วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อินทรีแดงแผลงฤทธิ์

ฉันได้บัตรวีไอพีไปดูละครเวทีเรื่องหนึ่ง สองที่นั่ง ชวยคนไปดูเป็นเพื่อน แต่ไม่มีเอสเอ็มเอสตอบกลับ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ฉันไปดูละครเวทีทางเลือกคนเดียว...

ได้ยินชื่อโรงละครมะขามป้อมมาหลายครั้งหลายครา ด้วยว่าอยู่ใกล้สำนักงานบ้าน แต่ไม่เคยไปด้วยตัวเองเสียที ในใจ คิดว่าโรงละคร ก็คงต้องมีความใหญ่โตประมาณหนึ่ง แต่ไฉนเป็นเพียงห้องแถวเล็กๆ สองห้องที่มุมตัด เพราะอยู่ตรงหัวมุมหลังป้อมตำรวจตรงสี่แยกสะพานควาย

แม้จะใกล้แสนใกล้แต่ฉันก็นั่งแท็กซี่ไป ด้วยไม่รู้ว่าไอ้ที่ว่าอยู่หลังป้อมตำรวจน่ะ ฉันนึกภาพไม่ออกจริงๆ โทรถามคนชวนก็ได้ความอย่างที่รู้อยู่นั่นแหละ แต่จินตนาการบดบังข้อเท็จจริงจนฉันเหลือบเห็นลักษณะภายนอกของโรงละครแห่งนี้ ที่พอจะอนุมานได้ว่า 'ก็ใกล้เคียงกับโรงละครปกตินั่นแหละ'

ฉันไปถึงก่อนเวลากว่าครึ่งชั่วโมง ด้วยจำเป็นทุ่มตรงเหมือนกับที่ส่งแมสเสจไปชวนหนุ่มใหญ่ใส่แว่นตาที่ปฏิเสธมาด้วยความเงียบงัน เฮ้อ!! แป่ว ตามเคย ตรู แต่ใครๆ ก็คิดกันไปเองอีกเช่นเดิมว่าฉันมีหนุ่มๆ มากมาย พอเดินเข้าใกล้ใคร หรือพูดจากับใคร ไอ้อากัปกิริยาของฉันก็ให้ได้แปลเป็น ระริกระรี้ ทุกทีสิน่า 

ฉันไม่รู้ว่าจะไปชี้แจงแถลงไขให้ใครๆ ฟังได้อย่างไรว่า ท่าของฉันก็เป็นแบบนั้นเองแหละ มันไม่ได้แปลว่าฉัน 'ระริกระรี้' จริงๆ สักหน่อย มีคนเคยใช้คำว่า 'เล่นไม่เป็น' ซึ่งก็เห็นว่าจะจริง คนเรามันคงแก่เกินแกงแล้วละมั้ง ถ้าฉันเปลี่ยนท่าอีกคนก็งง ทำท่าเดิมก็งง แล้วฉันจะไปเหนื่อยให้เมื่อยตุ้มทำไม ใครจะเข้าใจก็เข้าใจละกันเนอะ มีเอกลักษณ์ดีออก (ปลอบใจตัวเองมันเข้าไป)

ว่าแล้วก็ควรจะวกเข้าละครเวทีได้แล้วหลังจากเดินเลยไปโน่นนนน  ไปถึงก่อนเวลา ได้ดูทีมงานซ้อม ได้โฆษณาขายหนังสือรหัสลับ เกเก้วินชี เช่นเคย บ่ายวันนี้ก็ไปโฆษณา หนังสือเจ้าชายน้อยเวอร์ชั่นการ์ตูน มารอบนึงแล้ว กินข้าวเช้า เที่ยง เย็น แล้วก็ใส่เสื้อเจ้าชายน้อยฝ่าฝนไปดูละครเนี่ยแหละค่ะ

ฉันไปเบี่ยงเบนความสนใจ พาชาวบ้านชาวช่องออกนอกลู่นอกทาง นอกเรื่องอีกเช่นเคย แทนที่ชาวมะขามป้อมจะได้แต่งหน้า เตรียมตัว ฉันก็ชวนคุยขายหนังสือ พ่อพระเอกหนุ่มแสนดีก็โทรหารุ่นน้องเพื่อช่วยเชิญสื่อมางานเปิดตัวหนังสือที่แหวกแนวจัดที่บาร์เกย์ชื่อ เดอะปาติโอ สีลมซอย 2 ทุ่มครึ่ง พฤหัสที่ 3 กันยายนนี้ (เห็นมั้ยว่า ยังไงฉันก็อดไม่ได้ แวะวนเข้าโฆษณา ขายหนังสือตามเคย)

ได้สัมผัสอุ่นไอ ความจริงใจ ความรักในงานศิลปะ ความเอื้อเฟื้อ โอบอ้อมอารีที่ชาวมะขามป้อมมีให้ ฉันเอง ทำเป็นใจใหญ่เชิญทุกคนร่วมงานเปิดตัว ดื่มกันไม่อั้น โอะ โอ คำนี้ชอบๆ ถ้าไม่ได้พี่บัญชานางฟ้าตัวจริง ฉันจะทำโอ่อย่างนี้ได้ไฉน

คนเราพอทำอะไรที่ชอบแล้วก็มีความสุข เมื่องานคือความสุข เงินก็เป็นเรื่องเล็กน้อย เพียงให้พอที่จะประทังชีวิต ให้มีปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็น...ก็เพียงแค่นั้น


ซ้อมก็สนุก อบอุ่นร่างกาย เตรียมเสียงก่อนแสดงก็ขำ เรื่องที่เล่นก็มุขบาน หัวเราะกันครื้นเครง ไม่ต้องพึ่งยาเสพติดขนานใดๆ (เอ่อ มีพันช์เหยาะแม่โขงพอได้กลิ่น คงไม่ผิดนักนะคะ ท่านผู้ชม) ละครสนุกและเดาไม่ถูกตลอดเรื่อง มีการลืมบทเล็กน้อย แต่ด้วยบุคลิกของพระเอก ก็พอกล้อมแกล้มไปได้ไม่สะดุดนัก แอบชื่นชมตัวเองที่พอจบการแสดง เจ้าตัวมาสารภาพว่า ลืมบท หน้าตากิวตี้เหลือเกิน ฉันถึงได้รู้สึกเห่อเหิมว่า อันตัวข้าก็ดูออกนะเนี่ย ว่ามีการลืมบท ฮ่าๆ ๆ 

จบละคร นัดแนะเรื่องงานหนังสือเล่มต่อไป ฝากแจกที่คั่นหนังสือรหัสลับ เกเก้วินชี ที่เกิดขึ้นจากวิกฤติ แล้วเราก็ทำให้มันเป็นโอกาสทำการตลาดประชาสัมพันธ์แบบได้ผล รุ่นพี่คนนึงที่นั่งฟังฉันขายหนังสือถึงกับรีบเปิดไปที่หน้า 39 ทันใด ด้วยสงสัยจากถ้อยความในที่คั่นหนังสือ 

"เริ่มการถอดรหัสลับ เกเก้วินชี ด้วยการเปิดไปที่ หน้า 39 และลบเชิงอรรถให้ขาวสะอาด อย่าให้รหัสผิดพลาดหลงเหลือ!!!"

ได้ผล ฮ่าๆ ๆ  เป็นการโฆษณาที่เจ๋งเป้งจริงๆ ในความรู้สึกของฉัน

และแล้ว ฉันก็เดินอยู่กลางลมฝน(ปรอยๆ ) สู้ทนฟันฝ่า กายที่มันอ่อนล้า (เพราะปวดท้องเบา) แทบยืนไม่อยู่ (ต้องรีบวิ่ง เดี๋ยวไม่ทัน!!!)

ไม่มีความคิดเห็น: