วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ละเลยหรือไว้ใจ ปล่อยไปหรือผูกมัด

บทสนทนาสั้นๆ กับพี่ที่เป็นลูกเพื่อนสนิทของครอบครัวฉันทำให้ได้ข้อคิดอีกหนึ่งข้อที่น่าสนใจ...

ครอบครัวของพี่ปุ้ยและครอบครัวของฉันเราสนิทกันที่สุดแล้วแหละถ้าจะนับไป พ่อกับแม่ไม่ใคร่ชวนใครมาทานข้าวที่บ้าน เราเป็นครอบครัวนักวิชาการที่ไม่สังคมกับใครนัก เว้นแต่จะในระหว่างหมู่ญาติที่มากมายอะไรจะปานนั้น มีเพียงพ่อและแม่ของพี่ปุ้ยที่เป็นแขกประจำตลอดชีวิตฉัน ทั้งสองทำงานที่นิวยอร์คในช่วงเวลาเดียวกับพ่อและแม่ฉันอยู่ที่นั่น คล้ายว่าคู่นี้เป็นพ่อสื่อแม่ชักให้พ่อกับแม่ของฉันลงเอยกันในที่สุดเมื่อกลับมาทำงานที่เมืองไทย พี่ปุ้ยแก่กว่าฉันหนึ่งปี แต่ด้วยความที่ฉันเรียนเร็วแถมสอบเทียบด้วย ฉันเลยอยู่ในกลุ่มเพื่อนของพี่ปุ้ย รู้จักกับเพื่อนๆ พี่หลายคนจนคล้ายจะอยู่สาธิตจุฬาฯ รุ่น 24 ไปด้วย

พี่ปุ้ยเรียนหนังสือที่อเมริกาหลายปีจนกระทั่งจบปริญญาโท ในช่วงที่เป็นจุดหักเหของชีวิต ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์แนบแน่นจะรั้งให้อยู่ต่อหรือกลับมาใช้ชีวิตอยู่เมืองไทย ชายคนสำคัญก็ขอแต่งงาน แล้วชีวิตก็ดำเนินไปอีกรูปหนึ่ง ตอนนี้พี่ปุ้ยมีลูกสาวน่ารักหนึ่งคน ฉันถามไถ่พูดคุยเรื่องราวทั่วไปผ่านการสนทนาในเฟซบุคแล้วก็ได้รู้ว่า หลานน้าคนนี้เป็นเด็กที่น่าทึ่ง เธอตื่นนอน ทำอาหารเช้าเอง ทบทวนการบ้านก่อนที่แม่จะลุกจากเตียงด้วยซ้ำ ฉันถามพี่ปุ้ยว่าเลี้ยงลูกยังไงถึงได้สุดยอดแบบนี้ พี่ตอบมาคำเดียว

neglect 555

ฉันว่านี่คือการตั้งใจเลี้ยงแบบไม่ตั้งใจ หรือเรียกอีกทีว่า ไว้ใจให้ดูแลและเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องสอนเพราะเด็กไม่ทำตามสิ่งที่เราพูดหรือบอก แต่จะทำตามเราโดยที่ไม่รู้ตัว หรือเติมเต็มในส่วนที่ขาด ถ้าแม่เป็นคนชอบทำ ลูกก็ต้องเป็นคนรับบริการเพื่อการอยู่่ร่วมกันอย่างมีความสุข แล้วพอถึงคราว เด็กคนนั้นก็จะแสดงบทบาท "ทำ" อย่างที่เห็นมาเอง นั่นคือการมองโลกในแง่ดี มันก็อาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นกับทุกคน

ยังไงฉันก็เชื่อว่าหลานน้าคนนี้เป็นผู้หญิงที่มีความรับผิดชอบ ด้วยอายุประมาณ 10 ขวบเธอยังรับผิดชอบตัวเองได้ขนาดนี้ เมื่อเติบใหญ่เธอย่อมจะเป็นคนที่ดีของสังคมอย่างแน่นอน

+++

เขาว่ากันว่าความห่างทำให้ความรัักเบ่งบาน...

unfulfilled love is romance...

ฉันว่าความรักของฉันคงจะเบ่งบาน แผ่กิ่งก้านสาขาไปไหนต่อไหนแล้วละเนี่ย เห็นกันแต่ไม่ใคร่ได้พูดคุย รับรู้เรื่องราวของเขาผ่านคนอื่น วันนี้น้องปริญญาเอกเคมบริดจ์โทรมาเล่าให้ฟัง ขอเปลี่ยนความคิดเห็นที่ว่าเขาไม่คู่ควรกับฉัน หลังจากที่ได้คุยสนทนากันในเรื่องวิชาการ ฉันอดแปลกใจไม่หาย ทำไมเขาถึงเล่าเรื่องส่วนตัวให้น้องฟัง ฉันจะหลงตัวเองไปมั้ยเนี่ยว่า เขาพูดให้ฉันฟังผ่านน้องคนนี้

เมื่อคืนฉันร้องไห้ด้วยล่ะ ฉันคุยกับทุกคนได้อย่างสนิทสนมหรือบางทีออกจะเรียกได้ว่าเฟลิตในสายตาหลายๆ คน แต่พอเป็นคนสำคัญของฉัน ฉัันกลับทำได้แค่มองอยู่ไกลๆ มองว่ารถของเขาที่จอดคู่เคียงกับฉันออกไปรึยัง แล้วฉันก็ค่อยร้องไห้ซบอกน้องอีกคน ไม่รู้พล่ามอะไรไปบ้าง มันก็น่าแปลกมีหนุ่มอีกคนเลี้ยง sparkling wine แต่กลับมาคร่ำครวญกับอีกคนที่ไม่ได้พูดจา มองกันไปมาเหมือนปลากัด

แล้วก็กลับบ้านคนเดียวเหมือนเคย...

ไม่น่าสงสารอย่างที่ใครๆ คิดหรอกนะ บางครั้งเราก็สุขที่ได้เศร้า

Sometimes happiness and sadness come in the same package. It is up to us whether what we choose to remember. Happy December na ka. :)

ไม่มีความคิดเห็น: