วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

สุขได้ในพริบตา ภาคความคิดและภาคชีวิต

หนังสือเล่มนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่าความเป็นตัวตนของฉันภาคหนึ่งได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง...

แม้ฉันจะรู้สึกถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจนว่า ฉันชอบภาคความรักมากกว่าสองภาคที่เหลือ แต่ก็มีหลายๆ เรืื่องที่โดดเด่นและทำให้ฉันอยากจะกล่าวถึง

ใช่ว่าฉันจะบ้าคนดัง แต่คิดว่าการยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมน่าจะทำให้คนเข้าถึงได้ง่ายกว่าการสื่อเรื่องความคิดในรูปแบบดั้งเดิมของมัน คุณนา กาญจนา ศิลปอาชา ยิ้มได้กับทุกสถานการณ์ ฉันอยากทำได้แบบนั้นเหมือนกัน คนเรามักไม่เห็นความบกพร่องของตัวเอง ปัญหาส่วนหนึ่งของการที่คนไม่ชอบฉัน เพราะหน้าฉันเวลาอยู่เฉยๆ มันดูไม่เป็นมิตร ดูเหมือนโกรธใครมา บางครั้งตาโตๆ ก็เหมือนไปจ้องตาหาเรื่องกับคนอื่น คนจะชอบจะเกลียดกันมันง่ายมากจนคิดไม่ถึง แค่ยิ้มก็ทำให้ทุกสิ่งดีขึ้นแล้ว

เรื่องคนจนสุขกว่าคนรวย เรื่องนี้ฉันก็คิดได้มาสักพักแล้วเหมือนกัน ตอนที่ฉันไปใช้ชีวิตแบบศิลปินอยู่ริมทะเล แวดล้อมไปด้วยคนรากหญ้า คนที่ทำหน้าที่ต่างๆ ในร้านอาหารริมหาด กระเทยนั่งดริงค์และร้องเพลงเชียร์แขก ฉันมีความสุขที่หล่อนบอกว่าฉันเป็นคนชั้นสูงที่ติดดิน ฉันร้องเพลงเพลงสุดท้ายเพลงประจำชาติของเกย์ หรือบางคนก็มองท่าเดินของฉันที่แตกต่าง ขาสองข้างชิดทุกก้าวย่างในขณะที่ลูกสาวของพี่เดินกางขา แล้วพี่ก็โทษตัวเองเสร็จสรรพว่าเพราะตอนท้องต้องยกของหนัก ฉันนึกถึงเจ้านายเก่าที่บอกว่าลูกเป็นออทิสติกเพราะตอนท้องเจ้านายนั่งทำงานอยู่ข้างเครื่องถ่ายเอกสาร

ฉันโดนตำหนิว่าไม่ไว้ตัว เพราะลดตัวไปพูดจาอย่างเป็นกันเองกับช่างภาพนิตยสารดังฉบับหนึ่ง ทั้งๆ ที่การที่บทสนทนาออกรสเพราะฉันเคยอยู่ที่บ้านเกิดของเขา คำว่า "ติดดิน" ช่างดูดีแตกต่างกันลิบลับกับคำว่า "ไม่ไว้ตัว" แล้วพอฉันร้องเพลงเพลงสุดท้ายต่างสถานที่ นักร้องชื่อดังให้ความเห็นว่า "ผู้หญิงที่ไหนเขาร้องเพลงนี้กัน เราน่ะประหลาด ชอบคบกับคนประหลาด"

กลับมาเรื่องจนรวยใครทุกข์กว่ากันดีกว่า คนจนก็รอเปียแชร์ เอาเงินไปใช้หนี้ที่กู้มาคิดดอกเป็นรายวัน คนรวยก็เอาที่มาจำนองกู้เงินมาลงทุนเหมือนๆ กัน คนจนลูกๆ ช่วยกันทำมาหากินช่วยกันคนละไม้คนละมือ คนรวยลูกช่วยทำมาหากินเหมือนกัน แต่ความเห็นไม่ตรงกัน สร้างความร้าวฉานยิ่งมีเขยสะใภ้มาร่วมด้วยยิ่งไปกันใหญ่ เหนียวหนี้ด้วยกันเอง กลัวว่าคนอื่นจะได้สมบัติมากกว่าตัว ถึงกับฆ่าแกงกันไปก็มีให้เห็นอยู่เนืองๆ

ใครโกรธอย่าโกรธตอบ เรารักเขาหายโกรธไปตั้งสิบปี เขายังทุกข์ทรมานจากความรู้สึกเกลียดเราที่อยู่ในใจเขาอยู่เลย พูดเรื่องประมาณนี้ ฉันอดคิดถึงพ่อไม่ได้ ทุกวันนี้ฉันอยู่อย่างเป็นสุข เพราะรู้สึกว่าได้ทำสิ่งที่ควรทำหมดแล้ว ฉันแค่อยากให้พ่อพ้นทุกข์อย่างฉันเท่านั้นเอง

เมื่อคืนเป็นคืนที่ฉันมีความสุข อาจจะไม่เกี่ยวกับหัวข้อหนังสือที่เพิ่งอ่านจบโดยตรง แต่ในเมื่อมันเป็นความสุขก็คงไม่ผิดที่จะกล่าวไว้ ณ ที่นี้

ฉันได้เห็นสายตาของผู้เป็นพ่อที่มีความสุขเวลาดูลูกชายคนเดียวร้องเพลงบนเวที ฉันสงสัยว่าสายตาที่มองแบบนั้นจะเปลี่ยนไปอย่างไรเวลาที่ลูกชายคนเก่งร้องเพลงบนเวทีคอนเสิร์ต มีคนฟังเป็นพันๆ มีคนร้องเพลงของลูกชายไปทั่วเมือง รายการทีวีช่องไหนก็เอาเพลงของลูกมาแซว

ตอนนี้ฉันได้เห็นพ่ออีกคนที่มีความสุขกับความสำเร็จของลูกสาว ไม่ใช่ใครอื่น พ่อของน้ำชา เจ้าของบทเพลง รักแท้...ยังไง นั่นเอง

ฉันก็พลอยมีความสุขไปด้วย เบียร์เย็นเจี๊ยบจากทาวเวอร์เบียร์สีเหลืองสดใสสูงร่วมเมตร เห็นว่าบรรจุเบียร์ประมาณ 6 ลิตร ฉันกับคนข้างๆ นั่งดึ่มพร้อมกับฟังเสียงเพลงของลูกคนข้างๆ ทำให้เมื่อคืนฉันออกจะเฮฮาเกินเหตุ ถึงกับขึ้นไปคว้าไมค์บนเวทีร้องเพลงรักคือฝันไป แต่เผอิญคุณลูกร้องเพลงด้วยคีย์สูงเกินเหตุ ฉันรู้ว่าด้นต่อไปไม่ไหวก็เลยรีบลงซะ ไม่ปล่อยให้ลูกค้าโต๊ะอื่นที่มีอยู่ประมาณ 2 โต๊ะรำคาญหูจนเกินไป

เสร็จแล้วต้องไปต่อที่ประจำอัพเดทความเป็นไป ดีเหมือนกันที่ฉันไม่เจอคู่กรณีทั้งหลาย ขึ้นเวทีร้องเพลง 2 เพลงแล้วก็ร้องตะโกนเล่นกับคนบนเวทีอีกหลายเพลง เมาได้ที่ขนาดเล่นกับพี่คนดีแบบหยิกแกมหยอกแต่คนมองว่ามันมากเกินไปไม่เหมาะสมที่กุลสตรีจะทำกริยาเช่นนั้น แต่จะไปสนใจใครให้มันมากมายนักหนา ในเมื่อคนข้างๆ ฉันเข้าใจว่าฉันหลุด พี่คนดีก็รู้ว่าฉันหยอก คราวก่อนน่ะ ฉันขนาดแกล้งเอานิ้วไปถูหัวนมเขาด้วยซ้ำ หนนี้แค่พยายามจะปลดกระดุมเสื้อหลอกๆ ที่หน้าอกเท่านั้นเอง

นิสัยเสียของฉันคือการเป็นคนชอบแกล้ง แต่อย่าได้ลามปามเชียวนะ ฉันจะหนีเลย คนข้างๆ เล่าให้ฟังวันรุ่งขึ้นว่าฉันไปลวนลามใครๆ อย่างไรบ้าง ฟังแล้วฉันก็ไม่ได้เวอร์อะไรมากมายนี่นา ก็แค่นิสัยขี้แกล้งกวนตีนสำแดงเดชเวลานึกสนุกเท่านั้นแหละ และก็เป็นโชคดีอีกแหละที่คนข้างๆ มองว่าคำพูดและนิสัยกวนตีนของฉัน "มันส์" ดี เรื่องนี้มันอยู่คนจะมองจริงๆ แค่อย่าไปล้อเล่นผิดที่ผิดทางเท่านั้นเอง ไม่งั้นไม่ได้ตายสวยกันพอดี

เดี๋ยวสุขจะหายได้ในพริบตา!!!

ไม่มีความคิดเห็น: