วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2552

เงินที่ลืมไปแล้ว

เช้านี้ (ไม่ใช่สิ ประมาณเที่ยง) ฉันตื่นมาทำสิ่งแรกคือเช็ค sms เงินเข้าบัญชีก้อนโตแบบไม่น่าเป็นไปได้ โทรถามผู้ที่รักฉันแบบไม่มีเงื่อนไขว่าเอาเช็คเข้าบัญชีให้ฉันรึเปล่า ได้คำตอบว่า ไม่ แล้วฉันก็ถึงกับโทรถามสายส่ง ว่าโอนเงินผิดบัญชีรึเปล่า ได้ความว่า เงินมันน้อยไป ถ้าโอนมาต้องมากกว่านี้ (เป็นไงล่ะ 555) สักพัก คนแรกที่ฉันโทรหา โทรกลับมาใหม่ ว่าคนเคียงข้างเธอบอกว่า เคยเจอแบบนี้เหมือนกัน ระวังคนจะใช้บัญชีของเราเป็นทางผ่าน ให้รีบปิดบัญชีเพื่อเอาเงินทั้งหมดออก แล้วไปเปิดบัญชีใหม่

ฉันรีบอาบน้ำแต่งตัว ถือสมุดเงินฝากหมายจะตรงรี่ไปที่ธนาคารฝั่งตรงข้าม ระหว่างลงลิฟท์ นึกขึ้นได้ว่า อาจมีโอกาสได้เงินจากอีกแหล่ง โทรถามทันที ถ้าเงินน้อยกว่านี้จะไม่สงสัย ว่าแต่ทำไมงวดนี้มันเยอะนัก ก็จะไม่ตกใจได้ไง เพราะมันประมาณ 7 เท่าของงวดที่แล้ว สรุปว่า ไม่มีใครใช้บัญชีเงินฝากของฉันเป็นทางผ่าน แค่เป็นจุดหมายของเงินที่ได้จากงานที่ฉันลืมไปแล้ว

ฉันยังจำเหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่ฉันไปวึ่นวือ โว้กว้าก วอแว ปล่อยระเบิดทิ้งรอบตัวได้เหมือนเพิ่งเกิดเมื่อเช้านี้

เช้าวันนั้น ฉันออกจากบ้านด้วยอารมณ์ขุ่นมัวด้วยเหตุส่วนตัว ระหว่างขับรถไปที่หมาย ฉันบอกตัวเองว่าเรื่องนี้ต้องพักไว้ก่อน จะมีสายเรียกเข้ากี่สิบสายก็ไม่รับ ไม่สนใจ (ก็บอกแล้วว่าให้คุยตอนเย็นเวลาที่...นั้นน่ะ) คิดแต่ว่าจะทำอย่างไร ให้งานดำเนินต่อไป ไม่สะดุดอย่างที่เป็นมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้วโน่น

มีการนัดพบนอกรอบก่อนจะไปหาผู้ว่าจ้าง ฉันถล่มใส่ผู้รับจ้างซะหน้าจ๋อยไปตามๆ กัน คนมาใหม่ท่าทางจะใหญ่โตหน้าตากวนส่วนล่างสุดของร่างกาย แล้วยังพูดจาสัตว์สี่ขาไม่รับประทาน อยากชมว่าฉันสวย ฉันเลยบอกว่า เป็นยักษ์แปลงร่างมา

หลังจากใส่ด้วยเหตุผล (อันนี้เถียงไม่ได้เลย) บวกกับตาถลนโตและน้ำเสียงอำมหิต ฉันก็ทำเฉย บอกภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง ให้คุยกับผู้ว่าจ้างเองนะ...เห็นแววตาไร้ที่พึ่งพิงปรากฏฉายชัดจากทั้งสามใบหน้า

ฉันก็ขู่ไปงั้นแหละ ถึงเวลาเห็นพูดจาอึกๆ อักๆ ก็ต้องช่วยอยู่ดี ท่าทางฉันคงจะเอาซะผู้รับจ้างถอดใจ ฝ่ายนายจ้างถึงกับหาเรื่องชวนคุย ลดบรรยากาศมาคุด้วยความสงสารผู้รับจ้าง

ทางเลือก ทางแก้ ได้มีการคุยกันเป็นกิจจะลักษณะอย่างคนที่ตั้งใจจะแก้ปัญหาร่วมกัน เพราะความผิดไม่ได้ตกอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นความไม่พร้อม ความที่ประเมินแตกต่างไปจากหน้างานจริง อุปสรรคที่มีมาจากเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า คราวนี้มีกำหนดวันเสร็จอย่างชัดเจน ฉันถามซ้ำ ย้ำแล้วย้ำอีกว่า ทำทันแน่นะ มีอะไรให้บอก อย่ามาอ้ำๆ อึ้งๆ รำคาญ และไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง

จนในที่สุด ก็ยอมรับออกมาว่า ไม่แน่ใจว่าจะเสร็จทันอย่างที่โม้เอาไว้หรือไม่ แถมพูดอย่างอั้นไม่ไหวแล้วว่า ดีไม่ดี เด็กๆ ก็จะพาลไม่ทำไปซะงั้น ไอ้ฉันเองน่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะไปคาดโทษอะไรนักหนาหรอก แค่อยากได้ความจริง ไม่ใช่คำพูดจากความเกรงใจ ความไม่กล้าที่จะไม่รับปากของคนไทยโดยทั่วไปที่ฉันเจอมานักต่อนัก ฉันแค่อยากรู้ว่าถ้าทำเต็มที่จะเสร็จเมื่อไหร่ ไม่ได้หมายความว่าให้เสร็จตามนั้นจริงๆ ที่ต้องการเวลาที่ต้องใช้เมื่อทำเต็มที่ ก็เพื่อจะได้บอกว่า ถ้าเป็น best case พร้อมกันทุกฝ่ายเสร็จภายใน X วันแน่ๆ (แต่ best case ก็คือ best case แปลว่า เป็นไปไม่ได้) แต่ถ้าทางนายจ้างไม่สามารถทำได้ตามที่ผู้ถูกว่าจ้างขอไป ก็ทำไม่ได้เร็วอย่างที่ว่านะ

คราวนี้ ผู้ว่าจ้างบอกเองว่า ไม่ได้เร่งอะไรหรอก แค่อยากรู้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ จะได้ทำงบถูก

นี่แหละ ที่ฉันต้องการ

ที่พูดไปพูดมา วกวนก็เพื่อให้ทางนายจ้างพูดออกมาจากปากเองว่า เข้าใจว่าทำไม่ได้เพราะอะไร และไม่เร่งหรอก

ออกมาจากที่ประชุม ผู้ถูกว่าจ้างที่กวนส่วนล่างสุดของร่างกายก็ถามว่า ฉันเป็น lobbyist ที่ไหน ไปกินข้าวกันมั้ย

ฉันตอบทันควันว่ามีงาน (งานกินข้าวกับพี่ที่ไปกับฉันแหละ)

จบงาน จบบทสนทนา

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมาเดือนนึงเห็นจะได้ แล้วฉันก็ลืมซะสนิท

มาวันนี้ ได้เงินเหลือเชื่อ ถึงได้นึกได้ว่า ผลจากการเล่นละคร ใส่ฝั่งนึงซะจ๋อย ทำหน้ายิ้มๆ บอกว่าความผิดของนายจ้างก็เยอะนะ สรุปแล้วทั้งสองฝ่ายก็ต้องไปปรับปรุงส่วนที่ตนรับผิดชอบ มันก็จบหน้าที่คนกลางอย่างฉัน หน้างานพี่คนที่กินข้าวกับฉันก็รับไป เมื่อไหร่ต้องการนางยักษ์ก็เรียกมา คุ้มค่าเหนื่อยแล้วแหละ

ฉันจะเอาเงินนี้แหละไปทำบุญในวันพระใหญ่วันนี้

บุญต่อบุญ เงินต่อเงิน

บางที...ลืมๆ อะไรไปบ้าง ก็ทำให้หัวใจพองโต ได้ความรู้สึกพิเศษประจำวันนะเธอ

ไม่มีความคิดเห็น: