใจกันรึเปล่าว่า มาทางถนนใหญ่หรือเลียบคลองสั้นกว่ากัน คุณป๊อกมองแบบแล้วตรูจะตอบว่ายังไงดีหว่า แล้วก็ตอบว่า เท่ากัน จะเท่าไม่เท่าไม่รู้ ขากลับเราเดินเลียบถนนแวะร้านเซเว่นซื้อน้ำได้เดินตามทางที่เราทั้งสอง ต้องการในที่สุด

คุณป๊อกรับธนบัตรที่คนที่อยู่ข้างๆ ยื่นให้แล้วแตะไปทั่วๆ อย่างที่คนขายของทั่วไปเขาทำกันเวลาขายสินค้าให้ลูกค้ารายแรกของวัน ฉันหวังว่า เขาจะได้ลูกค้าที่เห็นคุณค่าหนังไทยและยินดีฝืนกระแสซื้อแผ่นลิขสิทธิ์ที่ ร้านแห่งนี้ เพื่อให้ดอกไม้พันธุ์ที่ไม่คิดว่าจะเคยมีและยังมีหลงเหลืออยู่พันธุ์นี้ได้ยืนหยัดอยู่ต่อไป

ขอให้การยึดมั่นในอุดมการณ์ที่ดูเหมือนคนโง่ในสายตาหลายๆ คนเป็นความสุขที่่เขากล้าใฝ่หาต่อไป...

ดูรูปเพิ่มเติมตามลิงค์นี้เลยนะเธอ

https://www.facebook.com/album.php?aid=81585&id=1045874997

คั้นสดๆ ในคืนเดียว: มองทุกอย่างจากทุกมุม

วันนี้กลับมาบ้านพร้อมหนังสือของหลานหน้าปกสีฟ้าโทนเดียวกับเสื้อเชียร์ Nat V1 AF4...

ฉันเห็นภาพบอกเล่าเรื่องราววันเปิดตัวหนังสือ มองทุกอย่างจากทุกมุม ของ ณัฐ ศักดาทร ที่มาพยางค์แรกของนามปากกาฉันนั่นแหละ ผู้ชายพระจันทร์ผู้อ่อนโยนคนนี้ออกหนังสือพ็อคเก็ตบุ้คของตัวเองก่อนฉันเสียอีก!

ปกรูปทรงเรขาคณิต สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม วงกลม ตัดกับรูปถ่ายขาวดำของเจ้าตัวในแนวนอน เขาคนนี้มองโลกเป็นสีขาวกับดำรึเปล่านะ

แค่ชื่อก็ถูกใจแล้ว เขาก็คงมองภาพใหญ่จากทุกองศา ความเรียงไม่สั้นไม่ยาว 17 เรื่องที่ให้ข้อคิดคล้ายๆ กับหนังสือเล่มโปรดที่ตรงกันเสียด้วย

คุยกับประภาส เป็นหนังสือที่ฉันถูกใจมากอีกคอลเลคชั่นหนึ่ง ฉันได้อ่านตอนเรียนจบปริญญาตรีและกำลังลำบากลำบนกับการรำ่เรียนปริญญาชีวิต ฉันซื้อหนังสือคุยกับประภาสเล่มหนึ่งให้หลาน จำไม่ได้ว่าซื้อสองหรือสี่เล่ม และฝากคุณป้าไปให้ ฉันไม่รู้ว่าหนังสือดังกล่าวถึงหลานรึเปล่า หลานได้อ่านจากเล่มที่ฉันซื้อให้หรือไม่ จะอย่างไรก็ดี เมื่อพบว่าเขาอ่านหนังสือเล่มเดียวกับฉันอย่างน้อยๆ ก็สองเล่ม (คุยกับประภาสกับ The Last Lecturer) ฉันก็มีความสุขแล้ว

ฉันนั่งนึกว่าถ้าตอนเด็กๆ ฉันอยากเป็นนักร้อง ฉันจะ"กล้า"อย่างเขามั้ย

คงไม่

หลายๆ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับหลานเกิดขึ้นกับฉันเหมือนกันเพียงแต่ฉันใช้เวลาร่วมยี่สิบปีอยู่กับความรู้สึก " ไม่ใช่" จนคล้ายกับว่าฉันหลงเดินวนไปวนมาหาสิ่งที่ตัวเองชอบไม่เจอสักที

แต่แหม จะว่าไป ก็เจอนะ ฉันเป็นคนชอบหาข้อมูล หาไปเรื่อยๆ หาแล้วรู้ รู้แล้วก็ลงลึก หรือไม่ก็ออกข้างทางซ้ายขวา แล้วก็คงจะยังหาต่อไป

หรืออีกที ก็คงจะรอให้ใครมาเห็นเพชรในตัวฉัน ช่วยกันเกลาขัดมันให้ส่องประกาย ฉันคิดว่าคงเจอแล้วล่ะ เพียงแต่มันคงยังไม่ถึงเวลาฉายแสง

ตอนนี้ก็ให้แสงมันฉายไปก่อนละกันเนอะ

กู้ดไนท์จ้า เธอ ^_^

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

แค่เขียนก็คุ้ม

จดหมายฉบับนี้เป็นการติดต่อหลังจากที่ไม่ได้พบเจอกันค่อนปี ความสัมพันธ์ที่ไม่รู้ว่าจะจบสิ้นเป็นการถาวรหรือแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วฉันก็ได้รับคำตอบกลับไม่นานเกินรอ...

+++
คิดถึงค่ะ เลยเขียนมาหา
ตอนนี้แอนก็ไม่สบายแต่สบายดี มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมายคงคล้ายๆ กับป้าเหมือนกัน มีคนคิดว่าแอนเลิกคบป้าอู๋และเรามีปัญหาอะไรกันมากมาย แต่สำหรับแอนแล้ว แอนคิดว่าแอนเข้าใจว่าป้าเป็นยังไง ยังนึกถึงวันคืนดีๆ ที่ป้าตามใจไปกินนั่นกินนี่กับแอนเสมอ เคยซื้อนมวัวมาทำกินเอง ไม่ได้เรื่องเลยค่ะ แต่จะไปกินที่ซอยเสือใหญ่นั่นก็ไปไม่ถูก

หลังๆ ก็ไม่ค่อยได้ไปที่ร้าน เมื่อคืนวันอาทิตย์แวะไปร้องเพลงที่ไวน์บริดจ์ ก็ขุดเพลงหนักๆ มาร้องเหมือนเคย มีเพิ่ม ชั่วฟ้าดินสลาย ที่กำลังจะกลายเป็นเพลงฮิตในไม่ช้า แล้วตามด้วย เพลงสุดท้าย กลกามแห่งความรัก ขาด live and learn ไปหนึ่งเพลง

ที่ร้านมีแต่เด็ก ใหม่ๆ แต่กันเองมาก ช่วยกันร้องสนุกดี เดี๋ยวนี้แอนร้องเพลงหันหลังให้คนดูนะคะ จะได้ใส่อารมณ์ได้เต็มที่ เสียงคงไม่อลังอย่างป้า แต่ท่าน่าจะชนะขาดนะคะ 555

เริ่มมีความ รู้สึกเข้าใจอารมณ์ของป้าเวลาที่เขียนจดหมายหาแฟนทั้งๆ ที่คิดว่าเขาตายแล้ว ไม่ได้หมายความว่าแอนแช่งอะไรป้านะคะ (แต่ป้าก็คงรู้อยู่แล้วล่ะว่าแอนพูดแล้วมันก็ออกมาอย่างงี้ทุกที)

พี่ บี๋ดูแลแอนตลอดทุกๆ อย่าง เหมือนแอนเป็นสัตว์เลี้ยงมีหน้าที่หาข้าวหาน้ำให้ แอนก็กินกับนอนแล้วก็ดูหนังเล่นคอม แต่คิดว่าช่วงชีวิตหยุดนิ่งใกล้จะจบแล้วค่ะ เป็นช่วงเวลาที่มีชีวิตคู่ที่ดี ไม่คิดว่าจะได้มีช่วงเวลาที่อยู่กับใครสักคนตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วไม่ เบื่อไม่หงุดหงิด ต่างคนต่างทำโน่นนี่ไป ถ้าเวลาแบบนี้มันจะอยู่อีกไม่นานก็ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็น "ชีวิตคู่" จริงๆ

อยากพบเจอพูดคุยกับป้าเหมือนเดิมนะคะ กับพี่ยิ้มก็เจอกันไม่เกินห้าครั้งเลยปีนี้

ใครจะว่าอะไร แอนก็เข้าใจป้าเสมอนะคะ หวังว่าป้าก็คงจะเข้าใจแอนเหมือนเดิม

I can be myself when I am with P'Bee ka. I am truly me when I am with you too.

ความรักไม่เหมือนสิ่งของที่ให้ใครแล้วจะให้คนอื่นไม่ได้ แอนให้ป้าอู๋ได้แค่ไหนก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไม่ว่าเราจะเจอกันทุกวันหรือไม่ได้เจอกันอีก

แอน

คนชอบตอบ

ตอบจดหมายคนอื่นแล้วมันมีความสุขแฮะ!!

ฉบับแรก คุยกับน้องเบื่อเรียน ฉบับที่สองคุยกับคนที่คิดว่าฉันเป็นผู้ปกครองของลูกที่เป็นโรคสองขั้ว คนแรกคงไม่งงเท่าไหร่ แต่คนที่สองอาจจะตกใจแล้วคงจะใหม่กับเฟซบุค แต่ฉันก็ยังไม่รู้หรอกว่าเขาจะคุยกับฉันต่อรึเปล่า

+++
น้าก็ไม่ค่อยรู้ลิมิตของตัวเองบ่อยๆ เหมือนกัน ถ้าน้องแน็ตปรับตัวได้เร็วจะดีมาก หากอีกหน่อยโตขึ้นไปแล้วไปรับผิดชอบอะไรเกินกำลังจะเสียหายกว่าเยอะ คิดซะว่าเป็นโชคดีที่ได้เบื่อเรียนนะคะ คุยกับคุณแม่คงจะเข้าใจ ถ้ามัวแต่เสียดายค่าเรียนแล้วเรียนด้วยความอึดอัดนอกจากจะความรู้ไม่เข้า สมองแล้วยังได้ทัศนคติไม่ดีติดตัวกลับไปด้วย อาจคุ้มกว่าถ้ายอมเสียดายเงิน

นี่ น้าก็ได้บทเรียนให้ตัวเองนะคะ น้าเพิ่งปฏิเสธงานที่รับปากไปเพราะคิดว่าเกินกำลัง(กายและใจ) เจอปัญหาและจัดการได้ตั้งแต่เด็กดีแล้วละค่ะ :)

+++

I'll try my best if possible but I'm kinda stubborn. Don't take all pills subscribed but I do research for info on this and subscribe to mailing list.

This is what I SHOULD take daily:
Depakine Chrono 500mg
Lexapro 10mg
Seroquel 100mg
Lamictal 100 mg

This is what I take daily:
Depakine Chrono 500mg
Lexapro 10 mg

It will be a long letter if I tell you all I wish to (as I enjoy writing). However, it might be better answering only what you interest.

In short (I hope I can make it short), I am 38 years old and was formally diagnosed around five years ago. It is a bit complicated here as both my parents are doctors. I did have a serious problem with both of them and it seemed to be the key factor in all my problems. This is not to blame anyone but to share with you frankly.

Conversation with me will involve conflicts with them and center around them. What I would expect them to do instead of let me have formally treatment (not "through" them I mean directly take to a psychiatrist by myself) once I have serious problem with others too.

I am lucky that I don't have pressure to earn for a living. They are ok now to support me my whole life but I am still doing business with friends and help others (which is actually help myself a lot) and start doing interesting things to fulfill my life....make me not feeling useless.

My facebook info would provide more info about every aspect of my life. Feel free to ask those in Thai. I do have my own blog but most info are in Thai except my research on the first book that I translated and additional material. You may feel like to check it out.

I also show on my first book that I have bipolar and the book will be available to Thai market soon.

If you are ok to talk to an emotional woman like me, I would be glad to be helpful. :)

Anne
Sarinnee Varatorn
email: natpatcha@gmail.com
http://www.natpatcha.blogspot.com/

กล้าในกระทู้กล้า

หมู่นี่ทำไมฉันถึงได้คันไม้คันมือคันปากขึ้นมาอีกแล้ว เสี่ยงชีวิตมากที่แสดงความเห็นในกระทู้ของชาวแดง(หากใช้เกณฑ์หยาบๆ ในการจัดประเภทคน คนในเมืองไทยมันจะมีกันแค่สองประเภทได้ยังไงกัน?!?!)

ออกจะภูมิใจเลยขอยกมาเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวเฉพาะสิ่งที่ตัวเองพูด ใครอยากรู้ก็ไปหาอ่านเอาที่เฟซบุคนะคะ ถ้าหาเจอ อิอิ

+++

เกณฑ์วัดความเป็นแดงเป็นสลิ
่มของคนที่รู้จักต่างกันสุดขั้ว รู้สึกว่าตัวเองกล้าหาญมากที่กล้ามาตอบที่นี่อีกครั้ง เผอิญคลุกคลีกับคนทั้งสองขั้วและพยายามเข้าใจเหตุผลของแต่ละฝ่ายอย่างที่สุด เศร้าใจกับการคอรัปชั่นที่ฝังในจนไม่รู้จะแก้ไขยังไง คิดว่าไ...ด้คลุกวงในจนเข้าใจว่าแม้"ความไม่ยุติธรรม"ที่คนส่วนน้อยได้เข้าถึงทรัพยากรด้วยวิธีมิชอบ เอารัดเอาเปรียบคนส่วนใหญ่ในประเทศ จะน้อยกว่าของคนส่วนใหญ่ที่ต้องสู้แต่กับความจน จน และจน

แต่ความไม่ยุติธรรมที่ดูจะไม่ยุติธรรมอีกเช่นกันก็ทำให้สลิ่มต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศเพื่อจะจัดการกับปัญหาหรือช่วยพวกที่ไม่ใช่สลิ่ม สู้กับสลิ่มด้วยกันเองอย่างที่คนทั่วไปไม่คาดคิด หลายคนสู้ด้วยอุดมการณ์และกลายเป็นสลิ่มที่ต้นทุนสูง สติปัญญาดีแต่ไม่ประสบความสำเร็จกลายเป็นคนขี้แพ้ในสายตาสลิ่มด้วยกัน ในขณะที่คนส่วนใหญ่มองมาเมื่อรู้ว่าเป็นคนขี้แพ้เป็นคนที่ต้นทุนสูงก็ยิ่งสมน้ำหน้าทับถมลงไปใหญ่

ทุกวันนี้แม้เวลาจะผ่านไปร่วมยี่สิบปี เห็นความล่มสลายขององค์กรตั้งแต่แผลยังไม่เน่าเฟะ ผู้สร้างความวิบัติยังไม่ได้รับโทษสาสมกับที่ควรได้ ในฐานะคนที่เกี่ยวข้องเห็นว่าบ้านกำลังจะพังแต่ทำอะไรไม่ได้เลย บอกคนอื่นก็ไม่ได้ ที่บอกได้คนๆ นั้นก็รอวันให้บ้านพังอยู่แล้ว หรือถ้าจะเลือกบอกได้ก็ไม่รู้ว่าจะบอกแล้วก่อให้เกิดผลดีหรือมันจะยิ่งร้ายไปกว่าเดิม

รากฐานของปัญหาอยู่ที่จิตสำนึก เรื่องที่ต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็กกำลังหล่อหลอมความเป็นตัวตน ภายใต้กรอบวรรณะ ชนชั้นที่กำหนดความคิดของคนไม่ต่างจากทัศนคติที่มีต่อผู้หญิงที่แต่งงานหลายครั้งอย่างในหนังสือมาลัยสามชาย

บางครั้งถ้าคนที่ต้นทุนทางสังคมต่ำได้รับความยุติธรรมมากขึ้น อาจจะมองแล้วก็ปลงได้ว่า อันที่จริงแล้ว ชีวิตใครไม่ได้ดีไปกว่าใครเลย ความไม่ยุติธรรมที่เขาได้รับอาจจะน่าพิสมัยกว่าความได้เปรียบทางสังคมของคนอีกกลุ่มก็ได้เมื่อได้ไปถึงจุดนั้นจริงๆ

+++

อ่านคอมเมนท์แล้วนึกถึงวัตถุประสงค์การมาเยือนดาวโลกของมนุษย์ต่างดาวในซีรีส์ V (2009) เลยค่ะ เมื่อคืนเพิ่งดูตอนที่แอนนาผู้นำของชาว V สั่งให้คนทำร้ายลิซ่าลูกสาวตัวเอง สักตัวอักษร V ที่หน้าผากและทำให้ขาหัก เพื่อเอาชนะแฟนหนุ่มของลู...ก จะได้ตัดสินใจยอมเข้าโปรแกรมเรียนรู้วัฒนธรรมอยู่บนยานอวกาศเพื่อที่ตนจะได้ฆ่าทิ้งหลังจากที่ใช้ประโยชน์เสร็จแล้ว ด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย แอนนาสั่งให้แพทย์ประจำยานรักษาเฉพาะอาการขาหัก ส่วนเรื่องรอยสักรูปตัววีให้คงไว้ก่อนจนกว่าจะขึ้นยาน ได้คะแนนความสงสารจากแม่แฟนไปเต็มๆ ทั้งที่แม่รู้วัตถุประสงค์ที่แท้ของแอนนาแต่ด้วยความเป็นมนุษย์ก็คิดไม่ได้ว่าทำไปเพื่ออะไร

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

หญิงชาย ชายหญิง

วันนี้มีหลายๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามาดลใจให้ฉันอยากเขียนหนังสืออีกหนึ่งเล่ม...

นานแล้วที่ฉันไม่ได้คุยกับพี่ชายแสนดีอีกคนหนึ่ง หากใครได้มาอ่านบทสนทนาหนนี้แล้วจะต้องหันมามองหน้าฉันด้วยสายตาตำหนิอีกตามเคย ประมาณว่า ทำไมผู้หญิงคนนี้ไม่รู้จักวางตัวให้เหมาะสมอีกตามเคย

เร่ิมตั้งแต่คุยเรื่องทะลึ่งลามก เอารูปที่ตัวเองคิดว่าเซ็กซี่ส่งให้ผู้ชายที่มีภรรยาแล้วดู แถมมีการแกล้งขู่กันเองว่าเป็นการมีกิ๊กออนไลน์

ฉันยังบ่นไม่หายถึงข่าวลือข้ามโลกเรื่องการประพฤติตัวไม่เหมาะสมของฉันในหมู่รุ่นพี่และเพื่อนผู้ชาย ภาพลักษณ์ลวงตานี้ทำไมมันถึงได้หนามากนัก แล้วฉันก็ได้เห็นตัวอย่างละครเรื่องใหม่ มาลัยสามชาย จากปลายปากกาของว. วินิจฉัยกุล ได้อ่านคำวิจารณ์และมุมมองที่นำเสนอแล้วก็ให้คันไม้คันมือคันปากขึ้นมาทันใด

"กะอีแค่ผู้หญิงคนนึงแต่งงานสามครั้ง ต้องเล่าเรื่องอ้างอิงมากมายเพื่อจะได้เป็นที่ยอมรับว่าเป็นผู้หญิงที่ดีงั้นเหรอ? คนที่ล้มเหลวในชีวิตคู่ต้องโดนตราหน้าไปทั้งชีวิตหรือไง ฉันว่ามันน่าจะหมดสมัยได้แล้วนะ"

ลอออรเป็นผู้หญิงที่เกิดสมัยรัชกาลที่ห้า เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงห้าแผ่นดิน เธอกล้าก้าวออกจากชีวิตการแต่งงานครั้งแรกอย่างอาจหาญ การแต่งงานครั้งที่สองและสามก็ได้แต่งงานกับคนที่มีคุณสมบัติดีพร้อม อันเป็นโชคดีอย่างเหลือเกิน คิดดูว่ากรณีนี้เธอยังโดนวิพากษ์วิจารณ์ขนาดหนัก แล้วผู้หญิงธรรมดาที่ไม่ใช่นางเอกละครอย่างฉันจะมีโอกาสได้เงยหน้าเงยตาในสังคมหรือ

ฉันว่าเวลาก็ผ่านเลยมาเนิ่นนาน แต่ค่านิยมและกรอบของสังคมในเรื่องนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปสักเท่าใด แม้คนไทยจะมีอัตราการหย่าร้างสูงขึ้นเรื่อยมา คนครองตัวเป็นโสดมากขึ้นแต่ผู้หญิงที่เคยแต่งงานแล้วก็ยังโดนมองเป็นของเสียอยู่ดี

มีคนชอบฉันและยอมรับได้แต่กลัวว่าที่บ้านจะไม่ยอมรับ มีคนที่ชอบฉันแต่ยอมรับไม่ได้หวังเพียงให้ฉันเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งที่ห้ามออกโชว์ มีคนที่คิดว่าฉันเป็นแม่ม่ายขาดรักอย่างหนักน่าจะเอาไว้หลอกใช้ มีคนที่ดูฉัน ดูแล้วดูอีก ทำท่ายึกยักกล้าๆ กลัวๆ แล้วเมื่อเสียไปแล้วก็รู้สึกว่าน่าจะมีค่าควรแก่การพิจารณาในขั้นต่อไป

มีคนที่แตกต่างจากฉันในหลายๆ เรื่องออกจะไปในทางที่ด้อยกว่าฉันเสียด้วยซ้ำแต่ไม่กล้าคบกับฉันอย่างเปิดเผย มีคนที่อยากควงฉันแบบชั่วคราวแต่กลัวฉันจะกัดไม่ปล่อย มีคนที่อยากจะเลี้ยงดูฉันเป็นเรื่องเป็นราวคิดว่าคนอย่างฉันไม่มีทางเลือก อยากให้มีคนเลี้ยง

มีคนที่ฉันรับไม่ได้ เขารับฉันไม่ได้ ความสัมพันธ์จึงจบลงในที่สุด แต่ผู้ชายจะเคยคบกับใครมากี่มากน้อยก็ไม่เป็นเรื่องเสียหาย ผู้หญิงที่จริงใจ จริงจังเกินไปกลายเป็นผู้หญิงหน้าด้านทำตัวไม่มีคุณค่า ทำให้ผู้ชายกลัวต้องหลีกไกล

มีคนดีๆ ที่เข้ามาสนใจคบหา ไม่ลงตัวไม่เป็นไร เป็นเพื่อนกันเฉยๆ ก็ได้ แต่พอไม่ลงตัวแล้วก็ตัดสัมพันธ์ ไม่สามารถคบหากันในส่วนที่เข้ากันได้ดีได้ ซึ่งฉันก็เข้าใจ ฉันเป็นเพื่อนกับใครแฟนของผู้ชายคนนั้นก็ไม่สบายใจซะส่วนใหญ่ มีอยู่รายที่ฉันรู้สึกว่าเวลาจะทำให้เขาเข้าใจว่าฉันเป็นคนที่อยากทำอะไรให้ชัดเจนแต่ไม่เคยคิดว่ารูปแบบความสัมพันธ์ที่เหมาะสมสำหรับคนที่เคยคิดเป็นแฟนกันจะเป็นได้แค่เป็นแฟนหรือเลิกคบกันไปเลย

มีผู้ใหญ่อายุหกสิบกว่าอยู่หนึ่งท่านที่เป็นมาลัยสามชายแต่ไม่สมบูรณ์แบบเหมือนในละคร ชายแรกแต่งงาน ชายคนที่สองลักลอบ ชายคนที่สามคบหาอย่างเปิดเผย แต่คนสำคัญในชีวิตของฉันก็เข้าใจและยอมรับในตัวตนของเธอ ในขณะเดียวกันก็ยอมรับความเป็นฉันไม่ได้ ยังไงเสีย ฉันก็วางตัวไม่เหมาะสม...

คงมีหลายคนที่รอสมน้ำหน้าอยู่หากชีวิตคู่ของฉันครั้งนี้ก็ไปไม่รอดในที่สุด มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ ฉันไม่ชอบความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นกับฉันเลย ทำไมฉันถึงได้เริ่มกลัวว่าจะต้องสูญเสีย กลัวว่าจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด กลัวว่าจะเปลี่ยนไป หากมีปัจจัยอื่นมากระทบแล้วมันจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง

ฉันนึกถึงคนไข้ของคุณหมอเฮ้าส์อยู่ตอนนึงที่มาโรงพยาบาลพร้อมกับสาวคราวลูก แต่พอตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน คนที่อยู่เป็นกำลังใจและช่วยเหลือ ตัดสินใจเรื่องความเป็นความตายกลับเป็นภรรยาเก่าคู่ทุกข์คู่ยาก พอหายดีแล้วก็กลับไปอยู่กับสาวรุ่นดังเดิม

ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากฟันฝ่าอุปสรรคด้วยกันมา พอร่ำรวยมีฐานะ ภรรยาก็รับหน้าที่ช่วยงานไป แต่เวลาแห่งความสุขกลับไปอยู่กับเด็กผู้หญิงหน้าตาสะสวยที่อยู่ด้วยเพราะเงิน เราว่ากันว่าผู้ชายเห็นแก่ตัว แล้วผู้หญิงล่ะ พอมีลูกก็ไม่สนใจสามี ไม่ทำตัวให้น่ามองเพื่อเอาใจผู้ชาย นี่แปลว่าผู้หญิงเห็นแก่ตัวด้วยรึเปล่า

ยังไง ผู้ชายกับผู้หญิงก็ไม่มีวันเท่ากัน ข้อได้เปรียบที่ผู้หญิงเคยได้ก็ไม่อยากเสียไป เรื่องใดที่ตนเสียเปรียบแต่เดิมก็ยังคงเรียกร้องความเท่าเทียมอยู่เรื่อยมา

ทำไมนะฉันถึงได้นึกถึงมาร์จี้คนนั้นเสียเหลือเกิน

วันนี้ยกให้คนที่อยู่ข้างๆ

เนื่องด้วยช่วงนี้ใช้กระดาษชำระเปลืองเหลือเกิน คนที่อยู่ข้างๆ ก็เลยไปซื้อยาแก้แพ้ให้กิน...

ฉันเพิ่งกินยาเม็ดละ 4 บาทเม็ดที่สองวันนี้เอง คนซื้อบอกว่าถ้าได้ผลจะรีบไปซื้อมาให้ใหม่เพราะร้านขายยากำลังจะย้ายไปแล้ว

ฉันอยู่กับอาการหายใจติดขัดนี้มาตลอดชีวิต ทำให้บ่อยครั้งต้องหายใจทางปากพร้อมๆ กับต้องแคะขี้มูกด้วยกระดาษทิชชูหมุนๆ ไชเข้าไปในรูลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ อันเป็นที่มาของสายตาดูถูกเหยียดหยามราวกับเป็นคนไร้สกุลรุนชาติ ไม่ได้รับการอบรมมาอย่างเหมาะสม เข้าสังคมไม่เป็น อะไรจะเถรตรงขนาดนั้น ไม่รู้จักกาละเทศะ ความควรไม่ควร และอื่นๆ อีกเหยียดยาว

เมื่อคืนฉันกินอาหารรสจัดโดยที่น้ำมูกไม่ไหลเลย นอนตื่นมาปากเม้มสนิทริมฝีปากไม่แตก แถมยังตื่นเร็วเกินควร คิดไปไกลว่าคงได้ออกซิเจนเต็มที่ทำให้รู้สึกสดใสแต่เช้า เรื่องเล็กๆ ที่รบกวนฉันมาตลอดชีวิตเว้นเพียงตอนก่อนเข้าห้องผ่าตัดที่โรงพยาบาลกรุงเทพว่ารู้สึกหายใจติดขัด แพทย์เสียงหวานหยอดยาที่รูจมูกให้สองสามหยดแล้วก็หายใจคล่องสักพักก็ผลอยหลับไป

มีความเปลี่ยนแปลงมาคั่นจังหวะสร้างความแปลกใหม่ให้ชีวิตวันนี้...

iMac ใหม่เอี่ยมที่จากสิงคโปร์มาถึงร่วมสองอาทิตย์แล้วแต่นอนรอให้คนซื้อเปิดใช้เพิ่งได้อวดโฉม ฉันสั่งตรงจากเว็บไซต์ชอปปิ้งแบบไม่ต้องออกจากบ้าน ตอนแรกนึกว่าจะต้องเสียเวลาเซ็ทอัพนาน เพียงแค่ถ่ายรูปตัวเองเป็นรูปประจำตัวแล้วก็คลิกไม่กี่ที รู้งี้จะให้คนที่อยู่ข้างๆ ทำเองทุกอย่างตั้งแต่แกะกล่องแล้วเนี่ย

เรื่องที่ฉันคิดว่าง่าย ไม่ง่ายอย่างที่คิดแฮะ!

ไอแมคเครื่องนี้ไม่ได้ลง Firefox ไว้ ด้วยความขี้เกียจฉันเลยผลักภาระให้เขาใช้ Safari ที่ฉันว่ามันก็แทบจะไม่แตกต่างกัน ฉันเปิดหน้าเฟซบุคใน Safari ให้เสร็จสรรพ นึกว่าคงไม่ต้องเดินไปดูอีกแล้ว กลับกลายเป็นว่า การที่ฉันให้เขาตั้งพาสเวิร์ดเข้าเครื่อง คราวนี้เขาเลยใช้พาสเวิร์ดดังว่าเข้าหน้าเฟซบุค ฉันก็เลยต้องลุกไปดูความเรียบร้อยอีกครั้ง

การสอนผู้ใหญ่นี่ยากจริงๆ หรือฉันเองเป็นคนไม่ชอบสอนใครทุกวินาทีกันแน่ เล่นคอมมันควรต้องหลงไปโน่นนี่เพื่อเรียนรู้นา

เวลาจะสอนให้คนโดยเฉพาะคนหมู่มากได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ต้องทำให้มันง่ายที่สุด ชัดเจน กะทัดรัด หลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่ไม่จำเป็น ครอบคลุมทุกปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

แต่ฉันไม่ชอบอะ! มันทำให้คนใช้ความพยายามน้อยไปหน่อย ป้อนทุกอย่างเสร็จสรรพ แทนที่จะเน้นไปที่เข้าใจได้ง่าย เปลี่ยนเป็นทำให้อยากรู้ มุ่งไปที่การเปลี่ยนทัศนคติดีกว่านา

ฉันอยากให้คนที่เรียนรู้สึกว่าฉันก็ไม่ได้เก่งไปกว่าเขา เพราะเครื่องไอแมคนีี่ฉันก็ไม่เคยใช้มาก่อน ฉันก็ต้องหาปุ่มเปิดเครื่องเหมือนๆ กัน ฉันเลยให้เขาเป็นคนเปิดเครื่อง ใส่ถ่านเม้าส์และคีย์บอร์ดเอง แต่แล้วฉันก็ต้องเปลี่ยนขั้วถ่านกับเปิดเม้าส์ให้อีกอยู่ดี

ผู้ใหญ่นี่เวลาจะหยิบจะจับอะไร ทำไมมันจะระแวดระวังไปทุกย่างก้าวฟะ!!

ตอนที่จะให้เขาใส่ถ่าน เปิดเครื่องเองก็คิดแล้วว่ายังไงก็ต้องทำได้ แต่เพื่อให้ไม่หงุดหงิดเกินไปจนท้อกับการเปลี่ยนเครื่อง ฉันก็เลยต้องจัดการให้อีกทีอยู่ดี แม้แต่จะเปิดคลิปวิดีโอยังต้องถามฉันก่อนเลยว่าเสียงมันจะมาจากไหน การที่ไอแมครวมทุกอย่างในอุปกรณ์ชิ้นเดียวทำให้คนใช้รู้สึกว่าอะไรมันจะไม่ต้องทำอะไรเลยขนาดนี้

ถ้าคราวต่อไป เขาต้องเข้าเฟซบุคจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อื่น เขาจะท้อก่อนรึเปล่าเนี่ย โลกแมคยังเล็กนักเมื่อเทียบกับโลกพีซี

นับแต่นี้ฉันคงต้องฟังเพลงของคุณลูกชายบ่อยขึ้นอีกหลายเท่าเพราะคุณพ่อเห่อคุณภาพเสียงของเครื่องแมคนี้จริงๆ

แล้ววันนึงจะแปลกใจถ้ารักสิ่งที่เราเคยเกลียด

ลูกของพี่คนหนึ่งเกิดอาการเซ็ง เบื่อเรียน บ่นมาในเฟซบุคเป็นระยะๆ

"เกลียดทุกวัน เพราะเรียนทุกวัน"

"เรียนไปเพื่อ?"

ฉันเข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้านอันทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีกับตัวเอง เลยเอามาใส่ไว้ในนี้ให้เธออ่านจ้า :)

+++

ขอตอบยาวๆ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับน้องแน็ตนะคะ คงไม่ตกใจจนเกินไปที่น้าเขียนจดหมายยืดยาวขนาดนี้ เอ็นดูลูกสาวของพี่โตที่น่ารักเท่านั้นเองค่ะ :)

น้ามาเห็นข้อความของน้องแน็ตอีกครั้งก็ทำให้นึกถึงสมัยเด็กๆ ที่ขี้เกียจเรียนมากๆ ตอนที่น้ารู้สึกไม่อยากเรียนมากที่สุดคือ ตอนที่สอบเทียบเพื่อเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย น้าเรียนพิเศษแทบทุกวิชา อ่านหนังสือหนักมากจนบอกกับตัวเองว่า ไม่อยากกลับไปเรียนมอหกต่อเลยหากสอบเข้าคณะที่ต้องการไม่ได้

ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่สอบได้ตามที่ตั้งใจไม่ต้องกลับไปเรียนมอหกอีก แต่เมื่อย้อนกลับไปนึกถึงเวลาช่วงนั้น ช่วงเวลาแห่งความสุขสมัยเรียนก็ลดลงไปหนึ่งปีเหมือนกัน

น้าเคยเบื่อเรียนเปียโนมากกกกกก อยากเลิกเรียนแต่ไม่รู้จะทำยังไง ตอนที่เริ่มเรียนคุณครูก็ถามว่าอยากเรียนจริงๆ รึเปล่า น้ารู้แต่ว่าแม่อยากให้เรียน มีหน้าที่ต้องตอบว่าอยากเรียน ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าชอบรึเปล่า อาจเป็นความรู้สึกเฉยๆ ซะมากกว่า

แล้วในที่สุดน้าก็หาข้ออ้างได้ตอนที่จะสอบเข้าเรียนต่อโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โล่งอกมาตลอดว่าต่อไปนี้ไม่ต้องเรียนแล้ว เปียโนที่บ้านก็ไม่ได้แตะอีกเลย จนไปเรียนต่อเมืองนอก พบรักแล้วก็อกหักในวันที่คิดว่ากำลังจะสมหวัง มหาวิทยาลัยที่สมัครเรียนไว้ไม่รับสักแห่ง ชีวิตมีแต่เรื่องผิดหวัง อยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า มีปัญหากับคนไทยที่นั่นจนพ่อของเขาไปว่าพ่อของน้าที่เมืองไทย และอีกหลายๆ เรื่อง น้าจมอยู่กับความเศร้าระหว่างนั้นก็ไปเล่นเปียโนที่ห้องโถงของหอพักทุกวัน เล่นซ้ำแล้วซ้ำอีกวนเวียนอยู่อย่างนั้น เล่นเพลงไทยที่พ่อของผู้ชายที่ทำน้าอกหักแต่งและเพลงที่เขาแต่งทำนองให้น้าโดยเฉพาะ เล่นไปเล่นมาจนได้เนื้อเพลงออกมา อธิบายความรู้สึก ณ ตอนนั้น กลับกลายเป็นความภูมิใจที่สามารถแต่งเนืื้อร้องเพลงแรกในชีวิตตอนที่จมอยู่ในความทุกข์

จากวันนั้น สัมพันธ์ ยังจดยังจำ ทุกวัน
ไม่มีวัน เหินห่างกัน
ทุกวัน เธออยู่เคียงฉัน ตราบนานเท่านาน

จิตใฝ่ฝัน ถึงวันนั้น ยังจดจำ อยากเก็บมันไว้อย่างนั้น
ไม่มีวัน เหินห่างกัน
ทุกวัน เธออยู่เคียงฉัน ตราบนั้นจนตาย

และแล้วก็เป็น เพียงฝัน รำพัน ที่ฉัน นอนฝัน ผู้เดียว
เธอจากไปแล้ว ลับลา ไม่กลับมาหา แน่นอน
ไม่มีวันเป็นดั่งฝัน เมื่อวัน ที่เธอบอกลา

น้าอยากตอบคำถามน้องแน็ตแบบจริงๆ จังๆ เลยนะคะเนี่ย สำหรับตัวน้าเองแล้ว น้าเรียนไปเพื่อจะได้รู้ น้าจะขอเจ้านายเข้าอบรมหลักสูตรต่างๆ เป็นประจำ เพราะมันตอบสนองความอยากรู้ อยากเข้าใจของน้าเอง คนอื่นๆ เขาก็ไม่ค่อยทำอย่างนั้นกันหรอก คนทั่วไปเขาคิดว่าการเรียนเป็นเรื่องหนัก เป็นเรื่องที่ถูกบังคับให้ทำ มีหลายๆ วิชาเหมือนกันที่น้าไม่ชอบ น้าก็เรียนแล้วก็สอบให้มันผ่านๆ ไป แต่ถ้าน้ากลับไปเรียนได้ใหม่ น้าจะลองมองเรื่องที่จำเป็นต้องเรียนในมุมที่ต่างออกไป

ที่น้าเบื่อเรียนเปียโนเพราะน้าไม่ชอบหัดเล่นเพลงที่ไม่ได้ชอบ น้าอยากเล่นเพลงไทย เพลงประกอบละครที่น้ารู้จัก พอน้ากลับมาเล่นอีกครั้ง น้าก็ไม่ได้เล่นเพลงที่เคยเรียนอีกเลย ถ้าน้าไม่มีทางเลือกยังไงก็เลิกเรียนเปียโนไม่ได้ น้าจะบอกคุณครูว่าน้าจะขอเล่นเพลงที่ชอบ เพลงแนวอื่นแทน ตอนที่น้าเรียนเปียโน น้าก็ต้องเรียนไปตามที่ครูสอน เหมือนเป็นสิ่งที่ต้องทำ น้าไม่รู้ว่าสิ่งที่เราได้จากการเรียนมันมีมากกว่าแค่การเล่นเปียโนเป็น

การเล่นเปียโนเป็นการฝึกการรับรู้และการสร้างความสัมพันธ์ของระบบประสาท(หู) ตา มือเหมือนๆ กับการพิมพ์ดีด ทำให้สมองทั้งสองซีกพัฒนา การได้ใกล้ชิดกับเสียงดนตรีทำให้จิตใจอ่อนโยน ไม่แข็งกระด้าง เป็นทางหนึ่งที่จะปลดปล่อยความรู้สึก คล้ายๆ กับการร้องเพลงที่ทำให้ได้ระบายอารมณ์ต่างๆ ที่ฝังอยู่ในใจและเป็นการสร้างความสุขให้กับตัวเองแบบง่ายๆ

สิ่งที่เราเรียนบางอย่างไม่ได้มีความหมายด้วยตัวมันเอง แต่เป็นบันไดให้เราก้าวไปสู่ขั้นต่อไปของชีวิต เราเลือกได้ที่จะสร้างความสุขหรือความทุกข์ในทุกๆ นาทีที่ผ่านไป เพื่อประโยชน์สำหรับตัวเราเองค่ะ

จะว่าไปแล้วก็คงมาตายตอนจบ เพราะน้าก็กำลังเบื่อๆ ชีวิตและการเขียนจดหมายฉบับนี้หาน้องแน็ตทำให้น้ามีความสุขค่ะ :)

+++
หมายเหตุ: เนื้อหาจดหมายที่โพสต์ที่นี่มีการปรับปรุงอยู่เรื่อยทุกครั้งที่ฉันอ่านและคิดว่ามีคำอื่นที่ดีกว่าเดิม เนื้อเพลงฉันเพิ่งพิมพ์เพิ่มเพื่อความสมบูรณ์ ชื่อเรื่องคือข้อความที่ฉันโพสต์ในเฟซบุคของน้องแน็ต ส่วนคำตอบยาวส่งเป็นเฟซบุคเมสเสจให้น้องคนเดียว ชื่อเพลงไม่อาจเปิดเผยได้เพราะกระทบบุคคลที่สามอย่างจัง และเพลงที่อ้างถึงก็กำลังจะดังอย่างฉุดไม่อยู่ภายในหนึ่งอาทิตย์(ฉันว่านะ)!

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

หมอลักษณ์ฟันธงวันนี้โดนนน!!

คนลัคนาราศีธนูตอนนี้มีดาวราหูกุมลัคนา เจ้าแห่งความมัวเมา แถมดาวเจ้าเรือนถอยหลังหมดกำลัง หากเป็นดาราก็จะแสดงบทบาทได้ดุเด็ดเผ็ดมันถึงพริกถึงขิง ทำให้จากเดิมที่เป็นคนดีกลายเป็นคนที่ร้ายที่สุด เพราะฉะนั้น ฉะนั้นช่วงนี้เหมาะอย่างยิ่งแก่การเข้าวัด

แหม! ยิ่งกว่าฟังเทศน์อีก หาเหตุผลให้ชั่วได้อีกพักใหญ่เลย!!!

V (2009)

ฉันกลับมาเป็นราชินีซีรีส์อีกครั้ง...

ความคิดนี้แว่บขึ้นมาทันที... เมื่อใดที่ส่วนลึกฉันปรารถนาให้โลกหยุดนิ่ง ฉันจะวิ่งเข้าไปอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง หรือจะเรียกกันภาษาชาวบ้านว่า "หนีความจริง" ก็คงไม่ผิด เวลาที่ใช้ในการเข้าไปอยู่ในโลกอีกใบดูจะยาวขึ้นเรื่อยๆ เป็นวัน เป็นอาทิตย์ เป็นปี...

เหตุผลเดินคู่กับอารมณ์แบบโลกคู่ขนาน เหมือนใน Fringe พิกล ยิ่งดูแล้วทำไมฉันยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคุณด็อกเตอร์วอลเตอร์หว่า!?!? ยิ่งดูยิ่งเข้าใจ ออกจะเข้าใจมากกว่าคุณหมอเฮ้าส์ด้วยซ้ำ

ดีใจที่ไม่ได้พลาดซีรีส์ดีๆ อย่างองค์หญิงต๊อกมาน บทงี้สุดยอด ใครจะว่าหนังมันก็คือหนัง ไม่ใช่เรื่องจริง แต่ฉันว่ามันสะท้อนความต้องการของคนดูได้อย่างชัดเจน เหมือนๆ กับที่เราสามารถอ่านคนได้จากรูปที่เขาถ่าย จะว่าไปก็ทุกๆ สิ่งที่คนทำสะท้อนความเป็นตัวตนบางอย่าง อาจมีภาพที่ต้องการสร้างปะปนอยู่ด้วย แต่ถ้ามีหลักในการมองก็จะเข้าใจ เพียงแต่อย่าหยิบขยะออกมาวิเคราะห์แล้วทำให้ข้อเท็จจริงบิดเบือน แหม แต่ก็ไม่แน่นะ คนวิเคราะห์อาจจะเห็นอะไร เข้าใจคนๆ นั้นในสิ่งที่เจ้าตัวยังไม่รู้ก็ได้ เหมือนกับที่มึนโนบอกว่ายูซิลยังไม่รู้ศักยภาพของตัวเอง

ยูซิลซ้อมกระบี่ด้วยการฟันดาบที่หุ่นฟางด้วยความตั้งใจจนครบหมื่นครั้งทุกวัน หากมีเพียงครั้งหนึ่งครั้งใดที่ไม่ได้ลงดาบไปด้วยความมั่นใจหรือทำเพราะขาดสมาธิ เขาจะเริ่มนับใหม่ทันที กิจวัตรนี้ยังคงติดตัวจนเติบใหญ่ในหน้าที่การงาน ทุกครั้งที่สับสนหรือคิดไม่ตกเขาจะไปฟันหิน แล้วจนวันหนึ่ง ดาบไม้ที่ฟันหินจนหักไปไม่รู้เท่าไหร่ก็ทำให้หินแตกได้ในที่สุด

นี่ถ้าหนังสือเรียนประวัติศาสตร์สมัยเด็กๆ สนุกอย่างนี้ นักเรียนคงไม่ต้องท่องจำหนังสือก่อนสอบเพื่อที่จะลืมเป็นปลิดทิ้งหลังสอบเป็นแน่ คนไทยสมัยนี้ท่าทางจะรู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์เกาหลีมากกว่าประวัติศาสตร์ไทยเสียแล้ว

ส่วนการฝึกความฉลาดและความอดทน ความจำเป็นของการโกหก ปัญหาความเชื่อใจ ช่องว่างระหว่างวัย การผจญอุปสรรคและอีกหลายๆ เรื่อง ฉันกำลังศึกษาจาก V (2009) จ้า

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

ขยะ

วันนี้ฉันอาจหาญกระทำการอันเนื่องมาจากความคิดที่ผุดขึ้นอีกแล้ว...

พี่ชายของแฟนเก่าบอกเล่าความรู้สึกผ่านข้อความในเฟซบุคว่า ได้คุยกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันร่วม 30 ปี เคยเคืองกันด้วยเรื่องอะไรก็ลืมไปแล้ว ที่จำได้ก็มีแต่เพียงชื่อพ่อ พวกเด็กผู้ชายไม่ค่อยเรียกชื่อตัวกันอยู่แล้ว ฉันเองก็รู้จักบางคนด้วยชื่อ(พ่อ) หากจะได้มาพบเจอกันใหม่ ฉันก็คงไม่รู้จะเรียกชื่อใดอยู่ดีถ้าไม่ใช่ชื่อ(พ่อ)!

ฉันส่งไพรเวทเมสเสจขอรำลึกความหลังด้วยคน แล้วก็รู้ว่าหากเขียนตามที่คิด คงต้องได้เสี่ยงที่จะสูญเพื่อนเฟซบุคอีกหนึ่งเป็นแน่ ย่อหน้าแรกฉันเลยเกริ่นเสียก่อนว่า เมื่ออ่านจบแล้วพี่คนนี้จะเลิกเป็นเพื่อนกับฉันไปเลยรึเปล่าเนี่ย

คำตอบกลับมาทันใจสองฉบับแสดงว่า อ่านแล้วตอบเลยและกลับไปอ่านอีกรอบ พิมพ์ตอบกลับอีกทีทวนคำพูดซ้ำเหมือนออกมาจากใจจริงๆ เพราะเต็มไปด้วยความเยิ่นเย้อ ซ้ำซาก สรุปได้ความว่า เราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ ได้แต่ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

ฉันเชื่อว่าข้อความที่ฉันเขียนถึงต้องวนอยู่ในเซลล์สมองของพี่คนนี้ไม่น้อยกว่าสามรอบ เห็นหน้าจอแชตเปิดค้างพิมพ์คำว่าแอน ฉันเพิ่งมาเห็นหลังจากผ่านไปแล้วเกือบสิบนาที คนที่ทักเข้ามาก็ออฟไลน์ไปเรียบร้อย แล้วฉันก็กลับไปอ่านเมสเสจของเขาทั้งสองฉบับอีกครั้ง แล้วก็ตอบแบบยาวๆ ตามสไตล์ ไม่ได้ตั้งใจจะอธิบาย แก้ไขเรื่องที่เข้าใจผิดหรือเรื่องที่ดูจะมองกันคนละมุม(แปลว่าถูกทั้งคู่) แค่ความคิดที่ผุดขึ้นมาและอยากบอกให้รู้สักครั้ง ประมาณว่าทำตามใจตัวเองโดยไม่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของผู้รับสารว่าจะรู้สึกละอายหรือโกรธหรือใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่ว่าใครก็มีสิทธิ์มองเรื่องหนึ่งๆ และให้เหตุผลกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นตามที่ตนต้องการ เหตุผลของใครก็ของคนนั้น อารมณ์ของใครก็ของคนนั้น

อย่างน้อยเขาก็ยังตอบอีเมล ทั้งๆ ที่ปฏิกิริยาหนึ่งแปลความได้ทั้งสองขั้ว ตอบตามมารยาท ตอบตามอารมณ์ความรู้สึกขณะนั้น ตอบเพื่อคงภาพลักษณ์ที่ควร ตอบเพื่อไม่ให้รู้ว่าจริงๆ แล้วรู้สึกอย่างไร ตอบเพื่อต่อต้านข้อความในย่อหน้าแรกที่ฉันดักทางเอาไว้แล้วว่า จะเลิกคบกันมั้ยเนี่ย!

เขาคงมองว่าฉันเป็นศัตรู ผู้สร้างความปวดร้าวให้น้องชาย และเป็นศัตรูประเภท "ซ้ำซาก" เพราะแม้น้องชายของเขาจะอภัยและดีกับฉันเพียงไร ฉันก็เดี๋ยวเลิกเดี๋ยวคบหลายรอบ ความสัมพันธ์งอกเงยจนกระทั่งแม่ของเขาบอกว่าจะให้ไปขอเมื่อไหร่ก็ให้บอกมา

ฉันเห็นภาพอนาคตโดยไม่ต้องวาดว่าหากตัดสินใจร่วมทางเดินชีวิตกับชายผู้นี้แล้วจะเป็นเช่นไร แล้วก็ฉันเองอีกนั่นแหละที่อยู่ดีๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ยก็เดินออกจากวิมานแสนสุข ท่ามกลางครอบครัวสุขสันต์ไปซะเฉยๆ ทั้งแม่และคุณพี่ชายไม่ได้โกรธฉัน ออกจะสนทนาปราศรัยด้วยไมตรีจิตอย่างเคย แม้เวลาผ่านล่วงเลยจนฉันฝากหนังสือที่แปลเล่มแรกไปให้คุณแม่ ยังได้รับสายโทรศัพท์อันมีค่ายิ่งต่อจิตใจ ร่วมแสดงความยินดีที่ฉันค้นพบตัวเอง (ว่าแต่มันเจอแล้วเหรอนั่น?!?!)

กลับมาที่ข้อความอาจหาญของฉันอีกครั้ง การบอกเล่าให้คนอื่นรู้ถึงการรับรู้และจดจำความรู้สึกทางลบที่เขามีต่อฉัน และความรู้สึกลบที่เขามีต่อเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต โดยที่เป็นการให้ข้อเท็จจริงและมันก็ไม่ได้มีผลต่อความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขาทั้งในอดีตและปัจจุบัน ก็ดีเหมือนกัน ยังไงฉันก็ชอบไอเดียความคิดเห็นหลายๆ เรื่องของเขาเหมือนเคย

เพียงแค่จบตรงที่ฉันสรุปว่า

"พี่ใช้วิธีแบบนักจัดการ ทิ้งขยะ (ทั้งที่บางส่วนอาจขายเป็นเงินได้) ส่วนแอน เอาขยะไปรีไซเคิล (แม้ว่าจะก่อให้เกิดมลพิษแค่ไหนก็ตาม) :)"

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

รนหาเรื่อง

ความเบื่อเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุด! เพราะเวลาเบื่่อแล้ว ก็ไม่มีความรื่นรมย์ใดสามารถเข้ามาแทนที่...

ช่วงหลังๆ นี้ฉันสวดมนต์บ่อย นโมสามจบตามด้วยอิติปิโส แล้วพอมันเริ่มจะคิดอีกแล้วก็กลับไปเริ่มใหม่ จนเมื่อความคิดพาฉันไปไกลจนไม่ได้กลับมาที่นโมอีกครั้ง ฉันเองก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่า ชีวิตทุกวันที่กำลังดำเนินอยู่นี้จะเป็นไปอีกถึงเมื่อไหร่ ทำไมไม่กินยาตอนก่อนนอนเหมือนเคย ทำไมไม่ทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน แล้วคำถามที่ผุดขึ้นมาก็ทำให้ฉันไม่พอใจตัวเอง แต่ก็ไม่เปลี่ยนแปลงการกระทำอีกเช่นเคย...

ซอนต๊อกมหาราชินีสามแผ่นดินจบไปแล้ว เกือบอาทิตย์ทีเดียว ตามด้วย Flash Forward แล้วก็อีกสารพัดเรื่องจนมาหยุดที่ Tudors เมื่อคืน ดูเพียงแค่ตอนแรกก็เห็นฉากที่พระราชาระเริงลีลารักสามแบบกับสามสาวที่สรีระแตกต่าง นั่นก็ยังไม่อาจทำให้ดูหนังดูละครต่อไปได้อีก

กลับมาเล่นเกมส์เพชรสุดโปรดแล้วก็ไม่ได้รับความบันเทิงใจอย่างที่ควร เมื่อเช้าตื่นมาด้วยอาการงัวเงียอย่างที่เขียนกลอนบ่นไปก่อนหน้านี้ อะไรๆ มันก็ดูจะยิ่งผิดที่ผิดทางไปเรื่อยๆ แม้อาหารการกินอันเป็นกิจกรรมสุดโปรดยังไม่อาจเรียกความสนใจได้อย่างที่ควร แล้วฉันจะอยากทำอะไรละนั่น!

เมื่อคนหงุดหงิดรำคาญเพราะผิดซ้ำที่เดิมเป็นประจำ คนอธิบายก็มีมานะจะอธิบาย แต่ก็ด้วยความหงุดหงิดไม่ต่างกันนัก เกิดการประคารมกันเล็กน้อย แต่มีผลให้ฉันไปหยิบหนังสือการสอนผู้ใหญ่มาอ่านเป็นเรื่องเป็นราว อ่านแล้วก็รู้และเข้าใจที่มาที่ไปของความไม่สบอารมณ์มากขึ้น

ก่อนที่จะอ่านหนังสือเล่มที่ว่า ฉันไปเสิร์จหาคำว่า โง่แล้วไม่รู้ว่าโง่

วลีนี้เป็นวลีที่ติดใจฉันมานาน ผู้ใหญ่พูดตอนที่ไม่ได้สติ แต่บางครั้ง เวลาที่คนเราพูดอะไรตอนที่ไม่ได้สติมันก็ดูจะเป็นข้อเท็จจริงหรือเป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริงๆ นะ

เช้าวันนี้ฉันได้ยินคำที่แตกต่าง ไม่ได้โง่อย่างที่คิดหรอกนะ

ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าไปจับวลีสองวลีนี้โยงเข้าหากันได้ยังไง เรื่องของเรื่องคือ ถ้าเกิดปัญหา มันก็คงต้องมีใครโง่ หรือโง่ด้วยกันทั้งคู่ละน่า

หนังสือ การสอนผู้ใหญ่ ดูจะให้คำตอบมากกว่าการตอบตัวเองด้วยวิธีอื่น

การสอนผู้ใหญ่ต้องใช้อารมณ์และความรู้สึกมากกว่าการสอนเด็กมาก

แค่ประโยคเดียวก็เปิดมุมมองใหม่ในทันใด หาเรื่องท้าทายอีกแล้วตู! สามร้อยกว่าหน้ารอให้อ่านถ้าไม่เบื่อซะก่อน

เฟซบุคอย่าบุกอีเมล

ตื่นมางัวเงีย
เพราะเพลียปัญหา
คุณชายเอ่ยมา
อีกคราแล้วไร

เสียงคุยโทรศัพท์
สำทับทันใด
ส่งให้แล้วไง
เหตุใดไม่เจอ

รีบลุกจากเตียง
สำเนียงเสียงบ่น
ดูหน้าจออีกหน
ผลก็เหมือนเดิม

ผิดซ้ำที่เก่า
เมาตั้งแต่เริ่ม
เสียงดุเข้าเสริม
เรื่องเดิมกลับมา

ความเข้าใจผิด
ความคิดสับสน
ยังหลงเวียนวน
วนอยู่เช่นเคย

หากเข้าใจพื้นฐาน
เสียงานไม่เลย
ถึงเบื่อขอเปรย
ขอเผยอีกครา

ตัวตนที่เจอ
ของเธอแตกต่าง
ต้องเข้าใจบ้าง
ห่างไม่ได้เลย

แต่ละแห่งที่
เธอมีตัวตน
อย่าใช้ปะปน
ต้องทนต้องจำ

ที่นี่ชื่อนี้
ที่อื่นชื่อไหน
ที่บ้านชื่ออะไร
กับใครเรียกตาม

อยู่กับเพื่อนเรียกชื่อ
อยู่กับน้องเรียกพี่
อยู่กับโลกเสมือนนี้
ชื่อพี่ชื่ออะไร

อีเมลก็คือชื่อ
จงถือเหมือนกัน
ชื่อในเฟซบุคนั่น
ก็ไม่เหมือนกันนะเออ

คุยในเฟซบุค
ใช้ชื่อเฟซบุค
อย่าให้ต้องปลุก
ลุกขึ้นจดจำ

อีเมลมี@
ก่อนลงท้ายมีจุด
ต้องจำเป็นชุด
ดุจสิ่งสำคัญ

ชื่อในเฟซบุค
ก็แล้วแต่ตั้ง
บอกอะไรจงฟัง
นั่งพิมพ์ดีๆ

แต่ยูสเซอร์เนม
กลับใช้อีเมล
อ่านแล้วพิมพ์เร็ว
พาสเวิร์ดว่าไร

ส่งข้อความหาใคร
จะส่งไปไหน
ข้อให้ระวัง

ส่งไปอีเมล
ต้องมี @ และจุด
แต่เธอจงหยุด
หากไม่ออนไลน์

ถ้าอยู่เฟซบุค
ส่งจากเมสเสจ
@จุดก็ทุเรศ
ส่งเดชก็ส่งไปเลย

คุยกับคนเฟซบุค
ส่งทางเมสเสจ
ต้องใช้ชื่อพิเศษ
ส่งเอกเทศไปเลย

ส่งผ่านเฟซบุค
ใช้ชื่อเฟซบุค
อย่าพิเรนไปรุก
คลุกกับอีเมล

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จะไปเจอเพื่อนก่อนจาก

มีเวลาร่ายกลอนครึ่งชั่วโมง
ก่อนวิ่งก้นโด่งดี้ด๊าออกรถ
รับโมนาผู้ร้องไห้แสนสลด
ด้วยจำจดความสุขใจในเมือง
อีกสองวันเธอฉันต้องจำจาก
ปากพร่ำรำพันวันขึ้นเครื่อง
สู่อินเดียลาแล้วแดนรุ่งเรือง
เปลืองน้ำตาอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง

สงสารวันเมื่อวานเธอพร่ำ
จดจำเพื่อนแสนดีคือฉัน
นกในกรงไข่ในหินเคยเที่ยวกัน
มีเพียงฉันพาเธอนั้นเที่ยวกลางคืน
เธอว่าแม่แสนปลื้มปากพูดชม
อันลมปากโมนาขอยันยืน
อีกไม่เดี๋ยวฉันก็คงตื่น
คำรื่นหูดูยังไงก็เวอร์ไป

นัดพี่ยิ้มเจอกันเลยที่ร้าน
ไม่เจอนานงานมากเงินหา
เธอบ้างานตั้งแต่ไหนแต่ไรมา
สุขอุราจะได้เจอเธอสักที
ร่วมครึ่งปีท่าจะได้แล้วละมัง
บอกระวังคนใกล้ไม่ค่อยดี
มีแต่คนตักเตือนถ้าหากตี
สักสิบทีฉันนี้คงปางตาย

อะไรเกิดพร้อมๆ กับอะไร
ไม่ได้แปลว่าเป็นเหตุให้เกิดหนา
อันว่าตัวฉันนั้นแต่ไรมา
ใครจะว่าใครจะบ่นไม่สนเลย
ใช่ว่าจะไม่แคร์ไม่ใส่ใจ
คิดข้างในแน่นอนคิดเฉยๆ
แต่เรื่องใดที่ทำขอเฉลย
ไม่มีใครไหนเลยทำให้เป็น

อยู่บ้านนานคนเขาก็เป็นห่วง
เห็นว่าควงคนนี้แล้วไม่ไหว
จะโทษใครคนไหนคงไม่ได้
ไม่ต้องเดาจงจำฉันทำเอง
ทุกสิ่งอันที่ไม่เป็นดั่งเคยฝัน
เป็นเพราะฉันดื้อรั้นและไม่เกรง
จะอะไรเรื่องไหนฉันบรรเลง
ทั้งร้องเพลงเลี่ยงงานและผลาญเงิน

ได้เวลาไปเจอเกลอเพื่อนเก่า
ที่สามเราห่างหายไม่ได้เห็น
แต่สายใยผูกพันที่หลบเร้น
ยังเป็นเช่นวันวานสานต่อไป

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทำไมไม่นอน

ก่อนเขียนบล็อก วันนี้ ฉันเขียนเรื่อง
เลือกเข้าเมือง คุยเรื่องเก่า เล่าความหลัง
เจอเพื่อนเรา รู้จัก ตั้งแต่ young
เจอกันนั่ง ขำหัวร่อ งอตัว
นานเจอที ยังดูดี มีราศี
พุงน่าตี แม้ใส่ดำ ทำส่ายหัว
ทำยังไง ก็เห็นชัด อย่ามามั่ว
น้ำหนักตัว บอกอ้วนชัวร์ ฉันยืนยัน

เรื่องอะไร คุยไป ขำไปหมด
เหมือนใครกด ปุ่มหัวเราะ เมื่อเฉลย
เพื่อนของฉัน แทบไม่ ได้นอนเลย
เพราะเมียเคย แม่ตบก้น จนหลับไป
ขำกันไป ทุกเรื่อง ผลัดกันเล่า
ดื่มจนเมา มีทั้งเหล้า ที่เก็บไว้
ไม่แค่นั้น อีกแชมเปญ บวกกับไวน์
ทำไงได้ เพื่อนมันรวย ช่วยใช้เงิน

ขวดที่สี่ แชมเปญมี กระดี้กระด้า
ตั้งตรงหน้า รุ่นหญ่าย ชอบคล้ายฉัน
ดื่มสองคน จนหมดขวด เหมือนแข่งกัน
วันสำคัญ วันนี้ ฉันเปิดตัว
แรกเจอ รุ่นหญ่าย เขานั่งนิ่ง
เริ่มฮากลิ้ง เลิกนิ่ง หายปวดหัว
จะว่ารั่ว ก็เป็นได้ ขวดเต็มครัว
ถ่ายรูปยั่ว พวกไม่มา อิจฉาซี

คุยอะไร รุ่นหญ่าย รู้ไปหมด
เพื่อนจำจด ตั้งใจฟัง กว่าครั้งไหน
อดีตเขา เก่งกาจ กว่าใครๆ
ชีวิตได้ ทำอะไร ที่ใครไม่เคย
สอนสะพาย กล้องตามสไตล์ มืออาชีพ
เร่งเร็วรีบ ถ่ายยังไง อย่าอยู่เฉย
ต้องเตรียมพร้อม ย่องย้าย ทำไปเลย
อย่าได้ทำ ตามที่เคย เลยล่วงมา

อีกตีกอล์ฟ เล่นปืน คืนนั้นเล่า
ฟังเรื่องเก่า เล่าหลายหน ฉันสนหรือ
นั่งมองหน้า เพื่อนตั้งใจ ตาไม่ปรือ
อยากร้องอือ ฟังหลายรอบ ต้องตอบเติม
จะว่าไป คงมีใคร ว่าเพ้อเจ้อ
ไม่ได้เวอร์ พูดจริง ทุกสิ่งเสริม
ใช่ว่าฉัน บ้าเห่อ ต้องตอบเติม
ไม่ว่าเริ่ม เรื่องใด ใครก็ฟัง

รุ่นหญ่าย ดีใจ เพื่อนฉันชอบ
ฉันตอบคำ เขาทำ เพื่อนนั่งฝัน
เรื่องโฆษณา เบื้องหลัง เรื่องมันส์ๆ
เขาแบ่งปัน เรื่องเหล่านั้น วันเมื่อวาน
เปิดทีวี เป็นพิธี ให้ไม่เงียบ
นานๆ เสียบ ปล่อยมุข สนุกสนาน
ดูสักพัก มิสไทยแลนด์ เวิร์ดมีงาน
วิจารณ์นาน น้องนาง ช่างหุ่นดี

บิกีนี่ ที่ใส่ ขับผิวผ่อง
พูดจาคล่อง ว่องไว ได้มีเพื่อน
เก็บตัวนาน น้องนาง ฝึกเป็นเดือน
ไม่ลืมเลือน ประสบการณ์ ที่ผ่านมา
แต่ละคน สูงโปร่ง โย่งเลยล่ะ
แต่มีนะ ทรวดทรง เรียวโคนขา
ส่วนจะทำ เสริมนั่น เสริมนี่มา
ไม่มีว่า เรื่องธรรมดา ทำทุกคน

เกรงใจ ดื่มแชมเปญ สี่ขวดรวด
หัวไม่ปวด ดื่มต่อไป อะไรดีหนา
วิสกี้ รสนุ่มใส่ น้ำแข็งมา
เข้าใจหา มาให้ดื่ม ฉันปลื้มใจ
แฟนเจ้าบ้าน ดูแล เราเต็มที่
รักกันดี ปีหน้า คงไม่สาย
หากตกลง ปลงใจ ไม่เดียวดาย
อย่าแหนงหน่าย ขอให้กลาย เป็นคู่จริง

ใกล้สว่าง ฟ้าไม่สาง ยังมืดครึ้ม
ไม่ได้ดื่ม ไม่ง่วง ยังอยากร่าย
แต่ก็คง ต้องไปนอน ก่อนรุ่นหญ่าย
จะโวยวาย ทำอะไร ทำไมไม่นอน
ฟ้าไม่สาง ฉันตาสว่าง แทนที่
ยังไม่ง่วง สักที ดีไม่ร้อน
กินยา กะให้หลับ คงเลิกงอน
หรือถ้าค้อน ฉันจะนอน กินบ้านกินเมือง



















วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เรื่องดีๆ ก็มีทำ

คนข้างๆ ขอหลายครั้ง เพราะหวังช่วย
ใช่เรื่องกล้วย ฉันหลีกหนี เพราะกลัวผล
ก็วันแม่ ไม่ดูแล เลือกไม่ทน
แต่จนใจ คนว่าให้ ไม่กตัญญู
เขาบอกเสร็จ เกร็ดเล็กน้อย ถ้อยความ
ฉันทำตาม ตั้งแต่ตื่น ไม่ไถถู
โทรไป ในที่สุด ก็ได้รู้
พ่อแม่อยู่ บ้านริมคลอง มองเพดาน

พ่อหกล้ม จำใจ ต้องอยู่เตียง
แม่ข้างเคียง เหนื่อยใจ ไม่หาหมอ
พ่อสุดดื้อ นอนส่วนใหญ่ เอียงตัวงอ
เพราะว่าพ่อ นั่งทีไร ต้องร้องโอย
ใช้วอล์กเกอร์ ที่ฉัน เคยซื้อให้
ค่อยเดินไป หัวใจ พ่อไห้โหย
เข้าห้องน้ำ ลำบากใจ กว่าโดยโบย
ใจร่วงโรย สะโพกร้าว เท้าไม่เดิน

หมอแนะนำ สิ่งควรทำ คือวางยา
แล้วพา ไปหาหมอ อย่าอยู่เฉย
เดี๋ยวจะไม่ อาจเดิน ได้ดั่งเคย
แม่ลองเปรย พ่อไม่เลย พ่อไม่ยอม
ทุกวันนี้ ทำได้ ให้ตามขอ
จงกินต่อ ขอให้ ไม่ผ่ายผอม
ก็เขาไม่คิด ประนีประนอม
คงต้องยอม ทำยังไง ไม่ชอบเลย

ฉันไม่รู้ ฉันควรไป เฝ้าหรือไม่
แม้รู้ใจ อยู่ใกล้ เขาฤาไหว
เพราะฉัน ทำมามาก ทำร้ายใจ
เพราะอะไร ทำไม ไม่ทราบเลย
หลายปีผ่าน วันวาน ไม่สบตา
มีมองมา ไร้วาจา นิ่งเฉย
ฉันไม่รู้ ควรทำ อย่างไรเลย
บางครั้งเปรย แต่ไม่เคย เอ๋ยตอบคำ


อีกสิบวัน แม่ฉัน จะไม่อยู่
สงสัยกรู ต้องไปดู อยู่คู่เขา
ลำบากใจ ใช่เลย ร่วมสองเรา
ไม่รู้เขา อยากให้เรา เฝ้าหรือไร
คงต้องไป ดูแล เขาสักนิด
ลืมเรื่องติด นำ้ตา ต้องไม่ไหล
คงต้องเสี่ยง แม้อาจ ทำร้ายใจ
เขาอาจต้อง จากไป ในไม่นาน

ไม่ได้แช่ง แปลงเรื่อง ให้เปลืองสมอง
ใช่ใฝ่ปอง ตริตรอง คิดเสมอ
ก่อนจากไป ไม่อยาก ให้ต้องเจอ
เรื่องกลุ้มใจ ทำละเมอ เพ้อทุกวัน
ทำอย่างไร ใจพ่อ จึงสงบ
ไม่ต้องจบ ด้วยเรื่องร้าย ในครั้งนั้น
ให้สบายใจ เมื่อใกล้ ถึงแล้ววัน
ต้องจากกัน จากไป ไม่กลับมา

วางแผนให้ ได้ใกล้ คนข้างๆ
ทั้งรูปร่าง เรื่องรู้ใจ ไฉนเหมือน
เพียงอยากให้ พ่อฉัน ได้มีเพื่อน
ไม่ลืมเลือน เรื่องชอบใจ ให้แข็งแรง
ให้พ่อกิน ซี่โครงหมู ที่พ่อชอบ
กินหมูกรอบ และโต้ตอบ ถ้อยแถลง
ฉันตั้งใจ ซื้อแกงบวน ควรแสดง
ให้รู้แจ้ง ชอบอะไร ไม่เคยลืม

น้องสะใภ้ ไม่สบาย เธอแพ้ท้อง
คนที่สอง หลานป้า มาแล้วหรือ
หนทางแก้ งานแสนหนัก นั่นคือ
เธอเลิกยื้อ เลือกครอบครัว ตัวเอง
หากเสียสละ จำนะ พี่บอกให้
พี่เข้าใจ กลัวด้อยค่า โดนข่มเหง
โธ่น้องเอ๋ย พี่ตระหนัก ไม่ต้องเกรง
น้องพี่เอง พี่รู้ ได้คู่ดี

เรื่องตัวฉัน ต้องเริ่มมัน แต่วันนี้
ฉันมีพี่ ที่เมตตา คล้ายเป็นป๋า
ถึงกับว่า จะลงทุน หุ้นการค้า
หากเงินตรา แม่ไม่ให้ ไม่เข้าใจ
การลงทุน ทำหนังสือ ไม่ใช่ยาก
แต่ลำบาก ต้องป่านยาว เข้าใจไหม
ไม่มีเงิน จะทำต่อ ไปทำไม
ไม่ต้องการ ให้ใคร ได้เป็นนาย

เมื่อคืนฉัน นึกได้พลัน ความคิดปิ๊ง
ไม่นอนกลิ้ง หัวใจ เร่ิมมีหวัง
ฉันตั้งมั่น ฉันต้องได้ เป็นคนดัง
ไม่ระวัง ความคิด จะผิดเลย
หากชนะเลิศ รางวัล ชมนาด
จริงดังวาด ไม่ประหลาด แล้ววะเหวย
ได้รางวัล จำมั่น รีบอ่านเลย
ไม่อยู่เฉย หวังได้พิมพ์ คงอิ่มใจ

คิดเอาไว้ คงได้ เปิดโรงเรียน
เปลี่ยนห้องร้าง ข้างล่าง ให้สดใส
คืนนี้ เวลาดี ฉันคงได้
ถกเรื่องใหญ่ ใช่กับใคร ใจแสนดี
พิมพ์หนังสือ แล้วเปิด คอร์สอบรม
ไม่ให้จม ความทุกข์ สุขหลีกหนี
ชวนเพื่อนมา อบรม ห้าคนมี
หกสิบปี น่าจะดี ลองดูกัน

คนข้างๆ เป็นตัวอย่าง คนรุ่นหญ่าย
เขาเล่นได้ เฟซบุค ทุกวันนี้
คล้ายเริ่มติด จิตจดจ่อ รอทุกที
ขอฉันนี้ ได้เล่นบ้าง วางมือ
เล่มที่สอง ขอลอง ปลุกยักษ์
เน้นแน่นหนัก รุ่นหญ่าย เริ่มแย่งยื้อ
ตอบสารพัด คำถาม ของเขาคือ
ได้ฝึกปรือ บทเรียน เขียนหาเงิน

เริ่มศึกษา หาความ เป็นไปได้
ฉันเลือกใช้ iMac ในการสอน
ต้นทุนสูง หายังไง ไม่ขอวอน
เลือกกู้ผ่อน ให้แม่นอน เลิกร้อนใจ
ดูตามดวง จะได้เงิน หากก่อหนี้
ดูฉันซี บ้าอย่างนี้ ใครทนไหว
ฉันคงวุ่น หวังได้สอน คนรุ่นหญ่าย
สู้ต่อไป สู้ไม่ได้ ก็ต้องทน

คืนนี้ Feasibility Study
ทำให้พี่ ช่วยดูที ทำได้ไหม
ฉันลงแรง สถานที่ อีกเครื่องใช้
แล้วเรื่องใด ทำประจำ ให้ทำเลย
ล้มแล้วลุก ปลุกยักษ์ตื่น แล้วลื่นไหล
ฉันคงได้ ลุกยืน ชื่นใจหลาย
ทุกข์ที่ถม ทำขม คงกลับกลาย
เป็นสบาย ทำคนใกล้ ไม่หม่นเอย












วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เหมือนคุณหมอ ขอต่ออีกยก

คนคิดมาก บอกตัวเอง คงคิดผิด
ครั้นไม่ติดใจ ไม่ได้ ทนไม่ไหว
หลายๆ ครั้ง ไม่อธิบาย ชี้แจงไป
เพราะกลัวใจ คิดผิด ไม่คิดดี
ฉันเคยยื่น ให้น้อง ได้ดูแหวน
ไม่ได้ plan ว่าจะข่ม เลยนั่นนี่
น้องตอบ แหวนน้องสวม สู้ไม่ได้หรอกพี่
ฉันรู้ดี คิดในใจ ฉันผิดเอง

แต่ว่าหาก ฉันร้อนตัว มัวแก้ต่าง
เหมือนเข้าข้าง ตัวเอง ควรแล้วหรือ
ชี้แจงไป ไร้ประโยชน์ เพราะมันคือ
ว่าฉันถือ แก้ตัวไป คล้ายเป็นจริง
คนส่วนใหญ่ ไม่พูด กันตรงๆ
จงรู้ฉัน ขวานผ่าซาก หรือเลือกนิ่ง
ใครว่าโกง ไม่เป็นเพื่อน ปล่อยให้ทิ้ง
ไม่ท้วงติง ไม่อยากมอง ใครไม่ดี

ไม่หยาบคาย แต่เพื่อน หายไปหมด
ฟ้ากำหนด ให้สัมพันธ์ ไม่ดีฉัน
ไม่พยายาม ไม่พูด เลือกเงียบงัน
หวังสักวัน เขารู้ ฉันเป็นไง
พยายาม เคยทำ พยายามมาก
แต่เหมือนมี ขี้กลาก ทำไงได้
พี่คนหนึ่ง บอกว่า รูปภายใน
ฉันสดใส ไม่เกลียดใคร ไม่ต้องการ

โกรธไม่ง้อ ไม่วอแว เพราะไม่ชอบ
ไม่พูดตอบ ไม่อะไร อะไรทั้งนั้น
พูดแล้วผิด จะพูดไป ทำไมกัน
อันตัวฉัน พูดอะไรมัน ก็ไม่ดี
แต่คนเรา ยังไง ก็ต้องพูด
ทำหมดมู้ด ฉันเอง ทุกสถานที่
โทษคนอื่น โทษไม่ได้ ทำไงดี
คุณหมอ House แบบนี้ ฉันก็เป็น

หนังเรื่องหนึ่ง แม่ลูกสาว ร้าวสัมพันธ์
เข้าใจกัน ไม่มีวัน เข้าใจไหม
แต่ตอนท้าย เรื่องเฉลย ว่าทำไม
เพราะไม่อยาก ทำร้ายใคร ไม่จริงๆ
คุณแม่ เครียดเรื่องราว ในชีวิต
ฟ้าลิขิต เจอเรื่องโศก อีกโรคซิ่ง
เอาแต่วิ่ง เข้าหา เหมือนเสกปิ๊ง
อยากจะทิ้ง ทำไม่ได้ เกาะกอดใจ

ในที่สุด ลูกสาว ก็ได้รู้
เมื่อได้ดู รูปอดีต ฟังเรื่องหลาย
เพื่อนของแม่ ตีแผ่ ให้เข้าใจ
รักลูกมาก เจ้าดวงใจ แม่ไห้ตรม
แม่หลีกหนี เดี๋ยวแม่ ทำไม่ดี
ชีวิตนี้ เกิดมา ต้องขื่นขม
เรื่องร้ายๆ ที่กร่ำกราย ทุกข์ระทม
ไม่อยากทำ ให้ลูกขม ตรมเช่นตัว

ฉันก็คิด คล้ายๆ กับคุณแม่
รักแน่แท้ จึงหลีกไกล ไม่เยี่ยมหา
คนหนึ่งคน สอนไป ตามวาจา
ไม่หรอกหนา ไม่เป็น ดั่งพร่ำเตือน
เด็กๆ ตั้งแต่เล็ก ได้เรียนรู้
เอาอย่างครู พ่อแม่ เลียนแบบเหมือน
ไม่ตั้งใจ มันเป็นไป ตามแบบเพื่อน
เรื่องที่เตือน ไม่ทำ ทำที่เป็น

ฉันไม่ไป เยี่ยมหลานป้า บ่อยๆ
เจ้าตัวน้อย เหมือนฉัน เรื่องหลายๆ
พ่อแม่เขา อาจไม่อยาก ให้ลูกกลาย
เป็นคล้ายๆ ฉันอีกคน ไม่ต้องการ
ฉันเป็นไร ฉันแน่ใจ ว่าฉันชอบ
ออกนอกกรอบ ไม่ตอบ ไม่อ่อนหวาน
คนตรงๆ คนไม่ชอบ ไม่ได้การ
นานๆ จึงไปเยี่ยม หลานสักที

ถ้าหลานโต แล้วนิสัย คล้ายๆ ฉัน
จะว่ากัน ก็ไม่ได้ เข้าใจไหม
ฉันคงต้อง ป้องกันตัว เพื่อสุขใจ
ใครเลี้ยง ก็ทำให้ คล้ายเจ้าตัว
ยังก่อน ยังไม่รับ โทรศัพท์
ยังไม่รับ ยังพักใจ ให้สุขสันต์
ไม่ต้องการ ได้ยินคำ เสียดใจกัน
จากคนนั้น คนสำคัญ คนที่รู้ว่าใคร

รักตัวเอง จำไว้ รักตัวเอง
ไม่ต้องเกรง ไม่อยาก รู้สึกผิด
ไม่เอาแล้ว ไม่ให้ อะไรสะกิด
ฉันห่วงจิต กลัวใจ ไหม้ระทม
ประวัติมี ญาติพี่น้อง ต้องคำสาป
ฉันจึงกราบ ขอพระ ไม่อยากขม
ทำซ่า ไม่ประมาณตน คงได้ตรม
จิตต้องข่ม ช่างมัน วันนี้พอ

ป้าของฉัน ฝันค้าง ร้างในจิต
ไม่ทำผิด ไม่คิดแย่ง ผลงานเขา
แต่เจอ คนเขา แทงหลังเอา
ป้าเศร้า ป้าตรม ระทมใจ
ฉันสงสัย จำมั่น ฉันอยากรู้
เหมือนเป็นครู สอนสั่ง บ่มนิสัย
ป้าดูดวง จำแม่น กว่าเรื่องใด
แม้ป้าไม่ ทำงาน แต่นั้นมา

ป้าพูดเรื่อง วิชาการ เศรษฐกิจ
เรื่องส่วนตัว สักนิด ทำหน้าใส
ป้าไม่ยุ่ง เรื่องส่วนตัว ของใครๆ
เหมือนปิดใจ ไม่รับ หนีความจริง
ลุงอีกคน พูดจา เหมือนหาเรื่อง
ทำวางเขื่อง คนเคือง อยากทอดทิ้ง
แต่พี่น้อง คลานตามมา ให้พักพิง
ฉันนั่งนิ่ง ฟังคำ ว่าทำไม

ลุงขอลา ที่ทำงาน เขาไม่ให้
ลุงจะไป งานศพยาย ไม่ให้หรือ
ลุงไม่ทำ งานต่อ ทำเสียชื่อ
แม่ไม่ถือ แม่เข้าใจ ไม่ว่าเลย
แต่ละคน มีลิมิต ที่แตกต่าง
เอาใจเขา ใส่เราบ้าง จะดีไหม
พี่ของเพื่อน แค่โดนล้อ แรกรุ่นวัย
วิปลาส รับไม่ได้ ใจพัง

ญาติห่างๆ มีอีกหลาย คนนะ
แล้วฉันจะ เสี่ยงทำไม เพื่ออะไรหรือ
แม่ยอมให้ ไม่ทำงาน ยังดื้อ
ตอนนี้ฉัน ไม่ยื้อ แม่บื้อเลย
หยุดยืนยัน คำพูด ของตัวเอง
อย่าข่มเหง ทำร้ายใจ เลยแม่เอ๋ย
ผมปรกหน้า ตอนนี้ ปล่อยโทรมเลย
อย่าเปรย เรื่องใดๆ ให้ช้ำทรวง

ตอนนี้ทำ แต่เรื่อง ที่ชอบคิด
เลิกกลัวผิด ปิดใจ เคยโศกเสมอ
หลีกเรื่องทุกข์ ใดๆ ไม่อยากเจอ
ไม่ว่าใคร ไม่ยอมให้ ทำอันตราย
อยากหยุดพัก ยังคง รู้สึกเหนื่อย
อยู่นิ่งๆ ต่อไปเรื่อย สุขหลาย
เมื่อคืนฝัน จัดต้นไม้ ยักย้าย
รู้สึกสบาย แสนสุขกาย ยิ้มใจ

เรื่องคุณหมอ House ขอเว่าต่อ

season สาม ฉันตาม มาเกินครึ่ง
ทึ่งตะลึง อึงอ้ำ ช้ำฤาไหว
คุณหมอ House ใช่ประหลาด ขลาดกว่าใคร
ดูๆ ไป ก็คล้ายๆ ใครหนึ่งคน
ก็จะใคร คนใด ที่ไหนเล่า
ฉันที่เฝ้า ดูอยู่ เหมือนขุดค้น
คนสับปลับ คนกลิ้งกลอก ที่ไม่ทน
คนที่คน บ่นกัน สนั่นเมือง

คุณหมอ House เขาไม่ใช่ ตัวตลก
บ้างลามก สกปรก และลื่นไหล
คนชอบว่า คุณหมอ House ไม่แคร์ใคร
หาได้ใช่ อย่างใคร คอยว่ากัน
อันตัวฉัน มองว่า ไม่บ้าหรอก
แม้ตะคอก ไม่ดอก คนดื้อรั้น
ขาทำปวด ทรมาน ทุกวี่วัน
คนๆ นั้น ทุกข์บีบคั้น ทุกข์ท่วมใจ

ใส่อารมณ์ ทำคนตรม อยู่ได้
เหมือนทำลาย ความสัมพันธ์ เธอฉัน
เขาจึงไม่ สุงสิงใคร ให้เจ็บกัน
ใส่มันส์ๆ แค่นั้น ในเรื่องงาน
การถกเถียง ด้วยสำเนียง เยี่ยงกักขฬะ
เอาชนะ ด้วยเหตุผล ไม่คำหวาน
ข้อเท็จจริง เชื่อมโยง จึงพูดค้าน
เป็นตำนาน กล่าวขาน สะท้านโรง (พยาบาล)

สิ่งที่เห็น ไม่ได้เป็น อย่างที่คิด
คนประดิษฐ์ เรื่องราว มองแง่ร้าย
หากใส่ใจ คนทุกข์ใน คงละอาย
เจ็บทั้งกาย ร้าวดวงใจ ใครรู้ทัน
ตอนที่ปลอบ สาวสวย โดนข่มขืน
ทุกข์กล้ำกลืน ขมขื่น สาวคนนั้น
เสียพรหมจรรย์ เพราะชายโฉด ไม่เท่าทัน
อีกมีครรภ์ ทำแท้งไป ไม่ได้เลย

เธออยากคุย แค่คุย กับคุณหมอ
ยังไงก็ รอหมอว่าง เธอรอไหว
นัยน์ตาเศร้า เพราะเขา โศกฝังใน
คงคล้ายๆ เธอไง จึงอยากคุย
สาวถาม อะไรทำ ให้หมอทุกข์
เสียงนั้นปลุก ทุกข์ลุก เพราะโดนคุ้ย
ระบายไป นั่งนิ่ง ไม่ทำจุ้ย
เพราะได้คุย จึงได้(ชี้)แจง แทงอารมณ์

คุณหมอ อยากเป็นหมอ ก็เพราะว่า
เพื่อนทุกข์มา ไม่สบาย ความหลังรื้อ
คนที่ รักษาได้ คนนั้นคือ
คนอื่นถือ ดูถูก เพราะคำ(ทัก)ทาย
แม้ใครๆ เหยียดหยาม แต่ถามหน่อย
ใช่ค่าน้อย คนว่าถ่อย ดีใจหาย
แต่คนนี้ ทำให้ เพื่อนหมอไม่ตาย
คงคล้ายๆ หมอ House ของเรานั่นเอง

เรื่องอีกตอน คนไข้ พ้นโคม่า
แต่กลับกลาย เป็นว่า น่าสงสาร
เพราะลูกชาย ที่มาเยี่ยม เนิ่นนาน
หัวใจ แทบใช้การ ไม่ได้เลย
คุณพ่อ พ้นโคม่า ข้าขอเที่ยว
แรงเรี่ยว ที่กลับมา ทำไม่เฉย
แต่ไม่ยอม เยี่ยมลูกตัว ที่คุ้นเคย
ต่อมาเฉลย ที่ละเลย เพราะพ่อกลัว

คุณพ่อ รับผิดชอบ เต็มไปหมด
เขาจำจด แก้ไม่ได้ สักปัญหา
ทำอย่างไร ก็ไม่อาจ ช่วยลูกยา
แล้วจะให้ มองหน้า ไม่อาจทน
คุณหมอ House วันนั้น ยอมแบ่งปัน
ตอบคำถาม โดยพลัน ไม่วกวน
หมออยาก พ่อพูด(อะ)ไร อย่างท่วมท้น
หมอตอบ ทำฉันจน อึ้งใจ

หมอเพียง อยากขอ ให้พ่อ approve
ว่าทำถูก ใจพันผูก เรื่องครั้งนั้้น
สะเทือนใจ ฝังใน ทุกๆ วัน
ตัวฉัน ก็อยากได้มัน เหลือเกิน
ลูกไม่แคร์ ใครเขา เท่าพ่อแม่
ใครรังแก ไม่หวั่น ไม่ขัดเขิน
เพียงยอมรับ ลูกนี้ ก็จะเดิน
live & learn ชีวิตเพลิน เกินใคร

เมื่อลูก อยากได้ หัวใจใหม่
หัวใจใคร ขอไม่ได้ ทำไงหนา
หัวใจพ่อ ให้ได้ เพื่อลูกยา
เพราะโคม่า คงมา ในไม่นาน
เสียดาย ลูกไม่ได้ เห็นคุณพ่อ
ต้องฆ่าตัว เพราะกลัว ไม่ทันการ
หัวใจพ่อ ที่ยกให้ ได้ประสาน
ประสบการณ์ พ่อประทาน ประทับใจ

season สาม ฉันตามดู ต่อเนื่อง
เข้าใจเรื่อง เวลาเปลี่ยน ไม่ไปไหน
เวลาพา คุณหมอ เป็นอย่างไร
รู้ด้วยใจ สมองใช้ ไม่แค่เพลิน
หมอพูดคุย กับคนไข้ มากขึ้น
บทสนทนา ไหลลื่น คล้ายเหาะเหิน
ได้แบ่งปัน ความรู้สึก ได้ learn
ฉันดูเพลิน ได้ข้อคิด สะกิดใจ

แต่ละตอน ส่วนใหญ่ คนไข้ไม่ตาย
ไม่ต้องทาย ก็รู้ ยังไงก็หาย
season นี้ ดันมี คนไข้ตาย
หัวใจวาย เพราะติดเชื้อ เหลือเชื่อจริง
วินิจฉัย ยังไง ก็ไม่พบ
ตอนใกล้จบ พิสูจน์ศพ ไม่ทอดทิ้ง
ในที่สุด ก็ได้ รู้ความจริง
เชื้อที่วิ่ง สู่กาย จากยกทรง

คุณหมอ House ฉลาดล้ำ รู้ไปหมด
แต่เรื่องตัว กดดัน เกือบทำเสีย
ในเรื่อง ได้ขอโทษ และขอเคลียร์
ไม่ได้เลีย รอดตลอด เกือบถอดใจ
กล้ามเนื้อตาย ที่ขา ล้าไปหมด
ปวดไม่ลด ไวโคติน ทำทนไหว
เห็นเขาปวด นึกถึง ฟิลิปในใจ
เขาคงไม่ ติดใจ ในตัวยา

มีอยู่ครั้ง เพื่อนหมอ พูดแทงใจ
สังคมไม่ อยู่เดี่ยว เปล่าเปลี่ยวหนา
คิดพักร้อน หยุดงาน ไม่ธรรมดา
ฉันว่า เขาไม่เคย ไม่ทำงาน
ในที่สุด ก็ได้เที่ยว กับ Cuddy
สาวคนนี้ รู้ค่า คอยประสาน
เป็นหัวหน้า โดยตรง ที่ทำงาน
ให้เป็นทาน พาไปเที่ยว ออกเงิน

แอบตลก ขึ้นเครื่อง ต้องรักษา
จำไม่ได้ แล้วว่า เป็นโรคไหน
หมอ Cuddy ไม่สบาย ตามไป
ที่ไหนได้ โรคทางจิต คิดจนเป็น
ฉันพอรู้ ได้ยิน เรื่องยาหลอก
พ่อ(ฉัน)รู้ดอก วิตามิน ให้กินเล่น
คนไข้คิด ว่ายาดี โรคที่เป็น
หายดั่งเช่น กินยาจริง วิ่งไว

พ่อแม่ฉัน เป็นหมอ ก็ไม่ดู
หากได้รู้ คงกู้ สัมพันธ์ได้
ฉันได้ดู ก็รู้ อยู่ในใจ
คนไข้ สำคัญ กว่าครอบครัว
เสียสละ ระวัง และรอบคอบ
หาคำตอบ ตั้งใจ ไม่เคยมั่ว
วันหยุด วันทำงาน ไม่มีรั่ว
ทำตัวดี สองคนนี้ น่าชื่นชม

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ตอบกลอนย้อนหยิก เวอร์ชั่นปรับปรุง

โธ โธ ไม่ว่างอุตส่าห์มาบอก
กลัวช้ำชอกออกนอกหน้ากระนั้นเชียวหรือ
คุณหริ่นจ๋าไม่ต้องห่วงฉันไม่ถือ
ใครจะลืออย่างไรไม่แค้นเคือ
ดูซีรีส์มากมายคล้ายเป็นงา
คนนิสัยพาลแอบอ้างชอบวางเขื่อง
สีข้างถูถลอกไปจนได้เรื่อง
กาลเบื้องหน้าเธอจ๋าไม่รู้เป็นไง

House เมื่อวานดูครบรบเต็มวัน
วันของฉันมั่นหมายท้ายใช่"สอง"แต่คือ"สี่"
ตาเริ่มม่วงกลวงโบ๋นึกว่าโก้ละซี
ขอพักนิดวันนี้ลาลี้ภัย
คิดได้ช้าดีกว่าล้าไม่ได้คิด
ใครว่าติดก็ว่าไปเรื่องไม่ใช่
เพิ่งคิดได้ตอนนั่งส้วมสมองใส
เริ่มเข้าใจคุณหมอ House เศร้าระทม

ซีรีย์ย้ำทำซ้ำเหยียบย่ำคุณหมอ
หาว่าจ้อชอบล้อท่อน้ำเสีย
คำว่า"ท่อ"ฉันหมายใช่โลมเลี
คุณหมอเพลียคนหนอข้อคดใน
ไม่สนใจคนไข้ไม่ร่วมมือ
ฟังแล้วตื้อสมองบื้อซื่อที่ไหน
ถามอาการจากผู้ช่วยรักษาไป
เขาเชื่อใน MRI CT scan

คนว่าเขาเท่าไหร่ไม่เคยแคร์
มีเพื่อนแท้แค่ Wilson มันส์เหลือหลาย
ยังรอดูอยู่ว่าเพื่อนอาจกลับกลาย
เป็นตัวร้ายไม่ไหวไม่อภัย
เข้าคุกจุกเพราะใครเพราะใช่เพื่อน
ไม่ลืมเลือนความรักมักมีเงื่อนไข
คุณหมอ House ทำให้ความเชื่อที่ฝังใน
ได้ทำให้ต้องกลายเป็นคนตรม

ทิฐิรุนแรงสำแดงแทงให้เศร้า
แต่นึกเอาหากไม่มั่นไม่รั้นได้ไฉน
วิเคราะห์ถูกหากโลเลไม่มั่นใจ
คนไข้ไซร้ต้องตายมลายพลัน
อันข้อดีนั้นมาพร้อมข้อเสีย
หากอ่อนเปลี้ยไม่แน่ใจในครั้งนั้น
การรักษาหาได้มั่นสั้นจบกัน
ความดื้อรั้นคิดไม่ตันโรคมันตาย

คุณอนันต์โทษมหันต์มันธรรมชาติ
ตัวประหลาดใครๆ ไม่ประสงค์
ไม่สุงสิงไม่เข้าใจคนทรนง
เราต้องปลงคงมั่นมองข้อดี
ข้อร้ายอย่าสนใจไปประชดเขา
กวนตีนเอาโดนเหน็บจะเจ็บนะพี่
คำแสบทรวงถ่วงดุลลบความดี
ปล่อยเขาเถอะพี่มองแต่ดีดูนานๆ

เพ้อไปไกลขอกลับมา...ก่อนนะ
เธอจ้ะรุ่นหญ่ายย้ายย่องคล่องชอปปิ้ง
เรื่องอาหารดูแลไม่เคยทิ้ง
ฉันนั่งนิ่งมีกินก็หม่ำไป
เทมปุระกุ้งข้าวยำฉันจำจด
ไม่ต้องลดน้ำหนักรักเหลือหลาย
กุ้งห้าสิบบาทที่ตลาดแสนถูกใจ
เธอลองไปตลาดออมสินถูกลิ้นถูกเงิน

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เรื่องโง่ๆ

ห่างหายไปนาน ได้อ่านสักขีพยานแห่งความรักของคุณหริ่นแล้วสะดุดที่ "ความรักมันทำให้คนอ่อนแอ"...

ฉันเคยบอกตัวเองว่า "สมองหาย" ทุกครั้งที่มีความรัก

เวลาฉันต้องอยู่กับตัวเอง ฉันก็ทำทุกอย่างเอง แต่เมื่อใดมีคนมาทำให้ ฉันก็ดูจะเป็นอัมพาตไปในทันใด ทีนี้ปัญหามันอยู่ที่ว่า พอไม่มีคนทำให้ ฉันจะกลับมาทำทุกอย่างเองได้เลยรึเปล่า หรือต้องค่อยๆ ทำกายภาพบำบัดจนเดินได้ใหม่อีกครั้ง...

ฉันอยู่ในภาวะสูญญากาศมาร่วมครึ่งปี ไม่นับอาการอัมพาตจากการที่มีคนทำอะไรๆ ให้มาสักปีนึงเห็นจะได้ ฉันทำตัวเองทั้งนั้น ก็เป็นโชคดีอยู่อย่างที่ไม่ต้องโทษดินฟ้าอากาศ โดนประทุษร้ายจากใครๆ นอกเสียจากสองคนที่ฉันยอมให้มีผลกระทบต่อจิตใจมานานแสนนาน

ฉันทำตัวเองทั้งนั้น...

ฉันมีคำถามวิ่งวนแต่เนื่องด้วยผู้เกี่ยวข้องใช้ภาษาไทยเป็นหลักจึงไม่สะดวกจะบอกกล่าวเล่าขาน ณ ที่นี้

มีตัวช่วยบอกแผนเสร็จสรรพ แต่หากเลือกทางที่ "ไม่โง่" ฉันก็จะรู้สึกผิด ฉันเลยเลือกทางที่"โง่" ต่อไป แล้วก็ปล่อยให้ทุกอย่างสะดุดหยุดพักอยู่อย่างนั้น รอจนกว่าปัจจัยภายนอกจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แล้วจึงจะเลือกทางเลือกที่ "ไม่โง่" ต่อไป

ฉันมาสะดุดตรงที่ตัวช่วยบอกว่าฉันเป็นคนไม่อดทน วันก่อนดูดวงก็ว่าฉันไม่อดทนเหมือนกัน ตกลงคำว่า อดทน มันแปลว่า อะไรกันแน่ การไม่ชอบแข่งขันชิงดีชิงเด่นกับใคร แปลว่าไม่อดทนเหรอ แล้วทำไมคนชอบหาว่า ฉันชอบเอาชนะล่ะ มันเข้าใจยากอะไรกันนักหนา

หรือฉันเองที่โง่แล้วก็ไม่รู้ตัวเองว่าโง่จริงๆ

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

จากฝัน...อีกครั้ง

คงอดไม่ได้ที่ฉันจะบอกว่า ฉันลงมือเขียนบล้อกวันนี้เพราะอ่านบทความในบล้อกของคนๆ หนึ่ง...

ไม่ว่าบทความนั้นจะเกี่ยวเนื่องกับฉันหรือไม่ ฉันก็รวบรัดตัดความเรียบร้อยว่า มันคือฉันนี่แหละ

ช่วงนี้ ฉันไม่ค่อยทำตามที่เคยพูด เคยบอกตัวเองไว้เท่าใดนักหรอก แล้วมันก็ไม่ได้ทำให้ฉันสบายใจเหมือนกัน ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมฉันไม่ทำ เรื่องต่างๆ ฉันทำได้ ไม่ได้เกินความสามารถแต่อย่างใด แล้วฉันก็เก็บเอาไปฝัน

เมื่อคืนฝันว่า เอาของไปส่งที่ไปรษณีย์ ฝันครั้งนี้ละเอียดขนาดเห็นทุกขั้นตอนเหมือนฉันไปทำจริงๆ ทั้งปัญหาและการแก้ปัญหา

ฉันเคยฝันทำนองนี้หลายครั้งนะ บางเรื่องก็ทำตามฝัน บางเรื่องก็ไม่ทำมันซะอย่างงั้น

เป็นความไม่รับผิดชอบ เป็นการผลัดวันประกันพรุ่ง เป็นคนเหลวไหล เชื่อถือไม่ได้...ฉันยอมรับทุกประการโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

อันที่จริงแล้ว การทำอย่างที่ฝันดูจะง่ายกว่าฝันให้ละเอียดเหมือนที่ควรจะทำ เรื่องง่ายๆ ไม่ทำ แต่ทำเรื่องยากๆ โดยไม่รู้ตัว

จนถึงวันนี้ ฉันก็ยังไม่ทำหลายๆ เรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบ ยังรู้สึกผิดอยู่เสมอ แต่ก็ยังไม่ทำอยู่ดี เหมือนจะรอให้ถึงเวลาที่ความรู้สึกพาให้อยากทำ

ดูเป็นคนไร้เหตุผลสิ้นดี!

จะมีใครรับเหตุผลที่อยากจะบันทึกแบบข้างๆ คูๆ นี้มั้ยนะ

ทุเรศตัวเองเล็กน้อยที่ชอบอ้างคนใหญ่คนโตในประวัติศาสตร์โลก คนที่เป็นพวก davinci type แม้จะสร้างผลงานเอกมากมายแต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่ทำไปครึ่งๆ กลางๆ ด้วยรู้สึกเบื่อ หรือไปเจออะไรที่สนุกกว่า

ฉันเลือกที่จะไม่ใช้เหตุผลกดความรู้สึกแล้ว ชั่วร้ายจริงๆ ขนาดงานวันเกิดแม่ตัวเองยังไม่ไปเลย ฉันไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลยนะ ฉันรู้สึกว่าฉันมีภาระที่ต้องทำอะไรเพื่อบุพการี แต่ทำยังไงก็ห่างไกลจากมาตรฐานของ "ไก่ที่เป็นหมอทั้งสอง" ไม่ว่า "อีกาหรือนกอินทรี" ตัวนี้จะปรับตัวอย่างไร ก็แปลกแตกต่างในสายตาของ"ไก่" ทั้งหลายอยู่เหมือนเดิม

ตอนนี้ฉันเลือกเป็นตัวของตัวเองเต็มขั้นและยอมรับผลทุกแง่ที่จะตามมา มีหลายคนที่มองว่าการเปลี่ยนแปลงของฉันเป็นเพราะคนที่อยู่ข้างๆ จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ฉันคิดว่า ฉันเจอคนที่ยอมรับ "อีกาหรือนกอินทรี" ตัวนี้แล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นนกประเภทเดียวกันหรือนกตระกูลอื่น ค้างคาว แมลงปอ แมงเม่า มังกร คองกามาโต กบบินเวลเลส จิ้งหรีด ผีเสื้อ แมลงวัน ยุง แมลงสาป หิงห้อย แมงดา(เพิ่มรู้ว่ามันบินได้) ห่าน เป็ด นกยูง กระรอกบิน flying lemurs นกเพนกวินบิน จิ้งจกบิน ไก่บิน หรือสัตว์อื่นที่บินได้แล้วฉันยังไม่รู้จัก มันก็ทำให้ฉันได้ปลดปล่อยความรู้สึกที่ถูกกดทับออกมา ฉันพอใจจะมองและรอรับผลของอารมณ์ความรู้สึก ที่มักจะสุดโต่งทั้งทางสูงและทางต่ำ สร้างสรรค์ผลงานแม้ยามมืดมิด

ใครที่เกี่ยวพันกับฉันคงต้องรอ หรือไม่ก็หาทางอื่น ฉันไม่ว่าอะไรทั้งนั้น เพราะฉันรู้และได้แจ้งแล้วว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น เพียงแต่ฉันคาดว่ามันจะเกิดขึ้นหลังจากที่ฉันเคลียร์เรื่องต่างๆ เรียบร้อยแล้ว

อยากบอกไว้ ณ ที่นี้ ว่า ฉันซาบซึ้งใจ กับถ้อยคำสั้นๆ ที่บอกถึงความสัมพันธ์ที่อยากให้คงอยู่ แม้จะเกิดการจากไปบางอย่าง ขอบคุณสำหรับถ้อยคำเหล่านั้นนะเธอ

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วันคืนแห่งความฝัน

ที่เป็นวันคือฝันเวลากลางวัน ที่เป็นคืนคือฝันเวลากลางคืน เพราะไม่รู้ว่าตอนที่ฝันมาราธอนเป็นกลางวันหรือกลางคืน...

ขอไล่แต่ละฝันก่อนจะลืมหลังจากหม่ำๆ แล้วจะมาร่ายยาวเจ้าค่า ^_^

กิ่ง

ชิน

ปริม เจ่๊บี

คนเคยอยู่ข้าง คนสำคัญ

พี่แจง

น้องชาย เพื่อนเก่า

วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ทำมั๊ย ทำไม!!

ทำไมการทำงานของฉันถึงเป็นปัญหาอยู่เสมอ...

ทำไมฉันจัดการปัญหาได้ไม่ดีเหมือนคนอื่นๆ ปัญหาฉันแปลกประหลาด หรือฉันเองที่แปลกประหลาดเอง (สงสัยจะเป็นอย่างหลัง)

ฉันนั่งนึกย้อน ตั้งแต่ทำงานครั้งแรกที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง เลขาเจ้านายเกี่ยงงานที่ฉันขอให้ช่วยแล้วเธอก็ไปฟ้องคนอื่นๆ ในทีม เจ้านายโดยตรงของฉันไม่ถาม ใช้วิธีสังเกตแล้วเธอก็เลือกเอาเองว่าฉันเป็นคนยังไง อันที่จริงก็ไม่มีใครรู้ความจริง เพราะมีเพียงเลขาฯ ฉันและฟ้าดิน

หมู่นี้ฉันนึกถึงช่วงเวลาทำงานที่ต้องตรวจสอบธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ หรือที่เรียกติดปากว่า แบงค์บีบีซี ฉันเฝ้าแต่คิดว่า ฉันจะทำตัวเป็นฮีโร่ แบบแจ๊ค บาวเออร์ในซีรีย์ 24 หรือไม่ แล้วจะเกิดผลลัพธ์ใดกับฉัน ติดคุกมั้ยนะ ตอนนั้นฉันเลือกทำตามกฏ ไม่ใช่เพราะไม่กล้าเสี่ยง แต่ไม่รู้ว่าเป็นผลดีหรือไม่ถ้าบอกกับหนังสือพิมพ์

กลับมาทำงานในบริษัทที่ประมูลงานของรัฐอยู่สองบริษัท ได้มีส่วนรู้เห็นและกระทำการที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติแต่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันยอมรับได้ เหมือนคนไม่สู้ปัญหาแล้วฉันก็ออกจากงานแบบทุบหม้อข้าว ส่วนอีกงานหนึ่งฉันลาออกเพราะเลือกทางเลือกอื่นที่น่าจะลงตัว แม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านจากหลายๆ คน

ทำงานต่างจังหวัด และกำลังจะขยายงาน เพื่อเตรียมความพร้อม กลับเข้ากรุงเพื่อทำงานอีกงานและเพื่อเรียนปริญญาโทอีกใบ เหลวหมดทุกอย่าง แล้วก็ต้องระเห็ดหนีกลับมากรุงเทพอย่างถาวร

กลับมาทำงานในบริษัทที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับที่มีการประมูล ได้โอกาสที่ดี ได้ทำงานที่อยากทำ แม้จะเกิดปัญหาว่าบางช่วงไม่มีงานให้ทำ ต้องรอจังหวะเวลา แล้วก็รู้สึกผิดมากมายในใจซึ่งไม่ควรจะรู้สึก พอเจ้านายใหญ่ต้องออกไปตามมารยาท ก็เกิดการโดนลอยแพ เคว้งคว้างทั้งทีม แล้วฉันก็เลือกไปรับตำแหน่งในงานอีกส่วนงานที่ฉันสนใจ เพิ่งมารู้ว่าการมีนายที่ดูแลเราดีกว่าทำงานกับนายที่เข้าใจผิด หวังประโยชน์จากสายสัมพันธ์ของฉันและระแวงอันเนื่องมาจากไม่เข้าใจเจตนาในการทำงานของฉัน

ชีวิตเว้นวรรคแบบไม่มีจุดหมาย แล้วก็ได้กลับมาทำงานที่น่าจะเข้ากับตัวฉันมากกว่างานทั้งหมดที่เคยทำ ไม่ต้องติดกับความรู้สึกผิด อันที่จริงก็รู้สึกเป็นพักๆ จนในที่สุด ก็เลือกที่จะทำอะไรที่ไม่ขึ้นอยู่กับคนอื่น อาจจะได้ช่วยงานคนที่อยากช่วยฉันและฉันก็สามารถทำประโยชน์ให้เขาด้วย คนที่เดือดร้อนจากอะไรเหมือนๆ กันย่อมเข้าใจกันได้ดี เข้าใจแบบที่ฉันไม่คาดคิด

แล้วปัญหาเก่าที่หายไปนานก็กลับมาอีกครั้ง...

มีอยู่พักหนึ่งที่ฉันคิดว่า คนอย่างฉันคงไม่ควรจะมีคู่ ใครจะรับได้ว่าฉันทำงานในที่เที่ยว ที่ๆ คนโสดและไม่โสดมองหาและมองผู้หญิงในแง่มุม"นั้น" ฉันคิดไปคิดมาก็จะเลิกแคร์แล้ว และคนข้างๆ ฉันก็ต้องรับให้ได้ด้วย เพราะไม่ว่าฉันจะทำยังไง ก็ไม่พ้นโดนมองไม่ดี เรื่องเดิมๆ เปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนคน แต่ไม่เปลี่ยนสาระสำคัญ

มีบางคนเข้าใจเหมือนกัน แต่มันน้อยจริงๆ ในเมื่อคนส่วนใหญ่พอใจจะมองผู้หญิงในแง่มุม "นั้น"

ฉันเริ่มทำตัวชั่วร้ายอีกครั้ง ฉันไม่ฝืนใจ ไม่ปรับโดยที่ไม่ว่าจะปรับยังไงก็ไม่คิดว่าฉันใช้ความพยายาม ก็ในเมื่อผลลัพธ์เหมือนกัน ฉันไม่ทำให้มันเหนื่อยไม่ดีกว่าหรือ ฉันยอมแพ้แล้ว เลิกโต้แย้งด้วยเหตุผลของฉัน ยอมรับผิดเอง ถ้าสบายใจคุยได้ติดต่อได้เมื่อไหร่ค่อยทำ จะได้เข้าใจซะทีว่า ฉันน่ะเป็นคน difficult ตามศัพท์บัญญัติของเธอคนนั้น ฉันชั่วร้ายเกินไปมั้ยที่ทำให้เธอนอนไม่หลับหลายวัน เที่ยวถามคนนั้นคนนี้จนทำให้คนใกล้ตัวกังวลและต้องมารับรู้เรื่องของฉันไปด้วย แล้วฉันก็ปฏิบัติไม่เหมาะสมกับคนที่ฉันต้องพึ่งพา ยังไงก็อกตัญญูอยู่ดี จะคิดให้มากไปใย

วันนี้มีพี่ที่เคยบอกฉันว่า ไม่มีวันโกรธฉันโทรเข้ามาในวันที่ฉันเพิ่งเปิดโทรศัพท์ และนั่นเป็นสายเดียวที่รู้เบอร์ที่สองของฉัน ฉันซาบซึ้งในความเป็นห่วงที่มีให้กัน แม้ว่าคืนนี้จะไปเจอพี่พร้อมกับพี่อีกสองคน หนึ่งในนั้นเกาฝ่ามือฉันตอนจับมือ (อีกแล้ว)

ฉันควรจะบอกพี่คนดีมั้ย ควรบอกคนข้างๆ ที่ก็กังวล (จะตายแล้ว) มั้ย หรือควรจะเก็บไว้คนเดียวเหมือนเคย และจะได้ผลลัพธ์โดยไม่ต้องหวังว่าพี่คนนี้จะเข้าใจว่าที่ฉันทำตัวปกติจะแปลว่า ฉันไม่ถือโทษโกรธเคือง ให้อภัยแต่ไม่ใช่ไม่รู้

ฉันน่าจะได้ผลตอบแทนจากการทำงานในไม่ช้า...

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วันศุกร์ที่ยังไม่สุก

วันนี้ไปตลาดมา...

ขับรถออกจากประตูคอนโด มองไปทางขวา หน้าปากซอยเห็นรถติดหนึบบนถนนพหลโยธิน ยังไงก็ต้องเลี้ยวซ้าย ก็เลยเลี้ยวซ้าย ทะลุตรอกซอกซอยจนไปออกซอยอารีย์ ร้านค้าคึกคัก แผงลอยขายของเต็มไปหมด รถจอดสองข้างทาง หาที่จอดรถยากเหลือเกิน ฉันวนอยู่สามรอบ หลังจากที่โดนบีบแตรไล่ กับคิดต่างเรื่องจอดบริเวณห้ามจอดกับคนข้างๆ ในที่สุดก็ได้จอดตรงแผงลอยขายผักที่คนข้างๆ ไปซื้อเข้าบ้านเป็นประจำ

แวะกินเย็นตาโฟก่อนชอปครั้งใหญ่ อากาศร้อนมาก ร้านก๋วยเตี๋ยวที่เดินผ่านฉีดน้ำขึ้นกันสาด น้ำไหลไปโดนมอเตอร์ไซด์สามคันที่จอดข้างใต้ คันนึงมีผ้าสีน้ำเงินอ่อนวางคลุมเบาะสีดำ ไม่รู้ว่ากันเบาะที่นั่งร้อนหรือกันมันเปียกน้ำ น่าเห็นใจทั้งเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวและเจ้าของรถมอเตอร์ไซด์ แต่ไม่แน่นะ มอเตอร์ไซด์ที่โดนน้ำอาจจะแห้งก่อนเจ้าของกลับมาก็ได้

ซื้อทั้งของคาว ได้ปลาอินทรีกับปลากระพง กุ้งครึ่งกิโล หอยนางรม ส่วนผัก ได้ยอดมะพร้าว มะเขือเทศ หัวหอม มะนาว ผักกาดแก้ว ผักหวานและเห็ดอีก 3 ชนิด ถั่วต้ม 20 บาท ก่อนกลับสอยมังคุด เงาะและกล้วยน้ำว้า แหม เดี๋ยวนี้ฉันกินอาหารครบทุกหมู่เลยนะเนี่ย

มื้อเย็นเป็นยำมะเขือยาวกับปลากระพงนึ่งมะนาว ถ้าไม่รีบกิน มะเขือยาวคงจะเน่าในไม่ช้า แกล้มเบียร์แช่แข็งจนเป็นเกล็ด 2 ขวดที่เหลือจากคราวก่อน แล้วฉันก็มานั่งหน้าคอมฯเหมือนเดิมนี่แหละ

เหตุการณ์บ้านเมืองดูจะนิ่งๆ แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นน้ำนิ่งไหลลึกรึเปล่า ได้อ่านบทความดีๆ ของคุณสมเถา สุจริตกุล แล้วก็ได้เห็นมุมมองประหลาด เขาคิดว่าอภิสิทธิ์น่ะเสื้อแดง ส่วนทักษิณน่ะเสื้อเหลือง อ่านดูก็เข้าใจความคิดของเขา มีอีกหลายมุมให้มอง แค่แดงกับเกลียดแดงมันไม่พอหรอก

วันนี้รีบโหลดหนังมาดูดีกว่า เดี๋ยวจะหลับก่อนจบเหมือนคราวที่แล้ว ไปละนะเธอ ^_^

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เมื่อเวลาผ่านไปอีกหนึ่งวัน

เมื่อเวลาผ่านไปอีกหนึ่งวัน ฉันคิดว่าคำอธิบายบางอย่างในบทความ "วันแห่งการบริโภคข่าวสาร" อธิบายความเพียงด้านเดียว แต่แล้วก็ตอบตัวเองว่า ฉันเลือกหยิบการมองในแง่ร้ายของแต่ละฝ่ายขึ้นมาพูดพร้อมๆ กัน น่าจะได้ให้ความยุติธรรมกับทั้งสองฝ่ายแล้วนะ "ทุนนิยม" กับ "ไร้สาระ" ไม่ได้อธิบายได้ทุกอย่างหรอก พอๆ กับ "สลิ่ม" กับ "ควาย" นั่นแหละ

แต่วันนี้เจอคำคมของโอบามาที่ถูกใจจัง สั้นๆ เรียบง่ายแต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่

" I will listen to you, especially when we disagree."

วันแห่งการบริโภคข่าวสาร

ฉันได้กลับมาทำงานสุดโปรดของฉันอีกครั้ง...

ฉันยังจำสมัยที่ฉันประสานงานกับ Research House เรื่องบทความทางวิชาการ กรณีศึกษาต่างๆ และหาทางยัดเยียดแบบแนบเนียนบ้าง ไม่แนบเนียนบ้างให้แต่ละส่วนงานขององค์กร มีผลตอบรับต่างๆ กัน บ้างก็ติดต่อกันเป็นประจำเหมือนเป็นกิจวัตร (แอบมาทราบทีหลังว่าคนเข้าใจว่าฉันจีบเด็ก เพราะเผอิญส่งให้หนุ่มรุ่นน้อง) หรือนานๆ มีแท้งค์กิ้วมาให้ชื่นฉ่ำใจ แต่คำตอบส่วนใหญ่คือ ไม่มีคำตอบ...

ไม่มีคำตอบ ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ ไม่อาจรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ เบื่อรำคาญหรือคอยตามอ่าน ฉันยังคงยัดเยียดเช่นเดิมแล้วก็เฝ้าบอกตัวเองว่า คนไทยไม่แสดงออก ชอบแต่ไม่พูด แล้วฉันก็ใส่โปรแกรมให้สมองทิ้งความคิดตรงข้ามที่แว่บมาเป็นประจำ

มีอยู่พักนึง ฉันทำข่าวประจำสัปดาห์แจกจ่ายทั่วองค์กร ช่วงนั้นฉันอ่านข่าวจากทุกสำนักข่าว เลือกอ่านได้ทุกหมวด เพียงแต่คัดข่าวที่เจาะลึกไปในกลุ่มธุรกิจขององค์กรที่ฉันทำอยู่

จำได้ว่าตอนนั้นฉันมีความคิดแผลงๆ ว่าจะซื้อหุ้นของอินเดีย รัสเซีย ก็แหม ข้อมูลอยู่กับตัว มี case study ให้เปรียบเทียบ ข้อมูลพร้อมขนาดนี้ เรารู้อยู่แล้วว่าในระยะยาวจะมีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงอย่างไร

ชีวิตตอนนั้นฉันมีความสุขจัง มีความสุขที่มีอภิสิทธิ์ได้ใช้อินเตอร์เน็ทด้วยความเร็วระดับผู้บริหาร ได้อยู่ในวังวนของโลกข่าวสาร โลกที่แสนกว้างใหญ่ มีอะไรให้ฉันเข้าไปเดินชม แวะไปเสาะหาไม่มีเบื่อ แม้จะรู้สึกโดดเดี่ยวในบางทีว่ามีใครสนใจสิ่งที่ฉันหามาให้บ้างรึเปล่า

และช่วงวิกฤตของประเทศนี้ ฉันกลับแอบไปมีความสุขอย่างที่เคย...อีกครั้ง

อันที่จริง ฉันอ่านเจอข่าวสารอะไรก็ส่งต่อให้เพื่อนๆ อยู่แล้วเปลี่ยนจากรูปแบบ Forwarded Email เป็น Share ใน Facebook

แม้ตอนที่ส่งอีเมลฉันก็เจอคนบ่นว่าส่งเยอะไปคนไม่อ่านนะ นานๆ ส่งทีดีกว่า ฉันก็เลยลักปิดลักเปิด นึกครึ้มใจก็ส่งให้เพื่อนทั้งแก๊งค์ บ้างก็ส่งให้เฉพาะคนเป็นเรื่องๆ ไป

ทุกวันนี้ ฉันก็ยังได้รับอีเมลเป็นประจำสม่ำเสมอจากพี่ 2 คน พี่ที่มีแต่ให้กับให้ ฉันสงสัยอยู่เหมือนกันว่าพี่ทั้งสองเคยเจอคนว่าบ้างมั้ย แต่ด้วยความที่ฉันชอบส่งเหมือนกัน ฉันเลยนับถือและอ่านเรื่องที่เขาส่งมาให้เสมอมา แม้จะไม่ตอบซึ่งก็เหมือนกับคนทั่วๆ ไปนั่นแหละ แต่นานๆ ถูกใจมากๆ ก็ตอบที ฉันรู้ว่าคำตอบสั้นๆ อาจจะแค่ :) ก็ทำให้คนส่งมีความสุขแล้ว

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ฉันก็ยังไม่ได้เข้าเรื่องเลย เพียงแต่พาให้นึกไปถึงความสุขของการค้นคว้าอ่านรายงานการวิจัย อาจจะมีคนที่เข้าใจ และก็มีอีกหลายๆ คนที่คิดไม่ได้ว่าเรื่องเครียดๆ แบบนี้มันทำให้มีความสุขยังไง

ก็สังคมไทยไม่ใช่สังคมการอ่านนินา

แต่เพื่อนๆ ใน Facebook ก็ต้องอ่านมากทีเดียวล่ะ หรือบางส่วนก็พอใจจะดูวิดีโอคลิป หรือไม่ก็มาเล่นเกมส์อย่างเดียว ฉันกลับมาสื่อสารด้วยการเขียนแบบเต็มรูปแบบ อยู่หน้าจอทั้งวันเหมือนเคย หาข้อมูลอย่างมีจุดหมาย เพราะสิ่งที่ฉันสนใจเป็นสิ่งเดียวกับที่คนส่วนใหญ่สนใจ...การเมืองไทย ณ ตอนนี้

แรกๆ ฉันก็อ่านบทความตามหนังสือพิมพ์ออนไลน์เจ้าประจำสองสามเว็ป อ่านข้อความที่เพื่อนๆ โพสต์ซึ่งก็มีทั้งลิงค์ไปยังข้อมูลในแหล่งอื่นๆ เพิ่มเติม แล้วฉันก็มักจะหลงใหลไปกับเว็ปที่เข้าไป ฉันอ่านเสร็จแล้วก็สอดส่ายสายตามองหาเรื่องที่น่าสนใจหรือไม่ก็คลิกไปที่หน้าหลัก กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ไปอ่านอะไรแล้วก็ไม่รู้

อ่านจนหนำใจก็กลับมาที่เรื่องเดิม อัพเดทข้อมูลคนอื่น ตามอ่านรายละเอียดต่างๆ แสดงความคิดเห็นก็หมดวันแล้ว หมดวันอย่างมีความสุข

ประเด็นสำคัญที่อยากจะยกมา ณ ที่นี้ก็คือ ฉันได้พยายามเข้าใจความคิดและการแสดงออกของเพื่อนที่มีความสัมพันธ์กับฉันในระดับความสนิทแตกต่างกัน เพื่อนหลายคน ฉันยังไม่เคยเห็นหน้า ได้ยินเสียงหรือพูดจา กลุ่มเพื่อนจากโลกเก่ากับเพื่อนในโลกใหม่ ฉันเรียกให้มันแตกต่างทั้งๆ ที่จะใช้คำว่าโลกธุรกิจกับโลกศิลปินก็ได้ แต่มันฟังดูวัตถุนิยมกับคนไร้สาระยังไงชอบกล

ฉันรู้ว่าคนกลุ่มหนึ่งคิดอย่างไร มองปัญหาและมีปฏิกิริยาอย่างไร กลุ่มหนึ่งมีปฏิกิริยากับเรื่องที่มากระทบ ณ เวลานั้น ตัดสินถูกผิดเป็นกรณีๆ ไป ตรงๆ ง่ายๆ ชัดเจน เสียดสีออกมาตรงๆ ด่าไปเลย อีกกลุ่มหนึ่ง พูดแต่เรื่องเป็นนามธรรม พูดในภาพรวมหลังจากประเมินสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วสรุปความ ความคิดจึงดูซับซ้อนเป็นเรื่องเข้าใจยาก และกลุ่มหลังก็ถกกันเป็นภาษานามธรรม ภาษาสูงในขณะเดียวกันก็เหยียด หรือแอบด่าไม่ให้รู้ตัว แล้วก็สมน้ำหน้าอยู่ในใจ คำว่า "หึหึ" เป็นคำที่ฉันเห็นแล้วรู้สึกว่ากำลังโดนเหยียดอย่างแรง

ฉันพยายามเป็นกลางมาตลอด แต่พอเหตุการณ์วันนี้มันถึงจุดแตกหัก เกิดมีความรู้สึกร่วมกับความเป็นไปและปฏิกิริยาของคนอื่นมาก มากขนาดใช้คำว่า "เสนียด" เมื่อมีคนปราศรัยให้ผู้ชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองหากการชุมนุมโดนสลาย

แล้วก็สะเทือนใจกับภาพ Central World ที่ไฟลามควันพวยพุ่งหนาจนปิดบังทัศนียภาพท้องฟ้ากรุงเทพจนมัวซัว ซากร้างจากไฟที่แผดเผา ความอ้างว้าง เหงาๆ เหมือนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ล่มสลาย พังพินาศ จบสิ้น รอเวลาถล่มซ้ำเติมลงมาให้ความโดดเดี่ยวนั้นถูกทำลายไปจนไร้อารมณ์

ได้เวลาเปลี่ยนความรู้สึก ทันทีที่อ่าน update status ของเพื่อนคนหนึ่งและ comment จากแฟนๆ อีกเป็นสิบ นี่คือโลกใบใหม่ที่ฉันพูดถึง

จากที่คิดว่าเป็นกลางกลายเป็นเอียงคนละข้างกับเขาเหล่านั้น แต่ฉันก็เลือกทำอะไรโง่ๆ แบบที่ไปเป็นแกะสีชมพูในหมู่แกะม่วง เขาทุกคนดูจะสื่อสารกันอย่างมีเหตุผล แต่ฉันว่ามันแปลกๆ ยังไงพิกล ฉันพยายามเข้าใจความคิดของเขาเหล่านั้น แล้วก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบแบบกล้าๆ กลัวๆ ที่กลัวเพราะไปคิดต่างกับเขาอยู่คนเดียว แถมบอกว่าถ้าเขาจะบล้อกก็เข้าใจ แต่เขาก็ไม่บล้อก แล้วก็ยังมีคนตอบกลับเรื่องที่ฉันถกไปอย่างยืดยาว แบบที่มองทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ของกูถูกอยู่ฝ่ายเดียว แต่มันก็มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกอยู่เหมือนกัน ฉันเชื่อว่าฉันยังอยู่ในกลุ่มปัญญาชน เราสื่อสารกันด้วยคำสุภาพแต่บาดลึกภายใน เอาเป็นว่าฉันก็ปรับความคิดและมุ่งไปยังเรื่องที่สำคัญกว่าคือเราจะฟื้นฟูประเทศกันอย่างไร เป็นอันจบสงครามออนไลน์ในใจฉัน

โลกใบเก่าและส่วนหนึ่งของโลกใบใหม่ที่โต้คารมกันอย่างออกรส เรื่องเครียดๆ ภาษาสูงๆ ที่ดูจะน่าปวดหัวไม่ต้องเอามาใช้ (เพราะเอามาใช้ทีนึงแล้วก็เหมือนเป็นแกะม่วงในฝูงแกะชมพู) คราวนี้ฉันก็อยากจะไปลดความรุนแรงของฝั่งนี้บ้าง แต่ก็กลายเป็นพูดจาเสียดสี เหน็บแนม ปนตลกร้ายให้ฮากันพอเป็นพิธีเหมือนๆ กับเขา

อยู่ที่จะเลือกจริงๆ ว่าจะสื่อสารแบบไหน ให้เหมาะกับกลุ่มคนอย่างไร แล้วฉันก็มักจะสื่อผิดวิธีทุกทีสิน่า

เอาวะ ชีวิตไม่ใช่เรื่องถูกผิด เป็นเรื่องของการเรียนรู้ วันนี้ก็ได้รู้เยอะน่ะ

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ขอพูดเรื่องความใจกว้าง

พอความคิดนี้แว่บขึ้นมาในใจปุ๊บ คำพูดของพี่รุ่นใหญ่อีกคนก็ผุดขึ้นมาปั๊บ...

ฉันได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับการบล้อกคนในเฟซบุคของเพื่อนคนหนึ่ง ในใจก็พยายามเข้าใจทั้งสองฝ่ายและพยายามเข้าใจความเป็นจริงของโลก ไม่ได้ออกตัวว่าฉลาดหรือรู้ดีกว่าคนอื่นหรอก แค่มองทุกฝ่ายในแง่ดีเพื่อที่จะลดเรื่องที่ขัดแย้งกัน ให้ทุกฝ่ายยอมรับกันและกันอย่างที่แต่ละฝ่ายเป็น หากได้ชี้แจงใช้เหตุผลของตนแล้ว เพราะหากไม่ยอมรับก็แสดงว่าเห็นเหตุผลของตนเป็นใหญ่ เหตุผลที่คนอื่นอ้างสู้เรื่องของตัวไม่ได้ แน่นอนว่าเมื่อเจอคนไม่ยอมรับความคิดเห็นของเราแรงๆ อยากจะเถียง อยากจะโต้ตอบ เมื่อไหร่ที่ฉันต้องพบเจอเรื่องแบบนี้ ฉันจะเงียบไปเลย เงียบให้แน่ใจว่าไม่ได้ตอบด้วยอารมณ์แม้ว่าน้ำเสียงและหน้าตาที่แสดงออกจะใส่อารมณ์จนทุกคนรู้สึกได้ ฉันเป็นพวกประหลาด คนส่วนใหญ่ไม่ได้ฟังที่คนพูด ดูที่อากัปกิริยา ส่วนฉันคิดอย่างที่พูด แต่ท่าทางมันเป็นอย่างนั้นเอง ฉันอาจจะโกรธและอิน แต่ฉันหมายความตามที่พูดจริงๆ

หลายๆ ครั้งฉันนั่งวิเคราะห์ เมื่อฉันมาอ่านสิ่งที่ตัวเองเขียน มันก็ตีความได้หลายอย่างนี่นา ก็เลยเข้าใจ ฉันอ่านเองยังคิดได้หลายอย่าง แล้วทำไมคนอื่นจะมองต่างไปจากมุมที่ฉันมองล่ะ

ปัญหาคือ ฉันไม่สามารถไปอธิบายให้คนอื่นเข้าใจ ส่วนที่จะไปปรับเปลี่ยนความเป็นตัวตน ฉันบอกตัวเองว่า ฉันจะเลิกทำแล้ว ไข่อีกาที่อยู่ในเล้าไก่ ให้อีกาที่ฝักเป็นตัวพยายามยังไงก็ไม่มีทางเป็นไก่ไปได้ เมื่อคิดได้อย่างนี้ฉันก็มีความสุข

กลับมาที่เรื่องในเฟซบุค ฉันเข้าใจเพื่อนคนนั้นอย่างถ่องแท้ทันทีที่ฉันลองเข้าไปดู Wall ของเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งอันที่จริง ปกติฉันก็ไม่ทำอย่างนั้นหรอกนะ แล้วก็ให้ได้เข้าใจว่าการบล้อกไม่ให้ดูและแสดงความเห็นบน Wall แต่ยังเป็นเพื่อนอยู่เป็นอย่างไร แล้วก็บอกตัวเองเอาว่าคงเป็นเพราะสาเหตุที่ฉันไปขอบคุณพร้อมกับแนะนำหนังสือใน Wall ของผู้นั้นละมัง มันก็มีโอกาสที่ฉันจะคิดผิด แต่ฉันยังนึกเหตุอื่นไม่ออก อาจเป็นเพราะฉันแสดงความระคายเคืองให้เขามากจนถึงจุดมั้ง ก็โอเค เขาไม่ต้องการความเห็นฉันก็ไม่เป็นไร แต่ฉันเสียดาย เพราะฉันยังอยากเห็นความคิดเห็นของเขาอยู่

แล้วเรื่องที่ผุดออกมาคือ โทรศัพท์ที่พี่รุ่นใหญ่โทรมาจากภูเก็ต บอกว่า ฉันเป็นคนตรงไปตรงมาและใจกว้าง ฉันเลือกแฟนที่ดี เหมาะสมแล้ว และหน้าตาของทั้งสองเหมือนกัน

จะว่าไปเรื่องที่ผุดขึ้นมาไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องด๊อกเตอร์ชาวเกาหลีที่โทรกลับมาหาฉันทันทีที่เครื่องลงจอดที่สนามบินในกรุงโซล บอกขอโทษฉันและเขารู้ว่าฉันรู้อยู่แล้วว่าเรื่องอะไร ฉันก็เลยไม่ว่าอะไร เพราะฉันก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องนั้นคือเรื่องที่เขาเกาฝ่ามือฉันตอนที่เช็คแฮนด์ และฉันก็ดีใจที่ฉันเลือกปฏิบัติอย่างถูกต้อง ไม่เกิดความหมางเมิน ไม่ทำให้เขาเสียหน้า และเขาก็ขอโทษ ฉันได้สิ่งเหล่านี้มาโดยไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยกับสิ่งนั้นที่เขาทำ ปฏิบัติต่อเขาอย่างให้เกียรติทุกอย่าง แล้วฉันก็ได้รับการปฏิบัติอย่างให้เกียรติจากเขาตลอดมา

กลับมาเรื่องพี่รุ่นใหญ่ ฉันก็ใช้วิธีเดียวกัน เราได้มีโอกาสพูดคุย ร่วมงานและทำงานร่วมกันบางเรื่อง มันเป็นช่วงที่ต่างฝ่ายต่างเรียนรู้ว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร เขาเป็นคนช่างสังเกตขนาดถามว่าฉันใส่คอนแทคเลนส์ใช่มั้ยตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน ฉันได้มีโอกาสแชร์เรื่องราวบางเรื่องกับเขาพร้อมๆ กับแสดงความอ่อนไหวด้วยน้ำตา วันรุ่งขึ้นเขาโทรมาให้กำลังใจและเสนอทางออกของปัญหา ความสัมพันธ์น่าจะดีนับจากนั้นเป็นต้นมา แล้วเราก็ได้พบกันเมื่อต้องร่วมทริปไปต่างจังหวัด คราวนี้เขาเห็นคนข้างๆ ฉันที่รุ่นพอๆ กันกับพี่รุ่นใหญ่ แต่อยู่ในเวอร์ชั่นผมยาวมัดผม ภาพลักษณ์ของศิลปินที่คนเลือกจะมองโดยไม่ต้องรู้จักพูดคุย ฉันโฆษณาหนังสืออย่างโจ่งแจ้งทุกครั้งที่มีโอกาสเช่นเดิม การโฆษณา ขอให้ได้สร้างความประทับใจ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ ชอบก็ตามอ่าน ไม่ชอบก็ตามอ่านเพื่อจับผิด ฉันคิดอย่างนั้น...

แล้วก็ได้มีโอกาสร่วมงานกันในต่างบทบาท ในบทบาทที่ฉันทำเพื่อเป็นประโยชน์กับหนังสือของฉัน และฉันทำเพื่อประโยชน์ของงานที่ฉันไปร่วม ฉันอนุมานเอาเองว่า เขาคงคิดว่าฉันทำเพื่ออยากเด่น เบี่ยงเบนความสนใจ เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตน ฉันก็เข้าใจ ปกติคนก็คิดอย่างนั้น ใครไม่คิดอย่างนั้นสิจะเป็นคนที่ฉันสนใจ คนที่ฉันเหลียวมองและให้ความสำคัญ แล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป เพราะเรื่องแบบนี้ไปอธิบายก็ร้อนตัว ต้องให้เขาตัดสินด้วยตัวเอง เอาเป็นว่าแม้เขาจะยังไม่เข้าใจ แต่มีคนมาถามถึงหนังสือที่ฉันใช้เป็นตัวอย่างประกอบการถามคำถามให้การโฆษณาไม่น่าเกลียดจนเกินไป

และเหตุการณ์ที่ทำให้เขาโทรมาหาฉันจากภูเก็ตก็น่าจะเป็นเหตุการณ์นี้ เขายินดีให้ฉันใช้เวทีนี้เพื่อประโยชน์ของหนังสือของฉัน ส่วนฉันก็คิดอยู่ว่า ฉันจะเล่นบทอะไรเพื่อประโยชน์ของผู้ที่มานั่งฟัง พร้อมๆ กับที่ฉันก็ได้โฆษณาหนังสือในอีกรูปแบบที่แตกต่างไปด้วย ฉันกลายเป็นพิธีกรที่ป้ำๆ เป๋อๆ ทำหน้าที่ได้ห่วยแตก ทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ฉันยินดีที่จะเล่นบทเป็นพิธีกรอ่อนหัด เล่นบท role play ผลัดกันแสดงให้ดูว่าการเป็นพิธีกรมีเคล็ดลับ มีจุดที่ต้องใส่ใจอย่างไรบ้าง ฉันเล่นเป็นพิธีกรห่วยแตกขนาดที่ต้องหันไปถามเขาแล้วเขาถึงกับตอบเบาๆ กลัวว่าคนจะมองว่าฉันมาเป็นพิธีกรเรื่องนี้ได้ยังไง แล้วฉันก็คิดว่าเขาเริ่มเข้าใจแล้วว่า เวลาฉันทำอะไรฉันทำสุดตัว

ตบท้ายด้วยปัดแก้วทำน้ำหก อันนี้ยกผลประโยชน์ให้ตัวเองว่าเป็นการซุ่มซ่ามแบบตั้งใจ แล้วก็น่าจะทำให้คนที่ไม่กล้าเป็นพิธีกรเห็นใจ และคิดว่าป้ำๆ เป๋อๆ อย่างฉันยังเป็นได้เลย ทำไมเขาจะเป็นไม่ได้ ตอนท้ายประชาสัมพันธ์หนังสือและคอร์สฝึกอบรม ฉันก็พูดออกมาจากใจว่า ฉันต้องรีบสมัครไปเรียนก่อนเลย ลงมาจากเวที เขายิ้มด้วยสายตาอ่อนโยนถามว่าฉันแกล้งรึเปล่า ฉันไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธแต่ฉันบอกว่า ฉันคิดว่าฉันควรจะเล่นบทนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่มาฟังมากที่สุด

แล้วชีวิตก็ดำเนินต่อไปแม้จะไม่ได้อ่าน Wall ของเพื่อนลดไปหนึ่งคน