วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (22)

วันนี้เป็นจุดหักเหในชีวิตของนพนาศทีเดียว...

หล่อนตื่นมาตอนสายๆ เช่นเคย ทำกิจกรรมเดิมๆ ที่ต้องทำประจำวัน แล้วสายโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

ชื่อที่ขึ้นอยู่หน้าจอโทรศัพท์มือถือจะเป็นใครไม่ได้นอกจากตัวอักษรภาษาอังกฤษสี่ตัว BOSS...

อีกครั้งที่หล่อนเลียนแบบเด็กสาวที่เคยมาช่วยงานบ้าน นพนาศรอให้โทรศัพท์ดังสักพักแล้วถึงจะรับ ปรับเสียงให้ดูเรียบๆ ไม่แสดงอาการดีอกดีใจจนเกินควร แม้ว่าตั้งแต่หล่อนเกิดมา ไม่เคยมีใครไม่รู้ว่าหล่อนรู้สึกเช่นไร นอกซะจากว่า หล่อนทำตรงข้ามกับที่รู้สึกแบบสุดขั้วไปเลย และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้คนเข้าใจหล่อนผิดเป็นประจำ หรือบางครั้งที่หล่อนสวมบทบาทที่ควรจะเป็นในสถานการณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ใครๆ ก็เข้าใจว่านั่นคือตัวตนของหล่อน สิ่งที่อดีตพี่เขยเคยให้คำจำกัดความหล่อนว่าเป็น "เครื่องกระป๋องที่ปิดฉลากผิด" หรือ "ผ้ายับที่พับไว้" ดูจะถูกใจหล่อนมากกว่าสิ่งที่พี่รุ่นใหญ่อีกคนที่เห็นนพนาศตอนเมาแล้วเปรียบเปรยว่า "ปกติขี้ยังนั่งพับเพียบเลย"

"มาที่โรงงานมั้ย" บอสเริ่มต้นบทสนทนาตรงประเด็นทันที

"ยังไงก็ต้องไปดูอยู่แล้วค่ะ จะซื้อผลิตภัณฑ์มาใช้กับกล้วยไม้ของพี่ก็ต้องไปดูว่าแหล่งผลิตน่าเชื่อถือได้รึเปล่า ไม่ใช่ว่าพอใช้ไปแล้วกล้วยไม้ตายหมด พี่ก็แย่กันพอดี" นพนาศยังไม่รู้ว่าจะใช้สรรพนามแทนตัวว่าอย่างไรดี หล่อนจึงดูจะสับสนกับรูปแบบความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวแบบที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย

"เดี๋ยวว่าจะเข้าไปเลย บอสอยู่ที่โรงงานตลอดรึเปล่า" โรงงานมีบริเวณพอสมควร ไม่ห่างจากบ้านกล้วยไม้ของนพนาศนัก บอสมีห้องเล็กๆ อยู่ในตึกสำนักงานข้างๆ โรงงานนั่นเอง ห้องที่นพนาศจะได้เห็นในไม่ช้า เพียงแต่ไม่ใช่คืนวันนี้

"งั้นเดี๋ยวเจอกันนะคะ"

"ถ้างงๆ มาไม่ถูกแล้วโทรมานะ"

ถึงโรงงานภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง โชคดีที่รถไม่ติดมาก อันที่จริงเรื่องงานมันไม่ได้สำคัญอะไรมากมายนักหรอก หล่อนอยากจะรู้มากกว่าว่าผู้ชายคนที่หล่อนสนใจเป็นคนยังไง หล่อนเคยเห็นรถของเขาแล้ว รถเป็นเฟอร์นิเจอร์ของคนที่สามารถปรุงแต่งกันได้ แต่บ้าน ห้องทำงาน ห้องนอน ห้องน้ำ สถานที่ที่ต้องใช้ต้องอยู่ทุกๆ วันนั่นแหละ ที่จะสะท้อนตัวตนของคนๆ นั้นได้มากที่สุด คล้ายๆ กับที่บางคนเคยบอกนพนาศว่า รูปภาพบ่งบอกความเป็นตัวตนของผู้ถ่าย รูปวาดก็อธิบายว่าคนวาดเป็นคนอย่างไรเช่นกัน

บอสพานพนาศเดินชมโรงงานพร้อมอธิบายอย่างละเอียดเหมือนหล่อนเป็นนักศึกษามาดูงานยังไงยังงั้น นพนาศเองก็ไม่ได้เพียงแค่ดู หล่อนถ่ายรูปเก็บเอาไว้เพื่อใช้ทั้งสำหรับงานและเรื่องส่วนตัว สวนกล้วยไม้ของหล่อนไม่ได้เป็นของหล่อนคนเดียวหรอก จริงๆ แล้วหล่อนเป็นคล้ายคนที่รับผิดชอบดูแลแทนนายทุนใหญ่อีกคนต่างหาก เพราะฉะนั้นหล่อนจะทำอะไรกับสวนก็ต้องมีหลักการ ชี้แจงให้นายทุนใหญ่รับรู้และเห็นด้วย

อันที่จริง นพนาศก็ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าหล่อนจะมาทำงานใกล้ชิดกับธรรมชาติขนาดนี้ หล่อนเป็นพนักงานออฟฟิศมาก่อน แต่หล่อนก็ใฝ่หาอิสระและเกลียดการตอกบัตรเข้าไส้ วันนึงโชคชะตาก็ทำให้หล่อนได้มาพบมารู้จักกับนายทุนใหญ่ หล่อนเพียงแค่อยากลองดูว่าหล่อนจะเหมาะกับการปลูกดอกไม้ขายหรือไม่ ใครๆ ก็ชอบบอกว่า หล่อนมือขึ้น ปลูกอะไรก็เจริญเติบโตออกดอกแม้ต้นไม้ต้นนั้นจะใกล้ตายหรืออาจจะเหมือนตายไปแล้ว หล่อนก็สามารถรักษาเยียวยาต้นไม้เหล่านั้นให้กลับมามีชีวิต มีอนาคตได้อีกครั้ง

นพนาศจำได้ว่าพ่อเคยชี้ให้ดูต้นไม้ริมทะเลที่ล้มเหมือนตายไปแล้วทั้งต้น ตอนนั้นหล่อนยังเด็กนัก ไม่เคยคิดที่จะถามหรือหาคำตอบว่าต้นไม้ต้นนั้นคือต้นอะไร แต่สิ่งที่หล่อนจำได้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานก็คือคำพูดของพ่อ "ดูสิ นี่เป็นปรัชญาชีวิตนะ แม้แต่ต้นไม้ที่ล้มอย่างนั้น มันยังดิ้นรนจนรอดตาย คนล้มอย่าข้าม ต้นไม้ล้มก็ข้ามไม่ได้เหมือนกัน" พ่อไม่ค่อยมีโอกาสได้อยู่กับนพนาศมากนัก เพราะพ่อทำงานเพื่อส่วนรวมมาทั้งชีวิต ทำซะจนนพนาศคิดว่าโตขึ้นจะไม่มีวันทำอาชีพเดียวกับพ่อ ตอนเด็กๆ หล่อนไม่รู้หรอกว่าอยากเป็น หรืออยากทำอะไร หล่อนรู้แต่ว่าอยากเป็นเหมือนป้า เพราะป้ารวยและสบาย มากรุงเทพทีไรก็แจกตังค์หลานๆ ทุกที ในขณะที่พ่อของหล่อนทำงานหนัก ไม่กลับบ้านเลยทั้งอาทิตย์ มีเพียงบ่ายวันอาทิตย์ที่พ่อของนพนาศหยุดทำงาน ภาพที่หล่อนเห็นจนชินก็คือภาพพ่อนอนดูทีวี พ่อไม่เคยจับต้องอะไรสักอย่างในบ้าน ปล่อยให้แม่เป็นคนจัดการทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ช้าไม่นานจากนี้นักหรอก ที่นพนาศก็จะได้รู้ว่า หล่อนก็เลือกคนที่เหมือนพ่อของหล่อนโดยไม่รู้ตัว

โรงงานของพ่อบอสเป็นระเบียบใช้ได้ทีเดียว แค่นี้หล่อนก็โล่งใจแล้ว บอสพาหล่อนไปที่โต๊ะทำงาน จานข้าวที่ใช้เป็นที่เขี่ยบุหรี่เป็นจุดแรกที่หล่อนสังเกตเห็น มันคงเป็นสุสานของบุหรี่มาหลายเดือนเป็นอย่างน้อย กระดาษและหนังสือวางกระจัดกระจายเต็มโต๊ะ คอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่เป็นรุ่นเก่าซะจนหล่อนไม่รู้ว่ามันยังทำงานได้อยู่หรือไม่ แต่น่าแปลกที่คอมพิวเตอร์รุ่นโบราณขนาดนั้น แต่มีกล้องเว็บแคมติดอยู่ส่วนบนของจอ เมื่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์ นพนาศก็อดไม่ได้ที่จะประสานงานกับท่านนายทุนที่ลอสแองเจลิสและติดต่อกับคู่ค้าต่างประเทศที่สั่งกล้วยไม้จากสวนของหล่อน บอสปล่อยให้หล่อนใช้คอมพิวเตอร์ที่โต๊ะทำงานอย่างสบายใจ แม้จะเป็นครั้งแรก แต่หล่อนก็สะดวกใจเหมือนใช้คอมพิวเตอร์ของตัวเอง

สายเรียกเข้ามือถือของบอสทำให้เขาต้องรีบไปทำธุระข้างนอก น่าแปลกที่เขาไว้ใจปล่อยหล่อนไว้ที่ออฟฟิศ ระหว่างนั้นน้องอายลูกภรรยาใหม่ของพ่อบอสก็เดินเข้ามาหานพนาศ

"น้องชื่ออะไรคะ เรียนชั้นอะไรเอ่ย"

"หนูชื่ออายค่ะ อยู่อนุบาลช๋อง" ตอนนี้น้องอายยัง "อาย" อยู่ แต่สักพักหลังจากที่นพนาศคุยกับท่านนายทุนผ่านโปรแกรม chat ที่คนใช้มากที่สุด หล่อนก็อุ้มน้องอายมานั่งตักให้ท่านนายทุนเห็น น้องอายเองก็ชอบ ปกติแล้วเด็กๆ ก็ชอบอยู่กับคนที่ใส่ใจตัวเขาอยู่แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องถนัดของนพนาศเลยทีเดียว แต่หล่อนไม่รู้หรอกว่า ถ้าเด็กที่เป็นลูกของหล่อนเอง ความสามารถพิเศษในการผูกใจเด็กๆ จะใช้ได้ผลกับคนใกล้ตัวรึเปล่า นพนาศยังไม่รู้ว่าหล่อนจะมีโอกาสได้รู้เรื่องนี้หรือไม่

บอสไปธุระข้างนอกแต่กลับมาเร็วเหมือนแค่เดินไปตรวจรอบๆ โรงงาน สีหน้าประหลาดใจปรากฎอย่างชัดเจน แน่ล่ะ เขาจากไปไม่นาน น้องอายมานั่งตักของนพนาศเรียบร้อยแล้ว

ทั้งสองเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แทบจะเรียนรู้กันไปพร้อมๆ กับความสัมพันธ์ที่เบ่งบานตรงกันข้ามกับเสียงไม่เห็นด้วยจากทุกๆ ฝ่าย ตอนที่บอสไม่อยู่ น้องเจนโทรมาหาหล่อนบ่นเรื่องป้าเป้ที่ไม่รู้จะไประบายกับใครก็มาระบายกับเธออีกแล้ว ป้าเป้หวงและเป็นห่วงหล่อนมากซะจนเหมือนเป็นเจ้าของเป็นแม่หล่อน น้องเจนถึงกับบอกว่า "พี่นาศเค้าอายุจะสี่สิบแล้วนะป้า เขาคิดเองได้มั้ง" แม้แต่น้องเจนเองก็เถอะ เธอก็คอยปรามๆ นพนาศอยู่ในที "พี่นาศคะ หนูรู้ว่าพูดอะไรกับพี่ตอนนี้พี่ก็ไม่ฟังหรอก หนูจะไม่ยุ่งเรื่องของพี่แล้ว เพราะกรรมของใครก็เป็นของคนนั้น แล้วพี่ก็จะรู้ด้วยตัวพี่เอง แต่เจนเห็นบอสแล้ว เจนนึกถึงก้องนะคะ" เจนทุกข์ทรมานจากเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับก้องอยู่เป็นเดือนๆ ร้องไห้ทุกวันแม้จะไม่ใช่แฟน แต่เจนก็ติดเขาซะจนเธอห่วงและเศร้าใจทุกครั้งที่ก้องเห็นผู้หญิงคนอื่นสำคัญกว่าตัวเธอเอง ทั้งๆ ที่เธอไม่มีสิทธิ์ แต่ความพิเศษที่ก้องมอบให้ มนต์ดำหรือเสน่ห์ของก้อง สุดแล้วแต่ใครจะเรียก ทำให้เจนติดก้องเหมือนๆ กับที่ผู้หญิงมากมายเข้าออกในชีวิตของก้อง แค่เธอพูดเช่นนั้น นพนาศก็รู้แล้วว่าเจนมองบอสว่าเป็นผู้ชายประเภทไหน แต่คนอย่างนพนาศ มีรึจะเลือกเล่นกับปลาตาย ...ไฟเท่านั้นแหละที่จะหลอกล่อหล่อนได้ คุณอนันต์ โทษมหันต์ คุ้มค่า น่าลองจะตาย

เสร็จธุระที่โรงงานและที่ออฟฟิศแล้ว บอสชวนหล่อนไปทานข้าวข้างนอก อาหารญี่ปุ่นราคาคนไทยข้างทุ่งนาข้าวเขียวขจี คนต่อคิวยาวเหยียด สำหรับนพนาศแล้ว เขาช่างเข้าใจเลือกร้านอาหารที่ไม่ธรรมดาแต่ก็ไม่ได้หรูหรา...คงเป็นคำว่า "พิเศษ" ที่เหมาะสำหรับร้านเพิงไม้ชื่อดังที่เขาเลือก

"ชอบเล่นกีฬาอะไร" บอสอาจจะถามไปอย่างนั้น แต่นพนาศชอบและคิดเอาเองว่าเขาช่างใส่ใจ

"นาศชอบเล่นอะไรที่ใช้ขา แต่ที่จริงแล้วชอบทำอะไรที่ได้ประโยชน์ด้วย อย่างรีดผ้า ถูบ้านอะค่ะ" นพนาศก็ตอบอย่างที่หล่อนคิด แม้ว่าถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นอาจจะเสกสรรปั้นแต่งคำตอบสร้างให้เห็นภาพของผู้หญิงมีระดับ ใครจะไปคิดว่ากิจกรรมโปรดของนพนาศคือการรีดผ้า "มันสงบดี" เป็นเหตุผลที่หล่อนเลือกทำกิจกรรมโปรดนี้

อาหารมื้อนี้อร่อย ราคาประหยัด วิวดี ใกล้ธรรมชาติแต่อยู่ในเมือง นพนาศรู้สึกว่า หล่อนเป็นชาวกรุงเทพที่ดูเหมือนว่าจะไม่รู้อะไรเอาซะเลย ยิ่งเป็นย่านนี้ด้วยแล้ว อันที่จริงมันไม่ได้ไกลจากบ้านสวนของหล่อนเท่าใดนัก แต่ทำไมหล่อนไม่เคยรู้ว่ามีอะไรดีๆ แถวนี้ แล้วหล่อนก็ไม่รู้อีกเช่นกันว่า มีอีกหลายที่ๆ บอสพาไปและที่เหล่านั้นก็ถูกใจหล่อน เหมือนๆ กับอาการของกบเพิ่งได้ออกจากกะลายังไงอย่างงั้น

รถบอสจอดอยู่ฝั่งตรงข้าม ตอนขาที่ข้ามมากินข้าวเที่ยง นพนาศเดินนำลิ่วตามเคย ข้ามถนนมาถึงอีกฝั่งก่อนบอส แต่คราวนี้ หล่อนไม่อาจทำเช่นนั้น บอสค่อยๆ สอดนิ้วมือมาประสานกับมือของหล่อน มันไม่ใช่ไฟฟ้าช็อต แต่มันก็ไม่ใช่การจับมือแบบที่รับรู้แต่การสัมผัส มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้ใจเต้นตุบตับพร้อมกับอาการหายใจแรง ชานิดๆ แต่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่น นพนาศรู้สึกแบบนั้น

บอสขับรถตั้งใจจะไปส่งนพนาศที่โรงงานเพื่อเอารถกลับ ขับไปได้สักพักก็มีสายเรียกเข้ามือถือบอส ป้าเป้โทรมา... สองคนนี้เหมือนกำลังลักลอบทำอะไรแล้วต้องหลบผู้ใหญ๋ นพนาศเงียบเงี่ยหูฟัง ทั้งบอสและนพนาศรู้โดยไม่ต้องะเอ่ยปากออกมา...ห้ามไม่ให้ป้าเป้รู้ว่าทั้งสองอยู่ด้วยกันเด็ดขาด ป้าเป้ให้บอสไปเอารูปถ่ายแบบที่บอสไปถ่ายกับเพื่อนป้าเป้แล้วเอาไปให้ป้าเป้วันนี้เลย วางสายแล้วไม่นาน ชื่อป้าเป้ก็ขึ้นอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์นพนาศบ้างแล้ว

"อยู่ไหน" คำทักทายจาบจ้วงเช่นเคย

"อยู่ข้างนอกค่ะ" นพนาศรู้แล้วก็เลิกถือสามานานแล้ว

"ทำอะไร" ป้าเป้ต้องการคำตอบที่เฉพาะเจาะจงเข้าไปอีก

"กำลังจะไปใช้อินเตอร์เน็ตที่ออฟฟิศคนรู้จักนะค่ะ ที่บ้านมันช้าโหลดข้อมูลไม่ทันใจ" นพนาศไม่ใช่คนโกหกเก่ง หล่อนจึงเลี่ยงใช้คำว่า "คนรู้จัก" เพราะหล่อนเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเรียกรูปแบบความสัมพันธ์นี้ว่าอย่างไร ดีที่ป้าเป้ไม่ได้ถามอะไรมากมายไปกว่านี้ แค่นัดแนะกันว่าคืนนี้เจอกันที่ร้านเดิม แต่หล่อนก็ออกตัวก่อนแล้วว่า มีนัดกินข้าวที่บ้านเพื่อน คราวที่แล้วหล่อนเคยอยู่ถึงเช้า!

ก่อนวางสาย โทรศัพท์ของบอสดังขึ้นบ้าง ทั้งคู่สะดุ้ง หล่อนรีบเปิดประตูรถ กลัวว่าป้าเป้ได้ยินเสียงแล้วจะจำได้ ในขณะที่บอสก็สะดุ้งเฮือกรีบกดสายทิ้งเป็นพัลวัน วางสายป้าเป้แล้ว ทั้งคู่ก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องหลบๆ ซ่อนๆ ขนาดนั้น

บอสไปเอารูปและเอาไปส่งให้ป้าเป้ นพนาศก็นั่งไปด้วยแต่ไม่ได้ลงจากรถ บอสได้แต่บอกกับตัวเองว่าขอให้ป้าไม่ให้เขาพาไปที่ไหนต่อ ไม่เช่นนั้นความแตกแน่นอน

ค่อยยังชั่ว...ป้าเป้รับรูปจากบอสแล้วก็ไล่กลับทันที เหมือนคนที่ยังโมโหไม่หาย

กลับขึ้นรถ นพนาศเอ่ยปากขึ้นว่า "บอสอยากกินชาบูชาบูอีกรึเปล่า" ณ เวลานั้น จะให้กินอะไรซ้ำๆ ทุกวันทุกมื้อก็คงไม่ปฏิเสธ เรื่องสำคัญคือคนที่กินด้วยต่างหาก

"ไปสิ"

แล้วบอสก็นึกได้ "แล้วไม่ต้องไปกินกับเพื่อนเหรอคะ" นพนาศชอบเวลาผู้ชายพูด "คะ ค่ะ" เวลาพูดกับผู้หญิงจังเลย มันดูนุ่มนวล อบอุ่น และรู้สึกได้ถึงการทะนุถนอมที่น่าจะได้รับจากผู้พูด

"ก็เพื่อนเค้าทำชาบูชาบูให้กินนะค่ะ"

"อ๋อ เหรอคะ" บอสแสดงอาการงงเล็กๆ ด้วยว่า มันเหมือนกำลังขึ้นรถสปอร์ตเร่งเครื่องแล้ว ทั้งสองยังไม่ค่อยรู้จักกันเท่าไหร่ แต่นพนาศจะพาบอสไปทำความรู้จักกับเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว

"แล้วเพื่อนๆ ไปกันกี่คนเหรอคะ" บอสก็อยากรู้ว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงเขาจะต้องเจอกับอะไร

"ก็สัก 7-8 คนนะค่ะ" นพนาศอมยิ้ม หล่อนชอบทำอะไรแบบนี้แหละ บอสไม่ใช่คนแรกที่หล่อนพาไปเซอร์ไพร์สเพื่อนๆ หรอก คราวที่แล้วหล่อนพาพี่ณัฐ ผู้ชายรุ่นใหญ่ อีก 5 ปีจะเกษียณไปกินเนื้อเกาหลีย่างกับเพื่อนๆ มาแล้ว แล้วหล่อนก็ขำกับสีหน้าของเพื่อนๆ คราวนี้ก็เช่นกัน หล่อนพาผู้ชายอายุ 28 ปีไปเจอเพื่อนๆ ทั้งๆ ที่ระยะเวลาห่างกันไม่ถึง 3 เดือน!

รถกำลังเคลื่อนเข้าประตูบ้านเพื่อนของนพนาศแล้ว พร้อมๆ กับใจระทึกของบอส สายตาของเพื่อนๆ นพนาศจะมองเขาในลักษณะไหน เขาควรจะแสดงตัวอย่างไร บอสเริ่มคิดและพิจารณาว่าควรจะสวมหมวกเป็นลูกเจ้าของโรงงานจุลินทรีย์หรือผู้ชายที่เพิ่งเข้าวงการ เขาควรจะปฏิบัติต่อนพนาศในลักษณะใด

ไม่ใช่แค่บอสที่กังวลหรอก นพนาศก็กำลังคาดเดาปฏิกิริยาของเพื่อนๆ เช่นกัน เพราะหล่อนก็เพิ่งส่ง SMS ไปบอกเจ้าภาพว่า หล่อนมี "แขก" มาด้วยนะ!

ไม่มีความคิดเห็น: