วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

ขยะ

วันนี้ฉันอาจหาญกระทำการอันเนื่องมาจากความคิดที่ผุดขึ้นอีกแล้ว...

พี่ชายของแฟนเก่าบอกเล่าความรู้สึกผ่านข้อความในเฟซบุคว่า ได้คุยกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันร่วม 30 ปี เคยเคืองกันด้วยเรื่องอะไรก็ลืมไปแล้ว ที่จำได้ก็มีแต่เพียงชื่อพ่อ พวกเด็กผู้ชายไม่ค่อยเรียกชื่อตัวกันอยู่แล้ว ฉันเองก็รู้จักบางคนด้วยชื่อ(พ่อ) หากจะได้มาพบเจอกันใหม่ ฉันก็คงไม่รู้จะเรียกชื่อใดอยู่ดีถ้าไม่ใช่ชื่อ(พ่อ)!

ฉันส่งไพรเวทเมสเสจขอรำลึกความหลังด้วยคน แล้วก็รู้ว่าหากเขียนตามที่คิด คงต้องได้เสี่ยงที่จะสูญเพื่อนเฟซบุคอีกหนึ่งเป็นแน่ ย่อหน้าแรกฉันเลยเกริ่นเสียก่อนว่า เมื่ออ่านจบแล้วพี่คนนี้จะเลิกเป็นเพื่อนกับฉันไปเลยรึเปล่าเนี่ย

คำตอบกลับมาทันใจสองฉบับแสดงว่า อ่านแล้วตอบเลยและกลับไปอ่านอีกรอบ พิมพ์ตอบกลับอีกทีทวนคำพูดซ้ำเหมือนออกมาจากใจจริงๆ เพราะเต็มไปด้วยความเยิ่นเย้อ ซ้ำซาก สรุปได้ความว่า เราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ ได้แต่ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

ฉันเชื่อว่าข้อความที่ฉันเขียนถึงต้องวนอยู่ในเซลล์สมองของพี่คนนี้ไม่น้อยกว่าสามรอบ เห็นหน้าจอแชตเปิดค้างพิมพ์คำว่าแอน ฉันเพิ่งมาเห็นหลังจากผ่านไปแล้วเกือบสิบนาที คนที่ทักเข้ามาก็ออฟไลน์ไปเรียบร้อย แล้วฉันก็กลับไปอ่านเมสเสจของเขาทั้งสองฉบับอีกครั้ง แล้วก็ตอบแบบยาวๆ ตามสไตล์ ไม่ได้ตั้งใจจะอธิบาย แก้ไขเรื่องที่เข้าใจผิดหรือเรื่องที่ดูจะมองกันคนละมุม(แปลว่าถูกทั้งคู่) แค่ความคิดที่ผุดขึ้นมาและอยากบอกให้รู้สักครั้ง ประมาณว่าทำตามใจตัวเองโดยไม่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของผู้รับสารว่าจะรู้สึกละอายหรือโกรธหรือใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่ว่าใครก็มีสิทธิ์มองเรื่องหนึ่งๆ และให้เหตุผลกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นตามที่ตนต้องการ เหตุผลของใครก็ของคนนั้น อารมณ์ของใครก็ของคนนั้น

อย่างน้อยเขาก็ยังตอบอีเมล ทั้งๆ ที่ปฏิกิริยาหนึ่งแปลความได้ทั้งสองขั้ว ตอบตามมารยาท ตอบตามอารมณ์ความรู้สึกขณะนั้น ตอบเพื่อคงภาพลักษณ์ที่ควร ตอบเพื่อไม่ให้รู้ว่าจริงๆ แล้วรู้สึกอย่างไร ตอบเพื่อต่อต้านข้อความในย่อหน้าแรกที่ฉันดักทางเอาไว้แล้วว่า จะเลิกคบกันมั้ยเนี่ย!

เขาคงมองว่าฉันเป็นศัตรู ผู้สร้างความปวดร้าวให้น้องชาย และเป็นศัตรูประเภท "ซ้ำซาก" เพราะแม้น้องชายของเขาจะอภัยและดีกับฉันเพียงไร ฉันก็เดี๋ยวเลิกเดี๋ยวคบหลายรอบ ความสัมพันธ์งอกเงยจนกระทั่งแม่ของเขาบอกว่าจะให้ไปขอเมื่อไหร่ก็ให้บอกมา

ฉันเห็นภาพอนาคตโดยไม่ต้องวาดว่าหากตัดสินใจร่วมทางเดินชีวิตกับชายผู้นี้แล้วจะเป็นเช่นไร แล้วก็ฉันเองอีกนั่นแหละที่อยู่ดีๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ยก็เดินออกจากวิมานแสนสุข ท่ามกลางครอบครัวสุขสันต์ไปซะเฉยๆ ทั้งแม่และคุณพี่ชายไม่ได้โกรธฉัน ออกจะสนทนาปราศรัยด้วยไมตรีจิตอย่างเคย แม้เวลาผ่านล่วงเลยจนฉันฝากหนังสือที่แปลเล่มแรกไปให้คุณแม่ ยังได้รับสายโทรศัพท์อันมีค่ายิ่งต่อจิตใจ ร่วมแสดงความยินดีที่ฉันค้นพบตัวเอง (ว่าแต่มันเจอแล้วเหรอนั่น?!?!)

กลับมาที่ข้อความอาจหาญของฉันอีกครั้ง การบอกเล่าให้คนอื่นรู้ถึงการรับรู้และจดจำความรู้สึกทางลบที่เขามีต่อฉัน และความรู้สึกลบที่เขามีต่อเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต โดยที่เป็นการให้ข้อเท็จจริงและมันก็ไม่ได้มีผลต่อความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขาทั้งในอดีตและปัจจุบัน ก็ดีเหมือนกัน ยังไงฉันก็ชอบไอเดียความคิดเห็นหลายๆ เรื่องของเขาเหมือนเคย

เพียงแค่จบตรงที่ฉันสรุปว่า

"พี่ใช้วิธีแบบนักจัดการ ทิ้งขยะ (ทั้งที่บางส่วนอาจขายเป็นเงินได้) ส่วนแอน เอาขยะไปรีไซเคิล (แม้ว่าจะก่อให้เกิดมลพิษแค่ไหนก็ตาม) :)"

ไม่มีความคิดเห็น: