วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สารพัดหนัง...ก่อนเริ่มเวลาทำงาน

อย่าคิดว่าพอฉันบอกว่าหมดเวลาขี้เกียจแล้วจะหมดจริงนะ ไม่มีทางหรอก เวลาตั้งนาฬิกาปลุก ฉันยังตั้งไว้ล่วงหน้าก่อนเวลาตื่นจริงครึ่งชั่วโมงเลย บางทีกว่าจะตื่นจริงก็โน่น อีกสองชั่วโมงต่อมา ช่างเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างที่สุด ที่ฉันเลิกเป็นมนุษย์ออฟฟิศ ก็เพราะฉันทำงานแบบมนุษย์เช้าชามเย็นสองชามไม่ได้นะซิ พอทำก็ทำเป็นบ้าเป็นหลัง พอไม่ทำ อย่าได้คิดที่จะดึงดัน ยื้อยุด ฉุดรั้งให้ฉันทำเลย เมื่อไม่มีอารมณ์ก็แปลว่าทำยังไงก็ไม่มี

ฉันใช้ชีวิตอย่างรู้สึกผิดมาเป็นอาทิตย์ ตั้งแต่เสร็จงานนางสาวไทย แทนที่จะสานต่องานเดิมเลย ก็เอ้อระเหยลอยลม ทำโน่นทำนี่ ข้ออ้างสารพัด จนไม่รู้จะเอาอะไรมาอ้างแล้วนั่นล่ะ นอนเกือบยี่สิบชั่วโมงก็แล้ว ดูหนังทีเดียวสิบเรื่องรวดก็ทำแล้ว ร้องเพลงก็เบื่อแล้ว รีดผ้าจนไม่เหลืออะไรให้รีดแล้ว ฉันถึงได้ฤกษ์เปิดคอมเมื่อตอนเย็นย่ำใกล้เวลานกบินกลับรัง แล้วฉันก็ทำงานมาราธอนจนถึงตีสองเนี่ยแหละ เวลาที่ใครๆ ก็ต้องออกเที่ยวเพราะเป็นเย็นวันศุกร์ กลับเป็นเวลาที่ฉันได้เริ่มทำงาน เพราะไม่อยากดูหนังแล้วนั่นแหละ ฉันดูตั้งแต่ Penelope เปิดเป็นเพิ่อนก่อนนอนแล้วเครื่องก็เล่นแผ่นดีวีดีย้อนไปมาเป็นสิบรอบจนตื่นแล้วก็ดูต่อจนจบเรื่อง จากนั้นฉันก็ปัดฝุ่นหยิบ Dr. Dolittle มาดูหอยสีชมพูที่ตอนเด็กๆ ฉันร้องหากันจนพ่อรำคาญ


Dr. Dolittle ดอกเตอร์ทำน่อยๆ มีเพลงสอนเด็กๆ ให้ทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ด้วย เออ เข้ากับชื่อหนังดีจัง อีตา Rex Harrison ก็คือคนเดียวกับ Professor ใน My Fair Lady หนังโปรดตลอดกาลหนึ่งในสองเรื่อง
(เพราะตอนเด็กๆ พ่อซื้อวิดีโอมาให้ดูแค่สอง เรื่อง ไม่โปรดก็ไม่รู้จะทำไง) แล้วพระเอกสอง เรื่องก็เหมือนกัน คือ ทึ่ม ทึ้ม ทึ่ม เรื่องผู้หญิง ต้องรอให้นางเอกเข้าหาตลอด (เป็นไงล่ะ ดูแต่ หนังที่พระเอกขี้อาย ฉันเลยเจอแต่ผู้ชายที่ถ้าเหล้าไม่เข้าปากละก็ไม่กล้าพูดกับฉันหรอก ฉันเลยพูดเป็นต่อยหอยอยู่คนเดียวประจำ) แล้วฟางเส้นสุดท้ายก็คือ Mary Poppins จริงๆ แล้ว ฉันไม่เคยดูหนังเรื่องนี้มาก่อนหรอกนะ แต่ในเมื่อหนึ่งในสองเรื่องในดวงใจตลอดกาลของฉันคือ The Sound of Music ฉันจะละเลยเรื่องที่จูลี่ แอนดรูว์ได้ตุ๊กตาทองไปได้อย่างไร ดูแล้วก็เข้าไม่ถึงครับท่าน นั่นเอง เพราะ Mary Poppins ฉันถึงได้กลับมาเริ่มทำงาน

แต่ยังไงก็ขอพูดถึงเรื่องที่ฉันดูและประทับใจเมื่อคืนก่อนหน่อยนะ เรื่องนี้ถูกต้องตามสูตรของฉันเลย คือ ครบเครื่อง ได้ทั้งอารมณ์และเหตุผล ชวนติดตาม พอตามแล้วก็พบและฉุกคิดเรื่องที่ไม่ได้คาดไว้ก่อน แล้วก็เข้าตัวยังไงพิกล (ว่าแล้วก็ไม่อยากอธิบายเล้ย เดี๋ยวจะโดนหมั่นไส้อีก) แต่ก็เอาเถอะ ได้อย่างเสียอย่าง เนอะ


Malena เธอผู้ที่ใครๆ ถือว่าเป็นแม่ม่ายย้ายมาอยู่อีกเมืองหนึ่ง วันนั้นเธอใส่ชุดเข้ารูปสีครีมประดับด้วยผ้ากุ้นสีดำคล้ายโบว์บริเวณอกเสื้อและกุ้นที่ตามขอบเสื้อ กระโปรงสีครีมเข้ารูปยาวแค่เข่า เผยให้เห็นรูปร่างน่าฟัดของเธอ (หนังพยายามเสนออย่างนั้นน่ะ) หนุ่มรุ่นสี่ห้าคนขี่จักรยานอยู่ริมทะเล เห็นเธอเดิน เหลียวหลังกันเป็นแถว ขี่จักรยานตามเพื่อยลโฉมและหุ่นของเธอทุกเมื่อเชื่อวัน เมื่อใดที่เดินผ่านจตุรัสของเมือง ผู้ชายทุกคนมองตาม เหลียวหลังจนคอเคล็ดตามกันไป เธอคือหญิงที่ผู้ชายทุกคนในเมืองนั้นหมายปอง หนังพาเราให้เห็นความเป็นไปของผู้หญิงคนนี้ผ่านสายตาของหน่มน้อยที่เพิ่งหัดเล่นว่าวในห้องนอนจนต้องไปซื้อน้ำมันมาหยอดสปริงใต้เตียงเพื่อลดเสียงอันเกิดจากการเด้งดึ๋งขึ้นลงของเตียงตามจังหวะการใช้งานของเด็กหนุ่ม

สาวไปไหน หนุ่มน้อยติดตาม ตามติด

ขึ้นต้นไม้ เจาะรูที่กำแพงบ้านสาว เคลิบเคลิ้มกับอิริยาบถ ท่วงท่ายามเยื้องย่างในชุดสลิปสีดำคลิปลูกไม้ บางคราวที่หล่อนลุกขึ้นและก้มตัว สายเสื้อสลิปตัวยาวเหนือเข่าหลุดจากไหล่เผยให้เห็นเนินเนื้อ อีกคราที่เจ้าหล่อนโก่งโค้งตัวไปมาตามจังหวะเพลง แสงสาดส่องทะลุผ่านต้นขาเห็นจุดปลายที่ต้นขามาบรรจบ ทำให้เด็กหนุ่มตาลุกวาวเป็นครั้งครา เพื่อสร้างภาพของหล่อนยามที่หนุ่มน้อยกลับไปอยู่ที่บ้านตัวเอง เขาก็ฮัมเสียงเพลงที่ได้ยินจากบ้านเจ้าหล่อนจนคนขายรู้ว่าเป็นเพลงไหน แล้วแผ่นเสียงเพลงนั้นก็ถูกเข็มแทงทั้งคืน






ยิ่งผู้ชายในเมืองหลงใหลในรูปร่าง หน้าตาของสาว แม้ไม่เคยได้พูดจานางนี้ ความอิจฉาริษยาก็เพิ่มพูนในหมู่สตรีในเมือง โดยเฉพาะบรรดาภรรยาถุงกาแฟโทงเทงทั้งหลาย พร้อมๆ กับข่าวลือว่าเจ้าหล่อนคั่วกับหนุ่มรายนั้นรายนี้

จนในที่สุด

มีบัตรสนเท่ห์ไปถึงพ่อของนางที่เป็นอาจารย์ว่า เจ้าหล่อนมีอะไรกับผู้ชายทั้งเมือง

จริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ แต่พ่อขอลาออก เพราะทนข่าวลือไม่ไหว

อาจมีเพียงเจ้าหนุ่มน้อยผู้คอยสอดส่องผู้เดียวที่รู้ว่า ใครไป ใครมา ใครมีอะไร ไม่มีอะไรกับหล่อนบ้าง บางครั้งหนุ่มน้อยก็ให้อภัย เพราะเธอต้องมีอะไรกับบางคนเพื่อการยังชีพ ไม่มีแม่ค้าคนไหนขายข้าว ขายปลาให้เธอ ใครจะนอนกับเธอก็ต่อเมื่อนำอาหารมาให้ อะไรจะขนัยหนาด

ไหนๆ ข่าวลือก็เต็มเมืองแล้ว คราวนี้เธอก็แทคทีมกับสาวอีกนาง ไปไหนมาไหนกับนายทหารเยอรมัน เป็นที่รังเกียจของสาวๆ และไม่สาวในเมืองยิ่งนัก




จบแล้วสงคราม พวกเยอรมันจากไป ได้ทีผู้หญิงทั้งเมือง ลากแม่ยั่วเมืองมาทุบตี ตบฉีก เสื้อผ้าขาดวิ่น เลือดไหลผสมน้ำตาเต็มหน้า เนื้อตัวฟกช้ำดำเขียว หน้าอกหน้าใจที่ใหญ่โต ออกจะเริ่มคล้ายถุงกาแฟ และมันไม่ได้ดูเซ็กซี่แล้วล่ะ ฉากนี้

ฉันก็ยังไม่ได้ยินเสียงพูดจากเจ้าหล่อน เหมือนๆ กับฉากอื่นๆ ที่นางเป็นผู้ประหยัดถ้อยคำ อันเป็นคุณสมบัติที่แตกต่างจากฉันอย่างสิ้นเชิง นางได้แต่สะอึกสะอื้น เสียงร้องสะท้อนความในว่า "ทำไม่ถึงทำกับฉันอย่างนี้" ผู้ชายที่บ้าเธอทั้งเมือง ทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง (อาจจะยังงงๆ และคิดว่ายุ่งไปก็ซวยเปล่า)


เธอจากเมืองนี้ไปทางรถไฟ

แล้วสามีของเธอก็กลับมา ไม่มีใครในเมืองยินดีจะเล่า หรือเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ชายที่เมียสุดจะโชคร้ายฟัง แม้แต่ตัวเขาเองก็เหมือนจะโดนลูกหลงไปด้วย ชายแขนเดียว วีรบุรุษสงคราม ไม่มีที่ซุกหัวนอน ...

แล้วหนุ่มน้อยที่ตาเป็นเรดาร์ก็ตัดสินใจเขียนจดหมายสรุปความว่า "ไม่ต้องไปใส่ใจว่าใครจะพูดถึงเมียของคุณว่าอย่างไร เธอจงรักภักดีต่อคุณคนเดียวและเธอขึ้นรถไฟไปที่เมือง..."

เขาจากไป

...

...

เขากลับมา

...

กลับมาพร้อมกับภรรยาคนสวย หุ่นดี แม้จะร่วงโรยตามวัยที่ผ่านพ้น บวกกับความชอกช้ำที่ได้รับทั้งทางกายและใจจากผู้คนในเมือง

หล่อนเดินเคียงคู่ในอ้อมแขนที่เหลือของชายผู้เป็นสามีสุดที่รัก ผ่านจตุรัส ผ่านผู้คน ผ่านสายลมที่พัดกระโปรงบานพริ้ว หล่อนเดินก้มหน้ามองพื้น เช่นเดียวกับหลายๆ ครั้งที่เดินผ่านจตุรัสแห่งนี้

คนทั้งเมืองมีแต่คำถามที่ไม่ได้เอ่ยกับคนคู่นี้

เจ้าหล่อนไปตลาด

แล้วก็มีการทักทาย

แล้วเธอก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อหาข้าวของ
แล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็จางหายไป ไม่มีใครกล่าวถึง ไม่มีใครพูดอะไร

แล้วชีวิตก็ดำเนินต่อไป...

นางเอกเรื่องนี้ ถ้าฉันจำไม่ผิด เธอเป็นเซ็กซ์สตาร์อันดับหนึ่งของโลกอยู่.... Monica Bellucci

ฉันก็ว่าแค่ดูเธอเดินก็เพลินแล้วล่ะ

ไม่มีความคิดเห็น: