จนกระทั่งตอนนี้ ฉันก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเขียนอะไร...
หรือฉันควรจะเขียนเรื่องญาติ เรื่องเพื่อน เรื่องงาน หรือว่าเรื่องศาลพระภูมิ!!
เมื่อฉันออกมายืนดูอยู่ข้างสนาม เห็นปฏิสัมพันธ์ของคนสองคน ปากก็ว่าอย่าง การกระทำก็อีกอย่าง แต่ความรู้สึกลึกๆ ก็ยังคงยืนยันว่า นั่นคือความปากแข็งของคน หรืออีกทีก็ไม่รู้ไม่เข้าใจตัวเองอย่างแรง
เหมือนฉัตรชัยในดงผู้ดีละครยอดฮิตไม่มีิผิด
แต่เอาเถอะ มันไม่ใช่เรื่องของฉัน
ตอนนี้ความคิดฉันวิ่งไปที่หนังที่ดูเมื่อสองวันก่อน front of the class หนังเกี่ยวกับผู้ชายที่เป็นโรคประหลาด อยู่ดีๆ ก็มีอาการชักกระตุกที่หน้าเป็นพักๆ และบังคับตัวเองไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมแพ้ ทำทุกอย่างเพื่อให้ความฝันเป็นจริง...ฝันอยากจะเป็นครู
พ่อแม่เด็กอนุบาลไม่อยากให้ลูกเรียนกับครูที่มีอาการเอ่๋อเป็นครั้งคราว แต่เด็กแอบเกาะประตูดูอยากเรียนกับคนที่เป็นครูที่จิตวิญญาณ คนที่สู้แม้จะโดนปฏิเสธการสมัครงานมาเป็นสิบๆ ครั้ง บางครั้งท้อจนต้องร้องไห้ แต่เมื่อฝันเป็นจริงก็ใช่จะเป็นตอนจบ เหมือนๆ กับการแต่งงานนั่นแหละ ที่ตอนจบคือจุดเริ่มต้นของชีวิตอีกช่วงหนึ่ง
น้ำตาฉันเริ่มไหลตั้งแต่ตอนที่ลูกศิษย์ที่เป็นลูคีเมียตาย แม่ของเด็กขอให้คุณครูเก็บความลับไว้ ให้ลูกสาวได้มีช่วงชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีความสุข ครูไม่กล้าเข้าไปในโบสถ์ อาการผิดปกติของเขาจะทำลายพิธี ทำให้คนเสียสมาธิ แต่แม่ แม่ที่รู้ว่าครูเป็นคนสำคัญของลูกสาวที่เพิ่งจากไป เดินมารับครูที่ด้านหน้าโบสถ์พาเดินเข้าไป เข้าไปนั่งที่แถวหน้าสุด
ท้ายเรื่องจบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง แต่น้ำตาไหลพรากอีกครั้ง ครูได้รับรางวัลครูดีเด่น เพราะครูได้เคยสอนนักเรียนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือว่า ศัตรูของครูคืออาการกระตุก เอ๋อๆ นั่นแหละ แน่นอนว่ามันเป็นอุปสรรคมากกว่าที่เด็กน้อยที่อ่านหนังสือไม่ค่อยออกเจอ ครูสอนจากประสบการณ์ของตัวเอง เด็กเห็นอกเห็นใจครู จิตใจอันงดงามของคนต่างวัยสื่อถึงกัน การเรียนมีความหมาย บทเรียนชีวิตได้ถูกส่งผ่านไปยังมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่กำลังเติบใหญ่
ในวันรับรางวัลของคุณครู ขณะที่ครูกำลังกล่าวสุนทรพจน์ เด็กยกมือขึ้้นถามคำถาม ตอบในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เด็กๆ รู้ว่า เราต้องไม่ยอมแพ้ ต้องต่อสู้กับอุปสรรค บากบั่นไม่ยอมแพ้
อย่างคุณครูคนเก่งของพวกเขา...
แวะไปดูหนังตัวอย่างและเรื่องราวความเป็นมาของหนังที่สร้างจากเรื่องจริงนี้ได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=-ULQuqjtHsg
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น