วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (4)

เป็นอาทิตย์มาแล้วที่นพนาศไม่ได้นอนบ้าน

งานเฉพาะกิจชิ้นนี้กินเวลาทั้งหมดในช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมา แรกเริ่มหล่อนคิดว่าจะสามารถจัดการงานต่างๆ ที่ผู้อยู่เบื้องบนลิขิตให้มาชนกัน ทั้งๆ ที่หล่อนวางแผนล่วงหน้าเป็นเดือน ชีวิตของหล่อนก็มักจะเป็นอย่างนี้แหละ พอว่างๆ ก็ว่างยาว พอยุ่งก็ทำให้อะไรๆ รวนไปซะหมด แต่เมื่อหล่อนสัญญาแล้วว่าจะอุทิศเวลาในช่วงสองเดือนนี้ให้กับงานที่พี่ “เจ้านาย” ขอให้มาช่วย หล่อนก็ช่วยอย่างจริงจังโดยไม่ได้คิดถึงผลตอบแทนไม่ว่าในรูปใดๆ

หล่อนไม่ได้ตาบอดหรือหูหนวกที่จะไม่ได้เห็นได้ยินวัตถุประสงค์ในการร่วมงานที่ต่างๆ กันไป บางคนคล้ายจะทวงบุญคุณกับหล่อนด้วยซ้ำว่ามิใช่เพราะเธอหรอกหรือ หล่อนถึงได้สิทธิพิเศษ ได้รับเกียรติและความร่วมมือจากคนรอบตัว

แม้ทีมงานใหม่จะยังไม่พร้อม แต่การมีคนไม่ครบไม่ได้แปลว่าการแข่งขันหายไป บางครั้งก็ต่อหน้าต่อตาจนนพนาศงงและไม่เข้าใจ อะไรจะต้องขโมยซีนกันขนาดนั้น หล่อนเองก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบไปกว่าคนอื่น นพนาศพูดตรง อารมณ์ร้อน ไม่กลัวใครเหมือนผู้ชายพระอาทิตย์ ระเบิดอารมณ์เป็นผลร้ายโดยไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผล น้ำตามาพร้อมๆ กับการปรับจูนให้คนที่เกี่ยวข้องทำงานประสานกันมากขึ้น และแล้ว งานก็จบลง

หล่อนยังไม่ทันหายเหนื่อยจากการจัดการความเปลี่ยนแปลงแทบจะในนาทีสุดท้าย ถ้าเปลี่ยนแค่สิ่งเดียวก็คงพอรับไหว แต่ถ้าเหตุการณ์และปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้เป็นสาเหตุของความเปลี่ยนแปลงที่ว่า ก็ต้องถือว่าหล่อนแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างดีที่สุดแล้ว

ใครจะไปคิดว่าม็อบในประเทศไทยจะรุนแรงขนาดปิดสนามบิน ธุรกิจท่องเที่ยวได้รับผลกระทบทันทีและมากที่สุด ในช่วงที่เหล่าโรงแรมทั่วประเทศโกยรายได้มหาศาลเพื่อที่จะชดเชยกับช่วงที่มีผู้เข้าพักโรงแรมต่ำ ความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นทำให้อัตราการเข้าพักโรงแรมลดลงต่ำอย่างน่าใจหาย ต่ำเท่ากับช่วงที่ไม่ใช่ฤดูการท่องเที่ยว เงินทุนที่ต้องใช้ในการชดเชยความเสียหายให้กับนักท่องเที่ยวที่ตกค้างเป็นร้อยๆ ล้าน ความหวาดกลัว เข็ดขยาดยังผลให้แม้เมื่อเหตุการณ์ทางการเมืองคลี่คลาย แต่จำนวนนักท่องเที่ยวไม่ได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับปกติเสียที

นพนาศไม่ได้ทำธุรกิจในกลุ่มนี้ แต่ผลกระทบที่เด่นชัดก็ทำให้หล่อนมองเห็นผลกระทบต่องานที่ได้กำไรต่ำของหล่อน แต่ก็ไม่แน่นะ หล่อนมักจะปลอบใจตัวเองเช่นนี้ มีความแปลกในธุรกิจที่หล่อนก่อตั้ง เมื่อยามที่เศรษฐกิจไม่ดี คนจะออกนอกบ้านน้อย อะไรก็ตามที่ทำรายได้โดยไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ประกอบการจะแปรผกผันกับภาวะเศรษฐกิจ หล่อนไม่ได้วิเคราะห์ได้เองหรอก นพนาศอ่านพบบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ศรุตผู้ยิ่งใหญ่ในธุรกิจกลุ่มเดียวกับที่หล่อนเพิ่งเริ่มปักหลักเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อหลายปีก่อน

นิสัยเชอร์ล็อคโฮมของหล่อนนั่นแหละที่เป็นที่มาของข้อมูลเกี่ยวกับศรุต รวมทั้งเรื่องใหม่ๆ เกี่ยวกับชายคนนี้ที่หล่อนเพิ่งรับรู้ภายหลังจากการพบกันครั้งสุดท้าย

ก่อนงานเลี้ยงที่น่าจะเป็นงานสุดท้ายครั้งนี้ ศรุตหาเรื่องโทรมาคุยกับหล่อน เพียงเพื่อให้แน่ใจว่าหล่อนมางาน เขาคนที่ออกงานไม่เว้นแต่ละวัน ถามหล่อนว่าควรจะแต่งตัวอย่างไรเนี่ยนะ นพนาศรู้แต่หล่อนพยายามหัด “โง่ให้เป็น” เพื่อที่หล่อนจะเป็นคนฉลาดจริงๆ เสียที

ศรุตไม่มั่นใจจริงๆ หรือที่ไม่ได้ติดชุดสูทมาด้วย เขาใส่เสื้อแจคเก็ตสีดำทับเสื้อสีเข้ม ไม่แตกต่างจากวันอื่นๆ นพนาศเห็นเขาตั้งแต่เดินเข้างานแล้ว แต่งานสังคมก็คืองานสังคม หล่อนปรายตามองเขาเป็นครั้งคราวพร้อมๆ กับที่คุยกับผู้ร่วมงานและแขกเหรื่อที่หล่อนรู้จัก เมื่อถึงจังหวะที่เขาชะโงกหน้าหันมามองหล่อนที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก หล่อนก็แกล้งกวาดตามองไปรอบๆ เมื่อสบตา หล่อนยกมือไหว้ศรุตอย่างที่ผู้น้อยพึงกระทำ ซึ่งหล่อนก็ทำอย่างนั้นทุกครั้งที่เจอหน้าเขาอยู่แล้ว

แม้ยังไม่มีโอกาสได้พูดจากัน เพื่อล่อสายตาผู้ชายอย่างศรุตที่คลุกคลีอยู่กับวงการมายามานาน นพนาศบรรจงเลือกชุดที่ใส่มาในงานด้วยจุดประสงค์ที่จะทำให้เขาประทับใจหล่อนในรูปแบบที่แตกต่าง จากสาวเรียบร้อย สูงสง่า เป็นสาวเปรี้ยวสุดเซ็กซี่

หล่อนแต่งตัวอย่งพิถีพิถันมาตลอดเมื่อเข้ามาช่วยงานครั้งนี้ เมื่อก่อนหล่อนออกจะต่อต้านการใช้รูปโฉมโนมพรรณในการทำงานจะตาย หล่อนอยากให้คนมองลึกลงไปกว่านั้น มองไปที่สิ่งที่หล่อนพูด สิ่งที่หล่อนทำ มากกว่าสิ่งที่หล่อนสามารถปรุงแต่งให้ดึงดูดใจชาย แต่จะมีใครล่ะที่ฝืนกฏธรรมชาติได้

“นารีมีรูปเป็นทรัพย์”

คงจะเป็นความจริงตลอดกาล ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาสอนหล่อนให้คำนึงถึง “ผล”มากกว่า “วิธีการ” แต่ก็ใช่ว่าหล่อนจะเลือกทำสิ่งที่ผิดกฏหมายหรือศีลธรรม นพนาศเข้าใจแล้วว่า การติดต่อกับคนที่หน้าตา ท่าทางดี แต่งตัวดี ทำให้คำพูดของคนผู้นั้นน่าเชื่อถือ แล้วใยหล่อนจะต้องใช้เวลาสามอาทิตย์กว่าจะมีโอกาสได้ติดต่อธุรกิจกับคนที่มีอำนาจตัดสินใจ เพียงแค่หล่อนไปปรากฏตัวให้ถูกที่ ด้วยภาพที่เหมาะสม เพียงสามนาที หล่อนก็สามารถทำงานที่ว่าสำเร็จ

ผู้บริหารก็ติดต่อธุรกิจกันแบบนี้ทั้งนั้น อายุขนาดหล่อน จะให้ไปเริ่มติดต่อประสานงานกับระดับปฏิบัติการ ผ่านแต่ละด่านจนถึงหรืออาจไม่ถึงคนที่มีอำนาจตัดสินใจ ไม่มีทางหรอก แม้ไฟหล่อนยังไม่มอด แต่ก็ต้องยอมรับตัวเองว่าไม่ได้คล่องแคล่ว อดนอน ทำงานหนักได้เหมือนเด็กจบใหม่

นพนาศเลือกชุดผ้าซาตินคอถ่วง แขนกุด สีเข้มตามลายผ้า กระโปรงยาวแค่เข่า เปิดหลังปักดิ้นที่ขอบเสื้อปลายทิ้งไปถึงเอว ยามย่างกราย เนื้อผ้าทิ้งตัวตามรูปร่างของหล่อนที่ยังรักษาไว้ได้ดี หล่อนยังใส่ชุดราตรีสีดำที่ซื้อเมื่อสิบปีที่แล้วได้อยู่เลย ชุดผ้าลายป้ายสีเหมือนภาพจากจิตรกรฝีมือเอกชุดนี้ทำให้หล่อนเซ็กซี่จนหล่อนอดไม่ได้ที่ต้องซื้อ ปกติหล่อนไม่ซื้อชุดที่มีลายเพราะใส่ไม่กี่ครั้งคนก็จำได้ ไม่ว่าหล่อนจะมีนิสัยคล้ายผู้ชายอย่างไร เรื่องใส่เสื้อผ้าออกงานซ้ำกันบ่อยๆ หล่อนก็ทำใจไม่ได้เหมือนผู้หญิงที่รักสวยรักงามและประณีตในการแต่งกาย คุณยายของหล่อนไม่เคยใส่เสื้อผ้าที่เคยใส่ไปงานอื่นแล้วด้วยซ้ำไป นพนาศอาจจะได้รับนิสัยนี้มาทางสายเลือดกระมัง

หล่อนตั้งใจสวมชุดนี้ให้ศรุตประทับใจ เพราะหล่อนรู้ว่านี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่หล่อนจะได้เจอกับเขา

เมื่อต่างคน ต่างคุยกับแขกที่มาในงาน แล้วก็ถึงคราวที่เขากับหล่อนจะได้คุยกันสักที หล่อนแปลกใจนิดหน่อยที่เขาพูดขึ้นมากลางวงว่า เมื่อวานหล่อนไปต่อที่ร้านประจำ พูดเหมือนจะให้ใครๆ รู้ว่าเขา “รู้” อะไรมากกว่าคนอื่นๆ

เวลานี้เหมาะที่สุดแล้ว นพนาศขอตัวกลับก่อนเพราะนัดกับคนอื่นไว้ หล่อนไหว้อย่างอ่อนช้อยและส่งสายตาที่หล่อนคิดว่าหวานที่สุดให้เขาก่อนที่จะหมุนตัวเดินจากไปด้วยมาดนางพญาอย่างที่เขาพูดเมื่อวันวาน

หล่อนมีนัดจริงๆ หล่อนคิดไว้อยู่แล้วว่า “รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ” นพนาศต้องการพิสูจน์ให้แน่ใจว่า ศรุตหมายความตามที่พูดกับหล่อนเมื่อวานจริงๆ ครั้งนี้หล่อนต้องเป็นฝ่ายตัดบท ต้องเป็นฝ่ายทำอะไรที่อาจจะเข้าข่าย “กระทบศักดิ์ศรีผู้ชาย” อย่างที่เขาเคยพูดไว้อีกเช่นกัน นพนาศใจใหญ่ กล้าได้กล้าเสียไม่แพ้ผู้ชายอยู่แล้ว หล่อนบอกกับตัวเองว่า ถ้าเขาคิดจริงจังกับหล่อน ไม่ได้พูดพล่อยๆ อย่างที่หล่อนขอมองโลกในแง่ร้ายไว้ก่อน เขาจะต้องติดต่อหรือหาทางเจอหล่อนอีกครั้ง

นพนาศไปพบน้องเจนตามนัดด้วยจิตใจล่องลอย พี่ณัฐ ชายคนที่ยังขาดคุณสมบัติพื้นฐานตามมาหลังจากนั้นอีกเกือบชั่วโมง เขาขอพบนพนาศมาหลายวันแล้ว เขาเข้ามาติดพันหล่อนตั้งแต่วันแรกที่เจอ แม้หล่อนจะรู้ตั้งแต่วันแรกว่าเขายังไม่ได้หย่าขาดจากภริยา เรื่องราววุ่นวายยังอยู่ในขั้นศาล หากไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องทรัพย์สินและสิทธิ์ในการดูแลบุตร เรื่องก็คงคาราคาซังยืดยาวไปอีกเป็นปีๆ แต่หล่อนก็อยากจะลองทำความรู้จักพี่ณัฐ ไม่มีอะไรเสียหายที่จะรู้จักคนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ยิ่งเป็นคนที่มีความรู้สึกพิเศษกับหล่อน ยิ่งน่าจะเป็นผลดีกับหล่อนเพิ่มขึ้นไปอีก พี่ณัฐเผยให้นพนาศทราบความรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของหล่อนในวันนั้น เมื่อหล่อนแทบจะหมดหวังจากศรุตแล้ว พี่ณัฐเหมือนจะหาคำตอบให้กับความเขวของนพนาศในวันนั้นได้

ไม่มีวันใดที่ความทรงจำเกี่ยวกับศรุตจะลบเลือนไปจากใจของนพนาศ แค่ความรุนแรงและจำนวนครั้งที่หล่อนพูดกับน้องเจนเกี่ยวกับเขาก็น้อยลงๆ จนเหลือติดอยู่เป็นความประทับใจที่คงไม่มีอนาคต หล่อนกล้าเสียเขา ในวันที่หล่อนมีโอกาสสานต่อ เขาก็แสดงเจตนาอย่างเปิดเผยว่าอยากคุยกับหล่อนต่อ และจะบอกให้หล่อนรู้ลึกๆ เกี่ยวกับตัวหล่อนเหมือนกับเป็นหมอดูอีกเช่นเคย

นพนาศยังดำเนินชีวิตไปตามปกติ พี่ณัฐเข้ามาในวันว่างเป็นครั้งคราว แต่ทุกครั้งหล่อนจะต้องแน่ใจว่ามีบุคคลที่สาม สี่ หรืออาจจะถึงห้า อยู่ร่วมด้วย หล่อนไม่ต้องการตกเป็นขี้ปากชาวบ้านว่า หล่อนเป็นบุคคลที่สามในชีวิตครอบครัวของใครๆ แต่หล่อนก็รู้ว่า ถึงหล่อนจะระวังตัวเช่นไร คนที่มีเจ้าของแล้วทั้งหลายก็ยังแวะเวียนเข้ามาในชีวิตหล่อน คำนินทาว่าร้ายตามมา จนหล่อนคบกับผู้หญิงไม่ได้แล้ว ถ้าผู้หญิงไม่คิดว่าหล่อนจะมาแย่งแฟนหรือสามีไป ก็คิดว่าหล่อนเป็นคู่แข่ง เว้นแต่น้องเจนเท่านั้นที่แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปพร้อมๆ กับที่นพนาศคิดว่าน้องเจนเป็นคนดีพอที่จะไว้ใจเล่าเรื่องอะไรๆ ให้ฟังทั้งหมด หล่อนไม่ชอบมีเพื่อนมาก หล่อนชอบมีเพื่อนคุณภาพ

“อยู่ใกล้ๆ นาศ ใครจะขายออก”

หล่อนได้ยินมากับตัวเองทั้งสองรูหู นพนาศมักจะพูดถึงตัวเองโดยอ้างสิ่งที่คนพูดถึงหล่อน เพื่อไม่ให้ใครมาว่าได้ว่าหล่อนคิดเข้าข้างตัวเอง

หัวค่ำวันเสาร์นพนาศและบรรดาเกย์ในแก๊งค์ตั้งใจจะไปลองชิมอาหารที่ร้านใหม่ใจกลางเมืองใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่ซึ่งไม่มีใครในแก๊งค์นึกได้ว่าจะมีร้านอาหารในบรรยากาศสบายๆ ริมน้ำเห็นวิวตึกสวย น่าจะเป็นร้านอาหารรมควันจากท่อไอเสียซะมากกว่า

หล่อนแต่งตัวเสร็จแล้ว รอเพื่อนๆ มาสมทบกันที่บ้าน จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หล่อนหยิบโทรศัพท์มาดูแล้วก็เห็น Sarute ขึ้นหรา อารามดีใจและนึกได้ว่า จิ๋ม เด็กทำงานบ้านที่เล่าเรื่องราวชายหนุ่มมากหน้าหลายตาของเธอเคยให้เคล็ดลับในการรับโทรศัพท์ว่า “พี่ต้องรอให้ดังสักสองสามกริ๊งก่อนนะคะ จะได้ไม่ดูเหมือนว่าเราร้อนรน ดีใจจนเกินงาม” แม้หล่อนจะดีใจออกนอกหน้าแต่หล่อนก็ไม่ลืมคำพูดของจิ๋ม นพนาศรอพร้อมกับตั้งสติเพื่อรับสายจากชายที่หล่อนทำท่าเหมือนตัดสัมพันธ์อย่างไม่มีเยื่อใยเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา

สองเดือน! สองเดือนเต็มๆ ! นพนาศนั่งนับวันคอย

มันมากพอที่จะทำให้คนลืมเหตุการณ์ไม่กี่ชั่วโมง แต่เมื่อมีสายเรียกเข้าจากศรุต นั่นก็แปลว่า เขาก็ไม่ได้ลืมหล่อนเช่นกัน

ไม่มีความคิดเห็น: