วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

รนหาเรื่อง

ความเบื่อเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุด! เพราะเวลาเบื่่อแล้ว ก็ไม่มีความรื่นรมย์ใดสามารถเข้ามาแทนที่...

ช่วงหลังๆ นี้ฉันสวดมนต์บ่อย นโมสามจบตามด้วยอิติปิโส แล้วพอมันเริ่มจะคิดอีกแล้วก็กลับไปเริ่มใหม่ จนเมื่อความคิดพาฉันไปไกลจนไม่ได้กลับมาที่นโมอีกครั้ง ฉันเองก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่า ชีวิตทุกวันที่กำลังดำเนินอยู่นี้จะเป็นไปอีกถึงเมื่อไหร่ ทำไมไม่กินยาตอนก่อนนอนเหมือนเคย ทำไมไม่ทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน แล้วคำถามที่ผุดขึ้นมาก็ทำให้ฉันไม่พอใจตัวเอง แต่ก็ไม่เปลี่ยนแปลงการกระทำอีกเช่นเคย...

ซอนต๊อกมหาราชินีสามแผ่นดินจบไปแล้ว เกือบอาทิตย์ทีเดียว ตามด้วย Flash Forward แล้วก็อีกสารพัดเรื่องจนมาหยุดที่ Tudors เมื่อคืน ดูเพียงแค่ตอนแรกก็เห็นฉากที่พระราชาระเริงลีลารักสามแบบกับสามสาวที่สรีระแตกต่าง นั่นก็ยังไม่อาจทำให้ดูหนังดูละครต่อไปได้อีก

กลับมาเล่นเกมส์เพชรสุดโปรดแล้วก็ไม่ได้รับความบันเทิงใจอย่างที่ควร เมื่อเช้าตื่นมาด้วยอาการงัวเงียอย่างที่เขียนกลอนบ่นไปก่อนหน้านี้ อะไรๆ มันก็ดูจะยิ่งผิดที่ผิดทางไปเรื่อยๆ แม้อาหารการกินอันเป็นกิจกรรมสุดโปรดยังไม่อาจเรียกความสนใจได้อย่างที่ควร แล้วฉันจะอยากทำอะไรละนั่น!

เมื่อคนหงุดหงิดรำคาญเพราะผิดซ้ำที่เดิมเป็นประจำ คนอธิบายก็มีมานะจะอธิบาย แต่ก็ด้วยความหงุดหงิดไม่ต่างกันนัก เกิดการประคารมกันเล็กน้อย แต่มีผลให้ฉันไปหยิบหนังสือการสอนผู้ใหญ่มาอ่านเป็นเรื่องเป็นราว อ่านแล้วก็รู้และเข้าใจที่มาที่ไปของความไม่สบอารมณ์มากขึ้น

ก่อนที่จะอ่านหนังสือเล่มที่ว่า ฉันไปเสิร์จหาคำว่า โง่แล้วไม่รู้ว่าโง่

วลีนี้เป็นวลีที่ติดใจฉันมานาน ผู้ใหญ่พูดตอนที่ไม่ได้สติ แต่บางครั้ง เวลาที่คนเราพูดอะไรตอนที่ไม่ได้สติมันก็ดูจะเป็นข้อเท็จจริงหรือเป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริงๆ นะ

เช้าวันนี้ฉันได้ยินคำที่แตกต่าง ไม่ได้โง่อย่างที่คิดหรอกนะ

ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าไปจับวลีสองวลีนี้โยงเข้าหากันได้ยังไง เรื่องของเรื่องคือ ถ้าเกิดปัญหา มันก็คงต้องมีใครโง่ หรือโง่ด้วยกันทั้งคู่ละน่า

หนังสือ การสอนผู้ใหญ่ ดูจะให้คำตอบมากกว่าการตอบตัวเองด้วยวิธีอื่น

การสอนผู้ใหญ่ต้องใช้อารมณ์และความรู้สึกมากกว่าการสอนเด็กมาก

แค่ประโยคเดียวก็เปิดมุมมองใหม่ในทันใด หาเรื่องท้าทายอีกแล้วตู! สามร้อยกว่าหน้ารอให้อ่านถ้าไม่เบื่อซะก่อน

ไม่มีความคิดเห็น: