วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (25)

คืนนั้น นพนาศกลับมานอนคนเดียวอีกครั้ง...

การที่ผู้หญิงคนหนึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ในสวนกล้วยไม้คนเดียว ไม่ได้ยินเสียงใครถ้าไม่เปิดทีวี กล้วยไม้มีแต่โต ออกดอก รากงอก แล้วก็เหี่ยว ขึ้นอยู่กับความเอาใจใส่ของคนเลี้ยง การรดน้ำ แดดและลม ผู้หญิงคนที่ชื่อนพนาศเริ่มรู้สึกแปลกแม้เพียงคืนเดียวที่มีใครมาอยู่ร่วมห้อง ใช่ว่าหล่อนจะไม่เคยใช้ชีวิต ไม่มีคนเคยร่วมเตียง แต่ความรู้สึกในคราวนี้มันไม่เหมือนคราวก่อนหน้า คราวที่ต่างฝ่ายต่างนอนหันหลังให้กัน อยู่กันคนละสุดข้างเตียง แถมยังมีการทำสงครามเย็น แอบเปลี่ยนระดับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศ คนนึงชอบหนาวแล้วซุกตัวในผ้าห่ม ในขณะที่อีกคนชอบอุณหภูมิปกติใส่เสื้อยืดบางๆ นอน

นพนาศจำได้ว่า เพื่อนหล่อนเคยบอกว่า สาเหตุที่ตัดสินใจแต่งงานกับภรรยาคนปัจจุบันก็เพราะว่าภรรยานอนไม่หลับถ้าเพื่อนนพนาศคนนั้นไม่ได้นอนด้วย นพนาศออกจะมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระ ใครจะนอนไม่หลับได้ถ้าต้องนอนคนเดียว เกิดมาก็เกิดมาคนเดียวอยู่แล้ว ความคิดเห็นเป็นเช่นนั้นเพราะนพนาศไม่ได้ประสบกับตัวเอง คราวนี้หล่อนจึงเพิ่งเข้าใจความผูกพันของเพื่อนกับภรรยาที่เป็นสายใยมัดให้คนอิสระสองคนมาใช้ชีวิตร่วมกัน นพนาศเคยฟังเรื่องราวความสัมพันธ์ของคนคู่นี้ ทั้งจากฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ทั้งยังอยู่ในเหตุการณ์ที่ฝ่ายชายนอกใจอยู่เป็นนิจ ท้ายที่สุดก็มาตายรัง เลือกผู้หญิงที่ทนเขาได้มากที่สุด ฝ่ายหญิงก็ทนจริงๆ อย่างที่ว่า เพราะหล่อนต้องไปปรึกษาจิตแพทย์ กินยาเพราะเป็นโรคซึมเศร้าจากความประพฤติของแฟนหนุ่มรายนี้ แต่ด้วยความอึด ทนเป็นอูฐ แล้วหล่อนก็ได้เขามาครองอย่างเต็มภาคภูมิ

คืนนี้ นพนาศนอนไม่หลับ พุทโธก็แล้ว กินยาสำหรับโรคประจำตัวของหล่อนที่มีฤทธิ์ทำให้ง่วงก็แล้ว ความคิดของนพนาศก็ยังเตลิด วิ่งวุ่นอยู่ในวังวนของวันวาน เรียงลำดับเหตุการณ์ ย้อนนึกไปมาว่ามันเกิดเหตุการณ์อย่างที่เป็นอยู่ได้อย่างไร จิตไม่สงบเป็นอย่างนี้นี่เอง

สายๆ ของวันต่อมา บอสโทรมาหานพนาศ หล่อนคิดว่าความรู้สึกของหล่อนคงจะสื่อถึงเขาได้ บอสบอกนพนาศตรงๆ เหมือนถ่ายทอดความรู้สึกจากใจจริงๆ "คิดถึง อยากอยู่ด้วย มาที่นี่มั้ย"

ทั้งสองนิ่งอยู่พักใหญ่ แล้วนพนาศก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า "ก็ดีค่ะ เดี๋ยวจะได้ถ่ายรูปบ้านเอาไปให้ป้าเป้ดูไง มีรูปออฟฟิศแล้ว มีบ้าน เอาขึ้นบล้อก คราวนี้ให้มันรู้ไปว่า ป้าจะหาเรื่องอะไรมาว่าบอสได้อีก"

"จะมากี่โมงคะ วิ่งมาทางบางนา เลี้ยวเข้าบายพาสชลบุรี อีกสักพักก็ถึงแล้ว ถ้ารถไม่ติด ไม่เกินชั่วโมงหรอก 60 กว่ากิโลเอง" นพนาศชอบผู้ชายที่ลงท้ายประโยคว่า คะ ค่ะ เมื่อพูดกับผู้หญิงอยู่แล้ว หล่อนรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นผู้หญิงที่น่าทนุถนอม ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงเก่งคนใดก็มีความสุขจากการปฏิบัติอย่างให้เกียรติและอบอุ่นอย่างนี้ทุกคน แต่อันที่จริงจะไปเหมาหมดก็ไม่ถูก อาจจะมีผู้หญิงมาโซคิสม์อยู่กลุ่มนึงก็เป็นได้ ที่ชอบให้ผู้ชายทารุณ ด่าทอ จิกตบ เพราะเป็นการสนองความต้องการลึกๆ ในใจที่แม้แต่ตัวเองก็อาจจะไม่เข้าใจ

นพนาศรีบวิ่งผ่านน้ำ แปรงฟัน แต่งหน้า แต่งตัว เลือกชุดที่คิดว่าเหมาะจะไปพบผู้ใหญ่ แต่ก็ต้องไม่ดูเรียบร้อยและดูมีอายุจนเกินไป หล่อนเกิดจะมาชอบเด็กเข้าหนิ จะว่าอายุไม่สำคัญซะเลยก็ไม่ใช่ หล่อนย่อมไม่อยากให้แม่และป้าๆ ของบอสมองว่าหล่อนเป็นสาวแก่คิดจะกินเด็กขึ้นมา

แล้วหล่อนก็เลือกใส่กางเกงยีนส์ค่อนข้างรัดรูป เห็นเรียวขายาวอันเป็นจุดเด่นของหล่อนเสมอมา กางเกงยีนส์สีซีดที่หล่อนเพิ่งซื้อมาจากญี่ปุ่น น่าแปลกที่ขากางเกงยาวกว่าความยาวช่วงขาของหล่อนเสียอีก ทั้งๆ ที่นพนาศแน่ใจว่า หล่อนขายาวกว่ามาตรฐานสาวญี่ปุ่นอยู่หลายขุม อาจเป็นเพราะกางเกงเป็นแบรนด์นอก ผลิตตามไซส์ของฝรั่ง หล่อนยังอดนึกไม่ได้ว่า ถ้าสาวญี่ปุ่นมาซื้อมิต้องตัดขากันทุกคนหรอกหรือ

เสื้อยืดปิดคอสีม่วงเข้ม จับเดรปห่างๆ จากคอมาเข้ารูปช่วงเอวโดยการเย็บด้วยยางยืดเป็นตารางสี่เหลี่ยมรูปว่าวลายละเอียดเพิ่มความหวานให้เสื้อสีขรึม แถมยังเน้นให้เห็นรูปร่างแบบผู้หญิงสูงโปร่งได้เป็นอย่างดี นพนาศแค่แต่งหน้าอ่อนๆ ดัดขนตา ปัดมาสคาร่าเล็กน้อย บรัชออนสีชมพูอ่อนปัดขึ้นเป็นเงาเหมือนเห็นเลือดฝาด แค่นี้ก็ลดอายุของหล่อนลงได้อีกสัก 5 ปี สำหรับส่วนต่างอีก 4 ปีที่เหลือ จะให้หล่อนไปใส่ใจมาก นั่นก็อาจเป็นการเพิ่มรอยย่น รอยตีนกาให้หล่อนซะเปล่าๆ

นพนาศขับรถคันเก่ง สีน้ำเงินดูไม่เก่าเท่าไหร่ แต่มันเป็นทาสภักดีของหล่อนมากว่า 10 ปี ทาสคนนี้ไม่จู้จี้จุกจิก ไม่เกเร ไม่ต้องบำรุง นานๆ ซ่อมที แถมยังไม่โกรธแค้นหล่อนที่ชอบปาดซ้ายแถขวา ชนหน้าชนหลังจนกันชนห้อย กระโดดยืดหยุ่นตลอดเวลาที่หล่อนขับ แวะเติมน้ำมัน เช็คลมยาง เตรียมพร้อมออกต่างจังหวัดซะหน่อยพอเป็นพิธี จากนั้นหล่อนก็วิ่งปรึดขึ้นทางด่วน แซงซ้าย เปิดไฟเลี้ยวขวา แล่นเป็นงูไปตามช่องว่างบนทางไร้ไฟแดง ทางที่บางครั้งติดเสียจน คนขับอยากเลือกไปขับผ่านสี่แยก เพราะแน่ใจว่าจะมีไฟเขียวบ้าง ไม่ใช่มัดมือชกอยู่บนทางด่วนที่เมื่อติด ไม่มีทางเลือกอื่นใดให้เลือกอีกเลย

บ้านบอสไม่ไกลและไปไม่ยากอย่างที่เขาบอก แต่พอเลี้ยวเข้าทางย่อย ไหงมันมีตรอกซอกซอยมากมายจนบอสต้องขับรถออกมารับ ทางที่เมืองชลเหมือนร่างแห เข้าทางนั้น ออกได้อีกสิบทาง อยู่ที่จะเลือกไปทางใด ซ้าย ขวา ขวา ซ้าย ข้ามทางรถไฟ ข้ามคลองชลประทาน เลี้ยวเข้าแยกโรงเลี้ยงหมู แล้วก็นับไปอีก 7 ซอย เลี้ยวขวาก็ถึงบ้านญาติๆ บอสในที่สุด

ที่ว่าเป็นบ้านของญาติๆ บอส เพราะมีบ้านเล็กบ้านน้อยรวมกันอยู่ในบริเวณนั้นไม่น้อยกว่า 4 หลัง เริ่มตั้งแต่เข้าประตูเหล็กสีเหลืองสดใส เป็นบ้านสองชั้นหลังคาสูงขนาบด้วยต้นหมากที่สูงกว่าตัวบ้านที่ว่าสูงแล้วนั้นเสียอีก ทางซ้ายเป็นสนามหญ้ากว้างใหญ่ แม้หญ้าจะออกสีเหลืองๆ แต่ก็ถูกตัดอย่างเป็นระเบียบ ต้นไม้ใหญ่และกอไม้ดอกเรียงรายเป็นระยะ ไม่รกและไม่ว่างโล่งจนเกินไป ในบริเวณนั้นมีบ้านชั้นเดียวที่ดูเหมือนจะเพิ่งเสร็จใหม่ๆ นพนาศทราบทีหลังว่าเป็นบ้านหลังน้อยที่สร้างขึ้นเพื่อให้คุณทวดอยู่หลังจากหกล้มลื่นตอนเดินออกกำลังกายบริเวณบ้าน แทบไม่น่าเชื่อว่าคุณทวดของบอส อายุเกือบร้อยปีแต่ยังแข็งแรงขนาดออกเดินรอบบริเวณบ้านวันละ 1 รอบตอนเช้าและอีกหนึ่งรอบตอนเย็น กิจวัตรที่คุณทวดของบอสปฏิบัติมาตลอดเวลาหลังเกษียณอายุราชการเป็นหัวหน้าผู้พิพากษาศาลฎีกาอาจเป็นสิ่งทำให้สุขภาพกายและจิตของท่านดี ยังผลให้อายุยืนขนาดนี้

เดินถัดไปด้านหลังมีโรงครัวขนาดเกือบเท่ากับบ้านของคุณทวด เป็นที่ซึ่งทุกบ้านมาร่วมทำกับข้าวและรับประทานอาหารเมื่อมีโอกาสพิเศษ นอกเหนือจากที่คุณป้าของบอสใช้เป็นห้องทดลองปรุงอาหารชนิดใหม่ๆ ซึ่งช่วงนี้ป้าต่ายกำลังสนุกกับการเอาสมุนไพรไทยมาทำอาหารสไตล์ฟิวชั่น อย่างที่เขาฮิตๆ กัน นพนาศคิดว่า นั่นคงเป็นเพราะป้าต่ายเป็นอาจารย์สอนคหกรรมในระดับมหาวิทยาลัย คุณป้าคงอยากทำให้หลักสูตรทันสมัยและนักศึกษารู้สึกว่าสามารถนำสิ่งที่เรียนไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงได้

เดินลึกเข้าไปอีกหน่อยเป็นบ้านไม้หน้าต่างกระจกรอบด้านของลุงกลางและป้าแจ๋ว ลุงกลางเพิ่งแต่งงานกับป้าแจ๋วได้ไม่นานหลังจากที่ตัดสินใจกลับมาใช้บั้นปลายชีวิตในเมืองไทย ประสบการณ์ 25 ปีในต่างแดนตั้งแต่เรียนปริญญาตรีจนจบปริญญาเอก การเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยชื่อดังในนิวยอร์ก อาจจะสร้างสมความรุ้สึกโดดเดี่ยวจนลุงกลางได้คำตอบของชีวิตว่า ไม่มีที่ใดอยู่แล้วสุขใจเท่าเมืองไทย ลุงกลางกลับมาเป็นอาจารย์ทำประโยชน์ให้คนไทยอีกเช่นกัน เงินเดือนหลายแสนในประเทศที่ค่าครองชีพสูงอย่างสหรัฐอเมริกาทำให้ลุงกลางสามารถสร้างบ้านราคาร่วม 10 ล้านเพื่อเป็นสวรรค์ของครูผู้ให้ทั้งสองท่าน ไม่หรูหรา เพียงแต่ใช้ไม้สักกว้างประมาณ 1 ฟุตทั้งหลัง ห้องน้ำกลางแจ้งปกคลุมด้วยไม้ยืนต้นที่แผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่วอาณาบริเวณ แม้ลุงกลางจะเล่าให้นพนาศฟังในภายหลังว่า ป้าแจ๋วโกรธซะจนหน้าเขียวหน้าแดง เมื่อพบว่า คนก่อสร้างเรือนไม้สักหลังงามตัดต้นไม้รอบๆ ซะจนความร่มรื่นหายไปหมด แสงแดดแผดเผา หากอาบน้ำในช่วงกลางคืนก็ดูจะเห็นดาวและพระจันทร์ชัดจนเกินไป ร่มไม้ที่ตั้งใจให้บังด้านบนของฝักบัวอาบน้ำของห้องน้ำที่อยู่ภายนอกตัวบ้าน หายไปหมด ร้อนถึงบอสที่ต้องปีนไปติดระแนงไม้ไผ่ให้ต้นไม้เลื้อยพาดผ่านด้านบนของฝักบัว

บ้านที่อยู่ลึกสุด เป็นบ้านของป้าติ๋วสาวโสดนักวิชาการ ศาสตราจารย์ผู้ทำประโยชน์ให้กับวงการศึกษาไทยจนได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุด เป็นเกียรติประวัติของสกุล เพชรรักษา อันเป็นนามสกุลของแม่บอสนั่นเอง

บอสพานพนาศเดินลัดเลาะรอบบริเวณบ้านหลังจากที่นพนาศเข้าไปไหว้ทำความรู้จักกับแม่ของบอส และนำรองเท้านารีที่เพิ่งจะออกดอกใหม่ๆ มาเป็นของกำนัล สร้างความประทับใจสำหรับคราวแรกที่หล่อนได้พบกับคนสำคัญอันดับหนึ่งในใจบอส บอสในฐานะลูกชายคนโตที่ต้องดูแลน้องสาวอีกสองคน เป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน เป็นที่พึ่งพิงและพึ่งพาของบรรดาป้าๆ แม่และลุงกลางที่รู้แตกฉานเฉพาะเรื่องในตำรา เรื่องที่ไม่ต้องตีความ ซับซ้อนยอกย้อน เรื่องที่ตรงไปตรงมา ไม่ใช่ต้องอาศัยการเอาตัวรอด บิดพลิ้ว แถไปทางโน้นทีทางนี้ทีอย่างที่คนทั่วไปต้องพบเจอ บอสจึงเป็นเหมือนผู้ชายคนเดียวจริงๆ ที่เป็นหลักของบ้าน ที่ต้องรับผิดชอบ ดำเนินการจัดการความเป็นไป เรื่องเดือดเนื้อร้อนใจใดๆ จะหลั่งไหลไปที่บอส และที่สำคัญ... เป็นที่พึ่งทางใจให้กับแม่ของตนตั้งแต่ที่พ่อของบอสตัดช่องน้อยแต่พอตัว หย่าขาดจากภรรยา ไปสร้างครอบครัวใหม่ มีลูกคนใหม่ที่บอสต้องเห็น ต้องอยู่ร่วมในออฟฟิศโรงงานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เด็กไร้เดียงสา ไม่รุ้อิโหน่อิเหน่ใดๆ ที่บอสไม่อาจทำใจ "รัก" เหมือนน้องสาวอีกสองคนได้ อีกทั้งความรู้สึกที่ทิ่มแทงจิตใจตลอดเวลาที่ต้องวิสาสะกับเมียใหม่ของพ่อ ผู้หญิงที่มาสร้างความร้าวฉานให้กับครอบครัวสมถะครอบครัวนี้

ระหว่างทางที่บอสพานพนาศไปถ่ายรูปบ้านและบริเวณรอบบ้าน เขาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคนสำคัญของเขาอย่างเปิดใจ นั่นอาจเป็นเพราะการสบประมาทของป้าเป้ นพนาศได้แต่ขอบคุณป้าเป้ในใจที่ทำให้บอสบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ภายในครอบครัว เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าเขาไม่ได้จะมาหลอกนพนาศ ใช้ประโยชน์จากนพนาศ

ทั้งสองเดินไปจนถึงสุดปลายเขตเนื้อที่กว่า 5 ไร่ ด้านหลังเป็นบึงใหญ่ที่ลุงกลางใช้เป็นที่ทดลองการผสมพันธุ์ปลาอันเป็นงานอดิเรกที่ลุงกลางชอบมาแต่ไหนแต่ไร ชีวิตของลุงกลางจึงมีแต่ป้าแจ๋ว มหาวิทยาลัย ตำรับตำรา และปลานานาพันธุ์

บอสเล่าว่า เขาคิดจะสร้างบ้านหลังเล็กๆ ที่ริมบึงแห่งนี้ หลังเล็กที่ใหญ่พอสำหรับเขาและใครอีกสักคน หรือถ้าเป็นไปได้ ก็เป็นห้องสำหรับใครที่สวรรค์เลือกแล้ว เลือกให้มาอยู่ด้วย อยู่เพื่อทำให้ชีวิตคู่เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ เมื่อถึงเวลานั้น ก็คงต้องสร้างบ้านอีกหนึ่งหลังสำหรับจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้น ไม่แน่หรอก บ้านริมบึงอาจจะกลายเป็นที่หลบจากความวุ่นวาย ที่ๆ บอสจะได้มารำลึกถึงชีวิตที่ยังไม่ต้องมีภาระผูกพัน มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบนอกเหนือไปจากที่ต้องรับภาระเป็นหลักอยู่แล้วในตอนนี้

วันนี้เป็นวันที่นพนาศได้เห็น ได้สัมผัสสิ่งที่หล่อหลอมให้เกิดเป็นผู้ชายหน้าตากวนตีนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผู้ชายที่ถ้าไม่มองให้ลึกลงไป ก็คือเด็กเมื่อวานซืนดีๆ นี่เอง แต่หากใครจะมองผ่านความผิวเผิน ลงลึกผ่านรูปกายที่เป็นดังฉลากที่ไม่ตรงกับของที่อยู่ข้างใน ก็จะพบว่าผู้ชายที่ดูซ่าๆ พูดแข็งๆ ตรงๆ คนนี้ เป็นผู้ชายที่มีความสุขกับเรื่องง่ายๆ เรื่องสามัญธรรมดา เป็นผู้ชายอบอุ่นที่ใส่ใจความรู้สึกของคนรอบข้าง ผู้ชายโรแมนติกที่มองว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้

นพนาศได้มีโอกาสครั้งนี้เพราะป้าเป้จริงๆ เชียว

เย็นวันนั้น บอสจะกลับเข้ากรุงเทพเช่นกัน บอสจะพานพนาศไปทางเส้นใหม่ นพนาศมีหน้าที่ตามผู้นำชีวิตคนใหม่ของเธอ แล้วเขาก็นำหล่อนไปสู่ชีวิตใหม่ ชีวิตที่นพนาศไม่เคยรับรู้ว่ามีอยู่จริง

ไม่มีความคิดเห็น: