วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

หรือว่าเป็นคู่...ชีวิต (3)

หล่อนไม่ได้ใส่ใจทุกเรื่องราวที่พูดคุย ตามประสาของคนที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง คนที่ใครๆ ก็ว่าพ่อแม่ตามใจจนเหลิง

การที่มีผู้หญิงอยู่ในวงสนทนาย่อมทำให้เรื่องบางเรื่องไม่ได้กล่าวถึง แต่การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแบบที่มีเพศที่สองก็น่าสนใจไม่ใช่หรือ... ถ้าใจกว้างพอ

เรื่องดูดวง ทายลักษณะเฉพาะตัวของคนเป็นหัวข้อที่ทำให้การสนทนามีรสชาติ ดูเหมือนการที่หล่อนร่วมอยู่ในวงนั้นก็สร้างสีสันให้ค่ำคืนนั้นแม้จะเป็นการพูดถึงลักษณะของหล่อนคนเดียวเป็นส่วนใหญ่

วันนั้นหล่อนอยู่ในชุดเปลือยไหล่ผ้าชีฟองสีน้ำเงินเข้ม จับเดรปบริเวณหน้าอก ตัวกระโปรงทิ้งยาวแค่เข่าไม่รัดรูป ผ้าชนิดเดียวกันอีกสองชิ้นต่อจากใต้ฐานอกทั้งสองข้างปล่อยยาวถึงปลายกระโปรงแล้วพาดขึ้นไปเป็นรูปตัวยู เย็บอย่างประณีตที่ด้านหลังตามแบบฉบับผู้ดีอังกฤษ

หล่อนลองและซื้อชุดนี้เมื่อตอนบ่ายวันเดียวกันนี้เอง การจับจ่ายซื้อหาเสื้อผ้าสิ่งของไม่เคยเป็นปัญหากับหล่อน หล่อนรู้ว่าหล่อนชอบอะไรและตัดสินใจได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาเปรียบเทียบหรือรอดูว่าอาจจะมีที่ถูกใจกว่า หล่อนถือว่าหล่อนซื้อเมื่อหล่อนพอใจและพยายามจะไม่ไปถามราคาหากของที่หล่อนซื้อมีวางจำหน่ายที่อื่น หล่อนให้เหตุผลกับตัวเองว่า มันมีแต่เจ๊งกับเจ๊า แล้วจะไปเสาะหาให้รู้สึกเหมือนถูกหลอกไปทำไม ข้อนี้นี่เองที่หล่อนไม่เหมือนแม่

แม้บางครั้งเสื้อผ้าบางชุดอาจจะดูงั้นๆ ไม่ได้ชอบนัก แต่หล่อนก็จะลองเพราะไม่แน่ว่าใส่แล้วอาจจะสวย เหมาะกับหล่อนมากกว่าชุดที่หล่อนถูกใจซะอีก

คล้ายจะเหมือนกับวิธีดำเนินชีวิตและการเลือกคู่ของหล่อนนั่นแหละ

หล่อนยินดีที่จะเสี่ยง ยินดีที่จะลอง ยินดีที่จะคบเพื่อให้ “รู้” มากพอที่จะตัดสินใจ แม้กระทั่งสามีคนที่สร้างสุขและทุกข์สุดขั้วคนนั้น หล่อนก็ยังไม่มั่นใจพอที่จะย้ายชื่อเข้าไปอยู่ในทะเบียนบ้าน พอที่จะจดทะเบียนสมรส และพอที่จะยอมมีลูกกับชายที่ยังคงอยู่ในใจลึกๆ ของหล่อนคนนั้น

นพนาศมีแฟนมาหลายคนจนพ่อแม่นับไม่ไหว นี่เฉพาะคนที่พ่อแม่หล่อนรู้นะ ช่างแตกต่างจากน้องสาวของหล่อนที่ไม่เคยมีแฟนเลยแม้จะอายุย่างเข้าเลขสาม ครอบครัวของหล่อนจะเรียกว่าเป็นครอบครัวสุดขั้วก็คงไม่ผิด แล้วหล่อนก็ได้รับความสุดขั้วมาจากทั้งพ่อและแม่ บางครั้งหล่อนก็แปลกใจตัวเองที่ความแตกต่างหลากหลาย รวมทั้งสิ่งที่พี่นักแสดงคนหนึ่งบอกว่าหล่อนน่ะเป็น “คนประหลาด” และก็ชอบคบกับคนประหลาดด้วย

เขาผู้อยู่ในความคิดคำนึงของหล่อน ทำตัวประหนึ่งเป็นหมอดู ทั้งที่เขาได้คุยกับหล่อนไม่กี่คำ แต่เขาก็พูดถึงลักษณะนิสัยและความเป็นตัวตนของหล่อนได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน หล่อนงงแน่นอนเพราะเขาพูดเหมือนอ่านใจหล่อนออก พูดดั่งมีญาน มีของ มีองค์ สุดแต่ใครจะเรียก หล่อนเริ่มสงสัย อยากได้ใคร่รู้ ทำไมเขาถึงได้พูดเหมือนใจหล่อนขนาดนั้น

เขาพูดทั้งลักษณะของชายที่เหมาะกับหล่อน ต้องเป็นคนพูดน้อยและอดทนสูง และเรื่องที่หล่อนยังเป็นคนประเภทที่ทำอะไรบางอย่างที่ผู้ชายจะรับได้ยาก เพราะผู้ชายก็มีศักดิ์ศรี หล่อนจะปฏิบัติต่อคนที่หล่อนรักแบบแปลกๆ ซึ่งดูเหมือนเขาเองก็จะไม่เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการกระทำนั้นๆ แต่เมื่อหล่อนรักใครก็จะรักจริง รักอย่างไม่มีเงื่อนไข นั่นคงเป็นข้อดีที่สามารถกลบข้อเสียทุกข้อของคนจำพวกเดียวกับนพนาศได้ทั้งหมด

ในความทรงจำของหล่อน เขาวิเคราห์ว่าหล่อนเป็นผู้หญิงที่เที่ยวกลางคืนแต่ก็ไม่ได้แปลว่าหล่อนเป็นคนเหลวแหลก แล้วหล่อนก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะไปนอนกับใครแบบที่ไม่สนใจว่าเป็นใครมาจากไหนก็ได้ ขอให้เป็นผู้ชายเป็นพอ พร้อมกับเปรียบเทียบเสร็จสรรพว่าหล่อนไม่เหมือนสาวไฮโซที่เป็นแฟนกับหนุ่มนักแสดงเด็กว่าเป็นสิบปี หล่อนยังนึกถึงเสียงบอกเล่าเกี่ยวกับสาวคนนั้นว่าเธอมีความต้องการทางเพศสูงมากและดูเหมือนวิธีที่จะปลดเปลื้องความอยากนั้นคงไม่พ้นการมีอะไรกับผู้ชายต่างวัย ไอ้ครั้นจะไปมีอะไรกับชายวัยเดียวกับเธอ คงต้องรอให้ชายรุ่นใหญ่กินยาเพิ่มความสามารถทางเพศก่อนมีกิจกรรมอย่างน้อยสองชั่วโมงกระมัง

การที่หล่อนเป็นหม้ายดูจะแสดงว่าหล่อนเป็นคนปกติ ผู้ที่อายุล่วงเลยวัยรุ่นมาเป็นสิบๆ ปีแต่ไม่เคยแต่งงาน ต้องมีอะไรผิดปกติซักอย่าง หล่อนจำได้ว่า หล่อนแย้งทันที "ผู้ชายที่ไม่แต่งงานแต่ก็ใช้ชีวิตแบบคนแต่งงานมีถมเถ"
"มันไม่เหมือนกัน คนที่ไม่แต่งงานไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ต้องมีอะไรผิดปกติสักอย่าง" เขายืนยัน

หล่อนทบทวนเหตุการณ์และสรุปได้ว่า บทสนทนาในวันนั้น มักจะเป็นเรื่องที่เขาพูดกับชายสูงวัย ชายที่เมื่อวันก่อนนั่งดื่มกับหล่อนต่อหลังจากเจ้านายของหล่อนพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “ไม่ทันหล่อนหรอก” แล้วก็น่าจะไม่ทันหล่อนจริงๆ ทั้งวันนั้นและวันสำคัญในความทรงจำของหล่อน "เขา"คนที่สร้างความรู้สึกวาบหวามในใจหล่อนคุยกับชายผู้นั้น แต่หล่อนว่า อันที่จริงแล้ว

เขาตั้งใจคุยกับหล่อนต่างหาก!

หล่อนก็เหมือนเขานั่นแหละ มีคราวนึงที่ “ชายที่ไม่ทันหล่อน” แสดงความกังวล แสดงให้รู้ว่าเขาอยากแต่งงานแต่ไม่รู้จะทำยังไง หล่อนรู้สึกว่า เขาจีบใครไม่เป็น หรือไม่ก็ชอบแต่เด็กๆ สวยๆ ไม่ได้อยากได้คนเป็นคู่คิดหรอก หล่อนนึกภาพเขาเหมือนคนที่อยากรับลูกบอลได้สักลูกนึง ลูกบอลโยนมาที่เขาหลายลูก แต่เขาตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกลูกไหนดี ไม่กล้ารับ บ้างก็ทำท่ารับแต่ก็ไม่แน่ใจ วิ่งไปวิ่งมา แล้วก็รับไม่ได้สักลูกในที่สุด

หล่อนแสดงความคิดเห็นกับความกังวลของเขาว่า “นาศคิดว่า น้องเขาอาจจะชอบผู้ใหญ่ก็ได้นะคะ นาศเองยังชอบคุยกับคนที่อายุสี่สิบห้าสิบเลย” ในตอนนั้นนพนาศไม่ได้คิดหรอกว่า นั่นเป็นการส่งสารให้ศรุตคนที่หล่อนถูกใจ แต่เมื่อคิดอีกที มันก็เป็นการแสดงให้รู้ว่า หล่อนชอบคนที่อายุมากกว่า

แล้วศรุตก็มีคุณสมบัตินั้น!

เมื่ออรรคชาติ ชายผู้ไม่เคยแต่งงานขอตัวไปเข้าห้องน้ำ หล่อนเล่าให้ศรุตฟังเรื่องวันก่อนที่หล่อนดื่มกับอรรคชาติผู้ช่างกังวลว่า “วันก่อนพี่ชาติชวนนาศไปนั่งดื่มที่ห้องพี่เค้า นาศว่าพี่เค้าคงจะเจอแต่ผู้หญิงอีกระดับนะคะ”

ศรุตทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ด้วยรู้สึกว่า เขามีคู่แข่งโดยไม่ได้คาดคิดมาก่อน สักพักหล่อนขอตัวไปเข้าห้องน้ำบ้าง ศรุตหยุดคุยต่อทันที แถมย้ำว่าเป็นเรื่องสำคัญ จะรอจนกว่าหล่อนจะกลับมาร่วมวงสนทนา หล่อนเดินไปอย่างงงๆ เมื่อเดินกลับมาก็เห็นว่า บทสนทนาหยุดอยู่แค่นั้นจริงๆ ดูท่าความคิดของหล่อนจะจริงแน่ๆ ไม่ใช่คิดเข้าข้างตัวเองหรอกว่า ศรุตตั้งใจบอกเล่าความคิดให้หล่อนฟังแต่ทำเหมือนพูดเรื่องของพี่ชาตินั่นเอง

“คนอายุขนาดผมจะแต่งงานก็คงจะเป็นคนสุดท้ายเหมือนๆ กับคุณ แต่งงานเพื่อจะได้มีคู่คิด ต้องดูผู้หญิงอายุสามสิบห้าขึ้นไปถึงจะคุยกันรู้เรื่อง ผมเองเมื่อเลิกกับแป๊ดภรรยาเก่า แต่เราก็ไปเที่ยวกันพร้อมกับลูกๆ เพียงแต่ผมกับแป๊ดอยู่กันคนละห้อง” ศรุตเล่าต่ออย่างยืดยาวถึงเรื่องส่วนตัว เล่าอย่างลึกแบบที่หล่อนไม่คิดว่าผู้(ยิ่ง)ใหญ่ในวงการอย่างเขาจะพูดเรื่องลึกๆ กับคนที่เรียกได้ว่าแปลกหน้าฟัง

“ผมมีอะไรก็ปรึกษาแป๊ด แม้แต่คนที่ผมคบอยู่ เราคบกันมาสามสี่ปีแล้ว เธอเป็นนักวิจัย ผมคิดว่า ถ้าผมจะแต่งงานก็คงจะแต่งกับคนนี้เนี่ยแหละ แต่รอให้เธออายุครบสามสิบก่อน ผมคิดอยู่สามวันกว่าจะพาเธอไปพบแป๊ด แล้วแป๊ดก็ว่า เธออยู่กับผมได้…แต่ตอนนี้ เธอคุยเรื่องแต่งงานอยู่เรื่อย ผม…” เขากล่าวเหมือนถอนหายใจ ก้มหน้าเหมือนพูดกับตัวเองแต่นาศก็ได้ยิน

“แสดงว่าเขาเริ่มกลัว แล้วพี่บอกเค้ารึเปล่าว่าถ้าจะแต่งก็คงแต่งกับเค้า” วิญญาณนักซักของนาศแสดงตนเช่นเคย
“บอก” เขาตอบพร้อมก้มหน้าเหมือนเดิม
หล่อนแสดงความคิดเห็นว่า “จริงๆ แล้ว คนเป็นนักวิจัยไม่น่ายอม…” หล่อนพูดอย่างนั้นเพราะก่อนหน้านี้ เขาก็เล่าให้หล่อนฟังอีกเช่นกันว่า “ผู้ชายยังไงก็มีเผลอไปบ้าง ผมน่ะมีเจ็ดคน แต่บางคนอยู่ด้วยแล้วโชคดี ถ้าเจอคนที่ถูกใจเดี๋ยวคนอื่นๆ ก็หายๆ ไปเอง”
“จริงๆ แล้วผู้ชายเจ้าชู้คือผู้ชายที่อินซีเคียว” นาศอาศัยตำรับตำราจิตวิทยาที่หล่อนชอบอ่านมาวิเคราะห์พฤติกรรมเจ้าชู้ของผู้ชาย
เขาพยักหน้า
หล่อนถามต่อ “ถ้าคุณแป๊ดบอกว่า อยู่ด้วยกันไม่ได้ แล้วพี่รุตจะว่าไงคะ”
“ผมก็ไม่แต่ง เพราะเค้ารู้ดีที่สุดว่าใครจะอยู่กับผมได้” ศรุตพูดอย่างมั่นใจว่าแป๊ดคือที่ปรึกษาที่ดีที่สุดทั้งเรื่องนี้และหลายๆ เรื่อง

คุยไปสักพัก ศรุตก็พูดขึ้นมาลอยๆ ว่า “...ถามคำถามที่ไม่เคยมีใครถาม แต่ก็ตอบได้หมดนะ” ประโยคนั้นทำให้นาศนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเขา เรื่องที่ว่า หล่อนเป็นคนขี้เบื่อและถ้าใครตอบคำถามของหล่อนไม่ได้ หล่อนก็จะเลิกสนใจคนๆ นั้น

แล้วทั้งสามก็ไม่ได้คุยอะไรต่อ นอกจากพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เรื่องของคนโน้นคนนี้ บางครั้งพอหล่อนพูดอะไร ชาติเหมือนตามไม่ค่อยทัน หรือไม่ก็หล่อนพูดไม่รู้เรื่อง ศรุตก็ต้องอธิบายอย่างยืดยาวอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าชาติก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี คงจะเหมือนลักษณะการพูดของเขาที่ช้าๆ เนิบๆ เหมือนคนใจเย็นที่ไม่เคยโกรธใครเลยในชีวิตนั่นแหละ

“ชาติเค้าก็ช้าอย่างนี้แหละ เป็นมาหลายปีแล้ว” คำพูดของศรุตทำให้นาศรู้สึกโล่งใจ แม้หล่อนจะพูดอะไรแล้วคนมักจะตีความในแง่ร้าย แต่ครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะหล่อนพูดไม่รู้เรื่องหรือพูดพล่อยตามประสาคนที่มีดาวแห่งการสื่อสารตกภพมรณะในดวงกำเนิด

ก่อนจากกันคืนนั้น ศรุตทิ้งท้ายไว้เหมือนระเบิดลูกใหญ่ “...จะเลี้ยงตลอดชีวิต..." เขาพูดเหมือนตะโกนแต่ดังคล้ายเสียงกระซิบข้างหูหล่อน แบบที่หล่อนน่าจะได้ยินคนเดียว หรือก็อีกที่ศรุตพูดกับหล่อนและอรรคชาติแต่กระทบชิ่งมาที่หล่อนอีกครั้ง

หล่อนนึกว่าศรุตจะไปส่งหล่อนที่รถ แต่เขากลับขอตัวไปเข้าห้องน้ำ หล่อนไม่อยากคิดอะไรมากกับคำพูดขึงขังคล้ายจะจริงจังจากคนที่เพิ่งรู้จัก เขาซึ่งอยู่ในวงการที่ใครๆ ก็อาจพูดอะไรแบบนี้ได้ วงการที่มีแต่ภาพมายา...เรื่องราวซุบซิบของคนนั้นคนนี้ หล่อนออกจะแสดงทัศนคติที่ชัดเจนถึงงานบางส่วนของเขา เหมือนว่าเป็นงานที่ไม่ได้สร้างสรรค์จรรโลงสังคม หล่อนรู้ว่ามันแรง แต่ก็ตบท้ายว่า "อันที่จริงในต่างประเทศก็ไม่แตกต่างอะไรจากคนไทยนักหรอก"

แม้ศรุตจะไม่ได้แสดงความเห็นหรือตอบโต้ทัศนคติรุนแรงของหล่อนทันที แต่เขาก็ไม่ละโอกาสที่จะแสดงความห่วงใย เพราะคำพูดแรงๆ อาจทำให้หล่อนเดือดร้อน สายตาที่นพนาศมองทอดไปที่เขาดูเหมือนจะมองออกว่า เขาพูดด้วยความเป็นห่วงจริงๆ และนั่นก็เป็นอีกครั้งที่ศรุตทำให้นาศประทับใจ ศรุตถอดแว่นตาเผยให้เห็นดวงตาเล็กที่เหนื่อยล้า หล่อนคิดว่านั่นไม่ได้เป็นดวงตาหยาดเยิ้มของคนเจ้าชู้ หรอก

ณ เวลานั้น นาศยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ศรุตพูดมันเป็นสิ่งที่เขาได้คิด เหมือนมองย้อนเห็นภาพสะท้อนของตัวเองสมัยรุ่นหนุ่มที่ทั้งแรงและไม่กลัวใครเช่นกัน อาจจะแรงกว่าหล่อนด้วยซ้ำไป

นพนาศขับรถออกจากโรงแรม แม้จะเป็นเวลาตีสองกว่าแล้ว แต่หล่อนก็ยังแวะไปที่ร้านประจำ กะว่าจะวนๆ ดูเผื่อร้านยังเปิด และคนที่อยู่ในใจหล่อนมาสองปีเต็มจะยังอยู่หรือไม่…เขายังอยู่ แค่นี้ก็ทำให้หัวใจหล่อนพองโตแล้ว หล่อนนั่งอยู่ไม่นาน ชายผอม สูง ขาวคนนั้นก็แวะมาทักทาย

แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หล่อนรีบออกมานอกร้าน รับสาย

ศรุตโทรมา

เขาถึงบ้านแล้ว ถามว่าบ้านหล่อนอยู่แถวไหน
“พหลโยธินค่ะ”
"ถ้างั้นก็คงแถวๆ สนามเป้า" ศรุตเดาแบบถามนำ
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นละคะ” หล่อนยังขี้สงสัยเหมือนเดิม
“ก็ถ้าเป็นแถบดอนเมือง ก็คงไม่บอกว่าพหลโยธินละมั้ง”

เขาฉลาดมีไหวพริบ... หล่อนคิด ก็แน่ล่ะ มันเป็นส่วนหนึ่งของทักษะที่ต้องใช้ในอาชีพการงานของเขานี่นา แล้วหล่อนก็ตัดบทง่ายๆ “แล้วเจอกันพรุ่งนี้ที่งานนะคะ สวัสดีค่ะ”

นพนาศบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ของเขาทันที นามบัตรของคนใหญ่คนโตไม่มีหมายเลขโทรศัพท์มือถือหรอก เขาได้เบอร์มือถือของหล่อนตามที่ระบุในนามบัตรเพราะตำแหน่งหน้าที่ของหล่อนในงานเฉพาะกิจครั้งนี้ ถ้าไม่ติดต่อผ่านมือถือก็คงทำงานไม่ได้ แต่นพนาศก็เลือกนะ เลือกที่จะไม่ให้นามบัตรส่วนตัวของหล่อน อย่างน้อย เขาคงต้องทำการบ้านสักนิด หากเขาสนใจหล่อนจริงๆ หล่อนมั่นใจเช่นนั้น เหตุผลนะเหรอ ก็เขาเปรยให้หล่อนได้ยินว่า "ถ้าอยากรู้เรื่องของใครก็ไปถามคนรอบข้าง" หล่อนอยากรู้อยู่เหมือนกัน...เขาจะถามนายของหล่อนมั้ย เพราะดูจะเป็นคนเดียวที่รู้ว่าหล่อนทำอะไร

สิ่งที่เข้ามากระทบ เรื่องทำให้หล่อนรู้สึกวุ่นวาย ทั้งชายผอม สูง ขาว ผู้ที่มีเพื่อนให้ความเห็นว่าเป็นคน "เอาดีเข้าตัว" คนนั้น ยังนายของเธอ หนุ่มใหญ่ที่คุณสมบัติพื้นฐานยังไม่ครบนั่นล่ะ ชายที่เป็นเด็กกว่าหล่อนแต่ก็ไม่อาจทำให้หล่อนมองข้ามหลักการดั่งหินผา “ผมจะทำให้ทุกชีวิตที่อยู่รอบตัวมีความสุข ถ้าผมเลือกให้เข้ามาอยู่ในชีวิตแล้ว” แล้วยังชายต่างชาติที่บอกหล่อนว่า "เขายังไม่ดีพอสำหรับหล่อน แม้เขาจะคิดถึงหล่อนทุกนาที" แล้วยัง ศรุต ชายคนล่าสุดที่ดูจะมาแรงกว่าใครๆ

นพนาศยังไม่จำเป็นต้องเลือก แต่เวลาของหล่อนก็เหลือน้อยลงไปทุกที หากหล่อนยังคิดที่จะมีลูก ซึ่งหล่อนก็คิด แม้จะยังหวั่นใจไม่หาย หล่อนจะหาภาระมาทำให้หนักทำไม ถ้าจะต้องอยู่คนเดียวจริงๆ หล่อนก็อยู่ได้ ถ้าต้องอยู่เป็นคู่ หล่อนต้องรักเค้า หล่อนลองแล้วและก็ไม่สามารถอยู่กับคนที่รักหล่อนได้ นพนาศเลือกเหตุผลไม่ได้

“รักด้วยหัวใจ ตัดสินใจด้วยสมอง”

นั่นคือสิ่งที่นพนาศยึดถือ แล้วจะมีใครผ่านด่านนี้มาได้ล่ะ หรือเขาคนนั้น...ศรุต...คนที่รักในสิ่งเดียวกันกับหล่อน สิ่งที่ลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนคืนยากแต่เขาก็ยังเลือกทำเพราะใจรัก หล่อนสืบประวัติของเขาจากอินเตอร์เน็ต มันไม่ยากอะไรหรอกเพราะศรุตเป็นคนดัง เป็นเจ้าพ่อในวงการ เขายืนอยู่ในที่แจ้ง ศรุตต่างหากที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหล่อนเลย หล่อนรอดูอยู่ว่าเขาจะมีข้อมูลเกี่ยวกับตัวหล่อนมากน้อยเพียงใด นพนาศเป็นแค่ผู้หญิงที่เพิ่งเข้ามาทำธุรกิจประเภทนี้หลังจากที่ทำโน่นทำนี่ ตุปัดตุเป๋ไปมาอย่างที่ใครๆ ว่า และเขาจะหาข้อมูลของหล่อนจากที่ไหนล่ะ เขาจะเป็นคนประหลาด เหมือนเป็นเชอร์ล็อคโฮมอย่างที่หลายๆ คนเปรียบหล่อนว่าสำรวจตรวจตรา ซักไซ้ ไต่ถามทุกสิ่งอันอย่างนักสืบในนวนิยายเรื่องดังคนนั้นรึเปล่า

ในใจของนพนาศมีแต่สารพัดคำถามที่รอคำตอบอย่างร้อนรน แต่หล่อนก็รู้ตัวดีว่า ถ้าอยากได้ในสิ่งที่ต้องการและเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นสิ่งที่ต้องการจริงๆ หล่อนต้องอดทน ต้องรอเวลา วั

วันพรุ่งนี้...หล่อนนึกเอาไว้แล้วว่าจะทำอย่างไร

ไม่มีความคิดเห็น: