วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (23)

ประตูอัตโนมัติค่อยๆ เลื่อนไปทางซ้าย บอสขับรถไปตามทางราดคอนกรีตอย่างดี ไปจนสุดทาง บ้านของเพื่อนนพนาศอยู่ในบริเวณเดียวกับพ่อของสามี เพียงแต่ส่วนของจี๊ดและสามีอยู่ท้ายสุดของบริเวณบ้าน จี๊ดแต่งงานได้กว่า 6 ปีแล้ว หล่อนเป็นสาวที่มักปรากฎตัวในหน้าข่าวสังคม บางครั้งก็เป็นนางแบบโฆษณา แต่พอพบและได้ใช้ชีวิตกับสามีคนดี ที่ใครๆ ก็สงสัยว่า อยู่ดีๆ ลุกขึ้นมาแต่งงานกับผู้หญิงได้อย่างไร หล่อนก็ทำหน้าที่ภรรยาเป็นแม่บ้านคอยเลี้ยงลูก ไม่ได้ทำงานนอกบ้านเหมือนเคย จี๊ดแต่งงานท่ามกลางความสงสัยและคำครหามากมาย แม้แต่นพนาศเองก็ยังแปลกใจกับการตัดสินใจของเพื่อนคนนี้ จี๊ดมีทุกอย่าง คนอย่างจี๊ดไม่จำเป็นต้องแต่งงานเพื่อพยุงฐานะ หรือเพื่อเขยิบฐานะทางสังคมที่ผู้หญิงหลายๆ คนเลือกจะทำ นพนาศย้อนนึกถึงคำพูดของจี๊ดยามที่หล่อนถามเพื่อนคนนี้ตรงๆ ว่าทำไมถึงตัดสินใจแต่งงาน โดยละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า เหตุผลของคำถามนั้นคืออะไร

"เธอชื่อบีโธเฟ่นรึเปล่า มีแค่ฉัน สามีและบีโธเฟ่นที่อยู่ในห้องนอน บีโธเฟ่นนอนอยู่ใต้เตียง มีมันเท่านั้นที่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในห้องนั้น"

ในแวดวงคนใกล้ชิด อย่างที่เรียกว่าวงในที่สุด วงที่เห็นภาพตอนที่เขาจีบจี๊ด วันที่เขาสารภาพรักกัน และได้เข้ามาที่บ้าน เห็นอะไรๆ และความเป็นไป เพื่อนในกลุ่มนพนาศคนนึงถึงกับพูดว่า "จี๊ดได้สามีดีจริงๆ "

นพนาศเคยพยายามจะเป็นเพื่อนที่ดี อธิบายให้คนทั่วไปฟังว่า ความจริงเป็นเช่นไร แต่ข่าวลือหนาหูทำให้ใครๆ ไม่เชื่อสิ่งง่ายๆ ที่นพนาศตั้งใจจะบอก หล่อนจึงเลิกล้มความตั้งใจ แล้วก็นึกถึงคำพูดของจี๊ดที่ว่า "คนเราอยู่ที่ว่า จะเลือกเชื่ออะไร" คำพูดของจี๊ดที่ก้องหูนพนาศเป็นความจริงที่เป็นสากล

ใช่ว่าจี๊ดจะไม่รู้ว่าคนทั้งเมืองนินทาเกี่ยวกับความสัมพันธ์นี้อย่างไร หล่อนเพียงแต่พูดสั้นๆ ว่า "ถ้าเขามีคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ฉันก็ไม่เอาเหมือนกัน"

บอสกับนพนาศมาถึงบ้านจี๊ดแทบจะเป็นคนสุดท้าย ทุกคนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารยาวขนาดเพียงพอสำหรับคน 12 คน หม้อชาบูชาบู 2 หม้อ แยกเป็นหม้อสำหรับคนที่กินเนื้อกับสำหรับคนที่ไม่กินเนื้อ จี๊ดอยู่ในครัวที่ห่างจากโต๊ะอาหารเพียงประตูกั้น ง่วนอยู่กับการผสมน้ำจิ้มชาบูชาบูตามสูตรที่หล่อนเคยชิมมาจากประเทศญี่ปุ่นต้นตำรับ จี๊ดใส่ใจในรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นกระเทียมสับ หัวไชเท้าขูดละเอียด ต้นหอมซอยถี่ยิบ พริกขี้หนูซอย น้ำมะนาว น้ำซอสทำจากถั่วและน้ำซอสรสเปรี้ยว แค่ผสมน้ำจิ้มก็ใช้เวลาเป็นสิบนาทีแล้ว ไม่แค่นั้น จี๊ดยังเตรียมกุ้งเผาตัวโตสำหรับเพื่อนทุกๆ คน พร้อมน้ำจิ้มรสแซ่บ

นพนาศแนะนำบอสให้เพื่อนๆ รู้จัก บอสไหว้เพื่อนๆ ของนพนาศทุกคน นพนาศเองอายุน้อยที่สุดในกลุ่มเพื่อนก็ยังแก่กว่าบอสถึง 9 ปี ในโต๊ะอาหารวันนั้น เพื่อนนพนาศแก่กว่าบอสตั้งแต่ 10 ปีเป็นอย่างน้อย ถ้านพนาศเป็นผู้ชายและบอสเป็นผู้หญิง เพื่อนๆ ก็คงอิจฉาว่าได้แฟนเด็ก แต่ที่เป็นอยู่ นพนาศมองเห็นสายตาเกษมที่มองบอสแล้วถามว่า "เจอกันที่ไหน" พร้อมกับแววตาที่นพนาศอ่านว่า "คงเจอกันในที่เที่ยวประจำของนพนาศละสิ"

นพนาศตอบตามความเป็นจริงว่า "เจอกันที่จตุจักร"

มันเป็นคำตอบที่ผิดจากความคาดหวังของเกษมไปหลายขุม จนเขาไม่รู้จะถามต่ออย่างไร หลังจากนั้นไม่นาน นพนาศก็เลือกให้บอสสวมบทเป็นลูกเจ้าของโรงงานจุลินทรีย์ เพราะดูจะเข้ากับเจ้าของสวนกล้วยไม้ดี ไม่ได้ไปหลอกเด็กมาจากผับหรือคลับที่ไหน

ความจริงรูปแบบความสัมพันธ์ของบอสกับนพนาศก็ไม่ใช่การหลอกเด็ก ทั้งสองรู้ดีอยู่ว่า รู้จักกันเพราะป้าเป้ เจอกันที่จตุจักร วันแรกที่ทั้งสองเจอกัน นพนาศกำลังร้องเพลงอยู่ที่ร้านกาแฟหรูที่ป้าเป้อาสาช่วยจัดการเรื่องดนตรี นพนาศก็ไปช่วยเรียกแขกในฐานะนักร้องหญิงสมัครเล่น ส่วนบอสก็ไปหาป้าเป้เรื่องงานที่ป้าเป้จะช่วยติดต่อประสานงานให้

บอสนั่งกินชาบูชาบูเงียบๆ นพนาศคอยบริการผสมน้ำจิ้มให้บอสและเพื่อนๆ หล่อนอยู่ใกล้หม้อชาบูชาบูกว่าคนอื่น จึงเป็นหน้าที่โดยอัตโนมัติที่จะต้องลวกผักและเนื้อสัตว์ให้คนอื่น ในขณะเดียวกันหล่อนก็ต้องคอยกระซิบ อ้อนให้เพื่อนที่อยู่หน้าหม้อชาบูชาบูสำหรับคนที่กินเนื้อคอยลวกเนื้อของโปรดของหล่อนให้ส่งมาให้อยู่เรื่อยๆ

สักพัก น้องกิ๊บแฟนของสุบินที่เป็นนางเอกภาพยนตร์ก็ตามมาสมทบ คู่อย่างนี้สิ เป็นคู่ที่เพื่อนๆ อิจฉา ใครจะไปรู้ว่าสุบินที่มักจะอกหัก โดนสัตว์สี่ขาคาบไปกินเป็นประจำ ในที่สุดจะได้แฟนสวยระดับนางเอกหนัง การศึกษาดีจากสถาบันเก่าแก่มีชื่อ แถมยังเด็ก สวีท หวานแหววขนาดที่เวลาโพสต์ท่าถ่ายรูปกับสุบิน น้องกิ๊บซบหน้าเข้ากับซอกคอ เอามือทั้งสองโอบเป็นรูปหัวใจที่เหนือหัวสุบิน เล่นเอาเพื่อนๆ ทั้งที่แต่งงานแล้ว ยังไม่มีแฟน หรือที่มีแต่ไม่กล้านำมาโชว์อิจฉาส่งเสียงกันอย่างไม่เก็บอาการ

หลังจากที่กินเนื้อและผักลวกแล้ว ก็ถึงคราวกินเส้นและน้ำซุป จี๊ดรับอาสาปรุงและตักน้ำซุปตามแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น เหยาะเกลือ พริกไท ใส่น้ำจิ้ม เติมน้ำซุปและเส้นให้เพื่อนๆ ทีละคน ลูกสาวทั้งสองของหล่อนก็มาร่วมวงด้วยในที่สุด เด็กผู้หญิงจอมซนน่ารักสองคนทั้งหน้าตาและนิสัยคล้ายจี๊ดจอมแก่นผู้เป็นแม่ไม่มีผิด นี่ขนาดอายุไม่ถึงสิบขวบยังแก่น เซี้ยว ฉลาดเป็นกรดขนาดนี้ สงสัยว่าพอลูกเป็นวัยรุ่นคงจะทำให้คุณแม่สุดเปรี้ยวคนนี้เหนื่อยไม่น้อย สมัยแม่ก็แค่ปีนรั้วออกจากบ้าน หนีไปเที่ยวเธคและสูบบุหรี่ นพนาศเองก็ยังนึกไม่ออกว่า อีกสิบปีข้างหน้า เด็กๆ รุ่นนั้นจะหาอะไรพิเรนๆ ทำได้มากกว่ารุ่นเพื่อนๆ ของหล่อนขนาดไหน

จบมื้อเย็นก็เป็นเวลาสูดควันของพวกเพื่อนผู้ชาย จี๊ดยังไม่เลิกบุหรี่ นพนาศถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า "นี่เธอยังดูดบุหรี่อยู่รึเปล่า"

จี๊ดพยักหน้าพร้อมกับพูดว่า "ฉันก็แอบดูด เอาบุหรี่ไปซ่อนไว้ตรงที่เก็บอาหารปลา กลิ่นมันก็เลยกลบๆ กันไป"

นพนาศนึกในใจขำๆ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ จี๊ดก็ยังต้องแอบสูบบุหรี่ เมื่อก่อนต้องหลบไม่ให้พ่อแม่รู้ คราวนี้ต้องหลบไม่ให้ลูกเห็นตัวอย่างที่ไม่ดี

กลุ่มเพื่อนสมัยเรียนย้ายกันมานั่งข้างนอก ผู้ชายก็เริ่มจับกลุ่ม บอสก็เข้าไปอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย นี่อาจเป็นบุญคุณของบุหรี่ที่ทำให้บอสมีโอกาสได้พูดคุยกับเพื่อนๆ ของนพนาศโดยที่ไม่ขัดเขิน ให้เขาได้แสดงตัวตน ให้ใครๆ ได้เห็นว่าความสัมพันธ์ของนพนาศกับบอสก็เหมือนๆ กับความสัมพันธ์ของหญิงชายที่อายุไม่ต่างกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นลักษณะที่ใครมาหลอกใคร มาใช้ใครเป็นบันไดเพื่อความสำเร็จบางประการ แต่จะอย่างไร คำพูดของผู้ชายที่อายุน้อยกว่าร่วม 10 ปี ก็ไม่ได้ทำให้น่าเชื่อถือเท่าใดนัก น่าแปลกที่อายุ ทำให้การรับรู้ของคนเปลี่ยนแปลงไปได้มากมาย ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นผู้ชายที่อายุมากกว่านพนาศ 10 ปี ก็อาจจะมาหลอกใช้ให้หล่อนดูแลยามเจ็บไข้ หรือหล่อนอาจจะหวังเอาสมบัติของคนๆ นั้นเพราะคงตายในไม่ช้า

จะอย่างไรก็เถอะ คืนนั้นบอสดูจะเป็นผู้ชายขรึม ออกไปทางเรียบร้อย ซึ่งก็แน่ล่ะ ที่คนอื่นๆ ก็ไม่ได้มองว่าเป็นอาการขรึมของผู้ใหญ่ เป็นอาการของ "เด็ก" ของผู้หญิงรุ่นใหญ่อยู่เช่นเดิม

ไม่มีใครแสดงอะไรชัดเจนขนาดนั้นหรอก แต่สิ่งที่มองไม่เห็นมันแจ่มชัดเหลือเกินแล้ว

จบงานเลี้ยงสังสรรค์ในคืนนั้น ทั้งสองไม่ได้รู้สึกอะไรแย่นัก เพราะนั่นก็เป็นสิ่งที่คาดเดาได้อยู่แล้ว และเพื่อนของนพนาศก็มีมารยาทพอที่จะไม่ทำอะไรให้รู้สึกมากไปกว่าสายตาของเกษมตอนที่ถามว่าทั้งคู่รู้จักกันได้อย่างไร

บอสและนพนาศมีนัดกลายๆ กับป้าเป้ที่ร้านประจำ จริงๆ แล้วหล่อนก็ไม่ได้คิดจะไปไหนต่อ หลังจากที่กินแชมเปญของโปรดที่จี๊ดนำมาเลี้ยงเพื่อนๆ แบบไม่อั้น หล่อนจึงไปหาป้าเป้แบบครึ้มอกครึ้มใจ แต่บอสไม่ได้รู้สึกแบบนั้นด้วย เขาอ้างจะไปซื้อของแล้วก็มานั่งรอที่รถ ในขณะที่นพนาศเดินเข้าไปทักป้าเป้ที่เมาได้ที่แล้วเหมือนกัน ป้าเป้ไม่พอใจขนาดหนักกับความสัมพันธ์ของคู่นี้ พูดกันได้ไม่กี่คำ ป้าเป้ก็เดินหนีขึ้นรถแท็กซี่กลับบ้านไปโดยที่ไม่ได้บอกนพนาศ หล่อนก็หันรีหันขวางระหว่างบอสกับป้าเป้ที่ไม่ยอมเผชิญหน้ากัน ก่อนกลับหล่อนฝากให้เพื่อนๆ ที่นั่นบอกป้าเป้ว่า หล่อนกลับไปแล้วนะ

แล้วหล่อนก็กลับไปที่บ้านโดยที่มีบอสเป็นคนขับรถไปส่ง

ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ที่อยู่ดีๆ นพนาศก็คิดอุตริอยากจะทดสอบบอสขึ้นมา หล่อนแกล้งเป็นเมาหลับอยู่ในรถ พอถึงบ้านหล่อนก็ลุกขึ้นแบบงัวเงีย บอสต้องมาพยุงพร้อมกับสะพายกระเป๋าของหล่อนพาเข้าบ้าน บอสพาหล่อนเข้าไปนอนในห้องนอน นพนาศก็หลับตาทำเหมือนเมาแล้วก็หลับไปจริงๆ ในใจหล่อนก็นึกอยู่ว่า บอสจะทำอย่างไรต่อไป

บอสปิดประตู เข้ามานอนข้างๆ แล้วก็ถอดเสื้อและชุดชั้นในของหล่อนออก นพนาศเริ่มกรุ่นในอารมณ์ พลางคิดในใจว่า "ผู้ชายคนนี้คิดจะทำอะไรกับฉันเนี่ย" พอถึงคราวที่บอสกำลังจะรูดซิปกางเกงของหล่อน นพนาศก็ลุกพรวดขึ้นมา โวยวาย "นี่ บอสคิดจะทำอะไรน่ะ" พร้อมกับใส่เสื้อชั้นในและสวมเสื้อให้อยู่ในสภาพเดิม

"รู้ว่าแกล้ง ก็อยากสัมผัส" บอสพูดในขณะที่นอนตะแคง ตาฉ่ำแต่ไม่ใช่ด้วยความหื่นกระหาย ถึงอย่างไร นพนาศก็ไม่รู้ว่าจะแปลความหมายของนัยน์ตาคู่นั้นอย่างไร

"ก็อยากสัมผัส" บอสพูดอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา จนนพนาศสงบลง หล่อนแปลกใจตัวเองว่าทำไมถึงไม่ไล่บอสไปซะ จนเวลาผ่านไปเนิ่นนานหล่อนก็ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ นพนาศนอนลงพร้อมถอนหายใจ

บอสพูดด้วยน้ำเสียงต่ำๆ แบบคนที่ควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี "อย่าทดสอบกัน"

แค่นั้น นพนาศก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ผู้ชายตัวโตที่อยู่ข้างๆ จะจัดการกับหล่อน

คราวนี้ หล่อนปล่อยให้เสื้อผ้าหลุดออกจากกายโดยปราศจากการดิ้นรน ทั้งสองได้สัมผัสไออุ่นของผิวกายที่สัมผัสกันอย่างที่บอสต้องการ และก็ได้รับรู้รสสัมผัสที่ลึกซึ้งยิ่งไปกว่านั้น...

ทุกสิ่งดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ แต่ถ้าเปรียบความก้าวหน้าของความสัมพันธ์ที่รุดหน้าแบบตั้งตัวไม่ติดในครั้งนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับรถสปอร์ตที่สตาร์ทอุ่นเครื่องเพียงครู่แล้วก็วิ่งทะยาน รอบเครื่องยนต์สูงส่งให้วิ่งฉิวแซงหน้ารถแห่งความสัมพันธ์ทุกคันที่นพนาศเคยนั่งมา

คืนนั้น นพนาศไม่ได้นอนคนเดียว แต่ ณ ตอนนั้น หล่อนไม่รู้หรอกว่า นับแต่คืนนั้นเป็นต้นมา การอยู่คนเดียวของหล่อนจะกลายเป็นความเดียวดาย เพียงเพราะเมื่อมีคนอยู่เคียงข้าง มาเติมความสมบูรณ์ในสิ่งที่ขาดหาย จะทำให้การอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวยิ่งกว่าเดิม

ไม่มีความคิดเห็น: