วันนี้ฉันเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ไม่ได้ดูทั้งจามอง สูตรเสน่หา หรือหนังละครเรื่องใดๆ เว็บไซต์แรกที่ฉันเข้าไปคือ www.gmail.com เหมือนกับที่เป็นกิจกรรมประจำวันของฉันเวลาปกติ(รึเปล่า) ตัวตนที่แท้จริงของฉันคือเวลาไหนกันแน่ ฉันยังไม่รู้เลยว่าตอนแอคทีฟคือตัวฉัน หรือตอนที่อยากอยู่คนเดียวคือตัวฉัน เพราะเผอิญเวลาต้องอยู่ในบทบาทไหนฉันก็ทำได้เนียนทั้งนั้น ตู้เสื้อผ้าของฉันเต็มไปด้วยเสื้อผ้าหลากแบบ ต่างดีไซน์ หลายเฉดสี สำหรับการออกงานทุกประเภทที่มีในโลกนี้ หรือเวลาที่ไม่อยากออกจากบ้านไปไหน อะไรฉันก็ใส่ได้ ไม่ว่ามันจะเข้ากัน สีตก เป้าขาด ขอให้มัน "ใส่" ได้ ฉันก็ใส่ กลับมาที่กิจวัตรประจำเดิมที่กลับมาทำอีกครั้งดีกว่า...(คงไม่เป็นไรที่วันนี้ฉันย้ายประโยคที่ลงท้ายด้วย "..." มาอยู่ย่อหน้าที่สอง) เอาเป็นว่ากลับมา "เขียน" ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการสื่อสาร น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีหลังจากที่หมอปรับยาให้ฉันใหม่ อีกอย่างละครึ่งเม็ด พร้อมกับยาใหม่ล่าสุดที่ไม่เคยกิน เห็นหมอว่า ยาตัวนี้จับสารเซโรโตนินได้ดีกว่า Zoloft ยาเดิมที่กินเพื่อต้านอาการซึมเศร้า ผลข้างเคียงทำให้หิวน้ำมาก กินเท่าไหร่ก็คอแห้ง และอื่นๆ ซึ่งถ้าอยากรู้ควรไปอ่านเอกสารกำกับยา เพราะมันยาวมาก ยาใหม่ที่ว่า ชื่อ Lexapro เม็ดละ 40 กว่าบาทแพงกว่า Zoloft บาทกว่าๆ วันนี้กินเป็นวันแรกก็ทำให้ฉันมานั่งเขียนบล้อก ท่าทางมันคงไม่เลว นี่้ถ้ามันทำฉันแอคทีฟเหมือน Zoloft คงต้องหยุดให้ทัน เพราะถ้าฉันนัดคุยงาน 5 นัดในวันเดียวอีก เวลาขาลง มันคงจะลงแบบนี้หรือมากกว่าละมัง ฉันนั่งนับเวลาตอนที่เตรียมเล่าข้อมูลให้หมอฟัง (เมื่อเธออ่านบทความข้างล่างแล้วจะรู้ว่า ฉันเก่งนะ ที่ยอมไปหาหมอเพราะนั่นคือคนส่วนน้อยที่มีอาการแบบนี้จะทำ อิอิ) ปีที่แล้ว ฉันก็เบี้ยวไปที ให้ตายสิ มันตรงกับช่วงสัปดาห์หนังสือทั้งสองครั้งเลย ไม่แค่นั้น หลังจากที่รับปากจะทำอีกงานหนึ่ง ก็เบี้ยวมันทั้งสองงานเลย ทั้งๆ ที่มันไม่เห็นจะมีอะไรยากหรือต้องใช้ความสามารถสักกะอย่าง ของง่ายๆ ปอกกล้วยเข้าปากฉันทั้งนั้น วันนี้ฉันเข้า gmail เช็คทั้งสามอีเมลและเพิ่มเพื่อนใน facebook ตามที่มีคนขอมา (ดีแฮะ ใครหนอ อยากเป็นเพื่อนฉัน บางคนมี mutual friend กับฉันตั้งหลายคน แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นใคร แรกๆ ฉันก็มีปฏิเสธนะ แต่หลังๆ ฉันใช้ facebook เป็นเครื่องมือในการโฆษณาหนังสือของสำนักพิมพ์กำมะหยี่นี่นา ฉันต้องรับทุกคนเป็นเพื่อนสิ ฉันต้องมองว่าเป็นพรีเซนเตอร์คนหนึ่งถึงจะถูก ก็ฉันคิดได้แล้วนี่นาว่า ถ้าทำตัวให้ดัง เดี๋ยวก็ขายหนังสือได้เอง ดูมันไม่มีอุดมการณ์ยังไงชอบกล แต่มันเป็นเรื่องจิตวิทยา คนอาจจะเข้ามาสนใจเพราะอยากรู้อยากอ่านหนังสือที่ฉันจัดการให้เกิดขึ้น ถ้าของมันดีอยู่แล้ว มันก็ต้องขายได้ในระยะยาว เหตุที่คนสนใจหรือเหตุที่คนซื้อหามาอ่านไม่สำคัญเท่าความรู้สึกที่ได้รับหลังจากที่อ่านไปแล้ว ฉันอยากให้คนที่อ่านหนังสือรู้สึกว่า อ่านของคนดังแล้วมันดีจริงๆ น่ะ) ก่อนจะเล่าต่อและให้ความเห็นเกี่ยวกับบทความที่ฉันเอามาฝากเธอในวันนี้ ฉันอยากจะเล่าเหตุการณ์ให้ฟังสองเหตุการณ์ ถือเป็นการเกริ่นให้เธอเข้าใจอาการของคนที่มีอาการซึมเศร้า คนที่กินยาชนิดเดียวกันกับฉันไม่ใช่แค่คนที่มีอาการซึมเศร้าอย่างเดียว ยานี้มีผลสำหรับคนที่มีอาการย้ำคิดย้ำทำ กลัวสังคม ฯลฯ (อยากรู้ไปอ่านเอกสารกำกับยา Lexapro เอาเองนะ) ดังนั้น มันน่าจะเป็นประโยชน์ให้คนรอบตัวผู้ป่วยเข้าใจผู้ป่วยมากขึ้นและฉันเองก็จะทำตามที่บทความนี้บอกดูสิว่า มันจะทำให้ฉันรู้สึกอย่างไร เหตุการณ์แรกคือ ตอนที่ฉันกินยา Seroquel 100 mg กับ Lamictal 50 mg ก่อนนอนเพื่อให้สมองหยุดคิด ฉันจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ตื่นมาอารมณ์ก็จะดี มีแรงทำอะไรต่ออะไรในวันรุ่งขึ้น ฉันนอนบนเตียงดิ้นทุรนทุราย อึดอัด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ดิ้นสักพัก (ไม่รู้ใหญ่หรือเล็ก ไม่เคยจับเวลา (ยัง ยังไม่ละนิสัยกวนตีนแม้ในยามซึมเศร้า)) จนคนที่อยู่ข้างๆ บอกว่าให้สวดมนต์ (ตอนนั้นฉันแอบคิดไปเหมือนกันว่ามีใครทำคุณไสยกับฉันรึเปล่านะ ก็มันมีคนพูดว่าฉันโดนทำมาหนิ แล้วสักพักฉันก็นอนหลับไป คนข้างๆ บอกว่าน่ากลัว (บอกตอนนั่งดูทีวี) คงคิดว่าฉันผีเข้าอยู่เหมือนกัน โชคดีที่ฉันไปหาหมอแล้วถามเรื่องนี้ เพราะเหตุการณ์ทำนองนี้เคยเกิดขึ้น 2-3 ครั้ง ฉันไม่คิดว่าจะหาคำตอบได้จากอินเตอร์เน็ต น่าแปลกที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉันไม่คิดหาข้อมูลด้วยตัวเอง ใช้วิธีถามหมอเอา แล้วก็โชคดีที่หมอบอกว่า อาการนี้เป็นอาการของการที่ยาออกฤทธิ์ไม่เพียงพอ อะไรก็ตามที่อยู่ใต้จิตสำนึกจะแสดงออกมา ถ้ายาได้ขนาดพอดี ฉันควรจะหลับปุ๋ยภายในครึ่งชั่วโมง เหตุการณ์ที่สอง ฉันกำลังนอนดูซีรีส์เกาหลีเพื่อให้เวลาผ่านไปเช่นเคย ยาที่กินก่อนนอนเริ่มออกฤทธิ์ฉันง่วงและอาจจะเผลอหลับไปแต่ยังหลับไม่ลึก คนที่อยู่ด้วยปลุกให้ไปนอนในห้อง ฉันเปรยขึ้นคล้ายจะรู้ว่า ถ้าฉันไม่หลับคราวนี้เป็นความผิดของคนปลุก แล้วมันก็ไม่หลับจริงๆ ฉันนอนกระสับกระส่ายเช่นเดิม แล้วก็ไปเข้าห้องน้ำ ความโมโหถึงขีดสุด พุ่งปรี๊ดเมื่อนั่งลงไปแล้วไม่เจอที่รองนั่งแต่ก้นฉันดันไปสัมผัสกับเซรามิคเย็นๆ เข้าเต็มเปา ฉันดึงฝาที่นั่งลงมาหวังจะให้ดังที่สุดเท่าที่ทำได้ ระบายความรู้สึกอัดอั้นที่อยู่ดีๆ ก็พุ่งปรี๊ดแบบที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มานาน นานมากๆ ถ้าจะให้ฉันเปรียบเทียบก็คงเป็นตอนนี้อดีตสามีว่าฉันเรื่องใช้จ่ายฟุ่มเฟือยทั้งที่ฉันซื้อของให้แม่ของเขาด้วย และฉันมีปมอยู่แล้วว่าเลือกเป็นแม่บ้านไม่ได้หารายได้ต้องแบมือของเงินเขา ตอนนั้นฉันไม่รู้จะทำอะไร ฉันเข้าไปร้องกรี๊ดในห้องน้ำเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต นับแต่นั้นมา ฉันก็เข้าใจอารมณ์ของตัวอิจฉาในละครที่ร้องกรี๊ดๆ (ฉันจะต้องเป็นตัวอิจฉาในชีวิตจริงตลอดชีวิตเลยใช่มั้ยเนี่ย) แต่อารมณ์พุ่งปรี๊ดที่ว่าไม่ได้ทำให้ฉันร้องกรี๊ด คล้ายว่า ฉันจะรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง ตกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงได้เกิดความรู้สึกรุนแรงขนาดนั้น แล้วก็ย้อนนึกไปถึงคำอธิบายของคุณหมอที่ว่า เป็นเพราะการออกฤทธิ์ของยาไม่สามารถควบคุมปัญหาที่ฝังรากลึกในจิตใจฉันได้ แต่แล้วไม่นาน หลังจากที่ดิ้นไปมาฉันก็หลับไป คราวนี้หลับและไม่อยากตื่นแม้กระทั่งมีละครจามองมาล่อ การนอนเป็นความสุขสุดยอดแล้วในช่วงนี้ แล้วก็มีคนปลุกมากินข้าว ทำกับข้าวล้างจานให้เช่นเดิม หลังจากอิ่มข้าว ดูหนังไปสักพัก คนที่บริการฉันทุกอย่างก็ถามถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ฉันก็ว่า "จะฟื้นฝอยทำไม" แล้วก็เล่าว่าโมโหเรื่องที่รองนั่งในห้องน้ำ ใช่สิ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะโมโหขนาดนั้น อย่างเก่งก็น่าจะบ่นเท่านั้นเอง ใช่ว่าฉันจะไม่รู้ เมื่อเขาบอกว่ามันไม่มีเหตุผล ฉันจึงตอบทันควัน "ถ้ามันปกติก็ไม่ต้องกินยาอย่างนี้หรอก" ...เงียบคือคำตอบ เห็นมั้ย ถ้าใครมาพูดอะไรแล้วฉันเงียบอย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไงนะ หลายครั้งหลายหนที่ฉันรู้และคำตอบมันปรากฏอยู่ในใจประมาณว่ามาเป็นสคริป แต่ฉันก็รู้ว่าถ้าฉันพูดออกไป รับรองมีแต่อึ้งกันทั้งนั้น บ้างก็แทงตัวฉันเอง บ้างก็ไปจี้ใจดำใครๆ รับรองมีเหตุผลแต่ตรงจนเกินรับไหวทุกครั้งแหละ ไอ้คำพูดที่มันทิ่มใจฉันน่ะ มันไม่ทำให้ฉันตายหรอก เพราะฉันยอมรับความจริงในส่ิงที่ฉันพูดเอง แต่ที่คนส่วนใหญ่รับไม่ได้เพราะคนเรามักจะไม่รับความจริงไง ถ้าฉันพูดให้อ้อมให้ลดให้เลี้ยว ให้น้ำเสียงอ่อนลงสักเล็กน้อย ฉันก็คงไม่ได้เป็นผู้หญิงซาดิสม์ในสายตาของใครๆ ละมัง เข้าเรื่องสักที ท่าทางฉันจะเปลี่ยนจากอารมณ์เบื่อมาเป็นโมโหแล้ว พัฒนาการไปอีกระดับหนึ่งคงใกล้เป็นปกติชั่วคราวแล้วล่ะ ดูสิว่าบทความนี้จะช่วยฉันได้มากน้อยแค่ไหน เพราะฉันเตรียมที่จะตอบคำถามในบทความนี้แล้ว คำถามที่ว่า จะทำให้ผู้ที่มีอาการซึมเศร้ารู้สึกดีขึ้น ฉันจะใส่ความเห็นของฉันเป็นสีม่วงละกันนะ +++ ป้องกันฆ่าตัวตายจากโรคซึมเศร้า | ||||||||
ที่มา/ผู้ประกาศ : ผศ.นพ.พนม เกตุมาน | ||||||||
|
--ไปพบแล้วค่ะแม้ว่าจะไม่คิดฆ่าตัวตาย รออยู่ว่ายาออกฤทธิ์ให้กลับไปใช้ชีวิตปกติเมื่อไหร่ จะได้ไปเก็บกวาด ดูแลความเสียหายที่ก่อเอาไว้ โอกาสต่างๆ ที่เสียไปก็คงทำอะไรไม่ได้ตามประสาคนที่ไม่ชอบยื้อ กะว่าจะรับผิดชอบอะไรๆ ให้เหมาะกับความสามารถทางใจของตัวเอง คิดอยู่ว่า ถ้าเริ่มเบื่ออีกครั้งฉันจะรีบไปหาหมอมั้ย หรือว่าจะเลือกใส่เสื้อกันหนาวตั้งแต่หน้าร้อนมันไปซะเลยจะได้สิ้นเรื่อง-- |
1 ความคิดเห็น:
หายไวไวนะครับ
แสดงความคิดเห็น