ฉันได้กลับมาทำงานสุดโปรดของฉันอีกครั้ง...
ฉันยังจำสมัยที่ฉันประสานงานกับ Research House เรื่องบทความทางวิชาการ กรณีศึกษาต่างๆ และหาทางยัดเยียดแบบแนบเนียนบ้าง ไม่แนบเนียนบ้างให้แต่ละส่วนงานขององค์กร มีผลตอบรับต่างๆ กัน บ้างก็ติดต่อกันเป็นประจำเหมือนเป็นกิจวัตร (แอบมาทราบทีหลังว่าคนเข้าใจว่าฉันจีบเด็ก เพราะเผอิญส่งให้หนุ่มรุ่นน้อง) หรือนานๆ มีแท้งค์กิ้วมาให้ชื่นฉ่ำใจ แต่คำตอบส่วนใหญ่คือ ไม่มีคำตอบ...
ไม่มีคำตอบ ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ ไม่อาจรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ เบื่อรำคาญหรือคอยตามอ่าน ฉันยังคงยัดเยียดเช่นเดิมแล้วก็เฝ้าบอกตัวเองว่า คนไทยไม่แสดงออก ชอบแต่ไม่พูด แล้วฉันก็ใส่โปรแกรมให้สมองทิ้งความคิดตรงข้ามที่แว่บมาเป็นประจำ
มีอยู่พักนึง ฉันทำข่าวประจำสัปดาห์แจกจ่ายทั่วองค์กร ช่วงนั้นฉันอ่านข่าวจากทุกสำนักข่าว เลือกอ่านได้ทุกหมวด เพียงแต่คัดข่าวที่เจาะลึกไปในกลุ่มธุรกิจขององค์กรที่ฉันทำอยู่
จำได้ว่าตอนนั้นฉันมีความคิดแผลงๆ ว่าจะซื้อหุ้นของอินเดีย รัสเซีย ก็แหม ข้อมูลอยู่กับตัว มี case study ให้เปรียบเทียบ ข้อมูลพร้อมขนาดนี้ เรารู้อยู่แล้วว่าในระยะยาวจะมีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ชีวิตตอนนั้นฉันมีความสุขจัง มีความสุขที่มีอภิสิทธิ์ได้ใช้อินเตอร์เน็ทด้วยความเร็วระดับผู้บริหาร ได้อยู่ในวังวนของโลกข่าวสาร โลกที่แสนกว้างใหญ่ มีอะไรให้ฉันเข้าไปเดินชม แวะไปเสาะหาไม่มีเบื่อ แม้จะรู้สึกโดดเดี่ยวในบางทีว่ามีใครสนใจสิ่งที่ฉันหามาให้บ้างรึเปล่า
และช่วงวิกฤตของประเทศนี้ ฉันกลับแอบไปมีความสุขอย่างที่เคย...อีกครั้ง
อันที่จริง ฉันอ่านเจอข่าวสารอะไรก็ส่งต่อให้เพื่อนๆ อยู่แล้วเปลี่ยนจากรูปแบบ Forwarded Email เป็น Share ใน Facebook
แม้ตอนที่ส่งอีเมลฉันก็เจอคนบ่นว่าส่งเยอะไปคนไม่อ่านนะ นานๆ ส่งทีดีกว่า ฉันก็เลยลักปิดลักเปิด นึกครึ้มใจก็ส่งให้เพื่อนทั้งแก๊งค์ บ้างก็ส่งให้เฉพาะคนเป็นเรื่องๆ ไป
ทุกวันนี้ ฉันก็ยังได้รับอีเมลเป็นประจำสม่ำเสมอจากพี่ 2 คน พี่ที่มีแต่ให้กับให้ ฉันสงสัยอยู่เหมือนกันว่าพี่ทั้งสองเคยเจอคนว่าบ้างมั้ย แต่ด้วยความที่ฉันชอบส่งเหมือนกัน ฉันเลยนับถือและอ่านเรื่องที่เขาส่งมาให้เสมอมา แม้จะไม่ตอบซึ่งก็เหมือนกับคนทั่วๆ ไปนั่นแหละ แต่นานๆ ถูกใจมากๆ ก็ตอบที ฉันรู้ว่าคำตอบสั้นๆ อาจจะแค่ :) ก็ทำให้คนส่งมีความสุขแล้ว
อ่านมาถึงบรรทัดนี้ฉันก็ยังไม่ได้เข้าเรื่องเลย เพียงแต่พาให้นึกไปถึงความสุขของการค้นคว้าอ่านรายงานการวิจัย อาจจะมีคนที่เข้าใจ และก็มีอีกหลายๆ คนที่คิดไม่ได้ว่าเรื่องเครียดๆ แบบนี้มันทำให้มีความสุขยังไง
ก็สังคมไทยไม่ใช่สังคมการอ่านนินา
แต่เพื่อนๆ ใน Facebook ก็ต้องอ่านมากทีเดียวล่ะ หรือบางส่วนก็พอใจจะดูวิดีโอคลิป หรือไม่ก็มาเล่นเกมส์อย่างเดียว ฉันกลับมาสื่อสารด้วยการเขียนแบบเต็มรูปแบบ อยู่หน้าจอทั้งวันเหมือนเคย หาข้อมูลอย่างมีจุดหมาย เพราะสิ่งที่ฉันสนใจเป็นสิ่งเดียวกับที่คนส่วนใหญ่สนใจ...การเมืองไทย ณ ตอนนี้
แรกๆ ฉันก็อ่านบทความตามหนังสือพิมพ์ออนไลน์เจ้าประจำสองสามเว็ป อ่านข้อความที่เพื่อนๆ โพสต์ซึ่งก็มีทั้งลิงค์ไปยังข้อมูลในแหล่งอื่นๆ เพิ่มเติม แล้วฉันก็มักจะหลงใหลไปกับเว็ปที่เข้าไป ฉันอ่านเสร็จแล้วก็สอดส่ายสายตามองหาเรื่องที่น่าสนใจหรือไม่ก็คลิกไปที่หน้าหลัก กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ไปอ่านอะไรแล้วก็ไม่รู้
อ่านจนหนำใจก็กลับมาที่เรื่องเดิม อัพเดทข้อมูลคนอื่น ตามอ่านรายละเอียดต่างๆ แสดงความคิดเห็นก็หมดวันแล้ว หมดวันอย่างมีความสุข
ประเด็นสำคัญที่อยากจะยกมา ณ ที่นี้ก็คือ ฉันได้พยายามเข้าใจความคิดและการแสดงออกของเพื่อนที่มีความสัมพันธ์กับฉันในระดับความสนิทแตกต่างกัน เพื่อนหลายคน ฉันยังไม่เคยเห็นหน้า ได้ยินเสียงหรือพูดจา กลุ่มเพื่อนจากโลกเก่ากับเพื่อนในโลกใหม่ ฉันเรียกให้มันแตกต่างทั้งๆ ที่จะใช้คำว่าโลกธุรกิจกับโลกศิลปินก็ได้ แต่มันฟังดูวัตถุนิยมกับคนไร้สาระยังไงชอบกล
ฉันรู้ว่าคนกลุ่มหนึ่งคิดอย่างไร มองปัญหาและมีปฏิกิริยาอย่างไร กลุ่มหนึ่งมีปฏิกิริยากับเรื่องที่มากระทบ ณ เวลานั้น ตัดสินถูกผิดเป็นกรณีๆ ไป ตรงๆ ง่ายๆ ชัดเจน เสียดสีออกมาตรงๆ ด่าไปเลย อีกกลุ่มหนึ่ง พูดแต่เรื่องเป็นนามธรรม พูดในภาพรวมหลังจากประเมินสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วสรุปความ ความคิดจึงดูซับซ้อนเป็นเรื่องเข้าใจยาก และกลุ่มหลังก็ถกกันเป็นภาษานามธรรม ภาษาสูงในขณะเดียวกันก็เหยียด หรือแอบด่าไม่ให้รู้ตัว แล้วก็สมน้ำหน้าอยู่ในใจ คำว่า "หึหึ" เป็นคำที่ฉันเห็นแล้วรู้สึกว่ากำลังโดนเหยียดอย่างแรง
ฉันพยายามเป็นกลางมาตลอด แต่พอเหตุการณ์วันนี้มันถึงจุดแตกหัก เกิดมีความรู้สึกร่วมกับความเป็นไปและปฏิกิริยาของคนอื่นมาก มากขนาดใช้คำว่า "เสนียด" เมื่อมีคนปราศรัยให้ผู้ชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองหากการชุมนุมโดนสลาย
แล้วก็สะเทือนใจกับภาพ Central World ที่ไฟลามควันพวยพุ่งหนาจนปิดบังทัศนียภาพท้องฟ้ากรุงเทพจนมัวซัว ซากร้างจากไฟที่แผดเผา ความอ้างว้าง เหงาๆ เหมือนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ล่มสลาย พังพินาศ จบสิ้น รอเวลาถล่มซ้ำเติมลงมาให้ความโดดเดี่ยวนั้นถูกทำลายไปจนไร้อารมณ์
ได้เวลาเปลี่ยนความรู้สึก ทันทีที่อ่าน update status ของเพื่อนคนหนึ่งและ comment จากแฟนๆ อีกเป็นสิบ นี่คือโลกใบใหม่ที่ฉันพูดถึง
จากที่คิดว่าเป็นกลางกลายเป็นเอียงคนละข้างกับเขาเหล่านั้น แต่ฉันก็เลือกทำอะไรโง่ๆ แบบที่ไปเป็นแกะสีชมพูในหมู่แกะม่วง เขาทุกคนดูจะสื่อสารกันอย่างมีเหตุผล แต่ฉันว่ามันแปลกๆ ยังไงพิกล ฉันพยายามเข้าใจความคิดของเขาเหล่านั้น แล้วก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบแบบกล้าๆ กลัวๆ ที่กลัวเพราะไปคิดต่างกับเขาอยู่คนเดียว แถมบอกว่าถ้าเขาจะบล้อกก็เข้าใจ แต่เขาก็ไม่บล้อก แล้วก็ยังมีคนตอบกลับเรื่องที่ฉันถกไปอย่างยืดยาว แบบที่มองทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ของกูถูกอยู่ฝ่ายเดียว แต่มันก็มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกอยู่เหมือนกัน ฉันเชื่อว่าฉันยังอยู่ในกลุ่มปัญญาชน เราสื่อสารกันด้วยคำสุภาพแต่บาดลึกภายใน เอาเป็นว่าฉันก็ปรับความคิดและมุ่งไปยังเรื่องที่สำคัญกว่าคือเราจะฟื้นฟูประเทศกันอย่างไร เป็นอันจบสงครามออนไลน์ในใจฉัน
โลกใบเก่าและส่วนหนึ่งของโลกใบใหม่ที่โต้คารมกันอย่างออกรส เรื่องเครียดๆ ภาษาสูงๆ ที่ดูจะน่าปวดหัวไม่ต้องเอามาใช้ (เพราะเอามาใช้ทีนึงแล้วก็เหมือนเป็นแกะม่วงในฝูงแกะชมพู) คราวนี้ฉันก็อยากจะไปลดความรุนแรงของฝั่งนี้บ้าง แต่ก็กลายเป็นพูดจาเสียดสี เหน็บแนม ปนตลกร้ายให้ฮากันพอเป็นพิธีเหมือนๆ กับเขา
อยู่ที่จะเลือกจริงๆ ว่าจะสื่อสารแบบไหน ให้เหมาะกับกลุ่มคนอย่างไร แล้วฉันก็มักจะสื่อผิดวิธีทุกทีสิน่า
เอาวะ ชีวิตไม่ใช่เรื่องถูกผิด เป็นเรื่องของการเรียนรู้ วันนี้ก็ได้รู้เยอะน่ะ
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น