วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553

อันเนื่องมาจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ

บทบาทพิธีกรแม้จะตะกุกตะกักแต่ก็ลุล่วงไปแล้วในที่สุด...

ฉันอ่านหนังสือ พูดให้ดี เป็นพิธีกรให้เก่งของคุณนิเวศน์ กันไทยราษฎร์จบอย่างน้อยหนึ่งรอบก่อนที่จะเขียนสรุปความระหว่างรอขึ้นเวที นั่งฟังผู้บรรยายจากแบงค์ชาติสอนการจัดดอกไม้และเล่าประวัติการทำงานของตัวเอง รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง

ขึ้นเวทีคล้ายจะมั่นใจแต่พอว่าไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งแน่ใจว่าฉันควรสวมบทบาทพิธีกรฝึกใหม่ สาธิตการเรียนการสอนบนเวทีซะเลยจะทำให้ไม่เครียดหากฉันพูดอะไรผิดๆ ถูกๆ พอกลับมาดูรูปแล้วก็เห็นตัวเองหน้าบึ้งดูดุๆ ตาโตจ้องคนไปทั่ว ดูน่ากลัวเสียจริง

โชคดีที่พอมีรูปที่ยิ้มๆ บ้างเหมือนกัน ภาพถ่ายบอกให้ฉันปรับปรุงตัวเองหลายอย่าง ฉันควรจะนิ่งกว่านี้ ยิ้มในใจเพื่อให้มันออกมาทางสีหน้า และทำหรี่ตาอย่างที่เคยมีคนแนะนำ

งานที่ทำบรรลุวัตถุประสงค์ทั้งของฉันเอง วิทยากรและผู้จัดการเสวนาครั้งนี้ แม้ฉันจะทำน้ำหกตบท้ายก็ดีเหมือนกัน คนฟังจะได้รู้สึกว่า ทั้งซุ่มซ่าม พูดเอ้ออ้า รูปแบบประโยควกวนก็เป็นพิธีกรบนเวทีได้นะ จะบอกให้

ฉันดีใจที่ได้กล่าวถึงเจ้าชายน้อยอย่างที่ตั้งใจไว้ คู่สนทนาเข้าใจเจตนาที่ฉันเลือกเป็นนักเรียนทดลองบนเวทีบอกว่าฉันใจกว้างมากที่เลือกทำแบบนี้ ฉันก็ยิ้มแก้มปริไปสิ ฉันแค่ลองนึกในฐานะผู้ฟังว่า เขาต้องการอะไร เขาขาดอะไร การทำงานหลายๆ เรื่องสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ กำลังใจ ความกล้า แม้อาจจะทำผิดพลาด และเมื่อฉันสารพัดจะพลาด ฉันก็ยิ้มสู้และยอมรับความจริง แล้วมันก็ผ่านไป แค่พิธีกรซุ่มซ่ามคนหนึ่ง

ช่วงที่ไปส่งหนังสือ ร่วมทำ workshop และร่วมดำเนินรายการครั้งนี้ ฉันไม่สบายอีกเช่นเดิม ฉันคิดว่าต้องเลิกกินน้ำเย็นซะที กินทีไรหนาวจะเป็นไข้อยู่เรื่อย ดีที่ไม่ล้มแค่นอนให้มากๆ ก็ทำให้ค่อยยังชั่วแล้ว การทำงานในช่วงนี้ยังทำให้ฉันเห็นอะไรๆ ได้ชัดโดยไม่ต้องมอง ยิ่งได้คำยืนยันจากผู้ใหญ่เพิ่มเติมก็ทำให้ต้นไม้ความสัมพันธ์หยั่งรากลึก เติบโตอย่างมั่นคงขึ้น ด้วยได้รับความอบอุ่น เอาใจใส่ ดูแลอย่างสุขุม รอบคอบ คราวนี้เราเลยพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส

เล็งสินจัยและสมบัติเอาไว้แหละ อิอิ

ไม่มีความคิดเห็น: