วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

สุขได้ในพริบตา ภาคความรัก

ฉันทำสิ่งดีที่ได้ตอบผลดีให้กับฉันทันทีที่เปิดอ่าน...

การทำดีของฉันมิใช่เป็นการทำให้ผู้อื่น เป็นการขออ่านหนังสือที่คุณหริ่นเพิ่งแต่งเสร็จ มาย้ำซ้ำๆให้ฉันอย่าเผลอไม่เท่าทันความเป็นปกติของคนที่มองโลกในแง่ร้าย การที่ฉันเอ่ยชื่อบุคคลอื่นและพร้องที่จะเผชิญความเสี่ยงว่าเจ้าตัวอาจจะได้เห็นบทความในบล็อกของฉันเป็นเพราะว่า ฉันแน่ใจแล้วว่าไม่ว่าจะมองมุมไหน มุมซ้าย มุมขวา ตีลังกากลับหัว ก็จะเข้าใจตรงกับฉันว่า "ของมันดีจริงๆ"

ก็ชีเล่นก้มหัว ตีลังกา มองทุกสิ่งในแง่บวก แบบน่าทึ่งอึ้งและงง แถมเข้ากันพอดีกับบางความแตกต่างที่ต้องปรับสมดุลของฉัน

เริ่มด้วยคนไกลตัวที่ผุดขึ้นมาในทันใดดีกว่า หน้าของเธอกับข้อความในอีเมลยังโผล่มาเป็นครั้งคราว ในขณะอ่านหนังสือ "สุขได้ในพริบตา" ยิ่งโผล่หัวเด่มาให้เห็นในทันที "เพราะเค้ารักเรานั่นเอง เค้าถึงทำอย่างที่เค้าทำ" เขาทำสิ่งทีี่ฉันได้อ่านแล้วตกใจ งุนงง แต่มีเมตตาแผ่ไปให้ ฉันเหมาเอาเองว่าเขารักฉัน เขาแคร์ฉัน เขาเลยรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยเวลาที่เขาทำงานที่ฉันยก(โยน)ไปให้แบบไว้ใจเต็มๆ (ก็ฉันคิดแล้วว่าถ้าไม่ไว้ใจก็ทำอะไรไม่ได้ สู้ไว้ใจอาจทำให้เขารู้สึกมีส่วนร่วม คิดแบบเจ้าของ ทำเต็มที่แบบที่ตัวเองมีส่วนได้ส่วนเสียจริงๆ) แล้วพาลคิดไปต่างๆ นานา เมื่อพบปัญหาก็เหมือนอยู่กลางมรสุมแต่เพียงผู้เดียว

ไม่มีใครตายจากการทำงานบกพร่องหรอก คนที่เดือดร้อนที่สุดน่าจะเป็นเจ้าของเงิน ผู้บริหาร มิใช่พนักงานที่ตั้งใจทำงานอย่างเต็มความสามารถเพื่อให้ได้ตามมาตรฐานที่เขาคิดว่านายตั้งไว้ จะว่าไปมันก็เป็นศิลปะของการเป็นนายที่จะต้องดึงศักยภาพสูงสุดจากตัวลูกน้อง และก็ต้องเป็นหน้าที่ของนายอีกเหมือนกัน ที่จะต้องดึงให้แรงที่สุดพร้อมๆ กับทำให้แน่ใจว่าลูกน้องยังจะอยู่ให้ดึง อาจจะบ่นหรือไม่พอใจแต่ก็ต้องยังอยู่ให้ดึง!!

การเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นการเรียนรู้ที่มีประสิทธิผลสูงสุด แต่หากบางคนฉลาดพอและสามารถเรียนรู้และผ่านประสบการณ์อันโชกโชนจากเรื่องที่มีความเสี่ยงเกินเหตุก็ไม่ต้องเจ็บตัวเจ็บใจมากเกิน

เอาเป็นว่าฉันอ่านเรื่องนี้ทำให้ฉันสบายใจเรื่องลูกน้องที่ฉันมองว่าเป็นน้องที่ตั้งใจดีละกัน

กลับมาเรื่องหลักในเวลานี้ คนที่อยู่ข้างๆ ...

แม้เราจะ"คลิก"และฉันรู้สึกสบ้ายสบายเหมือนอยู่กับตัวเองเวลาอยู่กับเขา แต่เป็นเวอร์ชั่นที่มีคนดูแลด้วย จะว่าไปแล้วควรจะเรียกได้ว่า ดีกว่าฉันอยู่คนเดียว หากมองในมุมความสบายทางกาย ส่วนเรื่องทางใจ คงต้องปรับจูนกันบ้างเพราะไม่ใช่จิ๊กซอว์ที่ออกมาจากกล่องเดียวกัน

คุณชายเป็นลูกครึ่งไทย-ฟิลิปปินส์และผมยาวกว่าฉัน ถูกใจอะไรก็บอกว่า "มันส์ดี" เป็นประจำ ฉันไม่ค่อยแน่ใจหรอกว่า กางเกงยีนส์มันส์ ฉันเป็นคนมันส์ดี กับเล่นดนตรีมันส์ มันต่างกันยังไง คุณชายไม่ยอมหัดใช้คอมฯตอนที่ลูกสอน ทั้งๆ ที่อยู่ในช่วงเว้นวรรคของชีวิต แต่พอต้องมาอยู่ติดกับสาวบ้าเฟซบุคและสนุกกับทุกอย่างที่ต้องพิมพ์และหาได้ในโลกอินเตอร์เน็ต ฉันก็จับหัดแบบโยนลงน้ำวิธีเดิม ห้ามจดต้องจำทำให้คล่องมือจนขึ้นใจ แล้วฉันก็สั่งๆๆๆๆ อย่างเดียว

แรกๆ ฉันก็(อา)รมณ์เสียตามประสาคนไม่ชอบพูดอะไรซ้ำๆ แต่ตอนหลังก็เห็นเขาแอบเปิดคอมเวลาฉันหลับหรือไม่อยู่ กดปุ่มนั้นบ้างนี้บ้างลองโน่นลองนี้แบบสบายใจเพราะไม่มีใครมาจ้องมอง ตอนนี้เขาเปิดเครื่อง เปิดอีเมล์อ่าน เข้าเฟซบุค คลิกตอบรับเป็นแฟนหน้าสนพ.กำมะหยี่(ด้วยนะ)และปิดคอมเองได้(ด้วยล่ะ)

หน้าที่หลักในแต่ละวันของเขาคือ เปิดเมล์อ่านเพลงที่ฉันแต่งเมื่อวันก่อน ให้คอมเมนท์ว่าควรจะแก้ยังไง บอกคอนเซปท์ใหม่ให้แต่ง คล้ายๆ กับที่เขาบอกให้แอ๊ด คาราบาวแต่งในชุดกัมพูชากับเมดอินไทยแลนด์ ฉันแอบภูมิใจตัวเองแบบไม่ปิดบัง(เท่าไหร่) แม้ว่าเขาจะไม่พูดชมอะไรชัดเจน ความเร็วในการแต่งฉันเร็วแบบได้ 10 เพลงต่อวัน (อันนี้ไม่รวมแก้รวมเกลาซึ่งต้องทอดเวลาในการอ่านทวนซ้ำหลายๆ ครั้ง) แถมมีสไตล์คล้ายพี่ป๊อด สุนทรสิงห์ (อันนี้น้องชายเขาบอกเอง) แหม จะไม่วาดถึงอนาคตยังยิ่งใหญ่ยาวไกลคงจะไม่ได้กระมัง อิอิ

วันนี้เป็นวันแรกที่เขาหัดใช้น้อง Air จากที่ปกติใช้น้อง Mini มาตลอด มีเรื่องต้องเรียนรู้ใหม่เท่าที่เห็นสองจุด คือ ปุ่มที่เปิดเครื่องใหม่และการใช้ Mouse Pad ช่วงนี้คุณชายงานหนัก พายุอีเมลถล่มสาดซัดอย่างที่คนที่เคยทำงานกับฉันทั้งหลายเคยเจอมา ฉันคิดว่าเขาน่าจะเข้าใจว่าทำไมฉันถึงไม่รวบเขียนมันในอีเมลฉบับเดียว

จะว่าไปมันก็เหมือนต้นฉบับหนังสือหรือการประสานเรื่องงาน ต้องมีการส่งไปส่งมา แก้ไขเพิ่มเติมตัดเปลี่ยนหลายรอบ ถ้าจั่วหัวไว้ที่ Subject อีเมลก็จะได้หาง่ายมีอีเมลเยอะจริงแต่มีระบบในการจัดเรียงเวลาหาก็หาง่าย และอีกเรื่องที่เรียนใหม่วันนี้คือ การแก้ไขเนื้อเพลงในอีเมล ฉันให้เขา forward อีเมลให้ตัวเองแล้วตั้งหัวข้อใหม่เป็น edited edited1 edited2 ไปเรื่อยๆ ก็ดูจะทำให้เขางอนฉันน้อยลง ที่ฉันมัวแต่อินกับข่าวการเมือง เล่นเฟซบุค นั่งทำการบ้านส่งเขา อยู่กับคอมฯ ตลอดวัน เพราะเขาก็ทำเหมือนฉันในที่สุด 555

อีกเรื่องที่หนังสือคุณหริ่นทำให้ฉันระลึกถึงปัญหาและวิธีจัดการกับมัน หากมีเรื่องใดที่ไม่ชอบหรือรับไม่ได้จริงๆ ก็ให้มองว่าถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ข้อดีข้ออื่นก็จะหายไปด้วย ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสีย เราเลือกทิ้งบางส่วนของคนไปไม่ได้ และแม้ว่าเราจะเลือกทิ้งสิ่งที่เราไม่ชอบได้ ในความดี ข้อดีของเขานั้นเองมันก็มีข้อเสียฝังอยู่เป็นคู่กันอย่างเหนียวแน่น

เรื่องสุดท้ายที่ฉันนึกออกในตอนนี้ก็คงไม่แคล้วเกี่ยวกับเรื่องความคาดหวัง หากเรารักใครคงไม่เพราะเขาทำอะไรดีๆ ให้เรา นั่นเป็นความรักที่จะก่อให้เกิดทุกข์ ความรักที่ทำให้สุขเป็นความยินดีเมื่อเห็นเขาเป็นสุข ความเห็นใจเมื่อเขาเป็นทุกข์อยากช่วยแก้ปัญหาหรืออย่างน้อยก็อยู่เป็นเพื่อนใจเพื่อนคู่คิด ฉันว่าฉันได้ทำให้เขามีความสุข ได้ออกมาจากโลกอันหมองหม่น ชีวิตที่ต้องเว้นวรรค เพื่อรอจังหวะจะโลดแล่นต่อไป ตามธรรมชาติของทุกสิ่ง มีเกิดและมีดับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นวงจรซ้ำไปเรื่อยๆ จนกว่าชีวิตจะจบลง ได้เป็นคู่คิดได้ร่วมกันผลิตผลงาน ได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ ได้ใช้ชีวิตร่วมกันแบบแทบจะ 24 ชั่วโมงโดยที่ฉันไม่รำคาญ เพราะฉันอยู่กับคนที่มีวุฒิภาวะไม่ต่ำกว่าฉัน และรู้จักโลกมามากพอที่จะจัดการกับผู้หญิงกวนตีนคนนี้อย่างอารมณ์ดี

เป็นความสุขที่พบได้ในพริบตาจริงๆ เลยค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะ คุณหริ่น ^-^

ไม่มีความคิดเห็น: