วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2552

เครื่องรวน

ฉันไม่ได้หมายถึงคอมพิวเตอร์ที่ฉันลงทุนซื้อโปรแกรมต้านไวรัสแล้วรู้สึกว่าเครื่องจะได้ภูมิคุ้มกันที่ดีเกินไป เลยป่วยซะงั้น

ฉันหมายถึงตัวฉันเอง...

ฉันมีนัดกับหมอวันนี้ หลังจากลืมไปเมื่อครั้งที่แล้ว ทั้งๆ ที่พยาบาลก็โทรมาเตือนตอนเช้าว่ามีนัดตอนบ่าย พอบ่ายฉันก็นั่งสรุปหน้าที่ความรับผิดชอบให้น้องใหม่ เตรียมไปขนหนังสือข้างนอก ที่ไหนได้ พยาบาลโทรมาตามตอนจะออกจากบ้านพอดี อะไรจะขี้ลืมขนาดนั้น

ถ้าจะพูดถึงเรื่องเครื่องรวน มันรวนมาเป็นระยะ และออกจะถี่ขึ้นในช่วงนี้ ฉันหักเงินภาษีผิด ใส่เลขที่บัญชีผิด โอนเงินผิดสกุล จำรหัสลับไม่ได้ พูดผิด เขียนผิด แสดงออกผิดๆ จนรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับตัวเอง

เมื่อวาน ผู้ที่รักฉันอย่างไม่มีเงื่อนไข (แม้เราจะอยู่ใกล้กันนานๆ ไม่ได้) เสนอให้ฉันไปเที่ยวพักผ่อน ฉันก็เออออห่อหมก แต่คงต้องตามไปนะ เพราะติดงานใหญ่ แต่สรุปว่า เครื่องบินไม่เป็นใจ ตั๋วเต็มทั้งที่ตั้งใจจะใช้ไมล์สะสมแลก ทีนี้จะลงทุนซื้อตั๋วให้ฉันเชียวนา แต่ฟ้าไม่เป็นใจ ก็ซื้อไม่ได้อยู่ดี สรุปว่า ฉันอด

คิดดูอีกทีก็ดีเหมือนกัน ถ้าไปก็คงจะไม่สนุก เพราะห่วงเรื่องนั้นเรื่องนี้สารพัน

วันนี้ต้องไปหาหมออย่างที่นัด ระหว่างรอ ดูท่าฉันจะเล่นละครเป็นหมอฝึกหัด นั่งฟังพยาบาลบ่นเรื่องคนไข้ที่มาหาหมอโดยไม่ได้นัดล่วงหน้า แล้วทำให้ตารางรวน คนที่นัดและมาตามนัดต้องนั่งรอ และเลยกระทบคนอื่นๆ ถัดไปเรื่อยๆ บางคนรู้ว่าหมอตรวจถึงสองทุ่ม ก็มาซะอีกสิบห้านาทีสองทุ่ม เจอไปหนเดียว หมอสั่งไว้เลยว่า ถ้ารายนี้มาอีก หมอไม่ตรวจให้

ไม่ใช่แค่พยาบาลเครียด หมอเองต้องเครียดมากกว่า เพราะวันๆ ต้องรับเรื่องของคนมีปัญหาสารพัด หากไม่สามารถฟัง วินิจฉัยแล้วทิ้งไป เท่ากับหมอปล่อยให้ลิงเกาะหลังเป็นฝูง จากที่รักษาคนป่วยในที่สุดก็คงจะป่วยเอง

วันนี้มีคนไข้มาแบบไม่นัดสองราย พวกนี้เป็นคนไข้แบบที่เมื่อต้องการยาก็มาให้หมอสั่ง หรือบางทีมาเพื่อเอายาไม่ให้หมอตรวจ ถ้าฉันเป็นหมอ ฉันก็คงลำบากใจไม่อยากเอาคอไปขึ้นเขียง

ถึงคราวของฉันบ้าง หมอทัก "หน้าตาสดใสเชียวนะเรา" ฉันตอบด้วยเสียงหัวเราะ "เค้าว่ากันว่า ถ้ามันถึงที่สุดแล้ว ก็คงต้องหัวเราะไปเลยแหละค่ะ พายุเวลามันมา มันไม่ได้มาลูกเดียว"

ว่าแล้วก็นำไปสู่บทสนทนาสารพัดปัญหาของฉัน เรื่องราวที่เล่า ทุกขั้นทุกตอนมีปัญหา ก็แก้กันไป หมอก็ฟังซะเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็จำเป็นต้องบอกว่า เมื่อคืนก็ร้องไห้ แต่ถ้าถามว่าเพราะอะไร มันก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน บางครั้งมันไม่รู้จะทำยังไง ร้องออกมามันก็สบายใจขึ้น

ฉันเล่าว่า คนรอบข้างก็เริ่มบ่นว่า หมู่นี้ฉันเครียดๆ แล้วฉันก็เครียดใส่ใครหลายคน หมอว่ามันมาจากนิสัยของฉันนั่นแหละ ฉันเป็นคนละเอียดตามประสาคนไวต่อสัมผัสทั้งหลาย คนประเภทนี้โดยพื้นฐานแล้วก็จะเครียดง่ายอยู่แล้ว การที่ซีเรียสกับชีวิต ตลกยาก ไม่ค่อยหัวเราะกับมุขสามัญธรรมดา (ประมาณว่าต้องมุขเทพนั่นแหละถึงจะขำ) ก็ทำให้อยู่ยาก ยิ่งมาตรฐานสูงในขณะที่คนทั่วไปก็เป็นแบบคนทั่วไป คำพูดของนายเก่าคนนั้นยังก้องอยู่ที่หูเสมอๆ ลดสปีดการทำงานและมาตรฐานลงบ้าง ไม่ต้องเช็คอีเมลทุกวันก็ได้ เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง ปล่อยให้มันผ่านๆ ไปเถอะ

หมอบอกให้เปลี่ยนอิริยาบถ อย่าทำแต่งานกับนอน ถ้าทำแค่นั้นไม่มีเวลาส่วนตัว มันก็ไม่ได้พักเต็มที่อยู่ดี หมอบอกให้ทำตามหลัก 8-8-8 แล้วฉันก็นึกถึงหลานคนเก่งที่ทำงานปีนึงซื้อบ้านได้กี่หลังแล้วก็ไม่รู้ เห็นเค้านอนวันละ 3 ชั่วโมง หน้าแก่แต่รวย หลายๆ คนคงเลือกอย่างนั้น

ฉันถามหมอด้วยน้ำตา ว่าบางอย่างต้องยืดหยุ่นตามที่มาตรฐานคนไทยทั่วไปเค้าทำ เค้ายอมรับกันมั้ยคะ หมอก็บอกว่า พวกที่เค้าเป็นอย่างนั้น เค้าก็ทน ไม่ได้มีความสุข อาจจะด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ หน้าตา ฐานะทางสังคม เราเป็นของเราน่ะ ดีแล้ว ปรับแต่ไม่ใช่เปลี่ยน เวลาจะเป็นเครื่องตัดสิน

ในเมื่อหมอสั่ง การคลายเครียดที่ดีที่สุดนอกจากนอนก็คงเป็นการไปนวด แล้วก็กินหรูๆ ตามสไตล์ของฉัน นวดมัน 3 ชั่วโมง หมอนวดยังสอนฉันว่า อย่าไปคิดอะไร หลับซะ ถ้าไม่หลับก็นึกถึงขาเวลาที่เค้านวดฉัน สรุปแล้วยังไงฉันก็ไม่หลับ คิดไปร้อยแปดเรื่อง ได้คำตอบบ้าง ได้มุมมองอีกแง่สำหรับเรื่องเดิมๆ ที่เมื่อมองมุมใหม่ ก็ได้ความรู้สึกและทางออกใหม่ๆ

หมอนวดบอกอีกว่า กระดูกมันบอกว่า ล้า นะ แต่เส้นเอ็นข้างนี้ยังไม่เป็นปุ่มๆ เหมือนบ่าข้างโน้น แม่หมอเน้นนวดที่คอ ฉันรึก็กลัวจะคอหักก่อนตายด้วยความเครียด เลยกลายเป็นว่านวดไปเครียดไป จะว่าไป มันก็ไม่ได้ปวดเมื่อยเพราะงานอย่างเดียวหรอก ก็เวลาว่างของฉัน ดันไปเล่นเกมส์ซะนี่

ก็ซื้อผ่านอินเตอร์เน็ตมาอีกเหมือนกัน ไม่เล่นก็ไม่ได้ เสียเงินแล้วนิ!!

ไม่มีความคิดเห็น: