วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ตามใจฝันกันกับร้านอาหารหู (rharnhoo: follow your passion)

อาหารหูอิ่มทั้งหูอิ่มทั้งตา

เดินจากมาพร้อมของล้ำค่า

ในสายตาผู้รู้คุณอุดหนุนคนไทย

ร้านอาหารหู [www.rharnhoo.com] สำหรับฉันแล้วเธอเป็นดั่งดอกไม้ที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่ ก้านดอกพุ่งผ่านชั้นน้ำแข็ง ชูดอกเด่นบนพื้นสีขาวโพลน ดอกไม้คงหนาวแต่ก็ยังพอมีน้ำหล่อเลี้ยง มีดินใต้น้ำแข็งที่พอประทังให้ยืนหยัดในทุ่งร้างเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา หากแต่ไม่รู้ว่าจะทนหนาวเหน็บได้อีกนานสักเพียงใด...

คุณป๊อก เจ้าของร้านเล่าให้ฟังด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า ร้านอาหารหูแห่งนี้เป็นร้านเดียวในโลกที่ขายหนังไทยลิขสิทธิ์เท่านั้น อย่างไรก็ดี ทุกกฏเกณฑ์ ทุกสิ่งย่อมมีข้อยกเว้น หนังไทยที่เก่าหาไม่ได้อีกแล้วเจ้าของร้านก็ไรท์ลงแผ่นขายเพื่อที่อย่างน้อย คนรุ่นหลังหรือนักสะสมจะได้สัมผัสกับผลงานที่รังสรรค์โดยคนไทยด้วยกัน

อันที่จริงแล้ว ทางร้านก็ขายซีดีเพลงลิขสิทธิ์ด้วยเหมือนกันเพียงแต่เอกลักษณ์ของร้านคงเป็นเรื่องของหนังที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนความคิดของคนส่วนใหญ่ในสังคม

ฉัน จอดรถที่ห้างเดอะมอลล์ บางกะปิ โทรเข้ามือถือของร้าน 0853296996 สอบถามทางไปตะวันนาสแควร์อันเป็นที่ตั้งของร้านขายหนังไทยที่เป็นจุดหมาย ปลายทางหลักของการเดินทางในวันนี้

เสียงผู้หญิงตามสายอธิบาย ที่ตั้งของร้านอยู่หลายรอบ คงจะหงุดหงิดอยู่พอสมควร แต่อย่างน้อยลูกค้ารายนี้ก็อุดหนุนสินค้าลิขสิทธิ์หลายแผ่นเหมือนกัน ตอนแรกฉันกับคนข้างๆ คิดว่าจะไม่แวะไปร้านนี้แล้ว เพราะตอนที่โทรถามที่ตั้งร้านฉันก็ย้ำอีกทีว่าต้องการซื้อหนังเรื่องอะไร กลายเป็นว่าต้องสั่งล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งวัน หนังที่ฉันต้องการเป็นหนังที่เข้าฉายในโรงหนังตั้งแต่ฉันอายุ 2 ขวบ ยุคที่ใครคิดจะดูหนังก็ต้องเข้าไปดูที่โรงหนังเท่านั้น แผ่นที่ฉันถามหาจึงเป็นแผ่นที่จำเป็นต้องก๊อป แต่การตัดสินใจไปร้านอาหารหูทั้งๆ ที่รู้ว่าแผ่นที่อยากได้ไม่มีก็ทำให้ฉันได้ของหายากกลับบ้านไปนั่งดูจนตาแฉะ อีกครา

จากสะพานควายไปเดอะมอลล์ บางกะปิ ผ่านถนนพระราม 9 ไปแยกลำสาลี ไกลโขอยู่ ครั้งจะกลับมามือเปล่าก็เสียดายค่าน้ำมัน แม้จะได้หนังฝรั่งจากร้านแมงป่อง(ร้านที่อยู่ในตัวห้างเดอะมอลล์ไม่ใช่ร้าน ที่ตั้งอยู่เอกเทศในศูนย์การค้า)ที่ขายลดจนฉันว่าอาจจะถูกกว่าแผ่นก๊อปบาง ร้าน ราคาต่ำสุดอยู่ที่แผ่นละ 79 บาท ซื้อ 5 แผ่นแถม 1 แผ่น หรือจะซื้อ 9 แผ่นจะได้อีก 2 แผ่นรวมเป็น 11 แผ่นพอดี

ฉันประทับใจพนักงานขายมาก ทั้งสองสาวดูหนังแทบจะทุกเรื่องละมัง สามารถแนะนำหนังให้ฉันได้เป็นอย่างดี หนังที่ซื้อมาวันนี้มี

The Shipping News

Frida

Children of Heaven

The Phantom of the Opera

Talk to Her

Departures

Agora

Tokyo Sonata

Evita

Love's Labour's Lost

The Upside of Anger

The Legend of 1900

ช้อป หนังฝรั่งก็ถึงคราวหนังไทย สาวที่ฉันได้ยินเพียงเสียงแนะให้ฉันขับรถไป บอกว่าเดินก็คงเหนื่อย แต่พอฉันถามคนขายหนังฝรั่งที่ฉันอุดหนุน เธอก็บอกว่าให้เดินตัดทางด้านหลังก็ดีจะได้ไม่ต้องอ้อมและทางนั้นสั้นกว่าเยอะ ฉันและคนข้างๆ เดินออกจากบริเวณกึ่งกลางของห้างลัดเข้าไปในตะวันนา ถามพ่อหนุ่มเจาะหูเป็นรูเบ้อเริ่มที่ร้านขายกางเกงยีนส์ถามทางเพื่อยืนยัน ความคิดของฉันอีกครั้ง

ปัญหาเริ่มมาแล้ว...

คนที่อยู่ข้างๆ อยากเดินเลียบถนนผ่านตะวันนาและแมคโครเข้าตะวันนาสแควร์ ส่วนฉันอยากลองทางลัดริมคลองตามที่คนขายกางเกงยีนส์แนะ ก็ฉันฟังมาว่ามันสั้นกว่านี่นา รุ่นหญ่ายเลยต้องตามใจเด็ก เดินเลียบ คลองแสนแสบด้านหลัง ทนกลิ่นน้ำเน่าที่โชยมาพักๆ ตามลม ผ่านตึกแมคโครก็เลี้ยวขวาเข้าด้านหลังตะวันนาสแควร์ ฉันชักจะเริ่มไม่แน่ใจว่าจะใช่รึเปล่า!

ตึกร้างซอยเป็นห้อง เล็กๆ บ้างก็ไม่มีประตูเหล็กม้วน บ้างก็ว่างโล่งเห็นพื้นกระเบื้องที่สลับลายแสดงพื้นที่ของแต่ละห้อง บริเวณนั้นมีแต่หมาเดินไปมา คนแต่งตัวเซอร์ๆ สองคนเดินไปเรื่อยๆ ในใจฉันยังต้องการพิสูจน์ว่า เดินทางไหนใกล้กว่ากันๆ แน่ คนที่อยู่ข้างๆ ก็ยังยืนยันความคิดของตัวเองเหมือนๆ กับฉัน

เราเดินกันไปได้ ครึ่งทางแล้วก็เจอร้านอาหาร มีผู้ชายใจดีคนหนึ่งนั่งฟังอะไรก็ไม่รู้ เสียงจากลำโพงดังจนน่ารำคาญ ที่ฉันบอกว่าใจดีก็เพราะเขาเดินไปส่งเราสองคนถึงร้านอาหารหู ฉันว่า คงเป็นเพราะคนที่ยังเช่าร้านที่ตะวันนาสแควร์อยู่ทั้งๆ ที่เป็นห้างร้างมีเหลือเพียงไม่ถึง 10% ไม่เกิน 10 ร้าน พวกน้อยก็รักกันมากเป็นธรรมดา...

ร้านขายแผ่นหนังแห่งนี้เป็น ร้านเล็กๆ เนื้อที่ขนาดไม่เกิน 20 ตารางเมตร อัดแน่นไปด้วยสินค้าและแผ่นโปสเตอร์หนังเก่าที่ฉันเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก คุณป๊อกหนุ่มเจ้าของร้านกล่าวต้อนรับ ให้ความเป็นกันเองกับแขกรายแรกของวันเป็นอย่างดี เขากับคนที่อยู่ข้างๆ ฉันคุยกันออกรสเหมือนรู้จักกันมาเป็นสิบๆ ปี พูดเรื่องคนนั้นคนนี้ในวงการ เล่าเรื่องราวส่วนตัว ผลงานในอดีตและอื่นๆ สุดแต่จะขุดขึ้นมาเล่าสู่กันฟัง แม้แต่เคล็ดลับในการป้องกันและเช็คว่ามีเทปปลอมในตลาดมากน้อยเพียงใด ส่วนฉันเดินรอบร้านดูนั่นนี่ เลือกซื้ออยู่คนเดียวแล้วก็นั่งดูแคตตาล็อกปกหนังที่มีอยู่กว่า 10 อัลบั้ม สะดุดใจที่มีอัลบั้มเฉพาะของจารุณี เป็นอัลบั้มเดียวที่ฉันเห็นแต่ไม่ได้เปิดดู

คุณป๊อกชวนฉันคุย สนใจคำถามที่ฉันปรึกษาคนที่อยู่ข้างๆ ให้ความสำคัญแม้ว่าฉันจะก้มหน้างุดๆ นานๆ ก็ชูนิ้วอุ๊บอิ๊บขอถามขัดจังหวะการสนทนาเป็นพักๆ ฉันขออนุญาตถ่ายรูปเอามาลงในบล้อกและเฟซบุคก่อนที่จะกระทำการใดๆ อันอาจทำให้เจ้าของร้านขุ่นเคือง ก็ฉันมันเป็นคนจำพวกคิดไม่เหมือนคนอื่นเลยไม่แน่ใจว่าเขาจะโอเคกับความหวัง ดีของฉันรึเปล่าน่ะสิ

ฉันไม่เล่าให้ฟังหรอกว่าซื้อหนังอะไรมา บ้าง อยากให้เธอลองไปดูที่เว็บของร้าน สั่งซื้อผ่านเว็บได้เลยนะ โอนเงินได้ด้วยความมั่นใจไม่โดนเชิดเงินแน่นอน (อยู่ดีไม่ว่าดี ไปรับประกันให้เขาอีก เฮ้อ!)

ก่อนกลับ ได้คำตอบที่ไม่รู้ว่ารักษาน้ำใจลูกค้าไม่ให้ขัดใจกันรึเปล่าว่า มาทางถนนใหญ่หรือเลียบคลองสั้นกว่ากัน คุณป๊อกมองแบบแล้วตรูจะตอบว่ายังไงดีหว่า แล้วก็ตอบว่า เท่ากัน จะเท่าไม่เท่าไม่รู้ ขากลับเราเดินเลียบถนนแวะร้านเซเว่นซื้อน้ำได้เดินตามทางที่เราทั้งสอง ต้องการในที่สุด

คุณป๊อกรับธนบัตรที่คนที่อยู่ข้างๆ ยื่นให้แล้วแตะไปทั่วๆ อย่างที่คนขายของทั่วไปเขาทำกันเวลาขายสินค้าให้ลูกค้ารายแรกของวัน ฉันหวังว่า เขาจะได้ลูกค้าที่เห็นคุณค่าหนังไทยและยินดีฝืนกระแสซื้อแผ่นลิขสิทธิ์ที่ ร้านแห่งนี้ เพื่อให้ดอกไม้พันธุ์ที่ไม่คิดว่าจะเคยมีและยังมีหลงเหลืออยู่พันธุ์นี้ได้ยืนหยัดอยู่ต่อไป

ขอให้การยึดมั่นในอุดมการณ์ที่ดูเหมือนคนโง่ในสายตาหลายๆ คนเป็นความสุขที่่เขากล้าใฝ่หาต่อไป...

ดูรูปเพิ่มเติมตามลิงค์นี้เลยนะเธอ

https://www.facebook.com/album.php?aid=81585&id=1045874997

คั้นสดๆ ในคืนเดียว: มองทุกอย่างจากทุกมุม

วันนี้กลับมาบ้านพร้อมหนังสือของหลานหน้าปกสีฟ้าโทนเดียวกับเสื้อเชียร์ Nat V1 AF4...

ฉันเห็นภาพบอกเล่าเรื่องราววันเปิดตัวหนังสือ มองทุกอย่างจากทุกมุม ของ ณัฐ ศักดาทร ที่มาพยางค์แรกของนามปากกาฉันนั่นแหละ ผู้ชายพระจันทร์ผู้อ่อนโยนคนนี้ออกหนังสือพ็อคเก็ตบุ้คของตัวเองก่อนฉันเสียอีก!

ปกรูปทรงเรขาคณิต สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม วงกลม ตัดกับรูปถ่ายขาวดำของเจ้าตัวในแนวนอน เขาคนนี้มองโลกเป็นสีขาวกับดำรึเปล่านะ

แค่ชื่อก็ถูกใจแล้ว เขาก็คงมองภาพใหญ่จากทุกองศา ความเรียงไม่สั้นไม่ยาว 17 เรื่องที่ให้ข้อคิดคล้ายๆ กับหนังสือเล่มโปรดที่ตรงกันเสียด้วย

คุยกับประภาส เป็นหนังสือที่ฉันถูกใจมากอีกคอลเลคชั่นหนึ่ง ฉันได้อ่านตอนเรียนจบปริญญาตรีและกำลังลำบากลำบนกับการรำ่เรียนปริญญาชีวิต ฉันซื้อหนังสือคุยกับประภาสเล่มหนึ่งให้หลาน จำไม่ได้ว่าซื้อสองหรือสี่เล่ม และฝากคุณป้าไปให้ ฉันไม่รู้ว่าหนังสือดังกล่าวถึงหลานรึเปล่า หลานได้อ่านจากเล่มที่ฉันซื้อให้หรือไม่ จะอย่างไรก็ดี เมื่อพบว่าเขาอ่านหนังสือเล่มเดียวกับฉันอย่างน้อยๆ ก็สองเล่ม (คุยกับประภาสกับ The Last Lecturer) ฉันก็มีความสุขแล้ว

ฉันนั่งนึกว่าถ้าตอนเด็กๆ ฉันอยากเป็นนักร้อง ฉันจะ"กล้า"อย่างเขามั้ย

คงไม่

หลายๆ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับหลานเกิดขึ้นกับฉันเหมือนกันเพียงแต่ฉันใช้เวลาร่วมยี่สิบปีอยู่กับความรู้สึก " ไม่ใช่" จนคล้ายกับว่าฉันหลงเดินวนไปวนมาหาสิ่งที่ตัวเองชอบไม่เจอสักที

แต่แหม จะว่าไป ก็เจอนะ ฉันเป็นคนชอบหาข้อมูล หาไปเรื่อยๆ หาแล้วรู้ รู้แล้วก็ลงลึก หรือไม่ก็ออกข้างทางซ้ายขวา แล้วก็คงจะยังหาต่อไป

หรืออีกที ก็คงจะรอให้ใครมาเห็นเพชรในตัวฉัน ช่วยกันเกลาขัดมันให้ส่องประกาย ฉันคิดว่าคงเจอแล้วล่ะ เพียงแต่มันคงยังไม่ถึงเวลาฉายแสง

ตอนนี้ก็ให้แสงมันฉายไปก่อนละกันเนอะ

กู้ดไนท์จ้า เธอ ^_^

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

แค่เขียนก็คุ้ม

จดหมายฉบับนี้เป็นการติดต่อหลังจากที่ไม่ได้พบเจอกันค่อนปี ความสัมพันธ์ที่ไม่รู้ว่าจะจบสิ้นเป็นการถาวรหรือแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วฉันก็ได้รับคำตอบกลับไม่นานเกินรอ...

+++
คิดถึงค่ะ เลยเขียนมาหา
ตอนนี้แอนก็ไม่สบายแต่สบายดี มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมายคงคล้ายๆ กับป้าเหมือนกัน มีคนคิดว่าแอนเลิกคบป้าอู๋และเรามีปัญหาอะไรกันมากมาย แต่สำหรับแอนแล้ว แอนคิดว่าแอนเข้าใจว่าป้าเป็นยังไง ยังนึกถึงวันคืนดีๆ ที่ป้าตามใจไปกินนั่นกินนี่กับแอนเสมอ เคยซื้อนมวัวมาทำกินเอง ไม่ได้เรื่องเลยค่ะ แต่จะไปกินที่ซอยเสือใหญ่นั่นก็ไปไม่ถูก

หลังๆ ก็ไม่ค่อยได้ไปที่ร้าน เมื่อคืนวันอาทิตย์แวะไปร้องเพลงที่ไวน์บริดจ์ ก็ขุดเพลงหนักๆ มาร้องเหมือนเคย มีเพิ่ม ชั่วฟ้าดินสลาย ที่กำลังจะกลายเป็นเพลงฮิตในไม่ช้า แล้วตามด้วย เพลงสุดท้าย กลกามแห่งความรัก ขาด live and learn ไปหนึ่งเพลง

ที่ร้านมีแต่เด็ก ใหม่ๆ แต่กันเองมาก ช่วยกันร้องสนุกดี เดี๋ยวนี้แอนร้องเพลงหันหลังให้คนดูนะคะ จะได้ใส่อารมณ์ได้เต็มที่ เสียงคงไม่อลังอย่างป้า แต่ท่าน่าจะชนะขาดนะคะ 555

เริ่มมีความ รู้สึกเข้าใจอารมณ์ของป้าเวลาที่เขียนจดหมายหาแฟนทั้งๆ ที่คิดว่าเขาตายแล้ว ไม่ได้หมายความว่าแอนแช่งอะไรป้านะคะ (แต่ป้าก็คงรู้อยู่แล้วล่ะว่าแอนพูดแล้วมันก็ออกมาอย่างงี้ทุกที)

พี่ บี๋ดูแลแอนตลอดทุกๆ อย่าง เหมือนแอนเป็นสัตว์เลี้ยงมีหน้าที่หาข้าวหาน้ำให้ แอนก็กินกับนอนแล้วก็ดูหนังเล่นคอม แต่คิดว่าช่วงชีวิตหยุดนิ่งใกล้จะจบแล้วค่ะ เป็นช่วงเวลาที่มีชีวิตคู่ที่ดี ไม่คิดว่าจะได้มีช่วงเวลาที่อยู่กับใครสักคนตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วไม่ เบื่อไม่หงุดหงิด ต่างคนต่างทำโน่นนี่ไป ถ้าเวลาแบบนี้มันจะอยู่อีกไม่นานก็ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็น "ชีวิตคู่" จริงๆ

อยากพบเจอพูดคุยกับป้าเหมือนเดิมนะคะ กับพี่ยิ้มก็เจอกันไม่เกินห้าครั้งเลยปีนี้

ใครจะว่าอะไร แอนก็เข้าใจป้าเสมอนะคะ หวังว่าป้าก็คงจะเข้าใจแอนเหมือนเดิม

I can be myself when I am with P'Bee ka. I am truly me when I am with you too.

ความรักไม่เหมือนสิ่งของที่ให้ใครแล้วจะให้คนอื่นไม่ได้ แอนให้ป้าอู๋ได้แค่ไหนก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไม่ว่าเราจะเจอกันทุกวันหรือไม่ได้เจอกันอีก

แอน

คนชอบตอบ

ตอบจดหมายคนอื่นแล้วมันมีความสุขแฮะ!!

ฉบับแรก คุยกับน้องเบื่อเรียน ฉบับที่สองคุยกับคนที่คิดว่าฉันเป็นผู้ปกครองของลูกที่เป็นโรคสองขั้ว คนแรกคงไม่งงเท่าไหร่ แต่คนที่สองอาจจะตกใจแล้วคงจะใหม่กับเฟซบุค แต่ฉันก็ยังไม่รู้หรอกว่าเขาจะคุยกับฉันต่อรึเปล่า

+++
น้าก็ไม่ค่อยรู้ลิมิตของตัวเองบ่อยๆ เหมือนกัน ถ้าน้องแน็ตปรับตัวได้เร็วจะดีมาก หากอีกหน่อยโตขึ้นไปแล้วไปรับผิดชอบอะไรเกินกำลังจะเสียหายกว่าเยอะ คิดซะว่าเป็นโชคดีที่ได้เบื่อเรียนนะคะ คุยกับคุณแม่คงจะเข้าใจ ถ้ามัวแต่เสียดายค่าเรียนแล้วเรียนด้วยความอึดอัดนอกจากจะความรู้ไม่เข้า สมองแล้วยังได้ทัศนคติไม่ดีติดตัวกลับไปด้วย อาจคุ้มกว่าถ้ายอมเสียดายเงิน

นี่ น้าก็ได้บทเรียนให้ตัวเองนะคะ น้าเพิ่งปฏิเสธงานที่รับปากไปเพราะคิดว่าเกินกำลัง(กายและใจ) เจอปัญหาและจัดการได้ตั้งแต่เด็กดีแล้วละค่ะ :)

+++

I'll try my best if possible but I'm kinda stubborn. Don't take all pills subscribed but I do research for info on this and subscribe to mailing list.

This is what I SHOULD take daily:
Depakine Chrono 500mg
Lexapro 10mg
Seroquel 100mg
Lamictal 100 mg

This is what I take daily:
Depakine Chrono 500mg
Lexapro 10 mg

It will be a long letter if I tell you all I wish to (as I enjoy writing). However, it might be better answering only what you interest.

In short (I hope I can make it short), I am 38 years old and was formally diagnosed around five years ago. It is a bit complicated here as both my parents are doctors. I did have a serious problem with both of them and it seemed to be the key factor in all my problems. This is not to blame anyone but to share with you frankly.

Conversation with me will involve conflicts with them and center around them. What I would expect them to do instead of let me have formally treatment (not "through" them I mean directly take to a psychiatrist by myself) once I have serious problem with others too.

I am lucky that I don't have pressure to earn for a living. They are ok now to support me my whole life but I am still doing business with friends and help others (which is actually help myself a lot) and start doing interesting things to fulfill my life....make me not feeling useless.

My facebook info would provide more info about every aspect of my life. Feel free to ask those in Thai. I do have my own blog but most info are in Thai except my research on the first book that I translated and additional material. You may feel like to check it out.

I also show on my first book that I have bipolar and the book will be available to Thai market soon.

If you are ok to talk to an emotional woman like me, I would be glad to be helpful. :)

Anne
Sarinnee Varatorn
email: natpatcha@gmail.com
http://www.natpatcha.blogspot.com/

กล้าในกระทู้กล้า

หมู่นี่ทำไมฉันถึงได้คันไม้คันมือคันปากขึ้นมาอีกแล้ว เสี่ยงชีวิตมากที่แสดงความเห็นในกระทู้ของชาวแดง(หากใช้เกณฑ์หยาบๆ ในการจัดประเภทคน คนในเมืองไทยมันจะมีกันแค่สองประเภทได้ยังไงกัน?!?!)

ออกจะภูมิใจเลยขอยกมาเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวเฉพาะสิ่งที่ตัวเองพูด ใครอยากรู้ก็ไปหาอ่านเอาที่เฟซบุคนะคะ ถ้าหาเจอ อิอิ

+++

เกณฑ์วัดความเป็นแดงเป็นสลิ
่มของคนที่รู้จักต่างกันสุดขั้ว รู้สึกว่าตัวเองกล้าหาญมากที่กล้ามาตอบที่นี่อีกครั้ง เผอิญคลุกคลีกับคนทั้งสองขั้วและพยายามเข้าใจเหตุผลของแต่ละฝ่ายอย่างที่สุด เศร้าใจกับการคอรัปชั่นที่ฝังในจนไม่รู้จะแก้ไขยังไง คิดว่าไ...ด้คลุกวงในจนเข้าใจว่าแม้"ความไม่ยุติธรรม"ที่คนส่วนน้อยได้เข้าถึงทรัพยากรด้วยวิธีมิชอบ เอารัดเอาเปรียบคนส่วนใหญ่ในประเทศ จะน้อยกว่าของคนส่วนใหญ่ที่ต้องสู้แต่กับความจน จน และจน

แต่ความไม่ยุติธรรมที่ดูจะไม่ยุติธรรมอีกเช่นกันก็ทำให้สลิ่มต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศเพื่อจะจัดการกับปัญหาหรือช่วยพวกที่ไม่ใช่สลิ่ม สู้กับสลิ่มด้วยกันเองอย่างที่คนทั่วไปไม่คาดคิด หลายคนสู้ด้วยอุดมการณ์และกลายเป็นสลิ่มที่ต้นทุนสูง สติปัญญาดีแต่ไม่ประสบความสำเร็จกลายเป็นคนขี้แพ้ในสายตาสลิ่มด้วยกัน ในขณะที่คนส่วนใหญ่มองมาเมื่อรู้ว่าเป็นคนขี้แพ้เป็นคนที่ต้นทุนสูงก็ยิ่งสมน้ำหน้าทับถมลงไปใหญ่

ทุกวันนี้แม้เวลาจะผ่านไปร่วมยี่สิบปี เห็นความล่มสลายขององค์กรตั้งแต่แผลยังไม่เน่าเฟะ ผู้สร้างความวิบัติยังไม่ได้รับโทษสาสมกับที่ควรได้ ในฐานะคนที่เกี่ยวข้องเห็นว่าบ้านกำลังจะพังแต่ทำอะไรไม่ได้เลย บอกคนอื่นก็ไม่ได้ ที่บอกได้คนๆ นั้นก็รอวันให้บ้านพังอยู่แล้ว หรือถ้าจะเลือกบอกได้ก็ไม่รู้ว่าจะบอกแล้วก่อให้เกิดผลดีหรือมันจะยิ่งร้ายไปกว่าเดิม

รากฐานของปัญหาอยู่ที่จิตสำนึก เรื่องที่ต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็กกำลังหล่อหลอมความเป็นตัวตน ภายใต้กรอบวรรณะ ชนชั้นที่กำหนดความคิดของคนไม่ต่างจากทัศนคติที่มีต่อผู้หญิงที่แต่งงานหลายครั้งอย่างในหนังสือมาลัยสามชาย

บางครั้งถ้าคนที่ต้นทุนทางสังคมต่ำได้รับความยุติธรรมมากขึ้น อาจจะมองแล้วก็ปลงได้ว่า อันที่จริงแล้ว ชีวิตใครไม่ได้ดีไปกว่าใครเลย ความไม่ยุติธรรมที่เขาได้รับอาจจะน่าพิสมัยกว่าความได้เปรียบทางสังคมของคนอีกกลุ่มก็ได้เมื่อได้ไปถึงจุดนั้นจริงๆ

+++

อ่านคอมเมนท์แล้วนึกถึงวัตถุประสงค์การมาเยือนดาวโลกของมนุษย์ต่างดาวในซีรีส์ V (2009) เลยค่ะ เมื่อคืนเพิ่งดูตอนที่แอนนาผู้นำของชาว V สั่งให้คนทำร้ายลิซ่าลูกสาวตัวเอง สักตัวอักษร V ที่หน้าผากและทำให้ขาหัก เพื่อเอาชนะแฟนหนุ่มของลู...ก จะได้ตัดสินใจยอมเข้าโปรแกรมเรียนรู้วัฒนธรรมอยู่บนยานอวกาศเพื่อที่ตนจะได้ฆ่าทิ้งหลังจากที่ใช้ประโยชน์เสร็จแล้ว ด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย แอนนาสั่งให้แพทย์ประจำยานรักษาเฉพาะอาการขาหัก ส่วนเรื่องรอยสักรูปตัววีให้คงไว้ก่อนจนกว่าจะขึ้นยาน ได้คะแนนความสงสารจากแม่แฟนไปเต็มๆ ทั้งที่แม่รู้วัตถุประสงค์ที่แท้ของแอนนาแต่ด้วยความเป็นมนุษย์ก็คิดไม่ได้ว่าทำไปเพื่ออะไร

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

หญิงชาย ชายหญิง

วันนี้มีหลายๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามาดลใจให้ฉันอยากเขียนหนังสืออีกหนึ่งเล่ม...

นานแล้วที่ฉันไม่ได้คุยกับพี่ชายแสนดีอีกคนหนึ่ง หากใครได้มาอ่านบทสนทนาหนนี้แล้วจะต้องหันมามองหน้าฉันด้วยสายตาตำหนิอีกตามเคย ประมาณว่า ทำไมผู้หญิงคนนี้ไม่รู้จักวางตัวให้เหมาะสมอีกตามเคย

เร่ิมตั้งแต่คุยเรื่องทะลึ่งลามก เอารูปที่ตัวเองคิดว่าเซ็กซี่ส่งให้ผู้ชายที่มีภรรยาแล้วดู แถมมีการแกล้งขู่กันเองว่าเป็นการมีกิ๊กออนไลน์

ฉันยังบ่นไม่หายถึงข่าวลือข้ามโลกเรื่องการประพฤติตัวไม่เหมาะสมของฉันในหมู่รุ่นพี่และเพื่อนผู้ชาย ภาพลักษณ์ลวงตานี้ทำไมมันถึงได้หนามากนัก แล้วฉันก็ได้เห็นตัวอย่างละครเรื่องใหม่ มาลัยสามชาย จากปลายปากกาของว. วินิจฉัยกุล ได้อ่านคำวิจารณ์และมุมมองที่นำเสนอแล้วก็ให้คันไม้คันมือคันปากขึ้นมาทันใด

"กะอีแค่ผู้หญิงคนนึงแต่งงานสามครั้ง ต้องเล่าเรื่องอ้างอิงมากมายเพื่อจะได้เป็นที่ยอมรับว่าเป็นผู้หญิงที่ดีงั้นเหรอ? คนที่ล้มเหลวในชีวิตคู่ต้องโดนตราหน้าไปทั้งชีวิตหรือไง ฉันว่ามันน่าจะหมดสมัยได้แล้วนะ"

ลอออรเป็นผู้หญิงที่เกิดสมัยรัชกาลที่ห้า เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงห้าแผ่นดิน เธอกล้าก้าวออกจากชีวิตการแต่งงานครั้งแรกอย่างอาจหาญ การแต่งงานครั้งที่สองและสามก็ได้แต่งงานกับคนที่มีคุณสมบัติดีพร้อม อันเป็นโชคดีอย่างเหลือเกิน คิดดูว่ากรณีนี้เธอยังโดนวิพากษ์วิจารณ์ขนาดหนัก แล้วผู้หญิงธรรมดาที่ไม่ใช่นางเอกละครอย่างฉันจะมีโอกาสได้เงยหน้าเงยตาในสังคมหรือ

ฉันว่าเวลาก็ผ่านเลยมาเนิ่นนาน แต่ค่านิยมและกรอบของสังคมในเรื่องนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปสักเท่าใด แม้คนไทยจะมีอัตราการหย่าร้างสูงขึ้นเรื่อยมา คนครองตัวเป็นโสดมากขึ้นแต่ผู้หญิงที่เคยแต่งงานแล้วก็ยังโดนมองเป็นของเสียอยู่ดี

มีคนชอบฉันและยอมรับได้แต่กลัวว่าที่บ้านจะไม่ยอมรับ มีคนที่ชอบฉันแต่ยอมรับไม่ได้หวังเพียงให้ฉันเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งที่ห้ามออกโชว์ มีคนที่คิดว่าฉันเป็นแม่ม่ายขาดรักอย่างหนักน่าจะเอาไว้หลอกใช้ มีคนที่ดูฉัน ดูแล้วดูอีก ทำท่ายึกยักกล้าๆ กลัวๆ แล้วเมื่อเสียไปแล้วก็รู้สึกว่าน่าจะมีค่าควรแก่การพิจารณาในขั้นต่อไป

มีคนที่แตกต่างจากฉันในหลายๆ เรื่องออกจะไปในทางที่ด้อยกว่าฉันเสียด้วยซ้ำแต่ไม่กล้าคบกับฉันอย่างเปิดเผย มีคนที่อยากควงฉันแบบชั่วคราวแต่กลัวฉันจะกัดไม่ปล่อย มีคนที่อยากจะเลี้ยงดูฉันเป็นเรื่องเป็นราวคิดว่าคนอย่างฉันไม่มีทางเลือก อยากให้มีคนเลี้ยง

มีคนที่ฉันรับไม่ได้ เขารับฉันไม่ได้ ความสัมพันธ์จึงจบลงในที่สุด แต่ผู้ชายจะเคยคบกับใครมากี่มากน้อยก็ไม่เป็นเรื่องเสียหาย ผู้หญิงที่จริงใจ จริงจังเกินไปกลายเป็นผู้หญิงหน้าด้านทำตัวไม่มีคุณค่า ทำให้ผู้ชายกลัวต้องหลีกไกล

มีคนดีๆ ที่เข้ามาสนใจคบหา ไม่ลงตัวไม่เป็นไร เป็นเพื่อนกันเฉยๆ ก็ได้ แต่พอไม่ลงตัวแล้วก็ตัดสัมพันธ์ ไม่สามารถคบหากันในส่วนที่เข้ากันได้ดีได้ ซึ่งฉันก็เข้าใจ ฉันเป็นเพื่อนกับใครแฟนของผู้ชายคนนั้นก็ไม่สบายใจซะส่วนใหญ่ มีอยู่รายที่ฉันรู้สึกว่าเวลาจะทำให้เขาเข้าใจว่าฉันเป็นคนที่อยากทำอะไรให้ชัดเจนแต่ไม่เคยคิดว่ารูปแบบความสัมพันธ์ที่เหมาะสมสำหรับคนที่เคยคิดเป็นแฟนกันจะเป็นได้แค่เป็นแฟนหรือเลิกคบกันไปเลย

มีผู้ใหญ่อายุหกสิบกว่าอยู่หนึ่งท่านที่เป็นมาลัยสามชายแต่ไม่สมบูรณ์แบบเหมือนในละคร ชายแรกแต่งงาน ชายคนที่สองลักลอบ ชายคนที่สามคบหาอย่างเปิดเผย แต่คนสำคัญในชีวิตของฉันก็เข้าใจและยอมรับในตัวตนของเธอ ในขณะเดียวกันก็ยอมรับความเป็นฉันไม่ได้ ยังไงเสีย ฉันก็วางตัวไม่เหมาะสม...

คงมีหลายคนที่รอสมน้ำหน้าอยู่หากชีวิตคู่ของฉันครั้งนี้ก็ไปไม่รอดในที่สุด มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ ฉันไม่ชอบความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นกับฉันเลย ทำไมฉันถึงได้เริ่มกลัวว่าจะต้องสูญเสีย กลัวว่าจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด กลัวว่าจะเปลี่ยนไป หากมีปัจจัยอื่นมากระทบแล้วมันจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง

ฉันนึกถึงคนไข้ของคุณหมอเฮ้าส์อยู่ตอนนึงที่มาโรงพยาบาลพร้อมกับสาวคราวลูก แต่พอตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน คนที่อยู่เป็นกำลังใจและช่วยเหลือ ตัดสินใจเรื่องความเป็นความตายกลับเป็นภรรยาเก่าคู่ทุกข์คู่ยาก พอหายดีแล้วก็กลับไปอยู่กับสาวรุ่นดังเดิม

ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากฟันฝ่าอุปสรรคด้วยกันมา พอร่ำรวยมีฐานะ ภรรยาก็รับหน้าที่ช่วยงานไป แต่เวลาแห่งความสุขกลับไปอยู่กับเด็กผู้หญิงหน้าตาสะสวยที่อยู่ด้วยเพราะเงิน เราว่ากันว่าผู้ชายเห็นแก่ตัว แล้วผู้หญิงล่ะ พอมีลูกก็ไม่สนใจสามี ไม่ทำตัวให้น่ามองเพื่อเอาใจผู้ชาย นี่แปลว่าผู้หญิงเห็นแก่ตัวด้วยรึเปล่า

ยังไง ผู้ชายกับผู้หญิงก็ไม่มีวันเท่ากัน ข้อได้เปรียบที่ผู้หญิงเคยได้ก็ไม่อยากเสียไป เรื่องใดที่ตนเสียเปรียบแต่เดิมก็ยังคงเรียกร้องความเท่าเทียมอยู่เรื่อยมา

ทำไมนะฉันถึงได้นึกถึงมาร์จี้คนนั้นเสียเหลือเกิน

วันนี้ยกให้คนที่อยู่ข้างๆ

เนื่องด้วยช่วงนี้ใช้กระดาษชำระเปลืองเหลือเกิน คนที่อยู่ข้างๆ ก็เลยไปซื้อยาแก้แพ้ให้กิน...

ฉันเพิ่งกินยาเม็ดละ 4 บาทเม็ดที่สองวันนี้เอง คนซื้อบอกว่าถ้าได้ผลจะรีบไปซื้อมาให้ใหม่เพราะร้านขายยากำลังจะย้ายไปแล้ว

ฉันอยู่กับอาการหายใจติดขัดนี้มาตลอดชีวิต ทำให้บ่อยครั้งต้องหายใจทางปากพร้อมๆ กับต้องแคะขี้มูกด้วยกระดาษทิชชูหมุนๆ ไชเข้าไปในรูลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ อันเป็นที่มาของสายตาดูถูกเหยียดหยามราวกับเป็นคนไร้สกุลรุนชาติ ไม่ได้รับการอบรมมาอย่างเหมาะสม เข้าสังคมไม่เป็น อะไรจะเถรตรงขนาดนั้น ไม่รู้จักกาละเทศะ ความควรไม่ควร และอื่นๆ อีกเหยียดยาว

เมื่อคืนฉันกินอาหารรสจัดโดยที่น้ำมูกไม่ไหลเลย นอนตื่นมาปากเม้มสนิทริมฝีปากไม่แตก แถมยังตื่นเร็วเกินควร คิดไปไกลว่าคงได้ออกซิเจนเต็มที่ทำให้รู้สึกสดใสแต่เช้า เรื่องเล็กๆ ที่รบกวนฉันมาตลอดชีวิตเว้นเพียงตอนก่อนเข้าห้องผ่าตัดที่โรงพยาบาลกรุงเทพว่ารู้สึกหายใจติดขัด แพทย์เสียงหวานหยอดยาที่รูจมูกให้สองสามหยดแล้วก็หายใจคล่องสักพักก็ผลอยหลับไป

มีความเปลี่ยนแปลงมาคั่นจังหวะสร้างความแปลกใหม่ให้ชีวิตวันนี้...

iMac ใหม่เอี่ยมที่จากสิงคโปร์มาถึงร่วมสองอาทิตย์แล้วแต่นอนรอให้คนซื้อเปิดใช้เพิ่งได้อวดโฉม ฉันสั่งตรงจากเว็บไซต์ชอปปิ้งแบบไม่ต้องออกจากบ้าน ตอนแรกนึกว่าจะต้องเสียเวลาเซ็ทอัพนาน เพียงแค่ถ่ายรูปตัวเองเป็นรูปประจำตัวแล้วก็คลิกไม่กี่ที รู้งี้จะให้คนที่อยู่ข้างๆ ทำเองทุกอย่างตั้งแต่แกะกล่องแล้วเนี่ย

เรื่องที่ฉันคิดว่าง่าย ไม่ง่ายอย่างที่คิดแฮะ!

ไอแมคเครื่องนี้ไม่ได้ลง Firefox ไว้ ด้วยความขี้เกียจฉันเลยผลักภาระให้เขาใช้ Safari ที่ฉันว่ามันก็แทบจะไม่แตกต่างกัน ฉันเปิดหน้าเฟซบุคใน Safari ให้เสร็จสรรพ นึกว่าคงไม่ต้องเดินไปดูอีกแล้ว กลับกลายเป็นว่า การที่ฉันให้เขาตั้งพาสเวิร์ดเข้าเครื่อง คราวนี้เขาเลยใช้พาสเวิร์ดดังว่าเข้าหน้าเฟซบุค ฉันก็เลยต้องลุกไปดูความเรียบร้อยอีกครั้ง

การสอนผู้ใหญ่นี่ยากจริงๆ หรือฉันเองเป็นคนไม่ชอบสอนใครทุกวินาทีกันแน่ เล่นคอมมันควรต้องหลงไปโน่นนี่เพื่อเรียนรู้นา

เวลาจะสอนให้คนโดยเฉพาะคนหมู่มากได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ต้องทำให้มันง่ายที่สุด ชัดเจน กะทัดรัด หลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่ไม่จำเป็น ครอบคลุมทุกปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

แต่ฉันไม่ชอบอะ! มันทำให้คนใช้ความพยายามน้อยไปหน่อย ป้อนทุกอย่างเสร็จสรรพ แทนที่จะเน้นไปที่เข้าใจได้ง่าย เปลี่ยนเป็นทำให้อยากรู้ มุ่งไปที่การเปลี่ยนทัศนคติดีกว่านา

ฉันอยากให้คนที่เรียนรู้สึกว่าฉันก็ไม่ได้เก่งไปกว่าเขา เพราะเครื่องไอแมคนีี่ฉันก็ไม่เคยใช้มาก่อน ฉันก็ต้องหาปุ่มเปิดเครื่องเหมือนๆ กัน ฉันเลยให้เขาเป็นคนเปิดเครื่อง ใส่ถ่านเม้าส์และคีย์บอร์ดเอง แต่แล้วฉันก็ต้องเปลี่ยนขั้วถ่านกับเปิดเม้าส์ให้อีกอยู่ดี

ผู้ใหญ่นี่เวลาจะหยิบจะจับอะไร ทำไมมันจะระแวดระวังไปทุกย่างก้าวฟะ!!

ตอนที่จะให้เขาใส่ถ่าน เปิดเครื่องเองก็คิดแล้วว่ายังไงก็ต้องทำได้ แต่เพื่อให้ไม่หงุดหงิดเกินไปจนท้อกับการเปลี่ยนเครื่อง ฉันก็เลยต้องจัดการให้อีกทีอยู่ดี แม้แต่จะเปิดคลิปวิดีโอยังต้องถามฉันก่อนเลยว่าเสียงมันจะมาจากไหน การที่ไอแมครวมทุกอย่างในอุปกรณ์ชิ้นเดียวทำให้คนใช้รู้สึกว่าอะไรมันจะไม่ต้องทำอะไรเลยขนาดนี้

ถ้าคราวต่อไป เขาต้องเข้าเฟซบุคจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อื่น เขาจะท้อก่อนรึเปล่าเนี่ย โลกแมคยังเล็กนักเมื่อเทียบกับโลกพีซี

นับแต่นี้ฉันคงต้องฟังเพลงของคุณลูกชายบ่อยขึ้นอีกหลายเท่าเพราะคุณพ่อเห่อคุณภาพเสียงของเครื่องแมคนี้จริงๆ

แล้ววันนึงจะแปลกใจถ้ารักสิ่งที่เราเคยเกลียด

ลูกของพี่คนหนึ่งเกิดอาการเซ็ง เบื่อเรียน บ่นมาในเฟซบุคเป็นระยะๆ

"เกลียดทุกวัน เพราะเรียนทุกวัน"

"เรียนไปเพื่อ?"

ฉันเข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้านอันทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีกับตัวเอง เลยเอามาใส่ไว้ในนี้ให้เธออ่านจ้า :)

+++

ขอตอบยาวๆ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับน้องแน็ตนะคะ คงไม่ตกใจจนเกินไปที่น้าเขียนจดหมายยืดยาวขนาดนี้ เอ็นดูลูกสาวของพี่โตที่น่ารักเท่านั้นเองค่ะ :)

น้ามาเห็นข้อความของน้องแน็ตอีกครั้งก็ทำให้นึกถึงสมัยเด็กๆ ที่ขี้เกียจเรียนมากๆ ตอนที่น้ารู้สึกไม่อยากเรียนมากที่สุดคือ ตอนที่สอบเทียบเพื่อเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย น้าเรียนพิเศษแทบทุกวิชา อ่านหนังสือหนักมากจนบอกกับตัวเองว่า ไม่อยากกลับไปเรียนมอหกต่อเลยหากสอบเข้าคณะที่ต้องการไม่ได้

ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่สอบได้ตามที่ตั้งใจไม่ต้องกลับไปเรียนมอหกอีก แต่เมื่อย้อนกลับไปนึกถึงเวลาช่วงนั้น ช่วงเวลาแห่งความสุขสมัยเรียนก็ลดลงไปหนึ่งปีเหมือนกัน

น้าเคยเบื่อเรียนเปียโนมากกกกกก อยากเลิกเรียนแต่ไม่รู้จะทำยังไง ตอนที่เริ่มเรียนคุณครูก็ถามว่าอยากเรียนจริงๆ รึเปล่า น้ารู้แต่ว่าแม่อยากให้เรียน มีหน้าที่ต้องตอบว่าอยากเรียน ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าชอบรึเปล่า อาจเป็นความรู้สึกเฉยๆ ซะมากกว่า

แล้วในที่สุดน้าก็หาข้ออ้างได้ตอนที่จะสอบเข้าเรียนต่อโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โล่งอกมาตลอดว่าต่อไปนี้ไม่ต้องเรียนแล้ว เปียโนที่บ้านก็ไม่ได้แตะอีกเลย จนไปเรียนต่อเมืองนอก พบรักแล้วก็อกหักในวันที่คิดว่ากำลังจะสมหวัง มหาวิทยาลัยที่สมัครเรียนไว้ไม่รับสักแห่ง ชีวิตมีแต่เรื่องผิดหวัง อยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า มีปัญหากับคนไทยที่นั่นจนพ่อของเขาไปว่าพ่อของน้าที่เมืองไทย และอีกหลายๆ เรื่อง น้าจมอยู่กับความเศร้าระหว่างนั้นก็ไปเล่นเปียโนที่ห้องโถงของหอพักทุกวัน เล่นซ้ำแล้วซ้ำอีกวนเวียนอยู่อย่างนั้น เล่นเพลงไทยที่พ่อของผู้ชายที่ทำน้าอกหักแต่งและเพลงที่เขาแต่งทำนองให้น้าโดยเฉพาะ เล่นไปเล่นมาจนได้เนื้อเพลงออกมา อธิบายความรู้สึก ณ ตอนนั้น กลับกลายเป็นความภูมิใจที่สามารถแต่งเนืื้อร้องเพลงแรกในชีวิตตอนที่จมอยู่ในความทุกข์

จากวันนั้น สัมพันธ์ ยังจดยังจำ ทุกวัน
ไม่มีวัน เหินห่างกัน
ทุกวัน เธออยู่เคียงฉัน ตราบนานเท่านาน

จิตใฝ่ฝัน ถึงวันนั้น ยังจดจำ อยากเก็บมันไว้อย่างนั้น
ไม่มีวัน เหินห่างกัน
ทุกวัน เธออยู่เคียงฉัน ตราบนั้นจนตาย

และแล้วก็เป็น เพียงฝัน รำพัน ที่ฉัน นอนฝัน ผู้เดียว
เธอจากไปแล้ว ลับลา ไม่กลับมาหา แน่นอน
ไม่มีวันเป็นดั่งฝัน เมื่อวัน ที่เธอบอกลา

น้าอยากตอบคำถามน้องแน็ตแบบจริงๆ จังๆ เลยนะคะเนี่ย สำหรับตัวน้าเองแล้ว น้าเรียนไปเพื่อจะได้รู้ น้าจะขอเจ้านายเข้าอบรมหลักสูตรต่างๆ เป็นประจำ เพราะมันตอบสนองความอยากรู้ อยากเข้าใจของน้าเอง คนอื่นๆ เขาก็ไม่ค่อยทำอย่างนั้นกันหรอก คนทั่วไปเขาคิดว่าการเรียนเป็นเรื่องหนัก เป็นเรื่องที่ถูกบังคับให้ทำ มีหลายๆ วิชาเหมือนกันที่น้าไม่ชอบ น้าก็เรียนแล้วก็สอบให้มันผ่านๆ ไป แต่ถ้าน้ากลับไปเรียนได้ใหม่ น้าจะลองมองเรื่องที่จำเป็นต้องเรียนในมุมที่ต่างออกไป

ที่น้าเบื่อเรียนเปียโนเพราะน้าไม่ชอบหัดเล่นเพลงที่ไม่ได้ชอบ น้าอยากเล่นเพลงไทย เพลงประกอบละครที่น้ารู้จัก พอน้ากลับมาเล่นอีกครั้ง น้าก็ไม่ได้เล่นเพลงที่เคยเรียนอีกเลย ถ้าน้าไม่มีทางเลือกยังไงก็เลิกเรียนเปียโนไม่ได้ น้าจะบอกคุณครูว่าน้าจะขอเล่นเพลงที่ชอบ เพลงแนวอื่นแทน ตอนที่น้าเรียนเปียโน น้าก็ต้องเรียนไปตามที่ครูสอน เหมือนเป็นสิ่งที่ต้องทำ น้าไม่รู้ว่าสิ่งที่เราได้จากการเรียนมันมีมากกว่าแค่การเล่นเปียโนเป็น

การเล่นเปียโนเป็นการฝึกการรับรู้และการสร้างความสัมพันธ์ของระบบประสาท(หู) ตา มือเหมือนๆ กับการพิมพ์ดีด ทำให้สมองทั้งสองซีกพัฒนา การได้ใกล้ชิดกับเสียงดนตรีทำให้จิตใจอ่อนโยน ไม่แข็งกระด้าง เป็นทางหนึ่งที่จะปลดปล่อยความรู้สึก คล้ายๆ กับการร้องเพลงที่ทำให้ได้ระบายอารมณ์ต่างๆ ที่ฝังอยู่ในใจและเป็นการสร้างความสุขให้กับตัวเองแบบง่ายๆ

สิ่งที่เราเรียนบางอย่างไม่ได้มีความหมายด้วยตัวมันเอง แต่เป็นบันไดให้เราก้าวไปสู่ขั้นต่อไปของชีวิต เราเลือกได้ที่จะสร้างความสุขหรือความทุกข์ในทุกๆ นาทีที่ผ่านไป เพื่อประโยชน์สำหรับตัวเราเองค่ะ

จะว่าไปแล้วก็คงมาตายตอนจบ เพราะน้าก็กำลังเบื่อๆ ชีวิตและการเขียนจดหมายฉบับนี้หาน้องแน็ตทำให้น้ามีความสุขค่ะ :)

+++
หมายเหตุ: เนื้อหาจดหมายที่โพสต์ที่นี่มีการปรับปรุงอยู่เรื่อยทุกครั้งที่ฉันอ่านและคิดว่ามีคำอื่นที่ดีกว่าเดิม เนื้อเพลงฉันเพิ่งพิมพ์เพิ่มเพื่อความสมบูรณ์ ชื่อเรื่องคือข้อความที่ฉันโพสต์ในเฟซบุคของน้องแน็ต ส่วนคำตอบยาวส่งเป็นเฟซบุคเมสเสจให้น้องคนเดียว ชื่อเพลงไม่อาจเปิดเผยได้เพราะกระทบบุคคลที่สามอย่างจัง และเพลงที่อ้างถึงก็กำลังจะดังอย่างฉุดไม่อยู่ภายในหนึ่งอาทิตย์(ฉันว่านะ)!

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

หมอลักษณ์ฟันธงวันนี้โดนนน!!

คนลัคนาราศีธนูตอนนี้มีดาวราหูกุมลัคนา เจ้าแห่งความมัวเมา แถมดาวเจ้าเรือนถอยหลังหมดกำลัง หากเป็นดาราก็จะแสดงบทบาทได้ดุเด็ดเผ็ดมันถึงพริกถึงขิง ทำให้จากเดิมที่เป็นคนดีกลายเป็นคนที่ร้ายที่สุด เพราะฉะนั้น ฉะนั้นช่วงนี้เหมาะอย่างยิ่งแก่การเข้าวัด

แหม! ยิ่งกว่าฟังเทศน์อีก หาเหตุผลให้ชั่วได้อีกพักใหญ่เลย!!!

V (2009)

ฉันกลับมาเป็นราชินีซีรีส์อีกครั้ง...

ความคิดนี้แว่บขึ้นมาทันที... เมื่อใดที่ส่วนลึกฉันปรารถนาให้โลกหยุดนิ่ง ฉันจะวิ่งเข้าไปอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง หรือจะเรียกกันภาษาชาวบ้านว่า "หนีความจริง" ก็คงไม่ผิด เวลาที่ใช้ในการเข้าไปอยู่ในโลกอีกใบดูจะยาวขึ้นเรื่อยๆ เป็นวัน เป็นอาทิตย์ เป็นปี...

เหตุผลเดินคู่กับอารมณ์แบบโลกคู่ขนาน เหมือนใน Fringe พิกล ยิ่งดูแล้วทำไมฉันยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคุณด็อกเตอร์วอลเตอร์หว่า!?!? ยิ่งดูยิ่งเข้าใจ ออกจะเข้าใจมากกว่าคุณหมอเฮ้าส์ด้วยซ้ำ

ดีใจที่ไม่ได้พลาดซีรีส์ดีๆ อย่างองค์หญิงต๊อกมาน บทงี้สุดยอด ใครจะว่าหนังมันก็คือหนัง ไม่ใช่เรื่องจริง แต่ฉันว่ามันสะท้อนความต้องการของคนดูได้อย่างชัดเจน เหมือนๆ กับที่เราสามารถอ่านคนได้จากรูปที่เขาถ่าย จะว่าไปก็ทุกๆ สิ่งที่คนทำสะท้อนความเป็นตัวตนบางอย่าง อาจมีภาพที่ต้องการสร้างปะปนอยู่ด้วย แต่ถ้ามีหลักในการมองก็จะเข้าใจ เพียงแต่อย่าหยิบขยะออกมาวิเคราะห์แล้วทำให้ข้อเท็จจริงบิดเบือน แหม แต่ก็ไม่แน่นะ คนวิเคราะห์อาจจะเห็นอะไร เข้าใจคนๆ นั้นในสิ่งที่เจ้าตัวยังไม่รู้ก็ได้ เหมือนกับที่มึนโนบอกว่ายูซิลยังไม่รู้ศักยภาพของตัวเอง

ยูซิลซ้อมกระบี่ด้วยการฟันดาบที่หุ่นฟางด้วยความตั้งใจจนครบหมื่นครั้งทุกวัน หากมีเพียงครั้งหนึ่งครั้งใดที่ไม่ได้ลงดาบไปด้วยความมั่นใจหรือทำเพราะขาดสมาธิ เขาจะเริ่มนับใหม่ทันที กิจวัตรนี้ยังคงติดตัวจนเติบใหญ่ในหน้าที่การงาน ทุกครั้งที่สับสนหรือคิดไม่ตกเขาจะไปฟันหิน แล้วจนวันหนึ่ง ดาบไม้ที่ฟันหินจนหักไปไม่รู้เท่าไหร่ก็ทำให้หินแตกได้ในที่สุด

นี่ถ้าหนังสือเรียนประวัติศาสตร์สมัยเด็กๆ สนุกอย่างนี้ นักเรียนคงไม่ต้องท่องจำหนังสือก่อนสอบเพื่อที่จะลืมเป็นปลิดทิ้งหลังสอบเป็นแน่ คนไทยสมัยนี้ท่าทางจะรู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์เกาหลีมากกว่าประวัติศาสตร์ไทยเสียแล้ว

ส่วนการฝึกความฉลาดและความอดทน ความจำเป็นของการโกหก ปัญหาความเชื่อใจ ช่องว่างระหว่างวัย การผจญอุปสรรคและอีกหลายๆ เรื่อง ฉันกำลังศึกษาจาก V (2009) จ้า

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

ขยะ

วันนี้ฉันอาจหาญกระทำการอันเนื่องมาจากความคิดที่ผุดขึ้นอีกแล้ว...

พี่ชายของแฟนเก่าบอกเล่าความรู้สึกผ่านข้อความในเฟซบุคว่า ได้คุยกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันร่วม 30 ปี เคยเคืองกันด้วยเรื่องอะไรก็ลืมไปแล้ว ที่จำได้ก็มีแต่เพียงชื่อพ่อ พวกเด็กผู้ชายไม่ค่อยเรียกชื่อตัวกันอยู่แล้ว ฉันเองก็รู้จักบางคนด้วยชื่อ(พ่อ) หากจะได้มาพบเจอกันใหม่ ฉันก็คงไม่รู้จะเรียกชื่อใดอยู่ดีถ้าไม่ใช่ชื่อ(พ่อ)!

ฉันส่งไพรเวทเมสเสจขอรำลึกความหลังด้วยคน แล้วก็รู้ว่าหากเขียนตามที่คิด คงต้องได้เสี่ยงที่จะสูญเพื่อนเฟซบุคอีกหนึ่งเป็นแน่ ย่อหน้าแรกฉันเลยเกริ่นเสียก่อนว่า เมื่ออ่านจบแล้วพี่คนนี้จะเลิกเป็นเพื่อนกับฉันไปเลยรึเปล่าเนี่ย

คำตอบกลับมาทันใจสองฉบับแสดงว่า อ่านแล้วตอบเลยและกลับไปอ่านอีกรอบ พิมพ์ตอบกลับอีกทีทวนคำพูดซ้ำเหมือนออกมาจากใจจริงๆ เพราะเต็มไปด้วยความเยิ่นเย้อ ซ้ำซาก สรุปได้ความว่า เราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ ได้แต่ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

ฉันเชื่อว่าข้อความที่ฉันเขียนถึงต้องวนอยู่ในเซลล์สมองของพี่คนนี้ไม่น้อยกว่าสามรอบ เห็นหน้าจอแชตเปิดค้างพิมพ์คำว่าแอน ฉันเพิ่งมาเห็นหลังจากผ่านไปแล้วเกือบสิบนาที คนที่ทักเข้ามาก็ออฟไลน์ไปเรียบร้อย แล้วฉันก็กลับไปอ่านเมสเสจของเขาทั้งสองฉบับอีกครั้ง แล้วก็ตอบแบบยาวๆ ตามสไตล์ ไม่ได้ตั้งใจจะอธิบาย แก้ไขเรื่องที่เข้าใจผิดหรือเรื่องที่ดูจะมองกันคนละมุม(แปลว่าถูกทั้งคู่) แค่ความคิดที่ผุดขึ้นมาและอยากบอกให้รู้สักครั้ง ประมาณว่าทำตามใจตัวเองโดยไม่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของผู้รับสารว่าจะรู้สึกละอายหรือโกรธหรือใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่ว่าใครก็มีสิทธิ์มองเรื่องหนึ่งๆ และให้เหตุผลกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นตามที่ตนต้องการ เหตุผลของใครก็ของคนนั้น อารมณ์ของใครก็ของคนนั้น

อย่างน้อยเขาก็ยังตอบอีเมล ทั้งๆ ที่ปฏิกิริยาหนึ่งแปลความได้ทั้งสองขั้ว ตอบตามมารยาท ตอบตามอารมณ์ความรู้สึกขณะนั้น ตอบเพื่อคงภาพลักษณ์ที่ควร ตอบเพื่อไม่ให้รู้ว่าจริงๆ แล้วรู้สึกอย่างไร ตอบเพื่อต่อต้านข้อความในย่อหน้าแรกที่ฉันดักทางเอาไว้แล้วว่า จะเลิกคบกันมั้ยเนี่ย!

เขาคงมองว่าฉันเป็นศัตรู ผู้สร้างความปวดร้าวให้น้องชาย และเป็นศัตรูประเภท "ซ้ำซาก" เพราะแม้น้องชายของเขาจะอภัยและดีกับฉันเพียงไร ฉันก็เดี๋ยวเลิกเดี๋ยวคบหลายรอบ ความสัมพันธ์งอกเงยจนกระทั่งแม่ของเขาบอกว่าจะให้ไปขอเมื่อไหร่ก็ให้บอกมา

ฉันเห็นภาพอนาคตโดยไม่ต้องวาดว่าหากตัดสินใจร่วมทางเดินชีวิตกับชายผู้นี้แล้วจะเป็นเช่นไร แล้วก็ฉันเองอีกนั่นแหละที่อยู่ดีๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ยก็เดินออกจากวิมานแสนสุข ท่ามกลางครอบครัวสุขสันต์ไปซะเฉยๆ ทั้งแม่และคุณพี่ชายไม่ได้โกรธฉัน ออกจะสนทนาปราศรัยด้วยไมตรีจิตอย่างเคย แม้เวลาผ่านล่วงเลยจนฉันฝากหนังสือที่แปลเล่มแรกไปให้คุณแม่ ยังได้รับสายโทรศัพท์อันมีค่ายิ่งต่อจิตใจ ร่วมแสดงความยินดีที่ฉันค้นพบตัวเอง (ว่าแต่มันเจอแล้วเหรอนั่น?!?!)

กลับมาที่ข้อความอาจหาญของฉันอีกครั้ง การบอกเล่าให้คนอื่นรู้ถึงการรับรู้และจดจำความรู้สึกทางลบที่เขามีต่อฉัน และความรู้สึกลบที่เขามีต่อเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต โดยที่เป็นการให้ข้อเท็จจริงและมันก็ไม่ได้มีผลต่อความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขาทั้งในอดีตและปัจจุบัน ก็ดีเหมือนกัน ยังไงฉันก็ชอบไอเดียความคิดเห็นหลายๆ เรื่องของเขาเหมือนเคย

เพียงแค่จบตรงที่ฉันสรุปว่า

"พี่ใช้วิธีแบบนักจัดการ ทิ้งขยะ (ทั้งที่บางส่วนอาจขายเป็นเงินได้) ส่วนแอน เอาขยะไปรีไซเคิล (แม้ว่าจะก่อให้เกิดมลพิษแค่ไหนก็ตาม) :)"

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

รนหาเรื่อง

ความเบื่อเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุด! เพราะเวลาเบื่่อแล้ว ก็ไม่มีความรื่นรมย์ใดสามารถเข้ามาแทนที่...

ช่วงหลังๆ นี้ฉันสวดมนต์บ่อย นโมสามจบตามด้วยอิติปิโส แล้วพอมันเริ่มจะคิดอีกแล้วก็กลับไปเริ่มใหม่ จนเมื่อความคิดพาฉันไปไกลจนไม่ได้กลับมาที่นโมอีกครั้ง ฉันเองก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่า ชีวิตทุกวันที่กำลังดำเนินอยู่นี้จะเป็นไปอีกถึงเมื่อไหร่ ทำไมไม่กินยาตอนก่อนนอนเหมือนเคย ทำไมไม่ทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน แล้วคำถามที่ผุดขึ้นมาก็ทำให้ฉันไม่พอใจตัวเอง แต่ก็ไม่เปลี่ยนแปลงการกระทำอีกเช่นเคย...

ซอนต๊อกมหาราชินีสามแผ่นดินจบไปแล้ว เกือบอาทิตย์ทีเดียว ตามด้วย Flash Forward แล้วก็อีกสารพัดเรื่องจนมาหยุดที่ Tudors เมื่อคืน ดูเพียงแค่ตอนแรกก็เห็นฉากที่พระราชาระเริงลีลารักสามแบบกับสามสาวที่สรีระแตกต่าง นั่นก็ยังไม่อาจทำให้ดูหนังดูละครต่อไปได้อีก

กลับมาเล่นเกมส์เพชรสุดโปรดแล้วก็ไม่ได้รับความบันเทิงใจอย่างที่ควร เมื่อเช้าตื่นมาด้วยอาการงัวเงียอย่างที่เขียนกลอนบ่นไปก่อนหน้านี้ อะไรๆ มันก็ดูจะยิ่งผิดที่ผิดทางไปเรื่อยๆ แม้อาหารการกินอันเป็นกิจกรรมสุดโปรดยังไม่อาจเรียกความสนใจได้อย่างที่ควร แล้วฉันจะอยากทำอะไรละนั่น!

เมื่อคนหงุดหงิดรำคาญเพราะผิดซ้ำที่เดิมเป็นประจำ คนอธิบายก็มีมานะจะอธิบาย แต่ก็ด้วยความหงุดหงิดไม่ต่างกันนัก เกิดการประคารมกันเล็กน้อย แต่มีผลให้ฉันไปหยิบหนังสือการสอนผู้ใหญ่มาอ่านเป็นเรื่องเป็นราว อ่านแล้วก็รู้และเข้าใจที่มาที่ไปของความไม่สบอารมณ์มากขึ้น

ก่อนที่จะอ่านหนังสือเล่มที่ว่า ฉันไปเสิร์จหาคำว่า โง่แล้วไม่รู้ว่าโง่

วลีนี้เป็นวลีที่ติดใจฉันมานาน ผู้ใหญ่พูดตอนที่ไม่ได้สติ แต่บางครั้ง เวลาที่คนเราพูดอะไรตอนที่ไม่ได้สติมันก็ดูจะเป็นข้อเท็จจริงหรือเป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริงๆ นะ

เช้าวันนี้ฉันได้ยินคำที่แตกต่าง ไม่ได้โง่อย่างที่คิดหรอกนะ

ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าไปจับวลีสองวลีนี้โยงเข้าหากันได้ยังไง เรื่องของเรื่องคือ ถ้าเกิดปัญหา มันก็คงต้องมีใครโง่ หรือโง่ด้วยกันทั้งคู่ละน่า

หนังสือ การสอนผู้ใหญ่ ดูจะให้คำตอบมากกว่าการตอบตัวเองด้วยวิธีอื่น

การสอนผู้ใหญ่ต้องใช้อารมณ์และความรู้สึกมากกว่าการสอนเด็กมาก

แค่ประโยคเดียวก็เปิดมุมมองใหม่ในทันใด หาเรื่องท้าทายอีกแล้วตู! สามร้อยกว่าหน้ารอให้อ่านถ้าไม่เบื่อซะก่อน

เฟซบุคอย่าบุกอีเมล

ตื่นมางัวเงีย
เพราะเพลียปัญหา
คุณชายเอ่ยมา
อีกคราแล้วไร

เสียงคุยโทรศัพท์
สำทับทันใด
ส่งให้แล้วไง
เหตุใดไม่เจอ

รีบลุกจากเตียง
สำเนียงเสียงบ่น
ดูหน้าจออีกหน
ผลก็เหมือนเดิม

ผิดซ้ำที่เก่า
เมาตั้งแต่เริ่ม
เสียงดุเข้าเสริม
เรื่องเดิมกลับมา

ความเข้าใจผิด
ความคิดสับสน
ยังหลงเวียนวน
วนอยู่เช่นเคย

หากเข้าใจพื้นฐาน
เสียงานไม่เลย
ถึงเบื่อขอเปรย
ขอเผยอีกครา

ตัวตนที่เจอ
ของเธอแตกต่าง
ต้องเข้าใจบ้าง
ห่างไม่ได้เลย

แต่ละแห่งที่
เธอมีตัวตน
อย่าใช้ปะปน
ต้องทนต้องจำ

ที่นี่ชื่อนี้
ที่อื่นชื่อไหน
ที่บ้านชื่ออะไร
กับใครเรียกตาม

อยู่กับเพื่อนเรียกชื่อ
อยู่กับน้องเรียกพี่
อยู่กับโลกเสมือนนี้
ชื่อพี่ชื่ออะไร

อีเมลก็คือชื่อ
จงถือเหมือนกัน
ชื่อในเฟซบุคนั่น
ก็ไม่เหมือนกันนะเออ

คุยในเฟซบุค
ใช้ชื่อเฟซบุค
อย่าให้ต้องปลุก
ลุกขึ้นจดจำ

อีเมลมี@
ก่อนลงท้ายมีจุด
ต้องจำเป็นชุด
ดุจสิ่งสำคัญ

ชื่อในเฟซบุค
ก็แล้วแต่ตั้ง
บอกอะไรจงฟัง
นั่งพิมพ์ดีๆ

แต่ยูสเซอร์เนม
กลับใช้อีเมล
อ่านแล้วพิมพ์เร็ว
พาสเวิร์ดว่าไร

ส่งข้อความหาใคร
จะส่งไปไหน
ข้อให้ระวัง

ส่งไปอีเมล
ต้องมี @ และจุด
แต่เธอจงหยุด
หากไม่ออนไลน์

ถ้าอยู่เฟซบุค
ส่งจากเมสเสจ
@จุดก็ทุเรศ
ส่งเดชก็ส่งไปเลย

คุยกับคนเฟซบุค
ส่งทางเมสเสจ
ต้องใช้ชื่อพิเศษ
ส่งเอกเทศไปเลย

ส่งผ่านเฟซบุค
ใช้ชื่อเฟซบุค
อย่าพิเรนไปรุก
คลุกกับอีเมล