วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ผลตอบแทนที่ไม่เคยคาดหวัง

ช่วงนี้ฉันปลุกปั้นเด็กอยู่ 2 คน ไม่มีใครบอกให้ทำหรอก อยากทำก็ทำ ทำราวกับได้ประโยชน์มากมายมหาศาล แล้วก็อาจจะได้จริงๆ ด้วย...

คนแรก ใครๆ คงเข้าใจได้ไม่ยาก เพราะเธอมีศักดิ์เป็นหลานของฉันเอง ฉันนึกถึงบุญคุณที่แม่ของแกทำให้กับครอบครัวของฉัน ที่ต้องเรียกว่าครอบครัวเพราะเราเอื้ออารีย์กันมานาน เรื่องสำคัญๆ ก็คือ พี่ช่วยเหลือเกลาเรียงความที่ฉันส่งประกอบการสมัครเข้าเรียนต่อปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว (อายุมากจริงๆ เรา) พี่คนเดียวกันยังดูแล+ใช้งานน้องชายฉันตลอดมา อาหารอร่อยขึ้นชื่อ คนคอเดียวกันย่อมเข้าใจกัน บ้านฉันอิ่มท้องด้วยอาหารอร่อยที่พี่สรรหามาหลายครา กระทั่งร้านหนึ่งหุงข้าวได้อร่อย ก็ทำให้เราแวะไปเยี่ยมเยือน แล้วมันก็อร่อยจริงๆ ใครไม่เคยก็จะไม่รู้ว่าความแตกต่างเพียงนิด ทำให้ข้าวธรรมดาอัศจรรย์ได้ขนาดไหน ฉันยังนึกถึงข้าวสวยร้านนั้นมิรู้ลืม

นอกจากเรื่องกินเรื่องใหญ่แล้ว ฉันเคยช่วยพี่ตกแต่งอพาร์ตเมนท์พร้อมๆ กับที่พี่ให้โอกาสฉันแสดงความสามารถกับแม่ในยามชีวิตกำลังลอยละล่องไม่รู้ว่าจะไปทิศใดแน่ บางครั้งฉันก็ไม่แน่ใจว่าแม่คิดว่าฉันมีความสามารถหรือไม่ เลยทำให้ฉันต้องพิสูจน์อยู่เนืองๆ ด้วยกลัวว่าใครๆ จะมองว่าฉันเป็นคนไร้ความสามารถไปในที่สุด แต่ล่าสุด แม่พร่ำพรรณนาว่า แม่รู้ตัวว่าโง่มาก แต่ก็ไม่มากเกินไปหรอก ราวกับว่า ฉันปฏิบัติกับแม่เหมือนแม่ไม่ได้จบแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ อย่างงั้นล่ะ ใครจะไปว่าแม่โง่ได้ ฉลาดแกมโกงซะมากกว่า

เอาเป็นว่า เหตุการณ์ล่าสุดไม่เกินเดือนก็เป็นบทพิสูจน์ว่าฉันมีสติในยามที่สาวๆๆ อายุรวมหลายร้อยตกอกตกใจกับการพลัดหลงของแม่ที่มาเก๊า พร้อมกับพาแม่ลงเรือเฟอร์รี่ นั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพได้ก็แล้วกัน ส่วนที่ว่า ฉันจะเป็นโรคลักปิดลักเปิด ทำงานได้บ้างไม่ได้บ้าง อาการซึมเศร้าที่แสดงออกต่างแบบต่างวาระ ไม่ว่าจะหงุดหงิด อยากนอน ไม่อยากทำอะไรเลย ดูแต่หนัง หรือจะเอาแต่เที่ยว รวมทั้งลุกขึ้นมานั่งหาข้อมูลว่าฉันเป็นโรคบ้าอะไรกันแน่ จนอาฉันหมอที่เกษียณอายุแล้วตกใจ บอกว่ารายละเอียดของโรคที่ฉันส่งไปให้นั้น มีหมอเมืองไทยไม่กี่คนเคยเห็นเคยได้ยินมาก่อน แล้วก็เป็นอีกคนที่ยอมรับว่าฉันเก่ง มันคงต้องโอเคแล้วล่ะ ถ้าหมอ(อาชีพที่สุดแสนจะภูมิใจในตนเอง)ยอมรับว่าฉันเก่ง ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์ใดๆ ฉันคงจะเรียนรู้ได้ละนะ

พาออกนอกเรื่องจนไปถึงไหนแล้ว วกกลับมาที่หลานสาวคนเก่ง เพื่อนฉันที่ทำงานที่เดียวกันกับน้องก็ชมมาว่าน้องฉลาดและแอคทีฟ ไอ้ฉันมันของชอบอยู่แล้ว ส่งเสริมคนเก่ง ฉันแนะนำให้หลานคนดีรู้จักกับพี่ๆ ที่ฉันรู้จัก ด้วยอาชีพการงานของหลาน ยิ่งรู้จักคนมากยิ่งดี ผู้ใหญ่ก็รู้แกวฉัน ให้ความเมตตา ฉันได้แต่ย้ำว่า ช่วยไปบอกเจ้านายว่าให้ทำนามบัตรให้โดยด่วน ภายใน 1 วันจะเป็นการดีมาก แล้วฉันก็กุลีกุจอทำตนเป็นพี่ใหญ่ดูแลน้องคนใหม่ในวงการ

น้องอีกคนไม่ได้เกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่อะไรฉันช่วยได้ก็ช่วยจนคนคงงง ฉันเองยังงงตัวเองเลย น้องคนนี้ฉลาดไม่เป็นรองใคร อนาคตรุ่งแน่นอน ฉันเห็นใจน้องในหลายๆ เรื่องและก็เข้าใจความแตกต่างที่คนอื่นไม่เข้าใจ มันก็คล้ายพูดให้ตัวเองฟังนั่นแหละเธอ ฉันเคยอยู่ในสภาวะเดียวกับน้องมาก่อน ก็พูดอย่างคนที่จะพูดให้ตัวเองฟังถ้าสามารถนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปคุยกับตัวเองได้นั่นแหละ โชคดีที่น้องรับฟัง ไม่เหมือนคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรส่วนใหญ่ที่ไม่ชอบให้คนมาสอน ฉันเองไม่ได้ตั้งใจจะข่ม จะอวด เพียงแต่รู้ว่าตัวเองมีดีและไม่ดีอะไร จึงพูดอย่างมั่นใจ อย่างคนที่รู้จักตัวเองดี ผิดกับที่เราคนไทยถูกสอนมาให้ถ่อมตัว ฉันจะพังก็เพราะคนเกลียดและคนคิดว่าไม่เห็นหัวเขานั่นแหละ

ที่ว่าได้ประโยชน์มหาศาลจากน้องที่ทำอะไรให้ แนะนำให้รู้จักคนนั้นคนนี้ รับเป็นที่ปรึกษาปัญหาหัวใจ (จนวันรุ่งขึ้นฉันต้องนอนอยู่ที่ปั้มตอนขับรถกลับจากทำบุญเพราะง่วงจัดนั่นแหละ) หาสปอนเซอร์ให้หลายรายการ รวมทั้งช่วยแนะนำให้รู้จักกับผู้ใหญ่ที่อาจให้ความช่วยเหลือเรื่องงานที่กำลังริเริ่มคนนั้นด้วย

ใจจริง ฉันว่าจะงดกล่าวถึงผู้ชายคนนี้ เก็บความผิดหวัง เสียดายที่เขาเป็นคนแรกที่ฉันบอกรัก แต่กลับเป็นคนที่ไม่ควรได้รับส่ิงมีค่าของฉันสิ่งนี้ไปเลย

ถ้าไม่ได้น้องคนนี้ ฉันคงไม่ตาสว่าง มองเห็นความไม่ควรชื่นชมใดๆ ที่ฉันกลับมอบไปให้เสมอมา ฉันเสียดายความรู้สึกของตัวเอง เขาก็แค่ผู้ชายขี้เหล้า ไม่รับผิดชอบใดๆ แม้เพียงคำพูดของตัวเอง แถมยังทำให้ฉันรู้สึกพลาดอย่างแรงที่แนะนำให้น้องรู้จัก เพราะฉันเป็นแค่คนรู้จักคนหนึ่งในวงเหล้า เขาไม่คุยกันตอนกลางวันหรอก

เท่านั้นเอง

ฉันเองที่กลับรับอาสาช่วยเหลือคนที่รู้จักในวงเหล้า ช่วยงานที่เขาก็คงคิดว่าเป็นบุญคุณมากกว่าที่ให้ฉันมาช่วย โลกนี้หนอ ความรักที่ฉันมีให้เขา ที่ขยายตัวไปถึงเพื่อนๆ ของเขา สถาบันองค์กรที่มีความสำคัญกับเขา ช่างไร้ค่าในสายตาคนฉลาดของฉันจริงๆ

ของมีค่าของฉันไร้ค่าอย่างสิ้นเชิงในสายตาของเขา เหมือนๆ กับธนบัตรที่ถูกเหยียบย่ำ ไม่เป็นที่ต้องการของใครๆ แต่ฉันก็ยังมีค่าอย่างน้อยที่สุดเท่ากับค่าที่ระบุในธนบัตร แต่ธนบัตรฉบับนี้ นำไปแลกเป็นธนบัตรใบใหม่เอี่ยมได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ใส่กรอบและอยู่ในความครอบครองของคนใหม่ที่เห็นคุณค่า ธนบัตรนี้ก็มีค่าในสายตาใครๆ แม้ใครคนนั้นจะไม่เห็นมันอยู่ในสายตา

ขอบคุณบุญที่ฉันได้ทำ ความดีที่ฉันสะสมมา ในที่สุด ตาฉันก็เลิกบอดซะที

ไม่มีความคิดเห็น: