วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

แล้ววันนึงจะแปลกใจถ้ารักสิ่งที่เราเคยเกลียด

ลูกของพี่คนหนึ่งเกิดอาการเซ็ง เบื่อเรียน บ่นมาในเฟซบุคเป็นระยะๆ

"เกลียดทุกวัน เพราะเรียนทุกวัน"

"เรียนไปเพื่อ?"

ฉันเข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้านอันทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีกับตัวเอง เลยเอามาใส่ไว้ในนี้ให้เธออ่านจ้า :)

+++

ขอตอบยาวๆ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับน้องแน็ตนะคะ คงไม่ตกใจจนเกินไปที่น้าเขียนจดหมายยืดยาวขนาดนี้ เอ็นดูลูกสาวของพี่โตที่น่ารักเท่านั้นเองค่ะ :)

น้ามาเห็นข้อความของน้องแน็ตอีกครั้งก็ทำให้นึกถึงสมัยเด็กๆ ที่ขี้เกียจเรียนมากๆ ตอนที่น้ารู้สึกไม่อยากเรียนมากที่สุดคือ ตอนที่สอบเทียบเพื่อเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย น้าเรียนพิเศษแทบทุกวิชา อ่านหนังสือหนักมากจนบอกกับตัวเองว่า ไม่อยากกลับไปเรียนมอหกต่อเลยหากสอบเข้าคณะที่ต้องการไม่ได้

ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่สอบได้ตามที่ตั้งใจไม่ต้องกลับไปเรียนมอหกอีก แต่เมื่อย้อนกลับไปนึกถึงเวลาช่วงนั้น ช่วงเวลาแห่งความสุขสมัยเรียนก็ลดลงไปหนึ่งปีเหมือนกัน

น้าเคยเบื่อเรียนเปียโนมากกกกกก อยากเลิกเรียนแต่ไม่รู้จะทำยังไง ตอนที่เริ่มเรียนคุณครูก็ถามว่าอยากเรียนจริงๆ รึเปล่า น้ารู้แต่ว่าแม่อยากให้เรียน มีหน้าที่ต้องตอบว่าอยากเรียน ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าชอบรึเปล่า อาจเป็นความรู้สึกเฉยๆ ซะมากกว่า

แล้วในที่สุดน้าก็หาข้ออ้างได้ตอนที่จะสอบเข้าเรียนต่อโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โล่งอกมาตลอดว่าต่อไปนี้ไม่ต้องเรียนแล้ว เปียโนที่บ้านก็ไม่ได้แตะอีกเลย จนไปเรียนต่อเมืองนอก พบรักแล้วก็อกหักในวันที่คิดว่ากำลังจะสมหวัง มหาวิทยาลัยที่สมัครเรียนไว้ไม่รับสักแห่ง ชีวิตมีแต่เรื่องผิดหวัง อยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า มีปัญหากับคนไทยที่นั่นจนพ่อของเขาไปว่าพ่อของน้าที่เมืองไทย และอีกหลายๆ เรื่อง น้าจมอยู่กับความเศร้าระหว่างนั้นก็ไปเล่นเปียโนที่ห้องโถงของหอพักทุกวัน เล่นซ้ำแล้วซ้ำอีกวนเวียนอยู่อย่างนั้น เล่นเพลงไทยที่พ่อของผู้ชายที่ทำน้าอกหักแต่งและเพลงที่เขาแต่งทำนองให้น้าโดยเฉพาะ เล่นไปเล่นมาจนได้เนื้อเพลงออกมา อธิบายความรู้สึก ณ ตอนนั้น กลับกลายเป็นความภูมิใจที่สามารถแต่งเนืื้อร้องเพลงแรกในชีวิตตอนที่จมอยู่ในความทุกข์

จากวันนั้น สัมพันธ์ ยังจดยังจำ ทุกวัน
ไม่มีวัน เหินห่างกัน
ทุกวัน เธออยู่เคียงฉัน ตราบนานเท่านาน

จิตใฝ่ฝัน ถึงวันนั้น ยังจดจำ อยากเก็บมันไว้อย่างนั้น
ไม่มีวัน เหินห่างกัน
ทุกวัน เธออยู่เคียงฉัน ตราบนั้นจนตาย

และแล้วก็เป็น เพียงฝัน รำพัน ที่ฉัน นอนฝัน ผู้เดียว
เธอจากไปแล้ว ลับลา ไม่กลับมาหา แน่นอน
ไม่มีวันเป็นดั่งฝัน เมื่อวัน ที่เธอบอกลา

น้าอยากตอบคำถามน้องแน็ตแบบจริงๆ จังๆ เลยนะคะเนี่ย สำหรับตัวน้าเองแล้ว น้าเรียนไปเพื่อจะได้รู้ น้าจะขอเจ้านายเข้าอบรมหลักสูตรต่างๆ เป็นประจำ เพราะมันตอบสนองความอยากรู้ อยากเข้าใจของน้าเอง คนอื่นๆ เขาก็ไม่ค่อยทำอย่างนั้นกันหรอก คนทั่วไปเขาคิดว่าการเรียนเป็นเรื่องหนัก เป็นเรื่องที่ถูกบังคับให้ทำ มีหลายๆ วิชาเหมือนกันที่น้าไม่ชอบ น้าก็เรียนแล้วก็สอบให้มันผ่านๆ ไป แต่ถ้าน้ากลับไปเรียนได้ใหม่ น้าจะลองมองเรื่องที่จำเป็นต้องเรียนในมุมที่ต่างออกไป

ที่น้าเบื่อเรียนเปียโนเพราะน้าไม่ชอบหัดเล่นเพลงที่ไม่ได้ชอบ น้าอยากเล่นเพลงไทย เพลงประกอบละครที่น้ารู้จัก พอน้ากลับมาเล่นอีกครั้ง น้าก็ไม่ได้เล่นเพลงที่เคยเรียนอีกเลย ถ้าน้าไม่มีทางเลือกยังไงก็เลิกเรียนเปียโนไม่ได้ น้าจะบอกคุณครูว่าน้าจะขอเล่นเพลงที่ชอบ เพลงแนวอื่นแทน ตอนที่น้าเรียนเปียโน น้าก็ต้องเรียนไปตามที่ครูสอน เหมือนเป็นสิ่งที่ต้องทำ น้าไม่รู้ว่าสิ่งที่เราได้จากการเรียนมันมีมากกว่าแค่การเล่นเปียโนเป็น

การเล่นเปียโนเป็นการฝึกการรับรู้และการสร้างความสัมพันธ์ของระบบประสาท(หู) ตา มือเหมือนๆ กับการพิมพ์ดีด ทำให้สมองทั้งสองซีกพัฒนา การได้ใกล้ชิดกับเสียงดนตรีทำให้จิตใจอ่อนโยน ไม่แข็งกระด้าง เป็นทางหนึ่งที่จะปลดปล่อยความรู้สึก คล้ายๆ กับการร้องเพลงที่ทำให้ได้ระบายอารมณ์ต่างๆ ที่ฝังอยู่ในใจและเป็นการสร้างความสุขให้กับตัวเองแบบง่ายๆ

สิ่งที่เราเรียนบางอย่างไม่ได้มีความหมายด้วยตัวมันเอง แต่เป็นบันไดให้เราก้าวไปสู่ขั้นต่อไปของชีวิต เราเลือกได้ที่จะสร้างความสุขหรือความทุกข์ในทุกๆ นาทีที่ผ่านไป เพื่อประโยชน์สำหรับตัวเราเองค่ะ

จะว่าไปแล้วก็คงมาตายตอนจบ เพราะน้าก็กำลังเบื่อๆ ชีวิตและการเขียนจดหมายฉบับนี้หาน้องแน็ตทำให้น้ามีความสุขค่ะ :)

+++
หมายเหตุ: เนื้อหาจดหมายที่โพสต์ที่นี่มีการปรับปรุงอยู่เรื่อยทุกครั้งที่ฉันอ่านและคิดว่ามีคำอื่นที่ดีกว่าเดิม เนื้อเพลงฉันเพิ่งพิมพ์เพิ่มเพื่อความสมบูรณ์ ชื่อเรื่องคือข้อความที่ฉันโพสต์ในเฟซบุคของน้องแน็ต ส่วนคำตอบยาวส่งเป็นเฟซบุคเมสเสจให้น้องคนเดียว ชื่อเพลงไม่อาจเปิดเผยได้เพราะกระทบบุคคลที่สามอย่างจัง และเพลงที่อ้างถึงก็กำลังจะดังอย่างฉุดไม่อยู่ภายในหนึ่งอาทิตย์(ฉันว่านะ)!

ไม่มีความคิดเห็น: