วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ขยันสร้าง

เริ่มต้นด้วยขยันอ่านก่อนเข้าประชุม...

วันนี้พระมารดามาดูพื้นที่ร้านค้าพร้อมข้อแนะนำที่ดี ขอให้ติดพัดลมระบายอากาศก่อนทำเรื่องโอนห้อง ดูจะเป็นเงื่อนไขที่ดี แต่ฉันก็เริ่มต้นจากการถามไปก่อนว่า "เจาะกำแพงได้รึเปล่า" แล้วก็จะค่อยๆ กระดึบๆ เลียบๆ เคียงๆ ถามว่า "ทำให้ด้วยสิ เดี๋ยวปัญหากลิ่นจะแก้ไม่ตก แล้วก็ต้องมาเจาะกำแพง ทาสีให้ทีหลังนะ" ด้วยฉันย้ำนักย้ำหนาว่า ยังไงก็ต้องรับประกันให้ฉัน 1 ปีเหมือนๆ กับห้องอื่นๆ 

แล้ววันนี้ก็ดูจะเป็นวันที่ฉันได้คำตอบจากแม่โดยการซัก ไม่ใช่เป็นความรู้ที่ยินดีจะให้จนล้นหัวใจอย่างเคย...

เราเริ่มจะมีการวางแผนจัดการ ดูรูปแบบความเป็นเจ้าของที่จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด ภาษีอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง วิธีการวางแผนภาษีที่ดีเราก็เริ่มถกและจะหาข้อมูลเพิ่มเติมจากญาติพี่น้องที่เชี่ยวชาญช่ำชอง ยาวเลยไปจนถึงการจัดการเรื่องอื่นๆ ที่ใช้หลักการเดียวกัน

เมื่อคืนฉันทำตัวเลขไว้บ้างแล้วล่ะ เปรียบเทียบดอกเบี้ยที่ได้รับกับรายได้จากการให้เช่าหรือดำเนินกิจการ อย่างไรเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม เท่าที่ปรึกษากันดู เราอยากได้ค่าเซ้งเป็นก้อนสำหรับระยะเวลาเช่าสัก 5 ปี ถ้าฝันของฉันเป็นจริง ก็จะได้เงินมาหมุนเวียนในกิจการขีดๆ เขียนๆ โดยไม่ต้องดึงเงินมาจากแหล่งอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 

ความคิดเริ่มบรรเจิด ทำให้ชีวิตดูสดชื่นกระปรีกระเปร่าทีเดียว...

จากนั้นฉันก็สวมวิญญาณผู้ตรวจสอบเก่า นั่งเปรียบเทียบรายการในงบการเงินกับประมาณการเมื่อปีที่แล้ว มีอะไรตกหล่นอย่างไรบ้าง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการประชุมในตอนค่ำ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะดำเนินได้ยืดยาวถึงเกือบเที่ยงคืน 

ฉันไม่ได้ไปจับผิดว่า คณะกรรมการชุดปัจจุบันทำงานบกพร่องหรือไม่หรอก(แต่ฉันว่าใครๆ ก็คิดว่าฉันจับผิดนั่นแหละ) แค่ตั้งข้อสังเกตและต้องการคำอธิบายที่มาที่ไปของรายการต่างๆ ค่าใช้จ่ายบางรายการที่เพิ่มขึ้นนอกจากจะสะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการและความแม่นยำในการประมาณการแล้ว เรายังอาจตั้งสมมุติฐานได้ว่า สัญญาที่เราทำกับหน่วยงานภายนอกที่ควรจะครอบคลุมรายจ่ายบางประเภทไปแล้ว แต่ทำไมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องถึงได้สูงกว่าประมาณการ เรื่องหลังนี้ฉันจะไปค้นเอกสารสัญญามานั่งดูเองเลยเชียว

และแล้วก็ถึงเรื่องเล็กที่เป็นที่ถกเถียงกันจนเป็นเรื่องใหญ่ แม้จะเป็นอำนาจของกรรมการในการพิจารณาตัดสินแต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังเป็นระยะทำให้ประธานคณะกรรมการยกเรื่องนี้ขึ้นหารือในที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วม แล้วก็เรื่องมากจริงๆ อย่างที่ว่า

ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายใดๆ หรอก ก็อีแค่เรื่องที่จอดรถ!

ความผิดอยู่ที่เซลล์ของโครงการที่ไปให้คำมั่นกับผู้ซื้อว่าได้ที่จอดรถทุกยูนิต ยูนิตที่มีสองห้องนอนก็ได้ที่จอดรถสองคันนะ แต่ในความเป็นจริง มีที่จอดรถเพียงพอสำหรับ 70% ของจำนวนห้องเท่านั้น เรื่องยูนิตที่มีสองห้องจะได้ที่จอดสองคันน่ะ ลืมไปได้เลย

ทีนี้มันก็มีทั้งคนในเอารถมาจอดทิ้งไว้หลายคัน คนในให้คนนอกเช่าสติ๊กเกอร์ที่จอดรถ คนนอกแอบเข้ามาจอด บางห้องขอที่จอดรถคันที่สองโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แม้ว่าตอนนี้ที่จอดรถยังเพียงพอที่จะรองรับผู้อยู่อาศัยในปัจจุบัน แต่ในอนาคตล่ะ อะไรที่เราหย่อนยานตั้งแต่ต้นพอจะตึงขึ้นเมื่อประสบปัญหาก็ต้องโดนต่อต้านเป็นธรรมดา 

และคราวนี้ก็เช่นกัน...

หลายๆ คนอยากจะให้คณะกรรมการชุดใหม่รับเรื่องนี้ไปดูแล แต่หนึ่งในคณะกรรมการชุดใหม่อย่างฉันรึจะยอม "โดน" อย่างคณะกรรมการชุดแรกที่อาวุโสกว่าด้วยซ้ำ เวทีประชุมใหญ่นี้เหมาะที่สุดแล้ว แม้จะเจอมุมมองที่หลากหลาย บ้างก็ว่าปัญหายังไม่เกิด จริงอยู่ว่าที่จอดรถยังเพียงพอ แต่ในทางปฏิบัติทางนิติบุคคลใช้หลักรัฐศาสตร์มาปรับใช้ทั้งหมด พอเริ่มมีข้อสรุปจากคณะกรรมการก็เริ่มมีเสียงต่อต้านขึ้นมา อย่างน้อยที่สุดก็จากฉันนั่นเองแหละ อะไร ถ้าฉันจะมีญาติมีเพื่อนมาเยี่ยมเยือน อยู่ค้างเป็นครั้งคราว แล้วฉันต้องให้เขาวนรถทุกสามชั่วโมงเพื่อจะไม่ต้องเสียค่าที่จอดรถรึ 

เพราะฉะนั้นเราจึงแสดงความคิดเห็น เห็นใจห้องที่อยู่เป็นคู่สามีภรรยาและมีรถสองคัน ทำไมต้องให้เขาจ่ายทั้งๆ ที่ยังไม่มีปัญหาเรื่องที่จอดรถ แล้วเราจะให้สิทธิ์ยูนิตที่มีสองห้องนอนก่อนยูนิตที่มีห้องนอนเดียวมั้ย หากที่จอดรถเต็มขึ้นมาเพราะมีผู้เข้ามาอาศัยเพิ่ม ที่ต้องคิดเพราะที่จอดรถไม่ได้รองรับทุกยูนิต ในขณะเดียวกัน หลายๆ คนก็เริ่มรู้สึกถึงความไม่แฟร์ ทุกคนควรมีสิทธิ์ได้เพียงหนึ่งที่จอดรถเท่าๆ กัน มีคนเสนอไอเดียดีๆ โดยให้คนที่มีที่จอดรถคันที่สอง จ่ายเงินและมอบเงินนี้ให้ยูนิตที่ไม่ใช้รถ ฉันว่าดี เพราะทุกคนก็มีสิทธิ์เท่าๆ กัน ถ้าเขาไม่ใช้สิทธิ์ก็น่าจะได้ค่าตอบแทนจากสิ่งที่คนเขาแย่งกันจัง

เสียงค้านเรื่องที่ว่าทำไมต้องมาถกปัญหาที่มันยังไม่เกิดดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กัน เสียงน้อยๆ นี่ดังเหลือเกิน เสียงเหล่านั้นไม่ต้องการให้ถกเถึยงกันเรื่องนี้ ให้เป็นภาระของคณะกรรมการชุดใหม่ไป ฉันยิ่งเน้นใหญ่ว่าอันที่จริงแล้ว คณะกรรมการสามารถตัดสินได้เลยแต่ต้องการให้มาพิจารณากันที่เวทีนี้เพื่อจะได้เคลียร์กันไปเลย ทางนิติฯก็จะได้มีหลักปฏิบัติชัดเจน ไม่ต้องโดนว่าเหมือนนักการเมือง double standard 

รัฐศาสตร์ต้องไปคู่กับนิติศาสตร์นะหนนี้ ที่ฉันดีใจคือ เขาใช้หลักนิติศาสตร์แต่ละห้องเสียค่าที่จอดรถเพิ่มคันละ 1000 บาท และใช้หลักรัฐศาสตร์กับญาติหรือเพื่อนที่มาเยี่ยมเยือนเป็นครั้งคราว ค่อยยังชั่ว เรื่องที่ฉันกังวลเป็นกรณีหลัง 

อย่างน้อยห้องที่ถ้าให้เช่าได้ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องที่จอดรถ แถมยังใช้ห้องประชุมได้ฟรี เว้นเสียแต่ประชุมเป็นเรื่องเป็นราวก็เสียค่าแอร์ครั้งละ 100 บาท คราวนี้ ฉันก็จะได้มีห้องประชุมใช้เวลาต้องรับแขกบ้านแขกเมือง ไม่ใช่ชวนไปดูราวตากผ้าของฉันพร้อมกับกองหนังสือตั้งเบ่อเร่ออีกแล้ว

แต่รู้มั้ย ว่าการที่ตึงหลังจากที่หย่อนมานาน คงเป็นจุดเริ่มต้นให้ฉันสร้างศัตรูอีกแล้วสิคราวนี้ ศัตรูเป็นได้ทั้งนิติบุคคล คู่สัญญาที่ให้บริการด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัย แม่บ้าน สระว่ายน้ำ สวนหย่อม รวมไปถึงลูกบ้านที่เป็นเจ้าของร่วม โดยเฉพาะรปภ. ที่คงเหม็นหน้าฉันน่าดู ด้วยชอบไปกลับเวลาประหลาด เจอรปภ. หลับบ้าง หายตัวบ้าง 

ตอนนี้ฉันมีตำแหน่งที่จดทะเบียนที่กรมที่ดินค้ำคอแบบนี้ ไม่ขึงขึงก็ไม่ได้แล้วละเน้อ



ไม่มีความคิดเห็น: